พันธ์พิสุทธิ์ไม่ได้ตอบคำถามใดใด สายตาของเขาเต็มไปด้วยแววเล่ห์เพทุบาย ต้องการแก้เผ็ดหญิงสาว
“ผมจะพาคุณไปหาหมอ เผื่อเป็นอะไรมากกว่านี้” เขาทำหน้าตารู้สึกผิดเล็กน้อย ในความรู้สึกของกิ่งฟ้า มาดคุณหมอไม่มีเลยตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนมาถึงครั้งนี้ หากไม่บอกถึงอาชีพการงาน เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักธุรกิจมากกว่า “ค่ะ... ยังเจ็บเอวอยู่เลย” สีหน้าของสาวน้อยเบื้องหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็นชายหนุ่มรู้ดีว่าน้ำหนักตัวของเขาคงกระแทกเธออย่างจังตอนลงไปถึงพื้นบันได ใจของเขากระตุกทันทีเมื่อหวนนึกถึงความรู้สึกที่วาบหวิว ร่างกายของเขาและเธอทาบทับกันนิ่งขณะนั้น ทำให้เขารู้สึกถึงประจุไฟปรารถนากำลังปะทุขึ้นจนอณูของเซลส์เกิดแรงสั่นสะเทือน
กิ่งฟ้าถูกชายหนุ่มพยุงร่างบอบบางไปถึงยังลานจอดรถ เขาตัดสินใจอุ้มเธอเดินก้าวไปยังที่รถยนต์ซึ่งจอดห่างออกไปเกือบสองล็อก ลมหายใจของเขารดยังต้นคอของเธอจนรู้สึกสยิวไปทั่วร่าง
“อืม... จริงๆ ฉันก็เดินได้อยู่น่ะ” เธอกล่าวปฏิเสธไป แต่ในใจรู้สึกยินดีเหลือล้น เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะท่าทีดูนุ่มนวลขึ้นกว่าครั้งก่อน “กอดผมแน่นๆ ไม่งั้นคุณอาจหล่นได้ ผมไม่เคยอุ้มใครมาก่อน” เขาพูดขึ้นอย่างขัดๆ เขินๆ พิลึกจริงๆ ผู้ชายแบบหนุ่มนักเรียนนอกจีบสาวไม่เป็น กิ่งฟ้ารู้สึกว่าเขาน่าจะผิดปกติระหว่างอยู่ในรถ ความเงียบระหว่างทั้งคู่ทำให้บรรยากาศภายในอึดอัด พันธ์พิสุทธิ์คิดอยู่ในใจว่า ทำไมเขาจึงรู้สึกแปลกๆ กับผู้หญิงคนนี้ ทุกครั้งที่เจอกันต้องมีเหตุการณ์ให้ได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น หรือว่า... กามเทพกำลังทำงาน
เขากดเปิดเพลงเบาๆ ... ทำเขาสะดุ้งในใจ
... ... .... Cupid with your arrow make her love strong for me I promise I wll love her until eternity I know between the two of us her heart we can steal help me if you will so...กิ่งฟ้านั่งหลับตาอยู่เบาะด้านหลัง ครั้นได้ยินเพลงนี้ เธอยังรู้สึกถึงความแปลกประหลาดถึงเพลงที่ดังขึ้น เขาจงใจหรือว่า... บังเอิญ
“ขอโทษ ผมลืมถามคุณ พรุ่งนี้เราต้องเจอกันอีก ใช่ไหม!!!” คำถามที่แทรกขึ้นกลางเพลงเบาๆ ทำเธอตกใจ “เอ่อ... ค่ะ” “งั้น ไม่ต้องเจอกันก็ได้ คืนนี้ผมเอาข้อมูลไปสรุปปรึกษา ผอ.