‘พี่อรไม่เข้าใจหรอก บอกมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยเท่านั้น ไม่ต้องมาบ่นให้มากความ ถ้าพี่ไม่ช่วย ฉันก็แค่ติดคุกเท่านั้นแหละ จะยากอะไร’
‘ทำไมแกพูดอย่างนั้นอิฐ ฉันเป็นพี่สาวแกนะ แกดูถูกน้ำใจพี่สาวคนนี้มากไปแล้ว ถ้าแกบอกพี่มาตรงๆ ว่าแกเอาเงินไปทำอะไร พี่อาจหาทางช่วยแกได้ แต่แกไม่บอกพี่ แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง’
‘พูดไปพี่อรก็ไม่เข้าใจฉันหรอก ฉันมันเป็นแค่น้อง ไม่ใช่ลูกพี่หนิ พี่จะมาช่วยเหลืออะไรฉันเต็มร้อย สุดท้ายพี่ก็ต้องเลือกอนาคตของยัยพุดอยู่ดี’
‘แกพูดอะไรของแกอิฐ ยัยพุดมาเกี่ยวอะไรด้วย หลานไม่เคยยุ่งอะไรกับแกเลยนะ’
‘ไม่ยุ่งได้ไง ก็เพราะพี่มียัยพุดไง พี่ถึงไม่สนใจฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ พี่ก็พูดแต่ว่าเก็บไว้ให้ลูก แล้วอย่างนี้พี่ยังจะมาบอกว่าถ้าฉันขาดเหลืออะไรก็ให้มาบอกพี่เหรอ เจอหน้าฉันทีไร พี่ก็บ่นว่าต้องจ่ายค่าเทอมยัยพุด ต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษ ค่าเรียนเต้น ค่าเรียนรำไทย ค่าเรียนดนตรี เรียนวาดภาพ เรียนว่ายน้ำ สารพัดที่มันร่ำร้องจะเรียน แล้วพี่ก็หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตปรนเปรอมันทุกอย่าง มันอยากไปเรียนซัมเมอร์ที่เมืองนอก พี่ก็หาเงินส่งมันไป มันอยากซื้อข้าวของเครื่องสำอาง พี่ก็หาให้มันทุกอย่าง อย่างนี้พี่ว่าไม่เกี่ยวกับมันได้ยังไง เพราะพี่มีมันนั่นแหละ พี่เลยไม่สนใจฉัน’
‘อิฐ... ทำไมแกคิดกับหลานแบบนั้น ยัยพุดมันเป็นลูกพี่ พี่ก็ต้องดูแลมันอย่างดีสิ เพราะมันเป็นลูก อะไรที่พี่ให้ลูกได้ พี่ก็ต้องให้ เพราะพี่ณัฐก็ตายไปแล้วนะ พี่เป็นแม่ก็ต้องชดเชยให้ลูกทุกอย่าง แล้วยัยพุดมันก็ไม่ใช่เด็กเหลวไหล นี่มันก็จะได้เกียรตินิยมด้วย อย่างนี้แกยังจะว่าหลานอีกเหรอ อย่ามาว่ายัยพุดมัน ยัยพุดไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย’
‘นี่แหละ ที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือจากพี่’
‘อิฐ แกอย่ามาโทษใคร และไม่ต้องโทษหลานด้วย แกทำอะไรไว้ แกย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง’
‘พี่ไม่ต้องมาพูดมาก จะช่วยหรือไม่ช่วยบอกมาเท่านั้น ถ้าไม่ช่วยฉันจะได้ไป เสียเวลา’
‘แล้วแกเอาเงินบริษัทมาเท่าไหร่’
‘5 ล้าน’
‘5 ล้าน!’
นั่นคือจำนวนตัวเลขที่แม่อุทานออกมาอย่างตกใจ ตามมาด้วยเสียงสบถอย่างไม่พอใจของน้าชาย ก่อนที่ประตูจะถูกกระชากให้เปิดออก สายตาน้าชายที่สบกับเธอนั้นมีแต่แววเกลียดชัง แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรนอกจากจะถลาเข้าไปประคองแม่ที่ทรุดร่างลงนั่งอยู่กับพื้น
จากวันนั้นครอบครัวของเธอก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย น้าอิฐไม่ยอมกลับไปจัดการกับเรื่องหนี้สินที่ก่อเอาไว้เพราะสาเหตุที่ยักยอกเงินบริษัทไปก็เพราะติดการพนัน แต่ทางบริษัทเห็นกับที่น้าอิฐทำงานมานาน จึงยื่นข้อเสนอให้น้าอิฐนำเงินไปคืนภายใน 1 เดือน แล้วจะไม่แจ้งดำเนินคดี ซึ่งน้าอิฐจะมีประวัติเพียงลาออกจากงานเองเท่านั้น แต่น้าอิฐกลับไม่ยอมเจรจาอะไรด้วยทั้งนั้น ได้แต่เมาหยำเปทุกวัน
ส่วนแม่ของเธอก็ทุกข์หนัก เพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินจำนวนมากมายนั้นมาจากที่ไหน จะไปหยิบยืมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะมีไปใช้หนี้เขา สุดท้ายแม่ที่รักน้องชายมาก และคิดว่ามีส่วนผิดที่ทำให้น้องชายเป็นแบบนี้ จึงเข้าไปเจรจากับทางบริษัท เพื่อจะขอรับผิดชอบเงินทั้งหมดเอง
