‘หรือฉันจะไปทำงานที่ยัยรุ้งแนะนำดี’
‘งานอะไร ทำไมฉันไม่รู้ ไม่เห็นยัยรุ้งบอกฉันว่าแนะนำงานให้แก’
‘อ้าวก็งานรับจ้างเป็นเพื่อนไง ยัยรุ้งบอกว่างานนี้ที่เมืองนอกบูมมากเลยนะ ตอนนี้บ้านเราก็เลยเอามาทำบ้าง เห็นรุ้งว่าได้ค่าจ้างวันละห้าหมื่นเลยล่ะ และยังได้ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยงต่างหากด้วย ชุคิดสิ พุดทำแค่ยี่สิบวัน ก็ได้ล้านนึงแล้วนะ’
‘แล้วยัยรุ้งบอกหรือเปล่าว่าคนที่เขามาจ้างนะเป็นใคร ใครที่ไหนเขาจะมาเสียเงินจ้างเพื่อน และถ้าไม่มีเพื่อนจนถึงขนาดที่ต้องมาจ้าง ไม่เพี้ยนก็โรคจิตแล้วล่ะ’
‘ไม่ใช่แบบนั้น รับจ้างเป็นเพื่อน ก็เช่นมีนักธุรกิจมาจากเมืองนอก ต้องการให้เราไปเป็นเพื่อนเดินซื้อของ ไปเป็นเพื่อนกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แบบบางทีเขามาจากต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องการคนพื้นที่ให้พาไปไง คนรวยทั้งนั้นแหละชุ แค่เศษเงินเขา ไม่ได้เยอะอะไรหรอก’
นั่นคือข้อมูลที่เธอได้มาจากเพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน เพราะเพื่อนก็ทำงานรับจ้างเป็นเพื่อนนี้มาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน และก็ได้เงินดีจนมีเงินเก็บและส่งเสียทางบ้านได้ แต่สีหน้าของชุติมนต์กลับทำให้เธองง
‘แกทำไม่ได้หรอกพุด’
‘ทำไมล่ะชุ ยัยรุ้งยังทำได้เลย พุดก็ต้องทำได้สิ เพื่อแม่ พุดทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
‘แต่เรื่องนี้ยกเว้น ยังไงแกก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าแค่นั้นคงไม่มีใครเขามาจ้างหรอกมั้ง มันต้องมากกว่านั้นอยู่แล้วล่ะ’
‘มากกว่า... มากกว่าแค่ไหนเหรอชุ แล้วพุดทำไม่ได้เหรอ ยัยรุ้งยังทำได้เลยนะ’
‘ก็ที่แกพูดน่ะมันเป็นแพ็กเกจเหมารวมไว้หมดแล้วน่ะสิ ทั้งเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และก็... เพื่อนนอน’
นั่นคืออีกความจริงที่เธอไม่เคยรู้ บนโลกที่โหดร้ายใบนี้แต่เธอกลับได้รับการประคับประคองจากแม่ให้อยู่แต่ในโลกที่บริสุทธิ์ มองโลกในแง่เดียวตลอด ไม่เคยรู้เลยว่า เพื่อนร่วมคณะหรือต่างคณะหลายคนต่างทำงานแบบนี้กันมาเนิ่นนานแล้ว และต่างคนก็ต่างมองว่าไม่ใช่สิ่งผิด เมื่อฝ่ายหนึ่งเต็มใจจ่ายได้มากเท่าที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ก็แค่ข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อเท่านั้น
และเพื่อนบางคนที่ชุติมนต์ยกตัวอย่างมานั้นก็ถึงกับมีคนเลี้ยงเป็นตัวเป็นตน ซึ่งในภาษาชาวบ้านก็คือ ยอมเป็นเมียน้อยเมียเก็บของคนรวยนั่นเอง และบางคนก็ใช้เทคนิคสลับรางรถไฟ จนสามารถมีคนเลี้ยงทีเดียว 10 คนต่อเดือน ได้ทั้งคอนโดมิเนียม รถยนต์ และเงินสดในบัญชี มีเงินใช้ได้อย่างสบาย ซึ่งไม่มีทางที่คนอย่างเธอจะทำได้ตามนั้นแน่