ใหญ่ที่บ้าน แล้วโทรหาคุณพรุ่งนี้” เขาเอ่ยขำๆ “ไม่ได้ค่ะ...” เธอโพล่งออกไปทันใด “อ้าวว ทำไมล่ะ สินค้าคนละตัวหรือ” เขาหันหน้ามายิ้มให้เธออย่างมีนัยยะ ขณะรถติดไฟแดง “เอ่อ... สินค้าที่เสนอให้คุณแสนภพ เป็นของเพื่อนฉัน แต่ที่จะเสนอคุณเป็นของบริษัทฉันค่ะ” “คืนนี้ เราคุยกันที่บ้านคุณดีไหม” เขาหันกลับไปแล้วเอ่ยถามเธอเบาๆ “อย่าเลย คุณแม่จะยิ่งเป็นกังวลว่า ฉันเป็นอะไรอีก” “แล้วเราจะคุยกันที่ไหน...” “ฉันส่งข้อมูลให้คุณที่อีเมล์ล่ะกันนะคะ” น้ำเสียงของเธอวิงวอน “แล้วถ้ามีคำถาม ผมจะรู้เรื่องไหมครับบบ...” เสียงลากยาวเหมือนขอความเห็นใจ “งั้นพรุ่งนี้ฉันไปพบคุณที่บริษัทตามนัดนะคะ” กิ่งฟ้าต่อรอง “โอเค... ผมส่งรถไปรับไหม” น้ำเสียงและท่าทีของเขาดูเอื้อเฟื้อดีมาก “ไม่เป็นไร ฉันจะเรียกรถไปเอง ขอบคุณมากค่ะ” เธอเลี่ยงไม่อยากให้แม่กรรณิการ์สงสัยเรื่องราวความเป็นไประหว่างเขากับเธอหลังจากพบแพทย์และตรวจร่างกายแล้ว เขาขันอาสาไปส่งเธอที่บ้านเป็นครั้งที่สอง คราวนี้แม่กรรณิการ์ออกมาเปิดประตูต้อนรับชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง
“ขอโทษนะครับ คุณแม่... ผมต้องมาส่ง อาการเธอยังไม่ดีขึ้น” ท่าทางของเขาดูเข้ากับแม่ของกิ่งฟ้า...ดีทีเดียว “เป็นยังไง ยัยกิ่ง ต้องพยุงกันเลยหรือ” กรรณิการ์ขมวดคิ้วอย่างกังวล “ค่ะ เท้าแพลงนี่ ยิ่งแย่ค่ะ” เธอหลบสายตาแม่ขณะตอบกลับทั้งคู่มองสบตากันขณะกรรณิการ์เข้าไปยกแก้วน้ำเย็นมาให้ชายหนุ่ม
“คุณโกหกแม่ฉัน ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่” “โห... กล่าวหาผม หรือว่าคุณไม่เจ็บตรงไหนเลย...บอกมา!!! ผมจะได้แก้ตัว” น้ำเสียงเข้มดูไม่พอใจเธอ “โอเค เจ็บมากที่เอว” “ขอโทษ กระแทกตรงนั้นแรงไปหน่อย” สีหน้าของเขาเขินทันที แล้วเบี่ยงสายตาไปมองแม่ของเธอทันที ขณะนางกำลังเดินตรงมาที่เขาเขาพูดคุยถามไถ่แม่กรรณิการ์เรื่องสัพเพเหระ จนได้เวลาแล้วจึงขอตัวกลับ...
ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา เขากล่าวเบาๆ “เจอกันพรุ่งนี้ ผมจะส่งรถบริษัทมารับ...” เขาส่งยิ้มให้แม่ของหญิงสาว แล้วหันหลังก้าวเดินออกจากประตูหน้าบ้านแม่กรรณิการ์กุลีกุจอเดินตามออกไป ไม่รู้ว่าได้พูดคุยอะไรกันระหว่างออกไปส่งถึงรถยนต์ของชายหนุ่ม กิ่งฟ้าได้ยินเสียงแม่เจื้อยแจ้วตรงประตูหน้าบ้านขณะก้าวเข้ามาหาเธอ
“ตกลงว่า เขาได้จ่ายค่าทำขวัญแล้วหรือยัง” คำถามประโยคนี้ทำเอากิ่งฟ้าสะดุ้ง “เอ่อ...ค่ะ” เธอตอบไปอย่างไม่เต็มคำ ไม่อยากให้เหตุผลมากมายหากถูกซักไซ้ “พ่อหนุ่มคนนี้ น่ารักมาก ยัยกิ่ง แม่ว่าเขาดูชอบเราอยู่นะ” “โถ...แม่ คิดไปเองไหมคะ” น้ำเสียงดูเหมือนกล่าวตำหนิ ทำให้นางหันขวับมาจ้องด้วยสายตาเคืองขุ่น “มา...ลุก ลุก จะพยุงขึ้นไป” กรรณิการ์ขี้เกียจคุยต่อ ลูกสาวมีสีหน้ากังวลกับคำพูดของเธอ “เขาบอกแม่ว่า พรุ่งนี้จะให้รถมารับเธอไปพบเขาเรื่องงาน ดีแล้วไม่ต้องเรียกรถไปเอง” “เฮ้อ... หนูอาจต้องใช้บริการเรียกรถมารับไปทำงานหลายวันเลย” เธอเริ่มคิดมากกับอาการบาดเจ็บ แต่แพทย์บอกแล้วหากเจ็บมากกว่านี้ คงต้องไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาล.... .... .... ....
