‘พี่อรไม่เข้าใจหรอก บอกมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยเท่านั้น ไม่ต้องมาบ่นให้มากความ ถ้าพี่ไม่ช่วย ฉันก็แค่ติดคุกเท่านั้นแหละ จะยากอะไร’
‘ทำไมแกพูดอย่างนั้นอิฐ ฉันเป็นพี่สาวแกนะ แกดูถูกน้ำใจพี่สาวคนนี้มากไปแล้ว ถ้าแกบอกพี่มาตรงๆ ว่าแกเอาเงินไปทำอะไร พี่อาจหาทางช่วยแกได้ แต่แกไม่บอกพี่ แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง’
‘พูดไปพี่อรก็ไม่เข้าใจฉันหรอก ฉันมันเป็นแค่น้อง ไม่ใช่ลูกพี่หนิ พี่จะมาช่วยเหลืออะไรฉันเต็มร้อย สุดท้ายพี่ก็ต้องเลือกอนาคตของยัยพุดอยู่ดี’
‘แกพูดอะไรของแกอิฐ ยัยพุดมาเกี่ยวอะไรด้วย หลานไม่เคยยุ่งอะไรกับแกเลยนะ’
‘ไม่ยุ่งได้ไง ก็เพราะพี่มียัยพุดไง พี่ถึงไม่สนใจฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ พี่ก็พูดแต่ว่าเก็บไว้ให้ลูก แล้วอย่างนี้พี่ยังจะมาบอกว่าถ้าฉันขาดเหลืออะไรก็ให้มาบอกพี่เหรอ เจอหน้าฉันทีไร พี่ก็บ่นว่าต้องจ่ายค่าเทอมยัยพุด ต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษ ค่าเรียนเต้น ค่าเรียนรำไทย ค่าเรียนดนตรี เรียนวาดภาพ เรียนว่ายน้ำ สารพัดที่มันร่ำร้องจะเรียน แล้วพี่ก็หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตปรนเปรอมันทุกอย่าง มันอยากไปเรียนซัมเมอร์ที่เมืองนอก พี่ก็หาเงินส่งมันไป มันอยากซื้อข้าวของเครื่องสำอาง พี่ก็หาให้มันทุกอย่าง อย่างนี้พี่ว่าไม่เกี่ยวกับมันได้ยังไง เพราะพี่มีมันนั่นแหละ พี่เลยไม่สนใจฉัน’
‘อิฐ... ทำไมแกคิดกับหลานแบบนั้น ยัยพุดมันเป็นลูกพี่ พี่ก็ต้องดูแลมันอย่างดีสิ เพราะมันเป็นลูก อะไรที่พี่ให้ลูกได้ พี่ก็ต้องให้ เพราะพี่ณัฐก็ตายไปแล้วนะ พี่เป็นแม่ก็ต้องชดเชยให้ลูกทุกอย่าง แล้วยัยพุดมันก็ไม่ใช่เด็กเหลวไหล นี่มันก็จะได้เกียรตินิยมด้วย อย่างนี้แกยังจะว่าหลานอีกเหรอ อย่ามาว่ายัยพุดมัน ยัยพุดไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย’
‘นี่แหละ ที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือจากพี่’
‘อิฐ แกอย่ามาโทษใคร และไม่ต้องโทษหลานด้วย แกทำอะไรไว้ แกย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง’
‘พี่ไม่ต้องมาพูดมาก จะช่วยหรือไม่ช่วยบอกมาเท่านั้น ถ้าไม่ช่วยฉันจะได้ไป เสียเวลา’
‘แล้วแกเอาเงินบริษัทมาเท่าไหร่’
‘5 ล้าน’
‘5 ล้าน!’
นั่นคือจำนวนตัวเลขที่แม่อุทานออกมาอย่างตกใจ ตามมาด้วยเสียงสบถอย่างไม่พอใจของน้าชาย ก่อนที่ประตูจะถูกกระชากให้เปิดออก สายตาน้าชายที่สบกับเธอนั้นมีแต่แววเกลียดชัง แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรนอกจากจะถลาเข้าไปประคองแม่ที่ทรุดร่างลงนั่งอยู่กับพื้น
จากวันนั้นครอบครัวของเธอก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย น้าอิฐไม่ยอมกลับไปจัดการกับเรื่องหนี้สินที่ก่อเอาไว้เพราะสาเหตุที่ยักยอกเงินบริษัทไปก็เพราะติดการพนัน แต่ทางบริษัทเห็นกับที่น้าอิฐทำงานมานาน จึงยื่นข้อเสนอให้น้าอิฐนำเงินไปคืนภายใน 1 เดือน แล้วจะไม่แจ้งดำเนินคดี ซึ่งน้าอิฐจะมีประวัติเพียงลาออกจากงานเองเท่านั้น แต่น้าอิฐกลับไม่ยอมเจรจาอะไรด้วยทั้งนั้น ได้แต่เมาหยำเปทุกวัน
ส่วนแม่ของเธอก็ทุกข์หนัก เพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินจำนวนมากมายนั้นมาจากที่ไหน จะไปหยิบยืมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะมีไปใช้หนี้เขา สุดท้ายแม่ที่รักน้องชายมาก และคิดว่ามีส่วนผิดที่ทำให้น้องชายเป็นแบบนี้ จึงเข้าไปเจรจากับทางบริษัท เพื่อจะขอรับผิดชอบเงินทั้งหมดเอง
แม่วิ่งเต้นทุกทางเพื่อให้ได้เงินมา แต่สภาวะของคนที่ร้อนเงิน ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะถูกเอาเปรียบได้ง่าย แม้จะเอาเต็นท์รถและบ้านไปจำนอง แต่นั่นก็ได้เงินมาแค่ 4 ล้านบาท ยังขาดอยู่อีก 1 ล้านบาทอยู่ดี ส่วนน้าอิฐนั้นก็ยังเมาอย่างคงเส้นคงวา
จนเธอทนเห็นแม่มีความทุกข์อยู่แบบนั้นไม่ได้ แม้ว่าแม่จะบอกไม่ให้เธอยุ่ง ให้เธอจัดการเรื่องเอกสารที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศให้สำเร็จ ส่วนเรื่องนี้แม่จะจัดการเอง แต่เธอก็ทำอย่างที่แม่บอกไม่ได้หรอก เพราะความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ น้าอิฐ ‘อิจฉา’ เธอ น้าอิฐคิดว่าเธอเกิดมาเพื่อแย่งความรักของแม่ไป
เดิมเธอรู้อยู่แล้วว่าน้าอิฐไม่ค่อยจะชอบเธอสักเท่าไร เพราะน้าอิฐมักจะปรามเธอเสมอ เวลาเธอขอแม่ทำกิจกรรมระหว่างเรียน แต่นั่นเธอคิดว่าน้าอิฐก็แค่กลัวว่าแม่จะเสียเงินเปล่าประโยชน์ไปกับเธอเยอะ เธอจึงตั้งใจเรียนทุกอย่างที่แม่อนุญาต และก็ทำได้ดีจนได้รางวัลมาประดับบ้านมากมาย แต่วันนี้เธอเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างนั้นเพราะน้าอิฐเกลียดเธอต่างหาก และที่เธอทำทุกอย่างในวันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อน้าอิฐ แต่เป็นเพื่อแม่ แม่ที่เสียสละให้เธอมาตลอด
เธอจึงออกหางานทำ พร้อมทั้งสอบถามจากบรรดาเพื่อนสาวที่มีงานทำกันเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นงานพริตตี้ หรือเป็นนางแบบบูธจัดแสดงสินค้า แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถทำเงินได้ 1 ล้านบาทภายใน 1 เดือนแน่ จนเธอคิดโทษตัวเองที่เอาแต่เรียน จนไม่สนใจที่จะทำงานอื่นเป็นอาชีพเสริม เพราะหากเธอทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย อย่างที่เพื่อนหลายคนทำ ป่านนี้เธอคงจะมีเงินเก็บหลายล้านบาทเหมือนเพื่อนสาวบางคนแล้วก็ได้ เธอพลาดเอง
‘ฉันน่าจะหางานทำระหว่างเรียนไปด้วยอ่ะชุ ป่านนี้ฉันคงมีเงินเก็บเยอะแยะอย่างยัยรุ้งยัยมิ้นท์บ้าง หรืออาจไม่เยอะแต่ฉันก็ไม่ต้องเร่งหาเงินให้วุ่นอย่างนี้’
‘มันไม่เหมือนนะพุด ถ้าแกไปทำงานแบบนั้น แกก็จะไม่ได้เรียนเต้น เรียนดนตรี เรียนสารพัดอย่างที่แกเรียน เพราะยัยพวกนั้นเขาก็ต้องทำงานกันอย่างเดียวนะ เวลาว่างก็คือเรียนกับพักผ่อน ต้นทุนมาไม่เหมือนกัน แกน่ะโชคดีแล้วที่ได้เรียนอย่างเดียวไม่ต้องรับชอบอะไร’
นั่นคือคำพูดของ ‘ชุติมนต์’ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวตั้งแต่ประถมจนถึงระดับชั้นปริญญาตรี ชุติมนต์เป็นสาวหมวย พ่อแม่เปิดร้านขายข้าวสารอยู่ในตลาดแถวบ้านของเธอ และชุติมนต์นี่แหละที่ช่วยเธอหางานทำ
‘หรือฉันจะไปทำงานที่ยัยรุ้งแนะนำดี’ ‘งานอะไร ทำไมฉันไม่รู้ ไม่เห็นยัยรุ้งบอกฉันว่าแนะนำงานให้แก’ ‘อ้าวก็งานรับจ้างเป็นเพื่อนไง ยัยรุ้งบอกว่างานนี้ที่เมืองนอกบูมมากเลยนะ ตอนนี้บ้านเราก็เลยเอามาทำบ้าง เห็นรุ้งว่าได้ค่าจ้างวันละห้าหมื่นเลยล่ะ และยังได้ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยงต่างหากด้วย ชุคิดสิ พุดทำแค่ยี่สิบวัน ก็ได้ล้านนึงแล้วนะ’ ‘แล้วยัยรุ้งบอกหรือเปล่าว่าคนที่เขามาจ้างนะเป็นใคร ใครที่ไหนเขาจะมาเสียเงินจ้างเพื่อน และถ้าไม่มีเพื่อนจนถึงขนาดที่ต้องมาจ้าง ไม่เพี้ยนก็โรคจิตแล้วล่ะ’ ‘ไม่ใช่แบบนั้น รับจ้างเป็นเพื่อน ก็เช่นมีนักธุรกิจมาจากเมืองนอก ต้องการให้เราไปเป็นเพื่อนเดินซื้อของ ไปเป็นเพื่อนกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แบบบางทีเขามาจากต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องการคนพื้นที่ให้พาไปไง คนรวยทั้งนั้นแหละชุ แค่เศษเงินเขา ไม่ได้เยอะอะไรหรอก’ นั่นคือข้อมูลที่เธอได้มาจากเพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน เพราะเพื่อนก็ทำงานรับจ้างเป็นเพื่อนนี้มาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน และก็ได้เงินดีจนมีเงินเก็บและส่งเสียทางบ้านได้ แต่สีหน้าของชุติมน
คฤหาสน์กว้างใหญ่นี้ไม่ใช่เพียงสง่างามน่าเกรงขาม ทว่าเธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ ทุกย่างก้าวที่เดินตามอาฉีจึงพยายามแล้วที่จะสลัดไล่ความประหม่าในหัวใจนี้ออกไป แต่อาการเสียวสันหลังวาบๆ นี่คืออะไรล่ะ ที่นี่มีอะไรที่น่ากลัวอย่างนั้นเหรอ ‘ฉันว่าแกต้องเจอเนื้อคู่ที่ฮ่องกงแน่ยัยพุด’ ‘ทำไม... ทำไมต้องฮ่องกง’ ‘อ้าว... ก็เวลาฝันว่างูรัดก็แปลว่าจะเจอเนื้อคู่น่ะสิ แต่นี่แกดันฝันว่ามังกรรัด มังกร ฮ่องกง เข้ากันจะตายไป มังกรตาสีเขียวด้วย จำไว้นะถ้าเจอใครตาสีเขียว นั่นแหละเนื้อคู่แก’ นั่นคือคำหยอกเย้าของชุติมนต์เมื่อเธอบอกเล่าความฝันนั้นให้ฟังก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ เพราะความฝันดันเกิดขึ้นเมื่อคืนน่ะสิ คืนก่อนวันเดินทางแต่กลับฝันสัปดน แค่เธอฝันว่าถูกมังกรรัด ชุติมนต์ยังล้อเลียนเธอแบบนี้ หากเธอพูดทั้งหมดว่าถูกมังกรทำ... ชุติมนต์จะไม่ยิ่งล้อมากกว่านี้เหรอ แต่สัมผัสวาบหวิวรอบกายและหนาวจนต้องลูบต้นแขนที่รับรู้ได้ในขณะนี้ อินถวากลับคิดต่าง เพราะหากดวงตาสีเขียวมาปรากฏตรงหน้าจริง นั่นเธอจะคิดว่
สัมผัสบางอย่างที่เคลียคลออยู่รอบตัวทำให้อินถวาพยายามจะเปิดเปลือกตาที่ง่วงงุนขึ้นมองดู เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งปกติที่จะเกิดขึ้น เมื่อฝ่ามืออุ่นจัดของใครบางคนกำลังลูบไล้เนื้อตัวของเธออยู่ทั้งๆ ที่เธอ ‘นอนคนเดียว’ แค่คิดถึงสิ่งนั้น ความง่วงงุนก็หายวับพร้อมดวงตาที่หนักอึ่งก็บางเบาราวติดปีกและดีดผึงขึ้นทันที ทว่าสิ่งที่เห็นนั้นมีเพียงความมืดมิด มืดจนไม่มองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง แต่สัมผัสนั้นยังคงอยู่ อินถวาสั่นไปทั้งร่าง ขนกายลุกตั้งไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า ไม่มีจุดใดเลยที่ขนจะไม่ลุก เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ไปทั่วทั้งเนื้อตัวเธอ ‘มัน’ หรือ ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ บางอย่าง ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าเธอตื่นแล้ว ‘กรี๊ดดดดด... ปล่อยฉันนะ! กรี๊ดดดดด...’ เสียงร้องที่ดังอยู่เพียงในลำคอ ยิ่งทำให้อินถวาสะท้านและสั่นจนหยุดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนหรือจะกรีดร้องดังเพียงใดแต่เสียงนั้นก็เพียงได้ยินอยู่ในลำคอของเธอเท่านั้น เธอพยายามแล้วที่จะดิ้นรน พยายามที่จะกรีดร้องให้ดังที่สุด แต่เจ้าของฝ่ามือที่แตะ
‘คฤหาสน์ลี’ นั่นคือชื่อของคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงกลางเกาะฮ่องกง พื้นที่ที่คนรวยสุดขีดของเกาะฮ่องกงเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่อาศัยได้ เพราะราคาที่ดินของทำเลทองคำนี้สูงลิ่วถึงตารางฟุตละ 7 แสนบาทไทย ดังนั้นใต้ฝ่าเท้าที่เธอกำลังจะเหยียบย่างอยู่นี้ ทุกย่างก้าวคือมูลค่ามากกว่าครึ่งล้านบาท ร่างงามระหงในชุดสูทเข้ารูปสีชมพูพาสเทลของ ‘อินถวา จิตราภานุพงษ์’ ค่อยๆ จดฝ่าเท้าก้าวลงจากรถอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวเหลือเกินว่าเธออาจทำให้พื้นถนนด้านหน้าคฤหาสน์นี้ยุบตัวลง เพราะหากมีอะไรเสียหายสักน้อยนิด เธอก็คงจะไม่มีปัญญาไปชดใช้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าสำรวจไปทั่วบริเวณ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเดินทางออกนอกประเทศไทย เป็นครั้งแรกที่มาเยือนฮ่องกง และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันกับการทำงาน เพราะเธอเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และยังไม่ทันรับพระราชทานปริญญาบัตรเลยด้วยซ้ำ แต่ภาวะจำเป็นทำให้ต้องเลือกมาทำงานต่างแดน ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากมาเลย ใบหน้างดงามมองสำรวจคฤหาสน์สไตล์โมเดิลที่คล้ายเป็นประติมากรรมที่ประดับอยู่บนหน้าผามากกว่าที่จะเข