‘แล้วพุดจะทำยังไงล่ะชุ พุดจะไปหางานอะไรทำที่ได้เงินเยอะขนาดนั้นได้ พุดมีเวลาแค่เดือนเดียวเองด้วยนะ ถ้าพุดช่วยแม่หาเงินมาไม่ได้ แม่ต้องแย่แน่ แค่นี้ก็สามวันดีสี่วันไข้แล้ว พุดไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์แบบนี้’
เพราะสภาพของแม่ที่ป่วยทางใจและสีหน้าที่มีแต่ความทุกข์ คือสิ่งที่เธอเห็นมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น และหากครบกำหนด 1 เดือนแต่แม่ยังหาเงินมาได้ไม่ครบ เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า แม่จะเจ็บปวดหัวใจมากมายแค่ไหน ที่ต้องมองเห็นน้องชายเพียงคนเดียวเข้าไปอยู่ในห้องขัง หรือสุดท้ายแล้วเธอควรจะเลือกงานนั้น งานที่ได้เงินมากๆ งานที่จะตอบแทนความรักทั้งหมดที่แม่มีให้ต่อเธอ
‘ถ้าพุดไม่มีทางเลือก พุดก็จะทำ’
‘อย่าบ้าน่ะพุด มันต้องมีทางออก เดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณน้าให้’
สุดท้ายชุติมนต์นั่นแหละที่เป็นคนหางานนี้ให้กับเธอ เพราะญาติของชุติมนต์ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศกันหลายคน และหากจะทำงานให้ได้เงินเยอะๆ มีทางเดียวก็คือต้องไปทำงานที่ต่างประเทศเท่านั้น เพราะถ้าเมืองไทย ไม่พ้นต้องไปเป็นเพื่อนนอนอย่างที่หลายๆ คนทำแน่ เพราะหน้าตาอย่างเธอนั้น ผู้ชายที่เข้าหาก็คงจะมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ขอเป็นเพื่อนนอน
เมื่อน้าสาวของชุติมนต์แนะนำงานมาให้ เธอก็ไม่รอช้าที่จะยื่นข้อเสนอกลับไปในทันที ซึ่งทางนายจ้างก็ไม่ขัดข้อง จากนั้นเงินจำนวน 1 ล้านบาท ก็ถูกโอนเข้าบัญชีของแม่ในทันทีที่เธอจดปากกาลงชื่อในสัญญาว่าจ้าง
จริงอยู่ว่าเงิน 1 ล้านบาทนั้นอาจจะมาก แต่ทางเลือกที่เธอหามาได้นั้นกลับไม่มากตามจำนวนเงิน เพราะหากต้องยอมเป็นของเล่นของคนรวย เธอขอทำงานที่ต้องใช้แรงงานดีกว่า อย่างน้อยหยาดเหงื่อของเธอที่เสียไปก็จะได้มีคุณค่า แม้จะต้องทำงานเป็นคนรับใช้ หรืออาจเรียกหรูๆ แบบให้เกียรติว่า ‘แม่บ้าน’ เธอก็ไม่เกี่ยง ขอให้งานนั้นสุจริตก็พอ
“จะเข้าไปเลยมั้ยครับคุณ”
“คุณลุงคะ ไม่ต้องเรียกหนูว่าคุณหรอกค่ะ หนูก็มาทำงานเป็นลูกจ้างที่นี่เหมือนกัน”
อินถวาตื่นจากภวังค์ก่อนจะหันไปพูดกับ ‘อาฉี’ คนขับรถของคฤหาสน์ลีที่กรุณาไปรับเธอมาจากสนามบิน โชคดีที่คุณนายลีนั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดังนั้นคนทำงานในคฤหาสน์ลี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเหมือนๆ กัน ภาษาที่ใช้สื่อสารจึงไม่ยากสำหรับเธอนัก เพราะคนงานส่วนก็จะพูดไทยได้ แม้จะไม่ชัดแต่ก็พอฟังออก
“ไม่ได้หรอกครับ คุณแม่บ้านใหญ่ท่านให้พวกเราพูดให้สุภาพกับทุกคน เชิญเถอะครับ เดี๋ยวลุงจะแนะนำคนอื่นๆ ให้รู้จัก”