แม่วิ่งเต้นทุกทางเพื่อให้ได้เงินมา แต่สภาวะของคนที่ร้อนเงิน ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะถูกเอาเปรียบได้ง่าย แม้จะเอาเต็นท์รถและบ้านไปจำนอง แต่นั่นก็ได้เงินมาแค่ 4 ล้านบาท ยังขาดอยู่อีก 1 ล้านบาทอยู่ดี ส่วนน้าอิฐนั้นก็ยังเมาอย่างคงเส้นคงวา
จนเธอทนเห็นแม่มีความทุกข์อยู่แบบนั้นไม่ได้ แม้ว่าแม่จะบอกไม่ให้เธอยุ่ง ให้เธอจัดการเรื่องเอกสารที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศให้สำเร็จ ส่วนเรื่องนี้แม่จะจัดการเอง แต่เธอก็ทำอย่างที่แม่บอกไม่ได้หรอก เพราะความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ น้าอิฐ ‘อิจฉา’ เธอ น้าอิฐคิดว่าเธอเกิดมาเพื่อแย่งความรักของแม่ไป
เดิมเธอรู้อยู่แล้วว่าน้าอิฐไม่ค่อยจะชอบเธอสักเท่าไร เพราะน้าอิฐมักจะปรามเธอเสมอ เวลาเธอขอแม่ทำกิจกรรมระหว่างเรียน แต่นั่นเธอคิดว่าน้าอิฐก็แค่กลัวว่าแม่จะเสียเงินเปล่าประโยชน์ไปกับเธอเยอะ เธอจึงตั้งใจเรียนทุกอย่างที่แม่อนุญาต และก็ทำได้ดีจนได้รางวัลมาประดับบ้านมากมาย แต่วันนี้เธอเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างนั้นเพราะน้าอิฐเกลียดเธอต่างหาก และที่เธอทำทุกอย่างในวันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อน้าอิฐ แต่เป็นเพื่อแม่ แม่ที่เสียสละให้เธอมาตลอด
เธอจึงออกหางานทำ พร้อมทั้งสอบถามจากบรรดาเพื่อนสาวที่มีงานทำกันเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นงานพริตตี้ หรือเป็นนางแบบบูธจัดแสดงสินค้า แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถทำเงินได้ 1 ล้านบาทภายใน 1 เดือนแน่ จนเธอคิดโทษตัวเองที่เอาแต่เรียน จนไม่สนใจที่จะทำงานอื่นเป็นอาชีพเสริม เพราะหากเธอทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย อย่างที่เพื่อนหลายคนทำ ป่านนี้เธอคงจะมีเงินเก็บหลายล้านบาทเหมือนเพื่อนสาวบางคนแล้วก็ได้ เธอพลาดเอง
‘ฉันน่าจะหางานทำระหว่างเรียนไปด้วยอ่ะชุ ป่านนี้ฉันคงมีเงินเก็บเยอะแยะอย่างยัยรุ้งยัยมิ้นท์บ้าง หรืออาจไม่เยอะแต่ฉันก็ไม่ต้องเร่งหาเงินให้วุ่นอย่างนี้’
‘มันไม่เหมือนนะพุด ถ้าแกไปทำงานแบบนั้น แกก็จะไม่ได้เรียนเต้น เรียนดนตรี เรียนสารพัดอย่างที่แกเรียน เพราะยัยพวกนั้นเขาก็ต้องทำงานกันอย่างเดียวนะ เวลาว่างก็คือเรียนกับพักผ่อน ต้นทุนมาไม่เหมือนกัน แกน่ะโชคดีแล้วที่ได้เรียนอย่างเดียวไม่ต้องรับชอบอะไร’
นั่นคือคำพูดของ ‘ชุติมนต์’ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวตั้งแต่ประถมจนถึงระดับชั้นปริญญาตรี ชุติมนต์เป็นสาวหมวย พ่อแม่เปิดร้านขายข้าวสารอยู่ในตลาดแถวบ้านของเธอ และชุติมนต์นี่แหละที่ช่วยเธอหางานทำ
‘หรือฉันจะไปทำงานที่ยัยรุ้งแนะนำดี’ ‘งานอะไร ทำไมฉันไม่รู้ ไม่เห็นยัยรุ้งบอกฉันว่าแนะนำงานให้แก’ ‘อ้าวก็งานรับจ้างเป็นเพื่อนไง ยัยรุ้งบอกว่างานนี้ที่เมืองนอกบูมมากเลยนะ ตอนนี้บ้านเราก็เลยเอามาทำบ้าง เห็นรุ้งว่าได้ค่าจ้างวันละห้าหมื่นเลยล่ะ และยังได้ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยงต่างหากด้วย ชุคิดสิ พุดทำแค่ยี่สิบวัน ก็ได้ล้านนึงแล้วนะ’ ‘แล้วยัยรุ้งบอกหรือเปล่าว่าคนที่เขามาจ้างนะเป็นใคร ใครที่ไหนเขาจะมาเสียเงินจ้างเพื่อน และถ้าไม่มีเพื่อนจนถึงขนาดที่ต้องมาจ้าง ไม่เพี้ยนก็โรคจิตแล้วล่ะ’ ‘ไม่ใช่แบบนั้น