หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต “เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม “แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก “นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว “เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ “โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ “อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า “ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่มาก จะไม่ยอมให้หลุดมือแม้แต่สลึงเดียว ทั้งสองคนเป็นคู่หูมาตั้งแต่สมัยมัธยม รู้ไส้รู้พุงกันดี
เธอเปิดแช็ตที่แอดไลน์กันไว้ ไม่รู้จะเริ่มต้นทักทายยังไงดี แต่พอเปิดมาเห็นข้อความขึ้นเป็นรูปอิโมจิ
“ไม่เห็นเขียนอะไรเลย คงรอเราให้เขียนไปบอกเวลานัดล่ะมั้ง” เธอคิดเองเออเอง “แต่เขาบอกให้โทรไป... อย่าเลย ฝากข้อความเวลานัดไป ถ้าไม่ได้...ค่อยบอกเวลาไปใหม่” เธอพึมพำแล้วเริ่มพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ให้เขาตอบกลับ ปรากฏว่านายคนนี้ตอบกลับทันที แสดงว่าเขาต้องคงเปิดมือถืออยู่กิ่งฟ้าตัดสินใจเขียนข้อความนัดหมาย วันอาทิตย์ ตอน 18.00 น. เธอจะไปตามนัดหมาย ชายหนุ่มตอบกลับทันที…
‘เจอกันที่ร้านอิ่มทิพย์ ตามแผนที่ที่ส่งมาให้’วันที่นัดกันกิ่งฟ้าเตรียมตัวดีมาก และพยายามไม่รื้อฟื้นเรื่องเดิมที่เจอกันที่สนามบิน ไม่อยากให้เขารู้สึกอับอาย เธอเรียกใช้บริการรถจากแอป ไม่อยากขับรถไปเองกลัวหาไม่เจอยิ่งเสียเวลา พอผลักประตูร้านเข้าไป เห็นเขานั่งรออยู่ที่โต๊ะมุมซ้ายติดกระจกใสมองเห็นสวนด้านข้างร้านที่ประดับประดาไฟตกแต่งตามกิ่งไม้ระยิบระยับ ร้านอาหารไม่ใหญ่มากและน่าจะเป็นร้านอาหารของพวกวัยรุ่นมากกว่า
วันนี้เขาสวมเสื้อยืดรัดรูป มองเห็นกล้ามตรงหัวไหล่เป็นหนอก หน้าอกเป็นมัดไล่ลงไปถึงหน้าท้องน่าจะเป็นซิกซ์แพ็ก กางเกงกีฬาขาสั้นฟิตตึงเปรี๊ยะ เธอท่องไว้ในใจว่าอย่าขาดแบบวันนั้นอีกนะ เป็นได้เรียกเสียงฮา...จากเธออีก
“เชิญครับ...” เขาลุกขึ้นยืนทักทายเชิญเธอนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “สวัสดีค่ะ... เอ่อ” เธอยังไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร มีบันทึกประจำวันที่เธอได้มา ดันลืมเปิดอ่านไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชื่ออะไร “ผม...ดอนนะครับ” เขาแนะนำตนเองสั้นๆ “ค่ะ... ฉันกิ่ง...ค่ะ” เธอตอบกลับไปสั้นๆ เหมือนกัน “แล้วคุณหาเงินเจอไหมครับ” เขาอมยิ้มให้เธอที่มุมปาก “ไม่ค่ะ... ฉันคิดว่าคงไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง คุณไม่จำเป็นต้องคืนก็ได้นะคะ” เขาได้ยินคำพูดของเธอ แววตาที่จ้องกลับมาดูระริกเยาะเย้ยในนั้น “คุณไม่อยากได้แล้วหรือ ผมมีดอลลาร์มาให้เป็นปึก คุณอยากได้เท่าไหร่บอกมาได้เลย” “คุณทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราหรือคะ” เธอโพล่งออกไปแบบไม่คิด ลืมไปว่าครั้งก่อนตอนโทรไปหาเขาให้มาเจอกันที่สถานีตำรวจ เขารับสายเรียกตนเองว่า ‘หมอดอน’ “ผมแลกเงินไว้ใช้ไว้แจก” เขาเอ่ยตอบแบบกวนๆ “ฮะ... เหรอคะ งั้นคงรวยมากนะสิ” เธอขำกับคำพูดเปิ่นๆ ที่ถามไปแบบนั้นไม่ได้เฉลียวใจ “ครับ... คุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาเงินของคุณไป ตระกูลผมรวยล่ะกัน” คำพูดเหมือนอวดร่ำอวดรวยเสียเหลือเกิน จนกิ่งฟ้าทำหน้าแบบเอียน “ค่ะ... เห็นคุณแต่งตัว ฉันพอมองออกค่ะ ฉันก็ไม่ได้ตาต่ำลงไปถึงตาตุ่ม” เธอพูดสุดตลก นัดกันเพื่อเอาเงินมาให้ ไม่ต้องกินอะไรก็ได้ จะได้รีบกลับบ้าน “เข้าใจเปรียบเทียบ ผมคงไม่ต่ำเตี้ย จนคุณมองถึงขนาดนั้น” กิ่งฟ้านึกในใจช่างยอกย้อนดีจริง “คุณสั่งอาหารเลย วันนี้ผมเป็นเจ้าภาพดินเนอร์มื้อนี้ แถมเงินให้คุณอีก” เขาหัวเราะเบาๆ “ฉันบอกแล้วไม่เป็นไร... ไม่ต้องเอามาให้หรอกค่ะ” เธอทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด “เอาไปเถอะ คุณจะได้สบายใจ อย่างน้อยผมก็ไม่รู้สึกผิดไงครับ” เขาดูสุภาพขึ้นมานิด “ขอบคุณมากค่ะ...” ทันทีที่เธอพูดจบเพล้ง...
เสียงมือถือของเขาร่วงลงพื้นแตกกระจาย เหมือนเขาคงจะใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงที่ดูทรงแล้วคงเก็บไม่ดี “ขอโทษนะครับ มือถือผมแตก” เขาก้มลงไปหยิบขึ้นมา ได้ยินเสียงผรุสวาทเบาๆ... shit เป็นภาษาอังกฤษ คงเผลอด่ามัน... ไอ้เวร หรือไม่อาจนึกด่าเธอก็เป็นได้ “ตายจริง... ฉันทำให้คุณเสียหายมากไหมนั่น” เธอขมวดคิ้ว “ไม่ครับ ... แต่ผมแปลกใจ วันนั้นที่สนามบิน กางเกงผมเป้าขาด วันนี้มือถือพัง ผมไม่มีเครื่องสำรองด้วย” เขาทำหน้าสุดตลกกับเหตุการณ์ที่เจอกันตั้งแต่วันแรก มาวันนี้อีกกิ่งฟ้าขำไม่ออก ได้เพียงแต่แสดงอาการเห็นใจ “งั้นคุณเก็บดอลลาร์ไว้เถอะ ฉันไม่ได้อยากรับมันไว้ค่ะ ฉันสังหรณ์ว่ามันอาจจะไม่ดีแล้วค่ะ” กิ่งฟ้าเป็นคนเชื่อถือโชคลาง “รับมันไปเถอะ ผมยินดีนะครับ” เขาไม่มีทีท่ากังวลอะไรกับมือถือแค่นี้ จิ๊บจ๊อยสำหรับเขาหลังจากนั้นบริกรหนุ่มของร้านเข้ามาสอบถามเรื่องออเดอร์อาหาร เขาสั่งอาหารจานเดียว แค่พาสต้าคาโบนารากับแฮมโรยด้วยพาร์เมซันชีส ส่วนของเธอสั่งแค่ผักขมอบชีสเท่านั้น ทำให้เขามองอย่างสงสัย
“ไม่สั่งอะไรมาทานอีกหรือ น้อยไปหรือเปล่า จะไม่อิ่มนะครับ” เขารู้สึกมองอย่างเป็นห่วงเป็นใย “คงแค่นี้ค่ะ นี่ก็เกือบ 400 แคล แล้วค่ะ” เธอไม่เน้นมือเย็น “เหมือนผมเลย ไม่เน้นมื้อเย็น แต่หนักมื้อดื่ม” เขาขำเบาๆ “คุณดื่มหรือคะ... ฉันว่าคราวต่อไป เราไปหาที่ดื่มไวน์กันดีกว่า” เธอจ้องหน้าเขาที่มองเธออย่างท้าทาย “คุณซีเรียสกับการดื่มไหม ผมกำลังหาเพื่อนร่วมดื่มกันอยู่พอดี” เขาคงเริ่มอยากคุ้นเคยกับเธอ ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ไปเรียนอยู่เมืองนอกหลายปี “นิดหน่อยค่ะ... ดื่มแค่ให้นอนหลับง่ายเท่านั้น” เธอเอ่ยถึงพฤติกรรมส่วนตัว “คุณหลับยากหรือครับ... ปรึกษาผมได้” จากอาชีพแพทย์เลยกลายเป็นนิสัยประจำตัวต้องได้พูดคำนี้ทุกครั้ง “ฉันนอนไม่เต็มอิ่ม มาหลายปีแล้วตั้งแต่สมัยเรียนอยู่” เธอตอบกลับไป “เอานามบัตรผมไป คุณโทรมานัดผมที่คลินิกสุขภาพและความงามได้ ผมประจำอยู่ที่นี่” เขาเชิญชวนให้เธอไปใช้บริการ “คุณเป็นจิตแพทย์...หรือคะ ดีเลย กำลังอยากนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปนำเสนอได้ไหมคะ” เธอทำธุรกิจนี้โดยหุ้นส่วนใหญ่เป็นเพื่อนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ไม่เคยเข้ามาดูแล ปล่อยให้กิ่งฟ้าบริหารคนเดียว เธอกลายเป็นคนทำงานหนักให้หุ้นส่วนได้ผลกำไรไปเต็มๆ “ได้ครับ... ไว้คุณโทรมานัดผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัท เผื่อมีสินค้าอะไรที่ทางเราต้องการ” เขายิ้มให้เธออย่างอบอุ่น “ธุรกิจของฉันเป็นสินค้าอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและชะลอวัยค่ะ” เธอดันลืมเอาแผ่นพับสินค้าติดมา “ดีเลยครับ... คุณโทรตามเบอร์ของคลินิก แล้วติดต่อกับคุณแสนภพ ได้เลยครับ” ทันทีที่เขาแจ้งเธอ เสียงเรียกเข้าจากมือถือของกิ่งฟ้าดังขึ้น... กิ่งฟ้าขอโทษเขาเพื่อรับสายจากคุณแม่ของเธอที่ถามเรื่องเวลากลับบ้าน“คุณแม่โทรตามแล้วหรือครับ” เขาเดาจากคำพูดโต้ตอบ
“ค่ะ... พอดีลืมบอกท่านไว้ คงกลับมาไม่เจอฉัน” เธอเล่าคร่าวๆ “คุณอยู่กับคุณแม่สองคน?!” เป็นคำพูดเชิงคำถาม ซึ่งเธอมองว่าเขาคงถามไปอย่างนั้น “ค่ะ... คุณพ่อท่านไปมีครอบครัวใหม่” เธอตอบอย่างเปิดเผยดูเป็นธรรมชาติไม่สะทกสะท้าน “คุณมีปัญหาลึกๆ เรื่องนี้หรือเปล่า” เขาเริ่มทำหน้าที่แพทย์นอกเวลางานอีกแล้ว “มีบ้างตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ฉันเลยกลายเป็นคนเหมือนหลงลืมง่าย” “งั้นต้องมาพบผมที่คลินิก คุณนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม” เขาเริ่มซักไซ้ไล่เรียง “ค่ะ... น่าจะรบกวนอาการนอนของฉันค่ะ” เธอมีปมเรื่องนี้มาตั้งแต่มัธยม พ่อต้องการแยกทางกับแม่เพื่อไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่เขาพูดติดตลกดูมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น เมื่อเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
“ชีวิตคนเรา ... มันอาจดูแย่ เมื่อเกิดปมปัญหาขึ้นมา หากเราให้อภัยกันไปมันก็จบ แต่ในความเป็นจริง จิตใจมันเก็บไว้ลึกมาก... คุณว่าจริงไหม เหมือนคุณกับผม...” เขาทำให้เธอขมวดคิ้วจนเห็นหน้าผากย่น “คุณอย่าทำหน้าแบบนี้บ่อยๆ” เขาพูดทำนองแซวเธอ “ทำไมหรือคะ” เธอยังไม่เข้าใจประโยคนี้อยู่ดี “คุณขายสินค้าชะลอวัย คุณต้องใช้ครีมทาบริเวณหว่างคิ้วกับหน้าผากมากหน่อย” “เอ่อ... ออ ฉันคงจะแก่แดดแก่ลมไปใช่ไหม” เธอคะยั้นคะยอกับคำถามบังคับตอบ “ไม่ใช่... คุณจะแก่เร็วมากกว่า” เขาทำให้เธอนึกคำด่าอยู่ในใจ ‘อีตาบ้า…!!!’เสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
หลังจากเอากระเป๋าเดินทางกลับมาถึงบ้าน กิ่งฟ้าจึงรีบเปิดกระเป๋าค้นหาเงินดอลลาร์ที่ซุกซ่อนอยู่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ“มันยังไงล่ะเนี่ย...” เธอโทรไปคุยกับดารณีที่แช็ต“เขานัดให้ไปเจอ จะเอาเงินให้ ไป...ไป เหอะ” ดารณีรำคาญแม่เพื่อนสาวจอมหลงลืม“แล้วฉันเอาไปทำหล่นทำหาย... ไม่น่าใช่อีก โอย...หัวจะปวด” เธอร้องโวยวาย ใจกระวนกระวาย กลัวหน้าแตกหากเขาคิดว่าเธอจอมงก ในใจคิดแต่ว่าต้องหาเงินจำนวนนี้ให้เจอ ไม่อยากให้เขาดูถูก“นี่ นังกิ่ง ฉันขอบอกว่า แกควรไปเจอ... รู้ไหมเขาอยากนัดเดท” ดารณีเข้าใจความเป็นไป ชายหนุ่มน่าจะเริ่มสนใจนังเพื่อนรักคนนี้แล้ว“เฮ้อ... มันขัดๆ เขินๆ ยังไง ไม่รู้ว่ะ แก... ช่วยคิดหน่อยว่าฉันควรจะบอกขอโทษยังไง เกิดดันเจอเงินแล้ว” “ไม่ต้องเลย... แกตีเนียนไป แม้หาเจอ ฉันไม่ได้สอนให้โกหก แต่มันแค่ white lie เพื่อความสบายใจของแกเอง” ดารณีคิดแผนให้เสร็จสรรพ“โห... มันโกหกตัวใหญ่เลย” เธอทำเสียงจ๋อยๆ“อ้าววว ... ตกลงหาเจอแล้วหรือ” ดารณีขึ้นเสียง สับสนกับกิ่งฟ้า“ยังเลย... ว่าจะไม่หาแล้ว ไม่รู้ว่าไปลืมไว้ตรงไหน” เธอคิดเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีดารณีกดวางสายไปสุดรำคาญ สำหรับกิ่งฟ้าเรื่อง
กิ่งฟ้าเข้าใจผิดคิดว่า เขาต้องเป็นฝ่ายโทรหาเธอ มานึกขึ้นได้เมื่อดารณีถามขึ้นตอนไปออกกำลังกายด้วยกันตอนเย็นวันต่อมา“เฮ้ย... แก ไม่เอากระเป๋าคืนเหรอ” คำถามของเพื่อนตัวเล็กตาหยี ทำให้เธอสะดุ้งทันที“เอ่อ... ลืมไปว่ะ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้”“อะไรของมันวะ นังนี่... ตั้งแต่กลับมาถึงเมื่อวาน เริ่มเพี้ยนจัด” ดารณีเพื่อนตัวเล็ก กำลังควงฮูลาฮูป “หมุนเอวไป จะได้ไซซ์ S เร็วๆ ห้ามพูดไม่ใช่เหรอ จะควงไม่มัน” กิ่งฟ้าหมั่นไส้ยัยเพื่อนตาหยีคนนี้ อยากสวยเอวบางเมื่อดารณีเริ่มพักเบรกหลังจาก 15 นาทีผ่านไป เธอเลยถามกิ่งฟ้าอีกครั้ง“นี่ตกลง จะให้เขาโทรมาตามหรือไง” “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ... อีตานั่นยื่นนามบัตรอะไรนี่แหละ แต่ดันไปซุกลงตรงไหนไม่รู้” เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่ารับนามบัตรมาแล้วยัดไว้ตรงไหนของกระเป๋า“แล้วเคลมกระเป๋าที่สนามบินไว้ใช่ไหม” ดารณีเตือนเธอ“ใช่ ... ก็ไม่เห็นโทรมาตามเลย” ในที่สุดหลังจากดูเพื่อนออกกำลังกายฟิตหุ่น กิ่งฟ้าง่วนกับการค้นกระเป๋า ไม่รู้ว่านามบัตรของชายหนุ่มคนนั้นไปซุกไว้ตรงไหน“เอางี้... เทกระเป๋าออกมาให้หมด เดี๋ยวฉันช่วยเอง” ดารณีเริ่มเห็นความวุ่นวาย นึกตงิดๆ ว่าเพื่อนสาวแสนข
เสียงตะคอกใส่กันดังก้องกังวาน...ประมาณคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงบริเวณจุด meeting point ของสนามบินสุวรรณภูมิ“นี่... มายื้อยุดฉุดกระเป๋าผมได้ยังไง นี่มันของผม...!!!” ชายหนุ่มสูงชะลูด 182 ซม.ยืนจังก้าหัวร้อน โมโหอย่างแรงจ้องหน้าบางใสกิ๊กของสาวน้อยส่วนสูง 170 ซม. หุ่นราวนางแบบ“เฮ้ย... มันของฉัน นายหยิบกระเป๋าผิด!!!” ผู้ชายอะไรวะ กระเป๋าสีเขียวหวานพาสเทลเหมือนเรา เธอนึกด่าความสะเหร่อ ไม่ได้ดูอะไรเลยมาคว้าเอาของคนอื่น แถมก้าวยาวราวนักวิ่ง 10*100 เมตร วิ่งไล่ตามเกือบไม่ทัน แมร่งเอ้ย...ขาเจ้ากรรมเสือกดันสะดุดพันกันอีก “ไม่ใช่ดูอีกที... ป้ายชื่อผม!!!” เขากระแทกเสียงดัง หยิบแผ่นแท็กป้ายชื่อกระเป๋าออกมาให้เธอเห็น มันช่างชัดเจนเต็มสองลูกตา“ไม่ใช่... นี่ไง” เสียงตะคอกแย้งกลับ เธอยื้อกระเป๋ามาแล้วพลิกแผ่นสติกเกอร์แท็กบาร์โค้ดคล้องหูกระเป๋ามาจากสนามบินต้นทางให้เขาดู เขาคิ้วขมวด ในใจนึก มันเรื่องบ้าบอ!!! อะไรกันว่ะ… “เอางี้... เปิดกระเป๋าเลยดีกว่า!!!” เขาทำหน้าไม่พอใจ อะไรของยัยคนนี้ ...ซุ่มซ่าม เมื่อกี้วิ่งตามมาตะโกนเรียก...เฮ้ย เฮ้ย ดังลั่นจนคนมองกันทั่ว แถมดันสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม ดึงเสื้อเขา