อินถวารับคำเบาๆ ก่อนจะเดินตัวลีบตามอาฉีผ่านประตูรั้วอลังการณ์งานสร้างเข้าไป และแค่ก้าวเข้าสู่อาณาจักรของตระกูลลีอย่างเต็มตัว เธอก็ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้น
คฤหาสน์กว้างใหญ่นี้ไม่ใช่เพียงสง่างามน่าเกรงขาม ทว่าเธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ ทุกย่างก้าวที่เดินตามอาฉีจึงพยายามแล้วที่จะสลัดไล่ความประหม่าในหัวใจนี้ออกไป แต่อาการเสียวสันหลังวาบๆ นี่คืออะไรล่ะ ที่นี่มีอะไรที่น่ากลัวอย่างนั้นเหรอ ‘ฉันว่าแกต้องเจอเนื้อคู่ที่ฮ่องกงแน่ยัยพุด’ ‘ทำไม... ทำไมต้องฮ่องกง’ ‘อ้าว... ก็เวลาฝันว่างูรัดก็แปลว่าจะเจอเนื้อคู่น่ะสิ แต่นี่แกดันฝันว่ามังกรรัด มังกร ฮ่องกง เข้ากันจะตายไป มังกรตาสีเขียวด้วย จำไว้นะถ้าเจอใครตาสีเขียว นั่นแหละเนื้อคู่แก’ นั่นคือคำหยอกเย้าของชุติมนต์เมื่อเธอบอกเล่าความฝันนั้นให้ฟังก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ เพราะความฝันดันเกิดขึ้นเมื่อคืนน่ะสิ คืนก่อนวันเดินทางแต่กลับฝันสัปดน แค่เธอฝันว่าถูกมังกรรัด ชุติมนต์ยังล้อเลียนเธอแบบนี้ หากเธอพูดทั้งหมดว่าถูกมังกรทำ... ชุติมนต์จะไม่ยิ่งล้อมากกว่านี้เหรอ แต่สัมผัสวาบหวิวรอบกายและหนาวจนต้องลูบต้นแขนที่รับรู้ได้ในขณะนี้ อินถวากลับคิดต่าง เพราะหากดวงตาสีเขียวมาปรากฏตรงหน้าจริง นั่นเธอจะคิดว่
สัมผัสบางอย่างที่เคลียคลออยู่รอบตัวทำให้อินถวาพยายามจะเปิดเปลือกตาที่ง่วงงุนขึ้นมองดู เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งปกติที่จะเกิดขึ้น เมื่อฝ่ามืออุ่นจัดของใครบางคนกำลังลูบไล้เนื้อตัวของเธออยู่ทั้งๆ ที่เธอ ‘นอนคนเดียว’ แค่คิดถึงสิ่งนั้น ความง่วงงุนก็หายวับพร้อมดวงตาที่หนักอึ่งก็บางเบาราวติดปีกและดีดผึงขึ้นทันที ทว่าสิ่งที่เห็นนั้นมีเพียงความมืดมิด มืดจนไม่มองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง แต่สัมผัสนั้นยังคงอยู่ อินถวาสั่นไปทั้งร่าง ขนกายลุกตั้งไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า ไม่มีจุดใดเลยที่ขนจะไม่ลุก เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ไปทั่วทั้งเนื้อตัวเธอ ‘มัน’ หรือ ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ บางอย่าง ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าเธอตื่นแล้ว ‘กรี๊ดดดดด... ปล่อยฉันนะ! กรี๊ดดดดด...’ เสียงร้องที่ดังอยู่เพียงในลำคอ ยิ่งทำให้อินถวาสะท้านและสั่นจนหยุดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนหรือจะกรีดร้องดังเพียงใดแต่เสียงนั้นก็เพียงได้ยินอยู่ในลำคอของเธอเท่านั้น เธอพยายามแล้วที่จะดิ้นรน พยายามที่จะกรีดร้องให้ดังที่สุด แต่เจ้าของฝ่ามือที่แตะ