รับจ้างเป็นเพื่อน ก็เช่นมีนักธุรกิจมาจากเมืองนอก ต้องการให้เราไปเป็นเพื่อนเดินซื้อของ ไปเป็นเพื่อนกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แบบบางทีเขามาจากต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องการคนพื้นที่ให้พาไปไง คนรวยทั้งนั้นแหละชุ แค่เศษเงินเขา ไม่ได้เยอะอะไรหรอก’ นั่นคือข้อมูลที่เธอได้มาจากเพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน เพราะเพื่อนก็ทำงานรับจ้างเป็นเพื่อนนี้มาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน และก็ได้เงินดีจนมีเงินเก็บและส่งเสียทางบ้านได้ แต่สีหน้าของชุติมน
คฤหาสน์กว้างใหญ่นี้ไม่ใช่เพียงสง่างามน่าเกรงขาม ทว่าเธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ ทุกย่างก้าวที่เดินตามอาฉีจึงพยายามแล้วที่จะสลัดไล่ความประหม่าในหัวใจนี้ออกไป แต่อาการเสียวสันหลังวาบๆ นี่คืออะไรล่ะ ที่นี่มีอะไรที่น่ากลัวอย่างนั้นเหรอ ‘ฉันว่าแกต้องเจอเนื้อคู่ที่ฮ่องกงแน่ยัยพุด’ ‘ทำไม... ทำไมต้องฮ่องกง’ ‘อ้าว... ก็เวลาฝันว่างูรัดก็แปลว่าจะเจอเนื้อคู่น่ะสิ แต่นี่แกดันฝันว่ามังกรรัด มังกร ฮ่องกง เข้ากันจะตายไป มังกรตาสีเขียวด้วย จำไว้นะถ้าเจอใครตาสีเขียว นั่นแหละเนื้อคู่แก’ นั่นคือคำหยอกเย้าของชุติมนต์เมื่อเธอบอกเล่าความฝันนั้นให้ฟังก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ เพราะความฝันดันเกิดขึ้นเมื่อคืนน่ะสิ คืนก่อนวันเดินทางแต่กลับฝันสัปดน แค่เธอฝันว่าถูกมังกรรัด ชุติมนต์ยังล้อเลียนเธอแบบนี้ หากเธอพูดทั้งหมดว่าถูกมังกรทำ... ชุติมนต์จะไม่ยิ่งล้อมากกว่านี้เหรอ แต่สัมผัสวาบหวิวรอบกายและหนาวจนต้องลูบต้นแขนที่รับรู้ได้ในขณะนี้ อินถวากลับคิดต่าง เพราะหากดวงตาสีเขียวมาปรากฏตรงหน้าจริง นั่นเธอจะคิดว่
ดวงตาคมวาวเจ้าชู้กวาดไล่ไปตามร่างกายของเธอ “เพอร์เฟกส์” พึมพำพร้อมไล้ปลายลิ้นที่ริมฝีปาก บอกไม่ถูกว่าเปรี้ยวปาก อยากของหวาน หรือปรารถนาของคาวกันแน่ เพราะเริ่มตั้งแต่ใบหน้าของเธอ ไม่ว่าจะเป็น ปาก คอ คิ้ว คาง ดวงตา ไล่ลงมาถึงอกอวบอิ่มที่แทบจะดันทะลุตัวเสื้อออกมา เขาไม่รู้ว่าเสื้อตัวเล็กไป หรือเธอจงใจอยากสวมใส่แบบนี้ แต่รวมๆ แล้วก็ดูดีจนกลายเป็นจุดศูนย์กลางของโลก หรือจะเป็นเอวคอดรับกับสะโพกผาย ที่ยามเธอก้าวเดินนั้นดูพลิ้วราวกับเธอกำลังเต้นระบำอยู่ บวกกับส่วนสูงที่สมดุลกับสัดส่วน รูปร่างแสนจะเพอร์เฟกต์นี้ ทำให้ไรเฟิลต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นในสาวเอเชียคนไหนมาก่อนเลย แม้แต่นางแบบหรือนางงาม นั่นก็ล้วนแต่ผ่านมีดหมอกันมาแล้วทั้งนั้น แต่หากว่าเขาดูผิดล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ความเชี่ยวชาญทางอาชีพของเขาคงได้จบเห่แน่ เพราะฉายาของเขาน่ะคือ ‘ดวงตาสแกนศัลยกรรม’ แค่มองปลาบ เขาก็จะรู้ได้ในทันทีว่าเป็นของแท้แม้ให้มา หรือเป็นของสวยๆ งามๆ ที่นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบันดาลให้ “ฉันมั่นใจว่าเธอของแท้ ถ้าผิด... ฉันจะลาออก” พูดพร้อมระบายรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะ ปล่อย!” “หึหึ... ปล่อยข้างในหรือปล่อยข้างนอกดีล่ะ อูย... ของจริงนะนี่” “ไอ้บ้า! ไอ้คนผีทะเล ปล่อยฉันนะ! ปล่อย!” อินถวากรีดร้องขนหัวขนตัวลุกพรึบไปทั้งร่าง เพราะฝ่ามือใหญ่นั้นยังกอบกุมเต้าอวบของเธอไม่ปล่อย แรงบีบเคล้น คำพูดเย้ายั่ว และท่าทางก้มดมผิวแก้มของเธอ ไม่ใช่ผีแน่ แต่เป็นคนที่ชีกอที่สุด คนชีกอที่บังอาจมาแตะต้องของสงวนของเธอตั้งแต่แรกพบ “ปล่อยทำไมล่ะ ที่เธอมองฉันเมื่อกี้ รู้นะ... หมายความว่ายังไง เราไปปล่อยกันเลยดีกว่า ฉันจะได้ช่วยสำรวจดูไงว่าเธอมีจุดไหนที่ต้องทำเพิ่มหรือทำลดบ้าง แต่... เอิ่ม... ที่ฉันเห็น” ดวงตาคมเข้มกวาดไล้ไปทั่วไปหน้าของอินถวาก่อนจะไล่ลงมาตามลำคอระหงและลงไปหยุดอยู่ที่เนินอก พร้อมกับออกแรงบีบคลึงเคล้น ก่อนจะพูดต่อ “และที่ฉันกำลังจับอยู่นี่ไม่ต้องทำเพิ่มหรอกนะ แต่ที่ไม่เห็นก็ต้องพิสูจน์” อินถวากรีดร้องอย่างหยุดไม่ได้เมื่อฝ่ามือนั้นร่ายเวทมนตร์เข้าใส่ เพราะเธอไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร นี่คือความจริงที่ต้อนรับเธอตั้งแต่แรกก้าวเข้าสู่คฤหาสน์ลี หรือว่าทั้ง
นั่นคือคำตอบเจือเสียงหัวเราะของคุณเหมยอิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่อินถวาต้องการเลย ถ้าไม่มีแล้วทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนถูกแอบมอง ยิ่งได้รับคำสนับสนุนจากเขาคนนั้น เธอก็ยิ่งหวาดหวั่น “แต่ผีทะเล เอ่อ... แต่ผู้ชายคนนั้นบอกว่ามีผีจริงๆ นะคะ” อินถวายังคงแย้งเสียงค่อย ไม่กล้าจะพูดเต็มเสียง เพราะกลัวว่าคุณเหมยอิงจะหาว่าเธอเพ้อเจ้อ แต่ผู้ชายคนนั้นก็พูดให้เธอกลัวจริงๆ คนไม่รู้จักกันทำไมต้องมาหลอกผีกันด้วย ถ้าผีไม่มีอยู่จริง “หนูกลัวผีเหรอจ๊ะ แหม... ใครๆ เขาก็ว่าผีไทยน่ะน่ากลัวที่สุดในโลก นี่มาอยู่ฮ่องกง กลัวอะไรกับผีฮ่องกง ที่ฮ่องกงเนี่ยค่าครองชีพแพง ฉันว่าตายเป็นผีแล้วก็ต้องจ่ายนะ ของฟรีๆ ที่ฮ่องกงคงไม่มีหรอก ว่าไงอาซู อาหนิง เห็นด้วยกับฉันมั้ย” เหมยอิงหันไปถามความคิดเห็นจาก 2 สาวใช้ที่ชื่อ อาซู กับ อาหนิง และทั้งสองสาวก็ประสานคำตอบว่า “เห็นด้วยค่ะคุณเหมยอิง” นั่นยิ่งทำให้อินถวาไม่กล้าที่จะแย้งอะไรอีก จะยังไงเธอก็มาถึงที่นี่แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำให้สำเร็จก็คือ ทำงานที่ได้รับการว่าจ้างมา “แล้วสรุปว่าไงล่ะพุดซ้อน หนูกลัวผีเหรอจ๊ะ”
“ผีทะเล... เอ่อ... ผู้ชายคนนั้น ทำไมเหรอคะ” “สรุปว่าหนูรู้จักคุณชายแล้วใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้ไม่ต้องพาไปแนะนำอีก” “รู้จักหน้าค่ะ แต่หนูไม่รู้จักชื่อคุณชายคนนั้น” อินถวายิ่งงงหนักเมื่อคุณเหมยอิงปรายตามองอาฉีอย่างคาดโทษก่อนจะหันมาหาเธอ พร้อมกับสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ แต่เป็นความเข้าใจที่ทำให้ขนหัวเธอลุกตั้งเสียยิ่งกว่าตอนที่คิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผีซะอีก เพราะเขาเป็นใครบางคนที่เธอแตะต้องไม่ได้ “นั่นแหละจ้ะ ‘คุณชายไรเฟิล ลี’ ทายาทคนเดียวของตระกูลลี และก็เป็นคนเดียวกันกับผีทะเลที่หนูบอกนั่นแหละ” อินถวาส่ายหน้าดิก ‘ไม่นะ ไม่น่าจะเป็นไปได้’ เธอคิดว่าที่อาฉีเรียกเขาว่า ‘คุณชาย’ ก็คือการให้เกียรติเหมือนอย่างที่อาฉีเรียกเธอว่า ‘คุณ’ ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นใครที่สำคัญของคฤหาสน์นี้แน่ และผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนยุโรปไม่ใช่เอเชียอย่างที่เธอเป็น อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้แน่ว่าเขาจะเป็น ‘คุณชายลี’ นายจ้างของเธอ แต่สายตาเกรงๆ พร้อมใบหน้าที่พยักน้อยๆ ของอาฉีที่ส่งมาก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้ “ฉันว่าที่หนูควรจะกลัวมากกว่าผีตัวอื่น ก็น
“กรี๊ดดดดด... อย่ามาหลอกอย่ามาหลอนกันเลยค่ะ หนูกลัวแล้ว หนูไม่ได้มาลบหลู่ดูหมิ่นอะไรนะคะ หนูก็แค่มาทำงาน หนูจะสวดมนต์แผ่เมตตาไปให้นะคะ หนูกลัวแล้ว ฮือออออ... หนูกลัวแล้ว...” อินถวายกมือไหว้ปะหงกๆ เพราะคิดว่าเธออาจจะถูกผีหักคอแน่วันนี้ แต่ผีที่เงียบไปทำให้อินถวาต้องฝืนแหงนหน้าลืมตามองไปที่หน้าต่าง และก็พบว่าเงาดำนั้น ‘ไม่มี’ หรือว่าเงาดำนั้นหายวับไปแค่เธอคว้าเอาพระเครื่องมากำไว้ หรือว่าจริงๆ แล้วนั้น เงาดำไม่มีตั้งแต่แรก แต่เป็นตัวเธอที่หลอนไปเอง “หรือว่าเราคิดไปเอง ฮือ... กลัวอ่ะ แม่จ๋าพุดกลัว” ดวงตาหวาดหวั่นมองซ้ายมองขวารอบตัวเองอยากให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่กับเธอในห้องนอนนี้จริง ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ หวังเพียงว่าหากปิดผ้าม่านลง เธอก็จะไม่ต้องเห็นเนินดินให้จินตนาการหวาดหวั่นนั้นบังเกิดอีก แต่กว่าจะรูดม่านให้ปิดได้ อินถวาก็ต้องเผชิญกับอาการสั่นแล้วสั่นอีกจนต้องสวดมนต์ไปด้วยรูดปิดม่านไปด้วย และเมื่อปิดได้ ร่างแบบบางก็ถลาขึ้นไปนั่งสั่นอยู่บนเตียงทันที เสียงกรีดร้องพร้อมคำพร่ำพูดอย่างหวาดกลัวเต็มที่ทำให้เจ้าของเงาผลุบ
ฝ่ามือตบเบาๆ ที่ข้างแก้มจนอินถวาคิดว่าสามารถสะกดโรคไว้ได้แล้ว ดวงตาสวยหวานสุกสกาวดุจดวงดาวบนฟากฟ้าจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มองตรงไปที่เงาสะท้อนของตนเองอย่างมุ่งมั่น เธอต้องจัดการกับตัวเองได้ เพราะเธอมาเพื่อทำงาน รีบทำงานตามหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จ จะได้รีบกลับบ้านไปหาแม่ และหากว่าเธอมีเงินเก็บก็อาจจะส่งไปให้แม่บินมาเยี่ยมเธอที่นี่ก็ได้ แต่ก็คงอีกนาน เพราะเธอเบิกเงินล่วงหน้ามาแล้ว “ฉันจะต้องทำได้ ฉันชอบเฮฮาแต่ไม่บ้าผู้ชาย อิอิ...” พูดกับตัวเองพร้อมทำท่าทางยักแย่ยักยันเหมือนจะเต้นแต่ชุดก็ไม่เข้ากับท่า ก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางฝ่ามือบอบบางก็จัดแต่งทรงผมที่ถักเปียรอบศีรษะให้เข้าที่อีกครั้ง จับลูกผมที่ตกเรี่ยร่ายข้างแก้มให้แซมเข้าไปในแนวเปีย ตรวจดูใบหน้าให้สะอาดสะอ้าน พร้อมหันซ้ายหันขวาสำรวจชุดที่สวมใส่ว่ามีตรงส่วนใดยับยู่ไม่เรียบร้อยหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงอก ช่วงเอว หรือช่วงสะโพก เธอควรต้องเรียบร้อยและดูดี และเธอก็เห็นบางอย่างที่ไม่ควรจะมี นั่นคือเศษด้ายที่หลุดลุ่ยอยู่ตรงช่วงอกในส่วนของดอกไม้สีชมพูที่ปักเอาไว้พอดี “อ้าว... มีเศษด้ายอีก
“ได้สิครับ ผมสัญญาจะทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นจากส่งเมียจ๋าขึ้นสวรรค์ก่อน” “อ่ะ! ว้าย! ไรเฟิล...” อินถวาหมดหนทางจนต้องอุทานเพราะสิ่งที่เธอควรทำก็คือปิดริมฝีปากของตัวเองที่จะกรีดร้องจากความเสียวซ่านนั้นออกมา เพราะไรเฟิลวาดลวดลายผ่านปลายลิ้น ตั้งแต่ทั่วพื้นที่ของอกอวบจนดูดดุนเบาๆ ที่ยอดอก ก่อนจะลากริมฝีปากและปลายลิ้นมาตามร่องอกมาคลอเคลียอยู่ที่หน้าท้องที่ยื่นนูน จนคนที่อยู่ด้านในประท้วงตอดตุบๆ “ลูกจ๋า... พ่อจะเข้าไปเยี่ยม” “ไรเฟิล... บ้าจริง...” “บ้าที่ไหนกันครับ ผมจะไปเยี่ยมลูก ลูกจ๋า... รอพ่อนะครับ” “อื้อ... บ้า...” ไรเฟิลหัวเราะพาริมฝีปากไปสู่จุดหมายที่อินถวารอคอย ก่อนจะชะงักเพราะดอกไม้งามสีชมพูอ่อนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าดูอูมใหญ่กว่าเดิม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เพราะรูปร่างที่เต็มไม้เต็มมือขึ้นกว่าเดิมบวกกับอวัยวะที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับชีวิตน้อยๆ ก็ยิ่งทำให้เรือนร่างของคุณแม่มือใหม่นี้ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ รวมทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เจืออยู่ก็ทำให้ไรเฟิลอดใจไว้ไม่ไหว จมูกโด่งจึงจดลงดอมดมควา
ไรเฟิลประคองร่างอวบอิ่มของอินถวามานั่งที่โต๊ะยาวด้านข้าง เขาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เธอรับรู้ เริ่มตั้งแต่ค่ำคืนแห่งการดินเนอร์นั้น นั่นคือแผนการของพ่อแม่ เพื่อให้ท่านยอมรับในตัวของอินถวา และยอมรับว่าความรักของเขาคือความจริง ไม่ใช่เพียงหลงเสน่หาชั่วครั้งชั่วคราว เริ่มจากอินถวารักเงินหรือว่ารักตัวเขากันแน่ ซึ่งเธอก็พิสูจน์แล้วว่าเงินจำนวน 50 ล้านที่พ่อเขาเขียนเช็คให้เธอนั้น อินถวาไม่แม้แต่จะเปิดดู ด่านแรกเธอผ่านไปได้ แต่ด่านที่ 2 ที่ใช้ระยะเวลาเป็นตัวชี้วัด ใน 3 เดือนที่ต้องจากกันอย่างเข้าใจผิด อินถวาจะยังซื่อสัตย์กับเขาหรือไม่ ทั้งๆ ที่เธอก็เห็นว่าเขานั้นทรยศเธอไปแล้ว และอินถวาก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย จากข่าวที่ได้รับจากเหมยอิงและมาร์กอส นั่นคืออินถวาไม่มีใครเลย เธอตั้งหน้าตั้งตาสร้างธุรกิจขนมไทยร่วมสมัยและใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับครอบครัว ส่วนตัวเขาเองก็ต้องอดทนกับการไม่ได้เห็นหน้าเธอ เขาต้องไปทำงานทุกวัน ต้องอยู่ในวงล้อมของผู้หญิงที่สวยงามมากมาย ทั้งซินเทียก็มาคลอเคลียกับเขาไม่ห่าง ใน 3 เดือน หากเขายังยึดมั่นอยู่กับอินถวา พ่อกับแม่ถึงจะ
ทว่าดวงตาสวยหวานของอินถวากลับหลับพริ้มแต่ก็ยังเห็นว่ามีหยาดน้ำเอ่อคลออยู่ ระยะเวลา 3 เดือนที่จากกัน เขารู้ว่าเธอก็ทุกข์ ส่วนเขานั้นก็ทุกข์อย่างแสนสาหัสเพราะนี่คือ บทพิสูจน์ที่จะทำให้พ่อแม่ยอมรับเธอ “พุดซ้อนครับ ได้โปรดลืมตาขึ้นมองผม ผมอยากเห็นดวงตาของคุณ อยากเห็นผมอยู่ในนั้น อยู่ในสายตาของคุณอีก พุดซ้อนครับ ได้โปรดเถอะ” อินถวากลั้นสะอื้น แค่ได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือปนเว้าวอนอย่างนั้น เธอก็แทบจะซุกซบใบหน้าลงกับอกของเขา เพราะเธอเองก็คิดถึงเขาเหลือเกิน เวลา 3 เดือนที่ผ่านไปทำให้เธอมองเห็นโลกในต่างมุมมากขึ้น อารมณ์ชั่ววูบของเธอในวันนั้นทำให้ผลุนผลันจากมา แต่เมื่อคิดคำนวณทุกเหตุการณ์ก็จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นช่างประจวบเหมาะ นั่นเพราะพ่อและแม่ของเขาต้องการให้เกิดอยู่แล้ว และเป็นเธอเองที่ติดกับดักที่ท่านสร้างขึ้น เพราะเธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไรเฟิลที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงของซินเทียนั้น คนทั้งคู่เมคเลิฟกันจนเหนื่อยอ่อน หรือว่านั่นคือไรเฟิลถูกทำให้หลับ เพราะกับเธอนั้น เขาก็ไม่เคยเหนื่อยจนสลบถ้ายังไม่ถึงเช้า และหากเรื่องราวเป็นไปอย่างที่เธอคาดเดา
“ค่ะแม่ พุดก็ว่าจะรับอีกแค่สองคนเท่านั้นค่ะ ไม่อย่างนั้นพุดจะดูแลไม่ทั่วถึง ถ้าขนมไม่ได้คุณภาพจะกลายเป็นผลเสียแทน แล้วน้าอิฐล่ะคะ เช้านี้พุดยังไม่เห็นเลย ไปธนาคารเหรอคะแม่” เธอถามหาน้าชาย เพราะปกติจะเห็นอยู่ในออฟฟิศฝั่งตรงกันข้าม แต่เช้านี้เธอยังไม่เห็นเลย “ไปสนามบินน่ะ” “ไปทำไมคะ มีอะไรเหรอ” “ก็เรื่องที่น้าอิฐเขาจะนำเข้าอะไหล่รถนั่นแหละ วันนี้ทางนั้นเขาบินมา น้าอิฐก็เลยไปรับ” น้ำเสียงเศร้าๆ ของแม่ทำให้อินถวาโอบกอดรอบเอวเจ้าเนื้อของแม่เอาไว้ เธอรู้ว่าแม่รักธุรกิจเต็นท์รถมือสองนี้มาก เพราะนี่คือสิ่งที่สร้างรายได้จนแม่สามารถส่งเสียเธอเรียนจนจบ และก็เป็นเหตุผลหลักที่เธอไปทำงานที่ฮ่องกง เพราะไม่อยากให้แม่ต้องสูญเสียสิ่งนี้ไป แต่วันเวลาก็ไม่แน่นอน ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ รถยนต์มือสองขายยากและก็ยังหาซื้อมาใส่เต็นท์ได้ยากเช่นกัน น้าอิฐจึงปรึกษากับแม่ว่าควรลดซื้อรถยนต์แต่เปลี่ยนมานำเข้าอะไหล่แทน และหากมีคู่ค้าอยู่ที่จีนหรือที่ญี่ปุ่นก็จะดีมาก เพราะการสั่งนำเข้าหรือการหาอะไหล่ที่ยากๆ ก็จะทำได้อย่างเร่งด่วน และตอนนี้แม่ก็วางมื
“ถ้าถือว่าผมเป็นเพื่อน ให้เพื่อนคนนี้ไปส่งให้ถึงเมืองไทยนะครับ เพื่อนจะได้สบายใจ ว่าได้ส่งเพื่อนถึงสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว ไม่ลำบากหรอกครับ” อินถวาพยักหน้ารับดวงตารื้นไปด้วยหยาดน้ำ ก่อนจะขอตัวไปซื้อพลาสเตอร์แปะแก้เมาเครื่องบินก่อน โดยมีมาร์กอสมองตามร่างงามระหงที่เดินตรงไปยังร้านขายยา ดวงตาสีฟ้ามีแววกังวลใจก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่สั่นไม่หยุดขึ้นมา ‘ไรเฟิล’ แม้หน้าจอโทรศัพท์จะระบุชื่อคนโทรเข้าแบบนั้น แต่มาร์กอสกลับเลือกที่จะปิดเครื่อง เพราะในเวลานี้ทุกคนควรได้รับโอกาสในการไตร่ตรอง เกือบ 3 ชั่วโมงจากฮ่องกงมาเมืองไทย อินถวาไม่ได้พูดอะไรเลย มีเพียงน้ำตาของเธอเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไม่หยุด ทว่าเพียงถึงจุดหมายรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดก็ฉายชัดขึ้น ดั่งว่าเธอคนนี้ไม่ได้นำความทุกข์ใจกลับมาจากฮ่องกงด้วย “ส่งฉันเพียงเท่านี้ก็พอแล้วค่ะ ฉันถึงบ้านแล้ว ฝากคุณมาร์กอสขอโทษคุณวิคเตอร์กับคุณนายลีแทนฉันด้วยนะคะ สำหรับทุกเรื่องที่ฉันเสียมารยาทไว้ และฝากขอโทษคุณแม่บ้านใหญ่ ลุงฉี อาซู กับอาหนิงที่ฉันจากมาโดยไม่ได้ลา” “แล้วคุณไรเฟิลล่ะครับ คุ
“ถ้าเราท้องขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง ไรเฟิลจะหาว่าเรามีลูกเพื่อไว้จับเขาหรือเปล่า และพ่อแม่เขาอีกล่ะ เขาจะทำยังไงกับเรา”อินถวาพึมพำก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น เธอรีบเดินไปที่โทรศัพท์แต่ยังไม่วายจะชำเลืองมองไปที่ตึกใหญ่ เพราะคนที่โทรมาคือคนในตึกนั้น ดวงตาสวยมีแววเศร้ามองโทรศัพท์อย่างชั่งใจเพราะไรเฟิลไปดินเนอร์กับครอบครัวที่ตึกใหญ่และสัญญาว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ทั้งที่เธอเองก็เผื่อใจไว้อยู่แล้วว่าคงไม่เร็วแน่ เธอก็ไม่อยากได้ยินว่าเขาจะขออยู่ต่ออีกกี่ชั่วโมง จะกลับดึกกว่านี้ หรือว่าค่ำคืนนี้จะไม่กลับ “ฮัลโหล...” เสียงหวานเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช้ ‘ไหว’ ที่เป็นภาษาจีนกวางตุ้ง เพราะคิดว่าคนที่โทรมาในยามดึกนี้คงมีแค่ไรเฟิลคนเดียวเท่านั้น ทว่าเสียงที่ตอบกลับมากลับทำให้อินถวารีบคว้าเสื้อคลุมและเดินออกจากตึกเล็กมุ่งตรงไปสู่ตึกใหญ่ในทันที เพียงไม่นานเธอก็มาถึงจุดหมายที่ใครคนนั้นบอกเอาไว้ ห้องนอนชั้น 2 ของปีกซ้าย ประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ทำให้อินถวาถือวิสาสะเดินเข้าไปทันที ในนาทีที่หัวใจเธอใกล้จะระเบิดก็ขอให้เธอได้เห็นกับตาตัวเอง และสิ่งที่มองเ
“ฉันจะให้หนูห้าสิบล้าน เพื่อซื้อศักดิ์ศรีของหนู และเพื่อให้หนูไปจากชีวิตของไรเฟิล เพราะยังไงแล้วฉันก็จะไม่รับสะใภ้คนอื่นนอกจากซินเทียเท่านั้น ถ้าหนูยังอยู่กับไรเฟิล หนูก็จะเป็นได้แค่เมียเก็บเท่านั้น รับเงินไปเถอะ นี่จะเป็นโอกาสเดียวที่หนูจะได้เงิน” “หนู...” “อย่าปฏิเสธตอนนี้ หนูควรกลับไปคิดดูก่อน ถ้าหนูคิดว่าหนูรักไรเฟิลจริง หนูก็ควรจะให้เขาได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสม ฉันพูดตรงๆ นะ ฉันต้องการให้ไรเฟิลแต่งงานกับซินเทียเท่านั้น เพราะนั่นคือธุรกิจที่จะมั่นคงขึ้นหากสองตระกูลมาเสริมกัน พูดแค่นี้หนูคงจะเข้าใจนะ” “ค่ะ” อินถวารับคำน้ำตารื้นจนแทบจะไหลออกมา “ฉันหวังว่าเรื่องนี้ไรเฟิลจะไม่รู้ เอ่อ... แต่ขนมอร่อยมากๆ ถ้าหนูจะอยู่กับไรเฟิลที่นี่ในฐานะเมียเก็บ ฉันก็จะไม่ขัดขวาง เพราะผู้หญิงที่ทำอาหารเก่งทำขนมอร่อยก็เหมาะที่จะเป็นเมียและเป็นแม่ของลูกจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่สำหรับตระกูลลีไม่ได้ต้องการผู้หญิงหลังม่านก็เท่านั้น” อินถวารับรู้ได้ถึงลมที่ร้อนวูบอยู่ในหูและความร้อนผ่าวในอก เมื่อต้องรับฟังสิ่งเหล่านั้นโดยไม่สามารถโต้แย้งอะ
มาร์กอสมองฝ่ามือบอบบางที่หยิบจับกระทงใบตองขึ้นมา ก่อนจะตักข้าวเหนียวมูนใส่ในกระทงเพียงค่อนใบ จากนั้นก็ตักสิ่งที่เขาเรียกว่าทอปปิ้งเพราะเธอนำมาราดไว้ที่ด้านหน้าของข้าวเหนียวจริงๆ “ลองดูนะคะ อันนี้เรียกว่า ข้าวเหนียวมูนหน้าสังขยา ฉันทำแบบไม่หวานมากค่ะ เวลาทานจะได้ไม่เลี่ยน” “อืม... อร่อยมาก อร่อยมากจริงๆ ครับ ลองอีกครับ ผมอยากลองอีก” อินถวานึกขำกับท่าทางของเขา แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย ข้าวเหนียวมูนหน้าปลาแห้ง และ หน้ากุ้ง จึงถูกเสิร์ฟให้มาร์กอสได้ลิ้มรสจนครบ ไรเฟิลชะงักกับภาพที่เห็น อินถวายิ้มอย่างมีความสุขขณะอธิบายส่วนผสมของขนมหลากหลายอย่างที่เธอทำให้กับมาร์กอสที่ช่างซักช่างถามไม่หยุด “มาร์กอสดูมีความสุขนะคะ คงจะเจอคนถูกใจถึงได้คุยมากยิ้มมากขนาดนั้น” “ก็คงอย่างนั้น” ไรเฟิลพูดแล้วก็เดินตรงเข้าไปในครัว ปล่อยให้ซินเทียฟึดฟัดอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดอย่างที่ซินเทียคิด แต่เขาคิดไปมากกว่านั้น และซินเทียเองนั่นแหละที่ทำให้ความคิดเขาเปลี่ยนไป ‘คุยมากยิ้มมาก’ นั่นน่ะไม่ใช่นิสัยของมาร์กอสสัก
“เอาล่ะๆ เสียบรรยากาศหมด เอาเป็นว่าเดี๋ยวพาแม่หนูนั่นไปพบพ่อที่ในสวนก็แล้วกัน พ่อจะคุยกับเธอเอง” “สรุปว่าพ่อเข้าใจผมใช่มั้ยครับ” “เข้าใจ แต่ไม่ได้เห็นด้วยนะ ยังไงก็ต้องให้พ่อคุยกับเธอก่อน” “ผมมั่นใจว่าพ่อต้องชอบพุดซ้อนแน่ๆ” ไรเฟิลพูดอย่างมั่นใจก่อนจะลอบถอนหายใจเพราะเสียงแม่ที่พูดแย้ง “แต่ฉันมั่นใจว่าคุณต้องไม่ชอบ เพราะฉันยังไม่ชอบเลย” “แต่ผมกับคุณ ชอบอะไรที่แตกต่างกันเสมอนะเชอร์รี่” “ฉันจะคอยดู อีกอย่างคุณคิดเหรอวิคเตอร์ว่าลูกชายจอมเจ้าชู้ของคุณจะหยุดได้ที่เธอคนนั้น สุดท้ายเมียก็ช้ำใจไม่ต่างกันหรอก ลูกไม้หล่นใต้ต้นเสมอ พ่อยังไง ลูกก็คงไม่แตกต่าง” “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ พ่อยังไง ลูกก็คงอย่างนั้น เพราะถึงผมจะเจ้าชู้ แต่ผมก็เป็นคนรักใครแล้วรักเลย รักคนเดียวตลอดไป แม้เธอจะ...” “ขี้เกียจฟัง แล้วฉันจะรอฟังข่าวว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณ” เชอร์รี่ลุกขึ้นพรวดพูดแล้วยิ้มเหยียดก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้วิคเตอร์พ่นลมหายใจออกเบาๆ เพราะสุดท้ายเชอร์รี่ก็ยังรั้นตามเดิม เธอไม่รอให้เขาพูดให้จบด้วยซ้ำ