วันรุ่งขึ้นรถตู้ของบริษัทมาจอดอยู่หน้ารั้วบ้านของเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนที่กิ่งฟ้าจะค่อยกะย่องกะแย่งก้าวออกไป คนขับรถเปิดประตูรถด้านหลัง เธอตกใจเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ตรงเบาะกลางในสุด เขาลุกขึ้นมายกลำตัวเธอขึ้นไปนั่งข้างเขา “เราไปคุยกันที่โรงแรมดีกว่า วันนี้บริษัทหยุดไม่มีพนักงาน เที่ยงเราทานข้าวกันที่นั่น แล้วผมจะพาไปพบแพทย์หากอาการคุณยังไม่ดีขึ้น” น้ำเสียงจริงจังของเขาดูเห็นอกเห็นใจเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ “เอ่อ... ไม่เป็นไรค่ะ” เธอกล่าวไปอย่างนั้น บั้นเอวเธอปวดร้าวถึงสะโพกแล้ว “อย่าดื้อ... ผมเห็นคุณเดินออกมา ดูแล้วไม่ปกติ” เขาสังเกตอาการของเธอเหมือนเป็นคนไข้ของเขา “อืม... อย่าเลยค่ะ” เธอแอบชำเลืองด้วยหางตาเพื่อประเมินคนนั่งอยู่ข้างๆ “ถ้าดื้อหนักกว่านี้ ต้องถูกทำโทษ” เขาแกล้งหยอกเธอ “ฮะ... นี่ฉันเจ็บขนาดนี้ ยังจะทำโทษ ไม่ใช่สมัยศักดินานะคุณ” เธอตอกกลับเบาๆ กลัวคนขับรถได้ยินการสนทนาที่เริ่มเข้าสู่... ‘จะเรียกอะไรดี flirt กันไหมเนี่ย’ “ผมไม่เข้าใจ ไว้เราคุยกันตอนเที่ยง เรื่องนี้ช่วยอธิบายให้ที ... ผมเป็นลูกครึ่ง” “ฉันว่าคุณน่ะคนไทย คุณแสนภพนั่น ลูกครึ่งแน่นอน” เธอแย้งทันที ผิวสีแทน รูปหน้าคางเหลี่ยมแนวอีสานแบบนี้ ... “ไม่เชื่อผม พิสูจน์กันไหม” น้ำเสียงแกมหยิกหยอกแบบนี้ ดูมีพิรุธ “อะไร... ยังไง” “#### …” ประโยคภาษาอังกฤษยืดยาวนิดหน่อย ทำเอาสาวน้อยหันไปจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง ... ความเงียบเข้าแทนที่ทันใด เมื่อเขารับรู้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของหญิงสาวที่ได้ยินประโยคนั้น เขาไม่คิดว่าคำพูดล้อเล่นจะกลายเป็นการคุกคามความรู้สึกของเธอทันทีที่รถตู้จอดตรงประตูหน้าโรงแรม เจ้าหน้าที่ของโรงแรมเดินเข้ามายืนคอยต้อนรับ ประตูรถถูกคนขับรถเปิดออกอัตโนมัติ พันธ์พิสุทธิ์ก้าวลงประตูรถด้านข้าง ส่วนกิ่งฟ้ากำลังก้าวลงประตูด้านข้างเธอ ชายหนุ่มรุดมาพยุงตัวเธอก้าวลงไป
เขาแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรมให้รีบไปแจ้งตรงเคาน์เตอร์รีเซฟชั่น หญิงสาวเริ่มเข้าใจว่าโรงแรมแห่งนี้เขาน่าจะมาใช้บริการอยู่เป็นประจำ
“มา...ผมต้องอุ้มแบบเมื่อวานไหม” เขาอมยิ้มมองแก้มแดงระเรื่อของเธอ “อย่าทำอะไรไม่เหมาะสม ฉันไม่ชอบ!!!” น้ำเสียงสะบัดตอนท้ายของกิ่งฟ้า ทำให้เขาฉีกยิ้มกว้างขึ้น “แต่ผมชอบ...”ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาอุ้มเธอออกมาจากรถเดินผ่านประตูหน้าโรงแรมเข้าไป แล้วรีบก้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจสายตาของใครเลย เจ้าหน้าที่รีบแจ้งให้ฝ่ายบริการห้องประชุมด้านบนเปิดประตูไว้รอคนทั้งสอง
“ขอบคุณค่ะ...” เธอขอบคุณเขาทันทีเมื่อชายหนุ่มวางเธอลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตัวเมื่อวาน “โรงแรมนี้บริษัทเพิ่ง take over… ทุกคนรู้จักผม” คำพูดของเขาดูเหมือนอวดรวย แต่คงเป็นความจริง เมื่อวานเธอเห็นเจ้าหน้าที่ทุกคนกุลีกุจอช่วยกันอย่างดี ตอนที่เห็นเขาล้มกลิ้งลงมาทับตัวเธออยู่ “มิน่า...” เธอเผลอกล่าวออกมา “หือ... อะไรหรือ” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ “ทุกคนดูเกรงกลัว... เกร็งด้วย” เธอพิจารณาใบหน้าของเขาอีกครั้งขณะตอบกลับ เขาดูไม่เหมือนลูกครึ่ง “ใช่... คุณคงเห็นว่า...ผมคงดุมาก” “ไม่ใช่ดุ... เท่านั้น” “อะไรผมยังไม่เข้าใจ” เขาทำท่าสงสัยคำพูดของเธอ “น่าจะกัดเจ็บด้วย” คำตอบของเธอ... พันธ์พิสุทธิ์ต้องเอานิ้วชี้จิ้มหน้าตนเองทันใด “ผมอยากกัดคุณตรงนี้เลย!!!” เขาลุกจากเก้าอี้ปรี่เข้ามาหาเธอเสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต“เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม“แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก“นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว“เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ“โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ“อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า“ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่อง
พันธ์พิสุทธิ์รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะในใจเหมือนมีลางอะไรบางอย่างบอกเหตุว่า เวลาเจอผู้หญิงคนนี้ทั้งสองครั้งทำให้ต้องเกิดเรื่องราว เขาจึงอยากรีบกลับถึงบ้าน “ผมขอ say bye เลยนะครับ” เขายกข้อมือดูนาฬิกา เวลาเกือบสามทุ่ม เขามีเรื่องต้องโทรหาน้องสาวซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ซิดนีย์ เธอขอให้เขาโทรหาไม่รู้มีเรื่องอะไร“ค่ะ... งั้นลาตรงนี้นะคะ” เธอยกมือไหว้ชายหนุ่ม เขาโบกมือลาขณะกำลังก้าวเดินออกจากโต๊ะ เขารีบเดินกลับไปที่รถ ขณะนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง และรู้ตัวว่าต้องรีบกลับ ขณะใจกำลังวกวนเรื่องเธอคนนี้ เขาเลี้ยวรถตรงหน้าร้านจะออกไป เธอกำลังรับโทรศัพท์เดินลงมาตรงหัวมุมหน้าร้าน... “Oh…shit…ตายล่ะ... เวรจริงๆ” เขาผรุสวาท และรีบกดกระจกลงตะโกนถาม “เป็นอะไรไหมนั่น... ผมจะพาไปคลินิก” เขาเห็นเธอล้มลง เขาน่าจะชนเธอตรงสะโพกพอดี เขารีบลงรถไปอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเปิดประตูหลังเอาเธอวางลงบนเบาะหลัง ขณะพันธ์พิสุทธิ์ออกรถไป เขาถามเธอด้วยใจกระวนกระวาย“คุณเจ็บตรงไหนบ้าง” เขามองกระจกส่องหลัง เห็นเธอเอามือไปลูบหลังข้อศอกและขาข้างซ้ายน่าจะเป็นแผลกิ่งฟ้ากำลังล้วงเอาทิชชูเปียกในกระเป๋าออกมาซับเ
