พันธ์พิสุทธิ์รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะในใจเหมือนมีลางอะไรบางอย่างบอกเหตุว่า เวลาเจอผู้หญิงคนนี้ทั้งสองครั้งทำให้ต้องเกิดเรื่องราว เขาจึงอยากรีบกลับถึงบ้าน
“ผมขอ say bye เลยนะครับ” เขายกข้อมือดูนาฬิกา เวลาเกือบสามทุ่ม เขามีเรื่องต้องโทรหาน้องสาวซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ซิดนีย์ เธอขอให้เขาโทรหาไม่รู้มีเรื่องอะไร
“ค่ะ... งั้นลาตรงนี้นะคะ” เธอยกมือไหว้ชายหนุ่ม เขาโบกมือลาขณะกำลังก้าวเดินออกจากโต๊ะเขารีบเดินกลับไปที่รถ ขณะนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง และรู้ตัวว่าต้องรีบกลับ ขณะใจกำลังวกวนเรื่องเธอคนนี้ เขาเลี้ยวรถตรงหน้าร้านจะออกไป เธอกำลังรับโทรศัพท์เดินลงมาตรงหัวมุมหน้าร้าน...
“Oh…shit…ตายล่ะ... เวรจริงๆ” เขาผรุสวาท และรีบกดกระจกลงตะโกนถาม “เป็นอะไรไหมนั่น... ผมจะพาไปคลินิก” เขาเห็นเธอล้มลง เขาน่าจะชนเธอตรงสะโพกพอดี เขารีบลงรถไปอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเปิดประตูหลังเอาเธอวางลงบนเบาะหลังขณะพันธ์พิสุทธิ์ออกรถไป เขาถามเธอด้วยใจกระวนกระวาย
“คุณเจ็บตรงไหนบ้าง” เขามองกระจกส่องหลัง เห็นเธอเอามือไปลูบหลังข้อศอกและขาข้างซ้ายน่าจะเป็นแผลกิ่งฟ้ากำลังล้วงเอาทิชชูเปียกในกระเป๋าออกมาซับเลือดตรงหลังข้อศอก และเข่าซ้ายน่าจะมีเลือดออกด้วย
“นิดหน่อยค่ะ ... ขอโทษนะคะ ฉันเผลอไม่ได้มองรถ” เธอกล่าวขอโทษเขาเบาๆ “ผมว่า คุณสุดซุ่มซ่าม ดีนะผมเลี้ยวออกมาไม่เร็ว ไม่งั้นคงได้แอดมิต” เขาตำหนิเธอ “ค่ะ... ขอโทษ ฉันซุ่มซ่ามเอง” เธอไม่อยากเถียง เขาขับรถไม่ดูเช่นกัน จะเลี้ยวก็พรวดออกมาก ดีนะที่เธอชะงักทันไม่งั้นโดนชนกลางลำตัว คงได้เจ็บหนักแน่ๆ “โอเค... ขอผมใช้โทรศัพท์คุณหน่อย” เขาหงายฝ่ามือรอขณะขอร้องเธอกิ่งฟ้ายื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา ลืมไปว่าล็อกหน้าจอไว้ เขาจึงหงุดหงิดเอ่ยถามขึ้น
“พินคุณ ... อะไร” “2607” เธอบอกเขาไปขณะยังก้มหน้าซับเลือดที่ไหลซึมออกมาเขาเบี่ยงรถเพื่อจอดรถตรงริมฟุตบาท แล้วได้ยินเขาพูดคุยกับสายปลายทางน่าจะเป็นที่บ้าน
“เอ้า... แดดดี้หรือครับ ผมคงจำเบอร์มัมผิด บอกให้มัมโทรหาเดียร์ด้วยนะครับ ไม่รู้มีเรื่องอะไร ให้ผมโทรหา แต่มือถือผมตกแตก” เขาไม่อยากให้น้องสาวรอเพราะตอนนี้น่าจะใกล้เที่ยงคืนแล้วที่นั่นเขาขับรถไปเรื่อยพยายามมองหาคลินิกที่ใกล้ทางที่ผ่านมา ก็ไม่มีจึงเลี้ยวเข้าไปโรงพยาบาลใกล้แถวนั้น
“รอผมสักครู่...” เขากระโดดลงจากรถไปเรียกเจ้าหน้าที่ตรงประตูทางเข้าฉุกเฉินให้เอารถเข็นมารับหญิงสาวกิ่งฟ้าถูกนำเข้าไปตรงห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล ซึ่งข้อเท้าซ้ายของเธอแพลงด้วย มีบาดแผลตรงหลังข้อศอก และหัวเข่าซ้ายค่อนข้างถลอกลึก หญิงสาวเป็นคนผิวบางเห็นเส้นเลือดชัดเจน ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บพอสมควร
