“ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าท่านชื่ออะไรน้องชาย”หรวนหนิงหลงมีสีหน้าครุ่นคิดไม่คิดว่านางจะอยากทราบชื่อเขาด้วยซ้ำ“ขะขะข้าชื่อหนิงเอ่อร์”ศรีไพรยิ้ม“อี้เอ่อร์ หนิงเอ่อร์ทำไมพวกเจ้าต้องมีคำว่าเอ่อร์ รู้ไหมคำว่า เอ่อ สำหรับข้า มันฟังแปลกแต่ช่างเถอะจำง่ายดี ไว้พบกันใหม่…อือ ยินดีที่รู้จักด้วยเกือบลืมไป”หนิงหลงยิ้มน้อยๆ ศรีไพรโบกมือลาราวกับว่าจะไม่ได้พบกันอีกหนิงหลงหายไปในความมืด“ใกล้จะเที่ยงคืน”ศรีไพรพุ่งตัวเข้าไปในห้องเครื่องวิ่งไปที่กองขิงและกองมันฝรั่ง ที่ที่จำได้ว่าเห็นแสงหลากสีตรงนั้น“ใกล้แล้วใกล้แล้วสิ ขอให้เป็นอย่างที่คิดด้วยเถิด สาธุ”เที่ยงคืนของในทุกวัน แสงหลากสีจะต้องปรากฏและพาคนบางคนข้ามผ่านกาลเวลา หลับตาลงช้าๆ นับถอยหลังดังๆ“4….3….2….1”ลืมตาขึ้นไม่มีแสงไม่มีอะไรมีเพียงความว่างเปล่าและหนาวเหน็บเสียงนกเค้าแมวร้องอยู่บนหลังคา ห้องเครื่อง คล้ายกับเย้ยหยันศรีไพรศรีไพรน้ำตาร่วงเผาะ“ไม่ใช่เที่ยงคืนแล้วยังมีเงื่อนไขอะไรอีกที่จะพาฉันกลับไป”เช้าวันใหม่ที่ไก่ป่าขันเจื้อยแจ๊ว ศรีไพรนอนซุกตัวในผ้าห่มหนา มือขวายังกำมีดมือซ้ายยังกำห่อผ้าที่มีลูกฟักทองที่คว้านเอาเมล็ดออก แกะสลักด้วยมีดท
อี้เอ่อร์อมยิ้มอดขำป้าตื้อเสียไม่ได้“พี่เขาแกะสลักแตงโมตั้งแต่เมื่อวานแต่ เฟยฟางกลับรับเอาของกำนัลไปเพียงลำพังข้าได้ยินลุงซุนบอกว่าไทเฮาเองก็อยากพบนาง นางก็คงได้ของกำนัลจากไทเฮาเพราะฝีมือของพี่เข่อชิง”ศรีไพรขมวดคิ้วส่ายหน้าไปมาห้ามอี้เอ่อร์ไม่ให้พูดเรื่องนี้“ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่เพียงนี้ แต่ตาแก่นั่นกลับเอาใจเฟยฟาง”“ป้าตื้อ ข้าจะต้องรีบทำเครื่องเสวย ท่านป้าขอเวลาข้าก่อน”ป้าตื้อถอนหายใจ“เข่อชิงเรื่องนี้เจ้ายอมได้ข้ายอมไม่ได้”ลุกจากเก้าอี้เดินจากไปเพื่อจะไปพูดเรื่องนี้กับสามีหรือลุงซุนนั่นเองศรีไพรส่ายหน้าไปมาศรีไพรนำฟักทองไปล้างน้ำจนสะอาด กรอกส่วนผสมทั้งหมดลงไปในผลฟักทองที่แกะสลักสองในสามสวน มองไปที่ซึ้งที่ยกขึ้นตั้งไฟไว้ไอน้ำลอยขึ้นมาให้เห็นพอดี ศรีไพรนำฟักทองไปนึ่ง ปิดฝาซึ้งให้มิด“พี่เข่อชิงมันจะออกมาหน้าตาแบบไหนแล้วจะอร่อยไหม”อี้เออ่ร์ถามด้วยนิสัยช่างสงสัยของนาง“รับรองว่า คนกินจะต้องชอบ หากเจ้าอยากกินไว้เสร็จจากทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาทแล้วพี่เข่อชิงจะทำให้เจ้าได้ชิมอีกลูกหนึ่ง อือข้าคิดออกแล้วเจ้าจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ข้าจะคอยสอนเจ้าอยู่ใกล้ๆ ดีไหมจะได