‘คฤหาสน์ลี’ นั่นคือชื่อของคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงกลางเกาะฮ่องกง พื้นที่ที่คนรวยสุดขีดของเกาะฮ่องกงเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่อาศัยได้ เพราะราคาที่ดินของทำเลทองคำนี้สูงลิ่วถึงตารางฟุตละ 7 แสนบาทไทย ดังนั้นใต้ฝ่าเท้าที่เธอกำลังจะเหยียบย่างอยู่นี้ ทุกย่างก้าวคือมูลค่ามากกว่าครึ่งล้านบาท ร่างงามระหงในชุดสูทเข้ารูปสีชมพูพาสเทลของ ‘อินถวา จิตราภานุพงษ์’ ค่อยๆ จดฝ่าเท้าก้าวลงจากรถอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวเหลือเกินว่าเธออาจทำให้พื้นถนนด้านหน้าคฤหาสน์นี้ยุบตัวลง เพราะหากมีอะไรเสียหายสักน้อยนิด เธอก็คงจะไม่มีปัญญาไปชดใช้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าสำรวจไปทั่วบริเวณ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเดินทางออกนอกประเทศไทย เป็นครั้งแรกที่มาเยือนฮ่องกง และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันกับการทำงาน เพราะเธอเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และยังไม่ทันรับพระราชทานปริญญาบัตรเลยด้วยซ้ำ แต่ภาวะจำเป็นทำให้ต้องเลือกมาทำงานต่างแดน ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากมาเลย ใบหน้างดงามมองสำรวจคฤหาสน์สไตล์โมเดิลที่คล้ายเป็นประติมากรรมที่ประดับอยู่บนหน้าผามากกว่าที่จะเข
‘พี่อรไม่เข้าใจหรอก บอกมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยเท่านั้น ไม่ต้องมาบ่นให้มากความ ถ้าพี่ไม่ช่วย ฉันก็แค่ติดคุกเท่านั้นแหละ จะยากอะไร’ ‘ทำไมแกพูดอย่างนั้นอิฐ ฉันเป็นพี่สาวแกนะ แกดูถูกน้ำใจพี่สาวคนนี้มากไปแล้ว ถ้าแกบอกพี่มาตรงๆ ว่าแกเอาเงินไปทำอะไร พี่อาจหาทางช่วยแกได้ แต่แกไม่บอกพี่ แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง’ ‘พูดไปพี่อรก็ไม่เข้าใจฉันหรอก ฉันมันเป็นแค่น้อง ไม่ใช่ลูกพี่หนิ พี่จะมาช่วยเหลืออะไรฉันเต็มร้อย สุดท้ายพี่ก็ต้องเลือกอนาคตของยัยพุดอยู่ดี’ ‘แกพูดอะไรของแกอิฐ ยัยพุดมาเกี่ยวอะไรด้วย หลานไม่เคยยุ่งอะไรกับแกเลยนะ’ ‘ไม่ยุ่งได้ไง ก็เพราะพี่มียัยพุดไง พี่ถึงไม่สนใจฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ พี่ก็พูดแต่ว่าเก็บไว้ให้ลูก แล้วอย่างนี้พี่ยังจะมาบอกว่าถ้าฉันขาดเหลืออะไรก็ให้มาบอกพี่เหรอ เจอหน้าฉันทีไร พี่ก็บ่นว่าต้องจ่ายค่าเทอมยัยพุด ต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษ ค่าเรียนเต้น ค่าเรียนรำไทย ค่าเรียนดนตรี เรียนวาดภาพ เรียนว่ายน้ำ สารพัดที่มันร่ำร้องจะเรียน แล้วพี่ก็หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตปรนเปรอมันทุกอย่าง มันอยากไปเรียนซัมเมอร์ที่เมืองนอก พี่ก็หาเงินส่งมันไป