กิ่งฟ้าหลับไปในความฝัน เธอเห็นดวงตาปีศาจปรากฏอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ ขณะกำลังเดินเล่นเพลินๆ อยู่นั้นเอง“เฮ้ย... ดา แกทำอะไรน่ะ” เธอถามดารณีขณะสาวตาหยีโผล่พรวดมาจากหลังพุ่มไม้แล้วเดินเข้ามาหา“ฉันเอาหนอนมาให้...” ดารณีรู้ว่าเพื่อนรักเกลียดตัวหนอนเป็นที่สุด“หูย...หยี เอาไปให้พ้น” เธอหลับตาแต่ยังแอบหรี่ตาข้างซ้ายมองว่า เพื่อนสาวเอาออกไปหรือยัง“ไม่... มันคือผีเสื้อ” จากนั้นดารณีโยนเจ้าหนอนสีเขียวขึ้นไป กลับกลายเป็นผีเสื้อปีกสีเขียวขยับบินร่อนอยู่ตรงหน้าเธอ“โห... สวยจังเลย” ดารณียิ้มเมื่อได้ยินเพื่อนสาวเบื้องหน้าเอ่ยปากชื่นชมไม่นานดารณีหายวับไป ในขณะที่กิ่งฟ้ากำลังวิ่งไล่ตามผีเสื้อที่บินวนเวียนหยอกเย้าเธอ“อ้าววว... ดา แกมาเงียบๆ แล้วก็หายไปเงียบๆ” เธอขำเบาๆ จากนั้นจึงวิ่งหมุนวนอยู่กลางสวนสวย และแล้วจู่ๆ หน้าของชายหนุ่มแปลกประหลาดนายหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงกลางหน้าของสาวน้อย“คุณชอบผีเสื้อหรือ...ผมมีอะไรมาให้ดู” เขายื่นหินกลมๆ สีฟ้าตรงกลางเป็นสีขาวกลม และวงกลมในสุดเป็นสีฟ้าสวยงามมากในความรู้สึก เธอไม่เคยเห็นหินชนิดนี้มาก่อน“หินอะไรคะ” เธอถามขณะเห็นหน้าชายหนุ่มแปลกหน้า เขามองจ้องตาเธอ แววตาเห
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะ จ้องสายตาของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้านิ่ง แววตาของเขาท้าทายในความรู้สึกของเธอยิ่งนัก“เฮ้อ... ผมคงเจอนักลวงโลก the world scammer!!!” เขาเปรียบเปรยเห็นภาพลอยอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดแจ้ง“นี่... พูดให้ดีๆ นะ ฉันฟ้องคุณได้” กิ่งฟ้าเหลืออด ถลึงตาใส่ชายหนุ่ม“ได้เลย... ผมยินดี ถ้าไม่จริง บอกมา คุณชื่ออะไร” เขายังบังคับกลายๆ จะไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง“เอ่อ... กิ่งฟ้า” เธอจำยอมในที่สุด ก้มหน้าลงกับพื้นโต๊ะ “อ้าววว... แสนภพเพิ่งบอกผมว่า คุณชื่อ ดารณี หรือว่าผมฟังผิด” เขาเอากำปั้นทุบโต๊ะ ทำเอากิ่งฟ้าสะดุ้งพรวดเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา“นี่คุณ... ทำอย่างกับฉันเป็นผู้ต้องหา ฉันมาเสนอขายสินค้า” เธอมองสบตาชายหนุ่มนิ่งขณะกล่าวตอบ“เหรอครับ... แล้วสินค้านี้หลอกผมด้วยไหมเนี่ย” เขาหัวเราะเยาะเย้ยเธอ“โอเค... ถ้าคุณยังพูดอะไรแบบนี้ ต้องขออนุญาตลากลับนะคะ” เธอเอ่ยเบาๆ จำยอมไม่อยากตอบโต้ใดๆ ขณะจ้องแววตาของเขาที่ระริกหยอกล้ออยู่ในดวงตาคมคู่นั้น“อาการคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ... ขอผมดูหน่อยได้ไหม” เขาลุกขึ้นก้าวมายืนค้ำหัวเธอ ผายมือขอร้องอย่างสุภาพ“ดีขึ้นนิดหน่อย ข้อเท้าแพลงคงอาจหลายวันค่ะ
พันธ์พิสุทธิ์ไม่ได้ตอบคำถามใดใด สายตาของเขาเต็มไปด้วยแววเล่ห์เพทุบาย ต้องการแก้เผ็ดหญิงสาว“ผมจะพาคุณไปหาหมอ เผื่อเป็นอะไรมากกว่านี้” เขาทำหน้าตารู้สึกผิดเล็กน้อย ในความรู้สึกของกิ่งฟ้า มาดคุณหมอไม่มีเลยตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนมาถึงครั้งนี้ หากไม่บอกถึงอาชีพการงาน เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักธุรกิจมากกว่า“ค่ะ... ยังเจ็บเอวอยู่เลย” สีหน้าของสาวน้อยเบื้องหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็น ชายหนุ่มรู้ดีว่าน้ำหนักตัวของเขาคงกระแทกเธออย่างจังตอนลงไปถึงพื้นบันได ใจของเขากระตุกทันทีเมื่อหวนนึกถึงความรู้สึกที่วาบหวิว ร่างกายของเขาและเธอทาบทับกันนิ่งขณะนั้น ทำให้เขารู้สึกถึงประจุไฟปรารถนากำลังปะทุขึ้นจนอณูของเซลส์เกิดแรงสั่นสะเทือนกิ่งฟ้าถูกชายหนุ่มพยุงร่างบอบบางไปถึงยังลานจอดรถ เขาตัดสินใจอุ้มเธอเดินก้าวไปยังที่รถยนต์ซึ่งจอดห่างออกไปเกือบสองล็อก ลมหายใจของเขารดยังต้นคอของเธอจนรู้สึกสยิวไปทั่วร่าง“อืม... จริงๆ ฉันก็เดินได้อยู่น่ะ” เธอกล่าวปฏิเสธไป แต่ในใจรู้สึกยินดีเหลือล้น เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะท่าทีดูนุ่มนวลขึ้นกว่าครั้งก่อน“กอดผมแน่นๆ ไม่งั้นคุณอาจหล่นได้ ผมไม่เคยอุ้มใค
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะ จ้องสายตาของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้านิ่ง แววตาของเขาท้าทายในความรู้สึกของเธอยิ่งนัก“เฮ้อ... ผมคงเจอนักลวงโลก the world scammer!!!” เขาเปรียบเปรยเห็นภาพลอยอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดแจ้ง“นี่... พูดให้ดีๆ นะ ฉันฟ้องคุณได้” กิ่งฟ้าเหลืออด ถลึงตาใส่ชายหนุ่ม“ได้เลย... ผมยินดี ถ้าไม่จริง บอกมา คุณชื่ออะไร” เขายังบังคับกลายๆ จะไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง“เอ่อ... กิ่งฟ้า” เธอจำยอมในที่สุด ก้มหน้าลงกับพื้นโต๊ะ “อ้าววว... แสนภพเพิ่งบอกผมว่า คุณชื่อ ดารณี หรือว่าผมฟังผิด” เขาเอากำปั้นทุบโต๊ะ ทำเอากิ่งฟ้าสะดุ้งพรวดเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา“นี่คุณ... ทำอย่างกับฉันเป็นผู้ต้องหา ฉันมาเสนอขายสินค้า” เธอมองสบตาชายหนุ่มนิ่งขณะกล่าวตอบ“เหรอครับ... แล้วสินค้านี้หลอกผมด้วยไหมเนี่ย” เขาหัวเราะเยาะเย้ยเธอ“โอเค... ถ้าคุณยังพูดอะไรแบบนี้ ต้องขออนุญาตลากลับนะคะ” เธอเอ่ยเบาๆ จำยอมไม่อยากตอบโต้ใดๆ ขณะจ้องแววตาของเขาที่ระริกหยอกล้ออยู่ในดวงตาคมคู่นั้น“อาการคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ... ขอผมดูหน่อยได้ไหม” เขาลุกขึ้นก้าวมายืนค้ำหัวเธอ ผายมือขอร้องอย่างสุภาพ“ดีขึ้นนิดหน่อย ข้อเท้าแพลงคงอาจหลายวันค่ะ