เปิดฝาครอบฟักทองสังขยาออก ใช้มีดหั่นฟักทองเป็นชิ้นเล็กหนึ่งซีกใช้มีดสอดไปใต้ชิ้นฟักทองที่หั่นออกมามืออีกข้างประคองชิ้นที่หั่นไว้ ดึงขยับออกมาเพียงนิดให้เห็นว่ามาจากฟักทองทั้งลูก สีเหลืองใสของฟักทองกับสีครีมของสังขยาช่างน่ามองอีกทั้งยังมีลวดลายของเนื้อฟักทองที่แกะสลักนั่นอีก“ข้าหั่นไว้แล้วหากฝ่าบาทเสวยหมดแล้วเจ้าก็แค่หั่นตามแบบของข้า”อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบๆเฟยฟางกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ อี้เอ่อร์ยิ้มสังเกตอากัปกิริยาของเฟยฟางไม่วางตา“อีกสิบปีเจ้าก็ไม่มีทางเทียบพี่เข่อชิงของข้าได้”กระซิบที่เฟยฟางเบาๆเฟยฟางก้มหน้าซ่อนยิ้มมุมปาก ยกถาดเครื่องเสวยไปพร้อมกับนางในห้องเครื่องอีกสองคน“ฝ่าบาทเมื่อคืนเอ่อ…”หรวนหนิงหลงเงยหน้าขึ้นดวงตาสดใส“เมื่อคืนชาบูอร่อยมาก รสดีที่สุด ลงตัวที่สุด”เป่ยกงกงเลิกคิ้วสูง อมยิ้ม“ชาบู คือสิ่งใด”“ชาบูก็คือ เครื่องเสวยที่เหมาะกับอากาศหนาว และหากได้นั่งกินไปพร้อมกับใครสักคนที่เรามีเรื่องคุยกับเขาช่วงเวลานั้น…นับว่าเหมาะกับการกินเครื่องเสวยชนิดนี้”เป่ยกงกงทำสีหน้าจริงจัง“ฝ่าบาททรงเอ่ยปากกับนางเรื่องที่ฝ่าบาทอยากจะได้คำตอบหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”“ความจริงหากเอ่ยปากกับนางเร
เฟยฟางยกถาดหมูปิ้งไปวางตรงหน้าหนิงหลงเปิดฝาครอบหมูปิ้งออกกลิ่นหอมยังอบอวลเข้าจมูก“ฝ่าบาทยังไม่ทันได้ทดสอบพิษในเครื่องเสวย”เป่ยกงกงประสานมือ“ไม่ต้อง”เป่ยกงกงขมวดคิ้ว“ฝ่าบาทจะต้องเสวยด้วยมือเพคะ”หรวนหนิงหลง หยิบหมูปิ้งขึ้นมากัด ยังไม่ทันที่เป่ยกงกงจะทันได้ห้าม“ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองหากมีพิษ หากมีใครใส่ยาพิษไว้ในเครื่องเสวย”หนิงหลงเคี้ยวหมูปิ้งงับๆ จกข้าวเหนียวมาใส่ปากแล้วก็หยิบผักมากัดตามไปติดๆ“อืออ รสดีจริงๆ แล้วนี่คืออะไร”เฟยฟางยิ้มเลื่อนถ้วยจิ้มแจ่วไปตรงหน้า“นี่คือน้ำจิ้มแจ่ว หากหมูปิ้งที่กินรสไม่จัดจานพอก็ให้กินกับของสิ่งนี้”หนิงหลงใช้ช้อนตักน้ำจิ้มแจ่วราดไปบนหมูปิ้งเหมือนที่ศรีไพรราดน้ำจิ้มลงบนหมูแกว่งในชาบู“ฝ่าบาท รสจะเผ็ดเกินไปพ่ะย่ะค่ะเห็นได้ชัดว่า พริกแดงจนน่ากลัวเกรงว่าพระนาภี (ท้อง) จะมีปัญหา”เป่ยกงกงร้องเสียงหลง“ก้มลงมา เป่ยกงกงท่านก้มลงมา”เป่ยกงกงเลิกคิ้วสูง แต่ก็ยอมก้มลงไปโดยดี“อ้าปาก”เป่ยกงกงอ้าปาก หรวนหนิงหลงยัดหมูปิ้งที่มีน้ำจิ้มแจ่ว ราดจนฉ่ำเข้าไปในปากเป่ยกงกง เฟยฟางเดินถอยออกไป“ขะขอบพระทัยฝ่าบาท”เคี้ยวหมูปิ้งที่เหลือครึ่งไม้สีหน้าบ่งบอกว่าประหลาดใจ“อ
“เฟยฟางแค่เพียงจะบอกว่าที่ทำทั้งหมดล้วนเพราะความใส่ใจ”น้ำเสียงสั่นเครือหนิงหลงยิ้มหยันในเวลาที่นางนอนหลับไหลแต่เป็นศรีไพรที่ไปหมักหมูแช่ข้าวเหนียวและหากเขาเดาไม่ผิดนางจะต้องแกะสลักแตงโมตั้งแต่เมื่อคืนเหมือนที่เฟยฟางแอบอ้าง“ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วย นางอาจพูดไปเพราะทันคิด”หรวนหนิงหลงกัดฟันจนเป็นสันนูน“ดี หากคิดว่าไม่ทันคิดข้าก็ย่อมอภัยให้เจ้า มื้อกลางวันข้าจะกินของที่ทำให้สมองโล่งและลดความขุ่นเคืองเพราะคำพูดของเจ้า”เฟยฟางก้มหน้าสะอื้นอย่างหนัก เป่ยกงกงถอนหายใจจะทำอะไรแบบไหนคนที่ต้องวิ่งวุ่นคือเข่อชิงคนนั้น ผิดแต่ตอนนี้พระทัยของฝ่าบาทเอนเอียงไปทางแม่นางเข่อชิงคนนั้นแม้มีบัญชาให้ยุ่งยากแต่ถึงเวลาก็ไม่ปฏิเสธเครื่องเสวยฝีมือแม่นางเข่อชิงอยู่ดี“ได้ยินชัดไหมสิ่งที่เจ้าต้องทำ ก็คือปรุงเครื่องเสวยให้ถูกใจข้า”คิดหาวิธีให้พวกเขายอมแพ้แล้วยอมรับผิดเสีย เฟยฟางลุกขึ้นย่อกายลงช้าๆก้มหน้าก้าวเดินจากไป“เป่ยกงกง ข้าชักจะหมดความอดทนกับนาง”“กระหม่อมเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ ความจริงปรากฎแล้วสิ่งที่จะได้ชมต่อจากนี้ก็คือ ความเสแสร้งและการหลอกลวง”หรวนหนิงหลงถอนหายใจ“วานกงกง ไปที่ห้องเครื่องข้าอยากให้เ
“ฝ่าบาททรงมีบัญชาว่าต่อไปนี้เครื่องเสวยของสิบสองตำหนักจะต้องทำเครื่องเสวยเพียงชุดเดียวคือเครื่องเสวยที่เหมือนกันกับที่ฝ่าบาทเสวยในทุกมื้อ และหากใครอยากจะกินนอกเหนือจากนั้นก็ได้ไม่เกินตำหนักละหนึ่งอย่างต่อมื้อข้าละปวดหัวจริงๆต่อไป เจ้าจะต้องวิ่งวุ่นใครกันที่บังอาจไปพูดเรื่องที่ตำหนักต่างๆสั่งเครื่องสวยจนเกินตัว และเสวยไม่หมดฝ่าบาทรู้เข้าจึง ตั้งกฎขึ้นมาเสียใหม่ เพราะฝ่าบาทเป็นคนที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบยิ่งนัก”นี่ ถึงคราวซวยหรือว่าโอกาสนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอยากจะรับตำแหน่งเซฟ มาบัดนี้สมใจไหมเล่า ต่อไปจะต้องคอยบอกคอยสอนคนอื่นให้ทำตามที่ตัวเองทำมาตลอด จะว่างานเข้าก็ไม่ถูกฮ่องเต้คนนี้ตั้งใจทำอะไรกันแน่“เข้าใจแล้วแล้วมีอะไรที่หนักกว่านี้อีกไหม”“อีกไม่กี่วันจะถึง วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทไอี้เออ่ร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แห้งแล้ง ป้าตื้อเป่าลมหายใจออกจากปาก“จริงด้วยข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เจ้าคิดว่างานวันคล้ายวันพระราชสมภพ ทั้งขุนนางและองค์หญิงองค์ชายจนไปถึงฮ่องเต้ ท่านอ๋อง ของแคว้นต่างๆที่ตกเป็นเมืองขึ้นละที่สวามิภักดิ์กับแคว้นของเราต่างหลั่งไหลมาอวยพระพรเราจะต้องทำอาหารมากมายเพีย
ชะโงกมองกระทะที่นำมันเริ่มเดือด พอเสียงเดือดสงบลงจนเงียบงันนั่นเท่ากับ กระทะร้อนเต็มที่แล้วศรีไพรใช้ทัพตักส่วนผสมหย่อนลงไปในกระทะให้ลักษณะเป็นก้อนกลมๆ สวยงาม หลายก้อนแต่ไม่ให้วางติดกันจนเกินไป เสียงน้ำมันกำลังเดือดเพื่อดึงเอาน้ำในแป้งที่ผสมไว้ออกมา“ตาเจ้าแล้วอี้เอ่อร์”อี้เอ่อร์ที่จับตามองตามสิ่งที่ศรีไพรทำ จึงเริ่มคนและตักและหย่อนแป้งที่ผสมไว้ลงในกระทะบ้าง เสี่ยวลี่กับเสี่ยวหยาก็กำลังเฝ้ามองวิธีการทอดข้าวโพดศรีไพรหันไปใช้ทัพพีสะกิดข้าวโพดในกระทะลูกแรกให้ลอยขึ้นมาด้านบนเป็นการพลิกไปในตัวแป้งทั้งก้อนเริ่มเหลืองสวย เสี่ยวลี่กับเสี่ยวหยายิ้มใช้กระชอนช้อนเอาก้อนแป้งที่สุกเหลืองสวยมายังกระชอนตาห่างอีกอันที่สำหรับพักน้ำมันแล้วใช้กระชอนตาถี่อีกอันช้อนเอาเศษแป้งสีเหลืองขึ้นมาจนหมดเหลือแต่น้ำมันใสๆ“ก่อนจะเอาของใหม่ลงพวกเจ้าจะต้องช้อนเอากากหรือเศษของเแป้งออกให้หมด เพื่อเศษแป้งพวกนี้จะได้ไม่เกาะกับก้อนแป้งใหม่ที่เรานำลงไปทอดครั้งต่อไปแต่หากพวกเจ้าลืมเศษแป้งพวกนี้จะไหม้และเกาะของใหม่จนกลายเป็นสีดำคล้ำ นี่คือเคล็ดลับของการทอดที่ต้องใช้แป้ง”ทั้งสี่คนพยักหน้าเดินมาชะโงกก้อนข้าวโพดที่ทอดจนเหล
ศรีไพรเร่งอี้เอ่อร์ส่วนตัวเองเดินจ่ำไปไกลลุงซุนรีบมารับหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด เฟยฟางก้มหน้า ป้าตื้อยืนขนาบข้างเฟยฟางไว้กลัวว่านางจะประหม่าจนเผลอทำความแตกหรวนหนิงหลงกวาดตามองถาดเครื่องเสวยที่มีก้อนข้าวโพดสีเหลืองทอดทั้งน้ำจิ้มอาจาดและผักสดน่าลิ้มรสยิ่งนักอมยิ้มน้อยๆ“เครื่องเสวยมื้อเที่ยงอย่างนั้นหรือ กงกงมอบของกำนัล”เป่ยกงกง ยิ้ม“ลุงเต๋อไฉ่ รับของกำนัลในความชอบ”ซุนเต๋อไฉ่ทำหน้าระรื่น“เจ้าปรุงมันขึ้นเองกับมือของเจ้าหรือเฟยฟาง”แม้จะรู้อยู่แก่ใจทว่า ยังต้องการคำหลอกลวงของเฟยฟาง“เพคะนางปรุงเองโดยมีนางในห้องเครื่องสี่คนนี้เป็นผู้ช่วย”หรวนหนิงหลงยิ้มเดินวนรอบๆ ถาดเครื่องเสวย“ข้าเคยบังเอิญพบนางในห้องเครื่องคนหนึ่งที่นางตัวเล็กๆ ใบหน้าเหมือนจะแสดงความรู้สึกได้ดี และนางก็ช่างเจรจา ไม่ทราบว่า ในห้องเครื่องมีนางในที่มีอุปนิสัยแบบนี้ไหม”ป้าตื้อขมวดคิ้ว“ตามนางให้ข้าข้ามีเรื่องจะถามนาง”“เอ่อ เอ่อ ฝ่าบาทคงหมายถึงอี้เอ่อร์ หยุนเอ่อร์เจ้าตามอี้เอ่อร์มาที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าได้ยินว่านางไปจ่ายตลาด”ป้าตื้อรีบแก้ไขสถานการณ์เสี่ยวถาน เสี่ยวลี่ เจียวหยา และหยุนเอ่อร์ทำหน้างงงัน“ไม่ต้องแล้ว ข้าหิวแ