หนึ่งชั่วโมงกับการทำความสะอาดทำแผลและฉีดยาบาดทะยัก ทำให้เขาเดินวนไปวนมาจนน่าเวียนหัว กิ่งฟ้ามองท่าทีของเขาแล้วนึกหมั่นไส้ ทำไมชายคนนี้ถึงได้ใจร้อนรนขนาดนั้น จริงๆ แค่มาส่งก็กลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องรอเธอทำแผลจนเสร็จก็ได้ กิ่งฟ้าขอให้เจ้าหน้าที่ซึ่งยืนดูพยาบาลทำแผลให้ไปบอกชายหนุ่มว่า ให้เขากลับไปก่อน เธอทำแผลเสร็จแล้วจะเรียกรถกลับบ้านเอง
พันธ์พิสุทธิ์เดินเข้ามาหาเธอกล่าวเบาๆ...
“ผมจะไปส่งคุณ... บ้านคุณอยู่ที่ไหน ขอแผนที่ด้วย” เขายื่นมือขอโทรศัพท์มือถือเธอ เขาเห็นหญิงสาวกดเปิดแผนที่ในกูเกิลแมพ จากนั้นเขาจึงขยายแผนที่เพื่อดูเส้นทาง “บ้านคุณอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่...” เขามองภาพแผนที่แถวคลองตันเขาให้เธอนั่งเบาะด้านหลัง เพื่อจะได้เอนในท่าสบาย และไม่ต้องทำให้เขารู้สึกเกร็งถ้านั่งอยู่ด้านข้างคนขับ เขายังไม่ได้คบผู้หญิงไทยคนไหนเลย มีเธอเป็นคนแรกที่คุยด้วยหลังจากเพิ่งกลับมาถึงที่นี่ เขารู้สึกว่าผู้หญิงไทยค่อนข้างถือตัวและไม่ช่างเจรจาเหมือนสาวฝรั่ง ยิ่งถ้าแปลกหน้าด้วยแล้ว สาวไทยส่วนใหญ่จะค่อนข้างระวังตัว
“เอ่อ... ผม ดอน นะครับ” เขาเปิดบทสนทนาด้วยการบอกชื่อของตนเองใหม่อีกครั้ง “ค่ะ ทราบแล้ว ฉัน กิ่งนะคะ” เธอสวนกลับอมยิ้ม นึกในใจว่า ตาบ้าเอ้ย คงไม่มีคำพูดคำจาอะไรหรอกมั้ง “คุณเพิ่งกลับมาเหรอคะ” เธอเลยถามเพื่อให้เขาอยากคุย “ใช่ครับ ผมไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ต้องขอโทษ ผมอาจทำอะไรไม่ถูกบอกได้นะครับ” เธอได้ยินประโยคนี้ นึกในใจทำไมถึงเฉิ่มเชยขนาดนี้เลย “คงทำผิดเยอะค่ะ...” เธอพูดเยาะเย้ยหน่อยๆ “โอ... คงจริง ขับรถชนคุณ ทำมือถือหล่นแตก” เขาขำตัวเองเบาๆ “แล้วยังกางเกง....อุ๊บ” เธอเผลอจนได้ แต่ก็รีบปิดปากทันที “เป้าขาด... แย่มากเลย ดีที่ใส่กางเกงใน” เขาหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนความอายกิ่งฟ้าเงียบไม่พูดต่อ กลัวเขาจะพูดอะไรไม่เหมาะสม คำพูด 18+ สำหรับเขาคงธรรมดาล่ะมั้งสำหรับหนุ่มนักเรียนนอก
เขาขับรถจนมาถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เขาจึงถามขึ้นเบาๆ
“ผมต้องแลกบัตรไหม...” เขาถามขึ้นขณะมองกระจกส่องหลังเห็นเธอกำลังส่งยิ้มให้ “ฉันจะบอกยามเองค่ะ”ในที่สุดเขาก็ขับไปส่งเธอถึงหน้าบ้านหลังสีขาวเนื้อที่ประมาณ 80 ตรว. เธอกดปุ่มสัญญาณรีโมตให้ประตูเปิดออกอัตโนมัติ เขารีบเปิดประตูก้าวลงไปเปิดประตูด้านหลังแล้วขออนุญาตอุ้มเธอลงมาแล้วเดินไปส่งถึงหน้าประตูบ้าน เขาเห็นประตูบ้านด้านในเปิดออก แม่ของเธอทักทายชายหนุ่มทันที
“อ้าว...ยัยกิ่งเป็นอะไรเนี่ย ขนาดต้องอุ้มมาส่งกันเลยหรือ” กรรณิการ์มองชายหนุ่มเค้าหน้าคมคายตากลม ลักษณะท่าทางออกแนวคนต่างด้าว “พูดไทยได้ไหมคะ” แม่ของหญิงสาวถามทันที หลังจากเขาก้าวเข้าไปวางลูกสาวบนเบาะตรงโซฟาตัวยาว “ครับ ผมคนไทย” เขาฉีกยิ้มให้แม่ของเธอ “ผม ดอน ครับ คุณแม่ดูแลคุณกิ่งด้วยนะครับ ผมขับรถชนเธอ” เขาออกตัวทันทีว่าเป็นคนผิด “ตายจริง เป็นอะไรมากไหมคะ” กรรณิการ์รีบหันไปถามหญิงสาว “เจ็บนิดหน่อยค่ะ ทำแผลแล้ว” เธอรีบตอบแม่ทันที “ผมลานะครับ... ถ้ายังไงส่งข่าวนะครับ โทรไปที่เบอร์นี้” เขายื่นมือขอโทรศัพท์ของหญิงสาว แล้วกดหมายเลขลงไปให้เธอกดบันทึกไว้ “ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณแล้วรีบสาวเท้าก้าวไปที่ประตู ก่อนเดินออกไปเขาหันหลังมาโค้งให้คุณแม่และเธอเล็กน้อยจากนั้นกิ่งฟ้าขอตัวกับแม่ว่า...จะขอขึ้นไปห้องนอนข้างบน กรรณิการ์จึงเข้ามาช่วยพยุงแขนลูกสาวค่อยๆ พาเธอขึ้นไปถึงยังห้องนอน
ทั้งบ้านอยู่กันเพียงสองคนแม่ลูก คนทำงานบ้านจะมาช่วยทำความสะอาดเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น คืนนี้เธอคงต้องขอให้แม่ช่วยเปิดน้ำอุ่นที่อ่างอาบน้ำเธอจะเช็ดตัวเท่านั้น
พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์เธอคงต้องขอให้แม่ช่วยโทรไปที่บริษัทขอลางาน เธอจะส่งใบรับรองแพทย์ตามไปตอนช่วงสายๆ
“แม่คะ โทรไปลางานให้หนูด้วยนะคะ ... เบอร์ฝ่ายบุคคลบริษัทอยู่ตรงใบ post-it ตรงด้านข้างตู้เย็นนะคะ” แม่กรรณิการ์พยักหน้าแล้วเข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างน้ำให้ “แม่ถามนิด... เดินยังไงถึงถูกรถชน” แม่ขมวดคิ้วมองหน้าเธออย่างกังวล “เขาขับรถยังไงไม่รู้ ไม่ได้มองคนเลย” เธอตำหนิเขาเบาๆ “เออ... ให้มันได้อย่างนี้สิ ยัยกิ่ง เธอน่ะซุ่มซ่ามล่ะมั้ง” แม่มองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ เจ็บขนาดนี้ ต้องเดินเหม่อแน่นอน “หนูกำลังเดินอยู่กำลังจะข้ามตรงมุมถนน เขาเลี้ยวออกมาชนเลย” “แล้วเราคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่าล่ะ” แม่ดักคอ “เอ่อ...เออ...” เธออึกอัก “ว่าแล้วเชียว ฉันรู้ว่าแกเป็นคนยังไง ซุ่มซ่ามแล้วยังชอบเดินคุยโทรศัพท์ ทีหลังอย่าได้หาทำเด็ดขาด” นางส่งเสียงดุลูกสาว “แม่นี่รู้ทันไปหมด...” เธอถอนหายใจแรงเลย “ใช่... ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ ทำแก้วหล่นแตกเสียงดังเพล้ง” กรรณิการ์บ่นใส่เธอ “เฮ้อ... คงไม่ใช่หรอกค่ะ” “อะไร... แกว่าแม่ซุ่มซ่ามงั้นสิ...” “ใช่สิคะ... แม่ก็เหมือนหนู่นั่นแหล่ะ” “ยัยกิ่ง... แกนี่ไม่เคยรู้ตัวเองเลย ฉันสังหรณ์แกจะเป็นอะไร” แม่ทำหน้าดุขึ้นเสียงใส่ “ไม่ต้องห่วง.... ดวงหนูแข็งค่า”เสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต“เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม“แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก“นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว“เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ“โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ“อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า“ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่อง
พันธ์พิสุทธิ์รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะในใจเหมือนมีลางอะไรบางอย่างบอกเหตุว่า เวลาเจอผู้หญิงคนนี้ทั้งสองครั้งทำให้ต้องเกิดเรื่องราว เขาจึงอยากรีบกลับถึงบ้าน “ผมขอ say bye เลยนะครับ” เขายกข้อมือดูนาฬิกา เวลาเกือบสามทุ่ม เขามีเรื่องต้องโทรหาน้องสาวซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ซิดนีย์ เธอขอให้เขาโทรหาไม่รู้มีเรื่องอะไร“ค่ะ... งั้นลาตรงนี้นะคะ” เธอยกมือไหว้ชายหนุ่ม เขาโบกมือลาขณะกำลังก้าวเดินออกจากโต๊ะ เขารีบเดินกลับไปที่รถ ขณะนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง และรู้ตัวว่าต้องรีบกลับ ขณะใจกำลังวกวนเรื่องเธอคนนี้ เขาเลี้ยวรถตรงหน้าร้านจะออกไป เธอกำลังรับโทรศัพท์เดินลงมาตรงหัวมุมหน้าร้าน... “Oh…shit…ตายล่ะ... เวรจริงๆ” เขาผรุสวาท และรีบกดกระจกลงตะโกนถาม “เป็นอะไรไหมนั่น... ผมจะพาไปคลินิก” เขาเห็นเธอล้มลง เขาน่าจะชนเธอตรงสะโพกพอดี เขารีบลงรถไปอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเปิดประตูหลังเอาเธอวางลงบนเบาะหลัง ขณะพันธ์พิสุทธิ์ออกรถไป เขาถามเธอด้วยใจกระวนกระวาย“คุณเจ็บตรงไหนบ้าง” เขามองกระจกส่องหลัง เห็นเธอเอามือไปลูบหลังข้อศอกและขาข้างซ้ายน่าจะเป็นแผลกิ่งฟ้ากำลังล้วงเอาทิชชูเปียกในกระเป๋าออกมาซับเ
หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต“เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม“แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก“นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว“เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ“โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ“อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า“ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่อง
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
เสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา