นางลากลู่เหิงจือเบียดเสียดเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ปรบมือแสดงความชอบใจ ทั้งยังให้เงินไปไม่น้อยเดินตลอดทั้งเช้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อย แค่รู้สึกหิวเล็กน้อยเห็นถังหูลู่ที่ขายอยู่ข้างทาง ซูชิงลั่วจึงหันไปถามลู่เหิงจือ : "ท่านจะกินหรือไม่"ลู่เหิงจือส่ายหน้า : "เจ้าอยากกินหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้าเป็นลูกไก่กำลังจิกข้าวลู่เหิงจือตอบด้วยความอ่อนโยน : "เช่นนั้นข้าจะซื้อให้เจ้า"ไม่นานนัก ซูชิงลั่วก็ถือถังหูลู่หนึ่งไม้ ยิ้มร่าตาหยีด้วยความพึงพอใจลู่เหิงจือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาลที่มุมปากของนาง พลางมองนาง : "ก็แค่ถังหูลู่ไม้เดียว ดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ"ซูชิงลั่วเลิกคิ้ว : "แน่นอน สามีข้าซื้อให้"ผู้คนที่ผ่านไปมา บริเวณรอบๆ ที่คึกคักเสียงดังราวกับล้วนแต่ไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลแล้ว โลกทั้งใบเหลือเพียงเขาสองคนลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับซูชิงลั่วสัมผัสได้ ก็หันไปจ้องเขาอย่างงงๆ เช่นกัน ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยถาม : "เหตุใดท่านไม่เดินล่ะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ : "ข้ากำลังคิดว่า ต่อไปควรจะซื้อของให้เจ้ามากหน่อย"ซูชิงลั่วยัดถังหูลู่เข้าปากเขา : "รีบไปได้แล้ว ยัง
รถม้าหยุดตรงหน้าประตูบ้านตระกูลซูซูชิงลั่วรีบผลักลู่เหิงจือออก พูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ : "ถึงเรือนแล้วเจ้าค่ะ"พูดจบก็กระโดดลงรถม้าไปก่อนด้วยความเขินอายหน้าแดง ไม่ยอมรอเขา แล้วตรงดิ่งเข้าไปในห้องทันที แม้แต่จื๋อหยวนที่กางร่มให้ก็ถูกนางทิ้งไว้ด้านหลังกลับถึงห้องล้มตัวลงบนเตียงแล้วซุกหน้าเข้าไปในผ้าห่ม ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ จู่ๆ ก็ยื่นมือออกมาตีลงไปบนหมอนของลู่เหิงจือไม่ได้ร่วมหอกันนานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาได้รับบาดเจ็บ นอกจากที่ใช้มือช่วยเขาครั้งเดียว ยามอื่นทั้งคู่ต่างก็อยู่ในขนบธรรมเนียมตลอด นางเองก็มีความต้องการเช่นกันแต่รออยู่สักพักแล้วลู่เหิงจือก็ยังไม่เข้ามา ซูชิงลั่วเอ่ยถามจื๋อหยวนด้วยความประหลาดใจ : "ใต้เท้าล่ะ ?"จื๋อหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม : "ใต้เท้าเข้าครัวไปแล้ว บอกว่าจะนึ่งซาลาเปาซุปไก่ให้นายหญิง"ใบหน้าเล็กๆ ของซูชิงลั่วแดงขึ้นมาอีกครั้งฟ้าใกล้มืดแล้ว ซูชิงลั่วคิดว่าไม่สู้อาบน้ำเสียก่อนจะดีกว่านางสั่งให้จื๋อหยวนยกน้ำร้อนเข้ามา ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกผิดขึ้นมา คิดว่ายังไม่ได้กินข้าวแล้วอาบน้ำก่อนจะดูแปลกไปหน่อย จึงอธิบายออกมาเองโดยที่ไม่มีผู้ใดถาม : "เดินม
ฉะนั้นตั้งแต่นั้นมา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้เงยหน้ามองเขาอีกเลย และตั้งใจก้มศีรษะกินข้าวอย่างเดียวหลังจากกินข้าวสร็จ นางก็ไม่กล้าสบตาลู่เหิงจือ และรีบกลับไปในห้องนอน นอนลงบนเตียง ห่มผ้า ครุ่นคิด แล้วดึงม่านเตียงลงด้วยความเขินอายนางกดมือทั้งสองข้างลงบนแก้มของตน - ร้อนผ่าวตลอดเวลา ไม่หยุดเลยทว่าหลังจากรออยู่นาน ลู่เหิงจือก็ยังไม่เข้ามาผ่านไปชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกดัง "เอี๊ยด" เขากลับออกจากห้องไป???ซูชิงลั่วเปิดม่านเตียงออกด้วยความไม่เชื่อ เดินออกไป และพบว่าด้านนอกว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยนางเคาะประตูถามจื๋อหยวนว่า "ใต้เท้าล่ะ"จื๋อหยวนตอบว่า "ใต้เท้าอยู่ที่ห้องหนังสือกับซ่งเหวิน บอกว่ามีจดหมายจากเมืองหลวง มีเรื่องเร่งด่วนเจ้าค่ะ"ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหม่นหมองที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน "ก็ได้"นางไปนั่งลงบนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกราวกับภรรยาคนหนึ่งที่รอคอยสามีกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อภรรยาตัวน้อยรอคอยอยู่นานแต่ก็ไร้เงาของสามี จึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาลู่เหิงจือเป็นอะไรเนี่ย ทำไมถึงหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หรือว่าตั้งใจ?ครึ่งชั่วย
อ่อนนุ่มช่างอ่อนนุ่มนิ่มเหลือเกินนางไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยายให้เหมาะสมยิ่งกว่านี้รู้สึกราวกับร่วงหล่นจากก้อนเมฆ ลงสู่ผืนน้ำจนหายใจไม่ออกผมที่แห้งชื้นไปด้วยเหงื่อ กลับเปียกชุ่มอีกครั้งนางรู้สึกราวกับเป็นเครื่องลายครามที่ถูกคนผู้หนึ่งจับไว้ในมือ เล่นด้วยความรักใคร่ แกะสลักอย่างประณีต และวาดลวดลายกิ่งก้านดอกไม้ที่สวยงามทว่าเขาเป็นช่างฝีมือที่ดีที่สุด มือที่ผอมเรียวของเขาทั้งเย็นชาและมีเส้นเลือดชัดเจน ดูน่าเกรงขามและเย็นชานักดวงตาก็พลอยคลอไปด้วยน้ำตา นางเงยหน้ามองแสงเทียนสลัว รู้สึกว่าร่างกายของนางราวกับกำลังเต้นระบำตามแสงไฟนั้นลู่เหิงจือมองลงมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา แต่คำพูดที่เปล่งออกมานั้นกลับทำให้นางใบหน้าแดงก่ำ “ที่ข้าทำกับเจ้าในห้องเช่นนี้ ชอบหรือไม่”ดวงตาที่เปียกชื้นของนางมองเขา นางพูดไม่ออก รู้สึกทั้งไร้เดียงสาและอ้อนวอนลู่เหิงจือหรี่ตาลงเล็กน้อยทันที และดึงผ้าเช็ดหน้ามาปิดดวงตาของนาง โยนพู่กันทิ้ง แล้วบรรเลงจูบหากมองต่อ เขาอาจลงมือไม่ได้และทันใดนั้น สายตาก็ว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรอีกเลย เหลือไว้เพียงความรู้สึก แต่กลับยิ่งทำให้ยากที่จะหยุดยั้งทั้งร้อนแรงและ
นางยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดกับตัวเองว่า "น่าจะไม่มีหรอก เมื่อวานข้าก็อ่อนโยนอยู่นะ"อ่อนโยนเขายังกล้าพูดว่าอ่อนโยนอีกหรือตกลงเขาเข้าใจความหมายของคำว่าอ่อนโยนหรือไม่ก็แค่ช่วงแรกน่ะนะที่ดูอ่อนโยน พอหลังจากนั้นก็ลากนางไปที่พื้น ถึงแม้จะปูผ้าห่มไว้ก็เถอะ แต่......อันที่จริงแล้ว......ก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไรมากนัก ลู่เหิงจือเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วแต่เพื่อภายภาคหน้า นางจะยอมรับเช่นนี้ไม่ได้นางเม้มริมฝีปาก "ข้าปวดเอว"ลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง"ขาก็ปวดด้วย"เสียงของนางฟังดูอ่อนแอลู่เหิงจือเปิดผ้าห่มออก มือของเขาไปแตะที่น่องของนาง "ปวดขาตรงไหน ข้านวดให้"เขาจับน่องของนาง แล้วนวดเบาๆ อย่างช้าๆซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายจึงรีบดึงขาของตนกลับ “ไม่เป็นไร ขาข้าไม่เจ็บแล้ว”ลู่เหิงจือจับข้อเท้าของนางไว้ “ถ้าอย่างนั้นเจ็บตรงไหน”ซูชิงลั่วพูดวกไปวนมาและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรียกคนยกข้าวมาเถิด ข้าหิวแล้ว”ลู่เหิงจือชะงักไปครู่หนึ่ง “เข่า?”“……”นางเตะเขาไปหนึ่งทีลู่เหิงจือดึงปลายขากางเกงของนางขึ้น ก็เห็นเข่าแดงเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ได้เป็นแผล“ประเดี๋ยวให้หมอเอายามาติดให้” เสียงของเขามี
หากลู่เหิงจือไม่อยากไป เขาย่อมมีวิธีที่จะอยู่ต่อได้อีกมากมาย โดยเฉพาะฮูหยินของเขาที่ใจอ่อนง่ายแต่ด้วยความที่เห็นใจร่างกายของนาง และต้องการให้นางได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เขาก็ยอมให้ภรรยาของเขา“ไล่” ออกไปอย่างง่ายดายเมื่อปิดประตูแล้ว เขานึกถึงท่าทางของซูชิงลั่วเมื่อครู่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ต้องยอมรับว่า เขากำลังหลงใหลในความอ่อนโยนของฮูหยินขณะที่กำลังจะไปห้องหนังสือข้างๆ เขาก็เห็นซ่งเหวินยืนอยู่ห่างๆ อย่างลับๆ ล่อๆ และมองมาทางนี้ไม่หยุดลู่เหิงจืออารมณ์ดี มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร และถามออกไปว่า “มีอะไรหรือ”ซ่งเหวินรีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยความระมัดระวังว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยเพิ่งเคยมาจินหลิงเป็นครั้งแรก งานวัดยังเหลืออีกไม่กี่วัน ข้าน้อยอยากจะไปร่วมสนุกบ้าง ไม่ทราบว่าจะอนุญาตหรือไม่”ตามที่เขาเข้าใจลู่เหิงจือ วันนี้เป็นวันที่ใต้เท้าเขามีความสุขที่สุดในรอบสิบกว่าปีลู่เหิงจือโบกมือเป็นเชิงอนุญาต “ไปได้ ไปเที่ยวกับฉางชิงและคนอื่นๆ เถอะ ช่วงนี้ไม่มีอะไรต้องทำ ที่จวนก็ไม่ขาดคนรับใช้”ซ่งเหวินตอบด้วยความดีใจ “ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ แต่ว่า…”ลู่เหิงจือ “พูดมาเถอะ”ซ่งเ
"ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ ข้าขาดเงินเสียที่ไหนเล่า"ซูชิงลั่วยิ้มออกมา แล้วนึกถึงคำพูดของลู่เหิงจือ จึงพูดว่า “หากคิดว่าที่บ้านใช้ไม่หมด ก็เก็บไว้ใช้เอง เจ้าถึงวัยแต่งงานแล้ว ควรจะคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้าง หากมีคนที่ชอบ ข้าจะช่วยออกหน้าให้ มาบอกข้าได้เลย"จื๋อหยวนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา “ฮูหยินพูดอะไรเจ้าคะ”นางพูดตะกุกตะกัก “เดิม เดิมทีซ่งเหวินชวนบ่าวไปงานวัด ท่านพูดเช่นนี้ บ่าวไม่กล้าไปแล้วเจ้าค่ะ”แสดงท่าทางเหมือนนางไม่รู้สึกผิดเลย แม้ใบหน้าจะแดงก่ำก็ตามซูชิงลั่วพยายามกลั้นความอยากรู้ไว้ และจงใจหยอกล้อนาง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป จะได้ไม่มีใครมาพูดจาให้เสียหาย เจ้าคงไม่กล้าพบซ่งเหวินแล้ว"จื๋อหยวน "......"นางรู้สึกว่า ฮูหยินยของนางน่าจะอยู่กับใต้เท้ามานาน จนไม่ใสซื่อเหมือนแต่ก่อนแล้ว*หลังจากที่ลู่เหิงจือได้รับบาดเจ็บและยื่นเรื่องขอลาป่วยเพื่อพักฟื้น เมืองหลวงก็ดูวุ่นวายขึ้นมาหวังเหลียงฮั่นถูกจับตัวไปสอบสวนที่สามสำนักแห่งเมืองหลวง สุดท้ายโดนลงโทษเพียงถูกเนรเทศไปยังแดนไกล องค์รัชทายาทถูกตำหนิและถูกกักบริเวณเพื่อไตร่ตรองความผิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน อำนาจก็ลดลงไปมากฮองเฮาตกอยู่ในสถาน
ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ซูชิงลั่วกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงว่า “เขาน่าสงสาร” ในน้ำเสียงเรียบเฉยของเขาซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก มองเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความลังเลว่า “ถ้าอย่างนั้นข้า......ป้อนให้ท่านหนึ่งลูก?"ลู่เหิงจือพยักหน้าซูชิงลั่วมีปลายนิ้วเรียวเล็กขาวเนียน ราวกับแกนในสุดของหอมหัวใหญ่ที่ปอกเปลือกออกทีละชั้นจนถึงชั้นที่อ่อนนุ่มที่สุดเม็ดองุ่นสีเขียวมรกตวางอยู่บนปลายนิ้วของนางราวกับไข่มุกแวววาวซูชิงลั่วส่งองุ่นในมือให้ลู่เหิงจือที่ริมฝีปาก มองเขาด้วยดวงตาสดใสลู่เหิงจือฉายแววสีเข้มในดวงตาเล็กน้อยแล้วอ้าปากเม็ดองุ่นนั้นส่ายไปมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา ก่อนที่ซูชิงลั่วจะเอาเข้าปากของตัวเองซูชิงลั่วมองเขาอย่างได้ใจ กินองุ่นอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเปล่งเสียง "อืม" ลากยาวออกมาแววตาของนางนั้นชัดเจนว่าหมายถึง "ไม่ให้เจ้าหรอก"หลังจากกินเสร็จ นางก็เช็ดมือ แล้วลุกขึ้นยืนและพูดว่า "โดนหลอกมาหลายเดือนแล้ว คราวนี้ข้าจะไม่หลงกลอีกแล้ว"ในช่วงหลายเดือนที่อยู่กับเขา ณ จินหลิง ทำให้นางเข้าใจถึงความเจ้าเล่ห์ของเขามากขึ้นลู่เหิงจือ "......"ไม่ค่อยดีเลย ฮูหยินของเขายิ่งหลอ