กิ่งฟ้าหลับไปในความฝัน เธอเห็นดวงตาปีศาจปรากฏอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ ขณะกำลังเดินเล่นเพลินๆ อยู่นั้นเอง“เฮ้ย... ดา แกทำอะไรน่ะ” เธอถามดารณีขณะสาวตาหยีโผล่พรวดมาจากหลังพุ่มไม้แล้วเดินเข้ามาหา“ฉันเอาหนอนมาให้...” ดารณีรู้ว่าเพื่อนรักเกลียดตัวหนอนเป็นที่สุด“หูย...หยี เอาไปให้พ้น” เธอหลับตาแต่ยังแอบหรี่ตาข้างซ้ายมองว่า เพื่อนสาวเอาออกไปหรือยัง“ไม่... มันคือผีเสื้อ” จากนั้นดารณีโยนเจ้าหนอนสีเขียวขึ้นไป กลับกลายเป็นผีเสื้อปีกสีเขียวขยับบินร่อนอยู่ตรงหน้าเธอ“โห... สวยจังเลย” ดารณียิ้มเมื่อได้ยินเพื่อนสาวเบื้องหน้าเอ่ยปากชื่นชมไม่นานดารณีหายวับไป ในขณะที่กิ่งฟ้ากำลังวิ่งไล่ตามผีเสื้อที่บินวนเวียนหยอกเย้าเธอ“อ้าววว... ดา แกมาเงียบๆ แล้วก็หายไปเงียบๆ” เธอขำเบาๆ จากนั้นจึงวิ่งหมุนวนอยู่กลางสวนสวย และแล้วจู่ๆ หน้าของชายหนุ่มแปลกประหลาดนายหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงกลางหน้าของสาวน้อย“คุณชอบผีเสื้อหรือ...ผมมีอะไรมาให้ดู” เขายื่นหินกลมๆ สีฟ้าตรงกลางเป็นสีขาวกลม และวงกลมในสุดเป็นสีฟ้าสวยงามมากในความรู้สึก เธอไม่เคยเห็นหินชนิดนี้มาก่อน“หินอะไรคะ” เธอถามขณะเห็นหน้าชายหนุ่มแปลกหน้า เขามองจ้องตาเธอ แววตาเห
พันธ์พิสุทธิ์รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะในใจเหมือนมีลางอะไรบางอย่างบอกเหตุว่า เวลาเจอผู้หญิงคนนี้ทั้งสองครั้งทำให้ต้องเกิดเรื่องราว เขาจึงอยากรีบกลับถึงบ้าน “ผมขอ say bye เลยนะครับ” เขายกข้อมือดูนาฬิกา เวลาเกือบสามทุ่ม เขามีเรื่องต้องโทรหาน้องสาวซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ซิดนีย์ เธอขอให้เขาโทรหาไม่รู้มีเรื่องอะไร“ค่ะ... งั้นลาตรงนี้นะคะ” เธอยกมือไหว้ชายหนุ่ม เขาโบกมือลาขณะกำลังก้าวเดินออกจากโต๊ะ เขารีบเดินกลับไปที่รถ ขณะนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง และรู้ตัวว่าต้องรีบกลับ ขณะใจกำลังวกวนเรื่องเธอคนนี้ เขาเลี้ยวรถตรงหน้าร้านจะออกไป เธอกำลังรับโทรศัพท์เดินลงมาตรงหัวมุมหน้าร้าน... “Oh…shit…ตายล่ะ... เวรจริงๆ” เขาผรุสวาท และรีบกดกระจกลงตะโกนถาม “เป็นอะไรไหมนั่น... ผมจะพาไปคลินิก” เขาเห็นเธอล้มลง เขาน่าจะชนเธอตรงสะโพกพอดี เขารีบลงรถไปอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเปิดประตูหลังเอาเธอวางลงบนเบาะหลัง ขณะพันธ์พิสุทธิ์ออกรถไป เขาถามเธอด้วยใจกระวนกระวาย“คุณเจ็บตรงไหนบ้าง” เขามองกระจกส่องหลัง เห็นเธอเอามือไปลูบหลังข้อศอกและขาข้างซ้ายน่าจะเป็นแผลกิ่งฟ้ากำลังล้วงเอาทิชชูเปียกในกระเป๋าออกมาซับเ
หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต“เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม“แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก“นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว“เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ“โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ“อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า“ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่อง
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
เสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา