ลู่เหิงจือพยุงตัวขึ้นจากพนักเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วกางแขนออก ปล่อยให้นางปรนนิบัติอย่างเต็มที่ท่าทางนางไม่ค่อยคล่องนัก เพราะปกติลู่เหิงจือก็ไม่ค่อยเรียกให้นางปรนนิบัติอยู่แล้วใช้เวลานานเลยกว่าจะช่วยเขาสวมเสื้อผ้าได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับการคาดเข็มขัด พันไปพันมาอยู่รอบเอวของเขาแต่ก็ยังผูกให้เรียบร้อยไม่ได้เสียทีไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่ใบหน้าของนางแดงจัดจนถึงใบหูแล้วลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ แล้วรับเข็มขัดมาคาดเองโดยไม่แกล้งนางอีกต่อไปหลังจากทั้งสองทานอาหารเสร็จ ซ่งเหวินก็ยกยามาให้ลู่เหิงจือดื่มยาหมดในอึกเดียว แต่หลังจากดื่มเสร็จก็ยังอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้มันขมขนาดนั้นเลยหรือ?ซูชิงลั่วนึกถึงรสขมที่ลิ้นของเขาตอนที่จูบนางเมื่อวาน แล้วก็อดใจเต้นไม่ได้ นางจึงเดินไปที่หน้าประตูแล้วแอบสั่งจื๋อหยวนให้ไปหาซื้อของดองอย่างบ๊วยดำหรือพุทราจีนมาหลังจากดื่มยาเสร็จ ซ่งเหวินก็มีเรื่องมากมายที่จะต้องรายงานเขาทีละอย่างขาของลู่เหิงจือบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่สะดวก เขาจึงนั่งฟังรายงานอยู่บนเตียงแทนที่จะไปอีกห้องซูชิงลั่วนั่งเย็บผ้าอยู่ที่เก้าอี้ริมห
ซูชิงลั่วไม่แปลกใจกับการตีเนียนของลู่เหิงจืออีกต่อไปแล้วนางรู้สึกว่าหลังจากช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อก่อนเขาก็เคยหยอกล้อนางบ้าง แต่ไม่เคยทำอย่างเปิดเผยหรือบ่อยครั้งขนาดนี้…จะว่าไป ก็เหมือนนกยูงรำแพนหาง จงใจดึงดูดความสนใจจากนางเห็นแก่ที่เขาบาดเจ็บ ซูชิงลั่วจึงไม่ถือสา แต่ก้มลงจูบที่ริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ "เด็กดี อย่าซนสิ"ลู่เหิงจือ "..."ไม่ไหวแล้วนางลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่กลับถูกลู่เหิงจือจับข้อมือไว้"หืม?""มีฎีกาเล่มหนึ่ง ข้าอาจจะต้องให้เจ้าช่วยคัดลอกใหม่หน่อย ซ่งเหวินลายมือใช้ไม่ได้"ซูชิงลั่วมองไปยังมือซ้ายที่บาดเจ็บของเขา พลางลังเล "ข้าจะทำได้หรือ? ข้าเป็นเพียงสตรีในห้องหอ…"ฎีกาเล่มนั้นต้องทูลเกล้าถวายต่อฮ่องเต้ นางเป็นเพียงสตรีเท่านั้นลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? อย่างไรทุกคนก็รู้ว่าข้ารักและตามใจเจ้ามาก ข้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าคัดฎีกาแทนข้า มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?"ซูชิงลั่วพยักหน้า "ถ้าเช่นนั้นก็ได้" จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า "ท่านบอกว่า...ทุกคนรู้ว่าท่านตามใจข้
"ข้าไม่ได้...ไม่ได้ตื่นเต้น""..."พูดจบ นางก็เงียบไปเองลู่เหิงจือหยิกเนื้อนุ่มๆ ตรงเอวของนางเบาๆ แล้วหัวเราะดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับนางจริงๆเมื่อรอฎีกาแห้งแล้ว เขาก็เรียกซ่งเหวินมาบอกให้เร่งส่งออกไป จากนั้นก็ทานข้าวร่วมกับซูชิงลั่วหลังจากทานข้าวเสร็จ ซูชิงลั่วก็หยิบบ๊วยดองจานเล็กๆ ที่ตั้งใจเตรียมไว้ออกมา บอกว่า "ดื่มเสร็จข้าจะป้อนท่านเอง เป็นอย่างไร?"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ใช้ปากหรือ?""..."ซูชิงลั่วทำหน้าตายและยกถาดบ๊วยดองออกไปทันทีบาดแผลของลู่เหิงจือทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก ทั้งสองจึงไม่รีบร้อนเดินทางไปจินหลิง พักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่หังโจวต่อไปลู่เหิงจือเชื่อฟังคำสั่งของซูชิงลั่วจริงๆ แทบไม่แตะต้องงานในราชสำนักเลยไหนๆ ก็เขียนฎีกาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอบจดหมายของเซี่ยถิงอวี่บ้างเป็นครั้งคราว ที่เหลือก็ใช้เวลาอยู่กับซูชิงลั่ว คอยหยอกนางเล่นเป็นบางเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ซูชิงลั่วก็ค่อยๆ เคยชินกับการหยอกล้อของลู่เหิงจือ จนไม่รู้สึกเขินอายหรือใจเต้นแรงเพียงเพราะคำพูดของเขาอีกต่อไปความรู้สึกของทั้งคู่ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้น
ครึ่งเดือนต่อมา ลู่เหิงจือได้รับจดหมายจากเซี่ยถิงอวี่ เขาหมั้นหมายกับเมิ่งชิงไต้แล้ว ปลายปีจะจัดพิธีสมรสส่วนพระชายาองค์รัชทายาทถูกกำหนดให้เป็นบุตรสาวอนุอีกผู้หนึ่งในตระกูลเมิ่งทั้งหมดเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ลู่เหิงจือก้มลงมอง ก่อนจะเผาจดหมายกับเปลวเทียนเถ้าถ่านร่วงหล่นบนพื้นเขาผลักหน้าต่างออกไปก็ได้ยินเสียงชวนรำคาญใจของหลี่ว์เผิงเทียน : "น้องซูไม่รู้อะไร แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่ทำการค้าล้วนแต่เห็นกำไรเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่าพ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ แต่หากเจ้าไม่คิดจะหาเงิน เช่นนั้นแล้วจะเป็นพ่อค้าที่ดีได้เยี่ยงไร แน่นอนว่าขอเพียงแค่การค้าขายไปได้ดี ก็สามารถแบ่งเงินบางส่วนไปให้ผู้คนเบื้องล่างได้ตามเหมาะสม แต่ต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น..."ท้องฟ้าเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิส่องแสงสว่างสดใสแสงจากด้านนอกกระทบลงบนร่างของซูชิงลั่ว ขับให้นางดูงดงามชวนหลงใหลยิ่งนักหลี่ว์เผิงเทียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมตัวเล็ก กำลังถือสมุดบัญชีอธิบายให้ซูชิงลั่วฟังอย่างละเอียดลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น เจ้าหลี่ว์เผิงเทียนช่างกวนใจยิ่งนัก อาศัยที่ตนช่วยบรรเทาทุกข์ภัยถือว่าตนมีคุณความดี ทั้งยังช่วยเหลือเขาไว้ ส่วนซ
ลู่เหิงจือกวาดสายตามองเขาผาดหนึ่งหางเต๋อโย่วรีบพูดต่อ : "นี่นับเป็นของที่ข้าน้อยอยากมอบให้ใต้เท้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ของกำนัลใดอย่างแน่นอน ไม่ใช่เลย"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เช่นนั้นก็ขอบใจใต้เท้าหางแล้ว"หางเต๋อโย่วพลันยิ้มตอบ : "ไม่บังอาจ ข้าต้องขอบคุณอัครมหาเสนาบดีถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงพระราชทานรางวัลให้ข้าน้อยเป็นการเฉพาะ ขอบคุณใต้เท้ายิ่งนักที่พูดเรื่องดีๆ ของข้าต่อหน้าฝ่าบาท"หลังจากที่มีการประกาศพระราชโองการ หางเต๋อโย่วที่ถูกหวังเหลียงฮั่นกดขี่มาตลอดก็สามารถยืดอกได้เสียที ด้านหนึ่งรู้สึกว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลยิ่งนัก อีกด้านก็รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ตนอยู่ข้างลู่เหิงจือ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเขาเองก็คงต้องถูกคุมตัวพาไปเมืองหลวงด้วยเช่นกันดังนั้นวันนี้จึงมาส่งเสียที่นี่ ด้วยความจริงใจลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "นี่คือสิ่งที่ใต้เท้าหางควรจะได้รับ"การลอบตรวจสอบบัญชี มีส่วนที่หางเต๋อโย่วหามาให้อยู่ไม่น้อย แม้เขาจะเพราะทั้งถูกบังคับและชักจูง แต่ยังดีที่ตามหลักการแล้ว เขาได้ให้ความช่วยเหลือพอสมควรหางเต๋อโย่วทำความเคารพลู่เหิงจือ : "ขอบคุณใต้เท้
"อ่อ" ซ่งเหวินส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนจะมองนางแวบหนึ่ง: "เช่นนั้นต่อไปเจ้าอยู่ในห่างเขาหน่อย คนผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก ชอบนับผู้อื่นเป็นน้องสาวตนอยู่เรื่อย"จื๋อหยวน : " ? "ความเคลื่อนไหวทางนี้แน่นอนว่าได้ยินถึงหูซูชิงลั่วด้วยเช่นกันนางอยากหันกลับไป ทว่ากลับถูกลู่เหิงจือกอดไว้แน่น : "ไม่ต้องสนใจ ช่วงนี้เจ้าเอาแต่ยุ่งกับการเรียนค้าขาย ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนข้าดีๆ มานานเพียงใดแล้ว"ซูชิงลั่วพูดไม่ออกเพราะคำพูดของเขา คิดว่าทางนั้นก็คงไม่น่าจะมีเรื่องอะไร จึงอยู่ในอ้อมกอดของเขาไปอย่างเชื่อฟังต่อ*เรือเทียบท่า ผู้ดูแลถานที่เป็นผู้ดูแลบ้านตระกูลซูมาแต่เก่าแก่ได้รับจดหมายตั้งแต่แรกแล้ว นำกลุ่มบ่าวรับใช้มารอรับซูชิงลั่วมองจากไกลๆ ก็จำผู้ดูแลถานได้ทันทีเขาโตมากับท่านพ่อตั้งแต่ยังเด็ก อายุมากกว่าท่านพ่อหกปีตอนที่ท่านพ่อจากไป เขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แต่กลับต้องฝืนควบคุมเหล่าบ่าวไพร่ จัดการเรื่องด้านหลังของท่านพ่อ ช่วยนางจัดกระเป๋าเดินทางและสินเดิมคืนก่อนส่งนางไปเมืองหลวง ผู้ดูแลถานที่ไม่ค่อยพูดคุยกับนางมาโดยตลอดมาเคาะประตูห้องนาง นำธนบัตรจำนวนใบละยี่สิบตำลึงปึกหนาเตอะที่แลกม
บ้านพักตระกูลซูทิ้งว่างมานาน ในที่สุดหลังจากที่รอมาแสนเนิ่นนานนายหญิงของบ้านก็หวนคืนกลับมารูปปั้นสิงโตสองตัวหน้าประตูถูกเช็ดจนสะอาดเงางาม ราวกับของใหม่ เพียงแต่บนขามีลายให้เห็นอยู่ลางๆ จึงดูออกว่าเป็นของที่ใช้มาหลายปีแล้วสีที่วงกบประตูก็เก่าแล้ว เป็นลายกระด่ำกระด่าง ยิ่งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยิ่งดูอึมครึมผู้ดูแลถานเห็นซูชิงลั่วจ้องมองวงกบประตูจวนซูอยู่นาน จึงเอ่ย : "คุณหนูโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยคิดว่านายท่านและนายหญิงต่างก็จากไปแล้ว บ้านพักหลังนี้จึงไม่จำเป็นต้องซ่อมใหม่ จึงคงสภาพเดิมไว้ หากคุณหนูเห็นว่าไม่เหมาะ วันพรุ่งข้าน้อยจะให้คนมาเปลี่ยนสีประตู"ซูชิงลั่วใช้สายตาปลอบโยนมองเขา : "ขอบคุณลุงถานมาก แบบนี้ก็ดีแล้ว"ผู้ดูแลถานพยักหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูให้ความสำคัญกับความผูกพันและระลึกถึงคนในอดีต ไม่มีทางตำหนิเขาซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สายตาหยุดอยู่บนวงกบประตูนึกถึงครั้งยังเด็ก มีครั้งหนึ่งที่ใส่เครื่องประดับออกจากบ้านไปกับท่านแม่ หน้าประตูใหญ่มีรถม้าจากด้านนอกมาหาท่านพ่อไม่ขาดสาย หัวกระไดไม่เคยแห้ง เวลานี้กลับเงียบเหงากว่าสิ่งใด ราวกับว่าความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดหาย
นึกถึงยามที่ตนแกล้งหลับแล้วท่านพ่อจูงมือท่านแม่มานั่งตรงใต้ต้นกุ้ยฮวาในลานบ้านของนาง แล้วคุยกันกระซิบกระซาบ : "ลูกสาวของเรานับวันก็ยิ่งงามขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะต้องหาสามีดีๆ แทนนางเป็นแน่"……ความทรงจำที่ผ่านมาเนิ่นนานและเลือนลางไปแล้วเหล่านี้ ยามนี้จู่ๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้งทำให้นางรู้สึกมีความสุขและเศร้าใจในเวลาเดียวกันโชคดีที่ยามนี้นางมีลู่เหิงจือ สามารถซบในอกเขาแล้วร้องไห้ฟูมฟายอย่างเอาแต่ใจได้โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นพฤติกรรมต้องห้ามของคุณหนูตระกูลผู้ดีอีกลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไร อยู่เคียงข้างนางอยู่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของซูชิงลั่วหรืออย่างไร ตอนที่จื๋อหยวนเข้ามารินน้ำชา ดวงตานางแดงก่ำ สีหน้าพยายามอดกลั้น แต่กลับอดไม่ไหว สุดท้ายก็น้ำตาไหลออกมาซูชิงลั่วกวักมือเรียกนางเข้ามา ลู่เหิงจือจึงลุกขึ้น ซูชิงลั่วกอดคอร้องไห้กับจื๋อหยวนลู่เหิงจือเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับปิดประตู เว้นพื้นที่ให้พวกนางนายบ่าวได้อยู่กันตามลำพังโชคดีที่เรือนของซูชิงลั่วยังมีห้องว่าง เขาสามารถใช้เป็นห้องหนังสือได้พอดีตัดกำลังสำคัญขององค์รัชทายาทแล้ว ทั้งยังหาเงินกว่าล้านตำลึงกลับท้องพระคล