แชร์

บทที่ 1 อลินดา - 25%

Ducati Monster 821 สีดำคันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้าไปในคอนโดมิเนียมในเวลาที่เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขสาม พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบกดปุ่มเพื่อยกไม้กั้นขึ้นให้ทันทีเพราะรู้ดีว่าผู้ที่เป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันนี้เป็นใคร จากนั้นก็ยืนยิ้มร่าทำความเคารพด้วยการตะเบ๊ะพร้อมกับพูดว่า

"เชิญครับลูกพี่"

ผู้ที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์เปิดหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นแล้วยกมือให้ข้างหนึ่งเพื่อทักทายกลับโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะขับเข้าไปด้านในโดยมีสายตาของพนักงานคนเดิมมองตามไปด้วยความชื่นชม

"จุ๊ ๆ โคตรสวยเลย เมื่อไรจะมีวาสนาได้ขับดูคาติกับเขาบ้างวะกู"

พูดจบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะรู้ดีว่ารถซูเปอร์ไบค์คันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไปนั้นราคาเท่าไร ลำพังเงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ อย่างตน ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ

อลินดาขับรถเข้าไปจอดที่ประจำของตน หลังจากดับเครื่องแล้วก็ลงมายืนข้างรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออกมาถือไว้ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ และเครื่องหน้าที่สวยจัดแม้จะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวบิดคอไปมาสองสามครั้งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะเดินไปทางโถงหน้าลิฟต์พลางเปิดกระเป๋าเป้เพื่อหากุญแจห้องพัก

เมื่อเข้ามาในห้อง อลินดาวางกระเป๋าเป้ไว้บนโซฟาห้องรับแขก จากนั้นก็เข้าไปในห้องนอน คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายทันที

"ฟู่..." หญิงสาวเป่าลมออกจากปากอย่างผ่อนคลายก่อนเงยหน้ารับสายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนมาท้าแข่งบนถนนใหญ่ หนำซ้ำรถที่แข่งด้วยยังเป็นซูเปอร์คาร์ ซึ่งเธอรู้ดีว่าอย่างไรเสียตนก็แพ้แน่นอน แต่กระนั้นก็ยังรับคำท้าเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว และรถบนถนนก็ไม่มีคันอื่น แต่เพราะการคุยโวของผู้ชายคนนั้นจึงทำให้อลินดาอดยั่วยุอีกฝ่ายไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ยั่วให้คู่แข่งเลือดลมสูบฉีดแล้วเธอจึงขับชิ่งหนีมาอีกทางทันที เพราะไม่ต้องการมีปัญหาตามมาภายหลัง หรือต่อให้อีกฝ่ายนึกแค้นเคืองแล้วขับตามมาก็คงตามไม่ทัน เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครตามมาเอาเรื่องเธอถึงที่นี่ได้

ช่างเถอะ คงได้เจอกันแค่ครั้งเดียว เธอคงไม่โชคร้ายเจอผู้ชายคนนั้นอีกกระมัง

เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างต่อเนื่องปลุกให้คนที่กำลังหลับใหลต้องสะดุ้งตื่นทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สี่ชั่วโมง อลินดารีบคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงมากดรับสายทันที

"ค่ะคุณแม่" แม้จะง่วงแสนง่วงและลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่หญิงสาวก็ต้องพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้มารดาที่ฟังอยู่ปลายสายเกิดความสงสัย

"ขับรถอยู่หรือลูก ตอนนี้อยู่ตรงไหนแล้ว"

"สระบุรีแล้วค่ะคุณแม่ คิดว่าสักสิบโมงก็น่าจะถึงร้าน" เธอตอบพลางเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่บนหัวเตียง

"ถึงสระบุรีเร็วจัง นี่แสดงว่าออกจากที่โน่นมาแต่เช้าเลยสิเนี่ย ไม่ต้องรีบนะลินดา ค่อย ๆ ขับมานะลูก ไม่ต้องห่วงทางนี้ แม่ดูแลได้อยู่"

น้ำเสียงของมารดาที่เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงนั้น ทำให้อลินดาอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ต้องโกหก

"หนูจะพยายามไปให้ทันพระสวดนะคะคุณแม่ ฤกษ์เปิดร้านคือเก้าโมงห้าสิบเก้านาทีไม่ใช่หรือคะ หนูไปทันแน่นอนค่ะ"

หญิงสาวคำนวณเวลาในหัวแล้วคิดว่าอย่างไรเสียก็ไปทันตอนพระสวดพอดี วันนี้เป็นวันทำบุญเปิดร้านพิมาลินสปาและนวดแผนไทยสาขาใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมที่พักอยู่เท่าไรนัก เวลานี้เพิ่งเลยแปดนาฬิกามาเพียงเล็กน้อย ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงร้านได้แล้ว

"แม่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ขับมาอย่าให้เกินแปดสิบนะลินดา แถวนั้นรถบรรทุกเยอะจะตายไป...แค่นี้ก่อนละกันนะแม่ไม่กวนแล้ว ขับรถดี ๆ ล่ะ"

"ค่ะคุณแม่" หญิงสาวกดวางสายแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เฮ้อ...ต้องเป็นคุณลินดาผู้เพียบพร้อมอีกแล้วสินะ"

นอกจากเพื่อนสนิทแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าอลินดาหลงใหลการขี่บิ๊กไบค์ คอนโดมิเนียมห้องนี้ก็ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่าหญิงสาวแอบซื้อเอาไว้ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี หากมองจากภายนอก ทุกคนจะเห็นว่าอลินดาเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอและฐานะทางบ้าน แต่ความจริงแล้วคนที่รู้ว่าเธอชอบใช้ชีวิตโลดโผนท้าทาย และนิยมความเร็วเป็นชีวิตจิตใจนั้นมีน้อยคนจนแทบนับนิ้วได้

อลินดานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเรื่องที่เธอแข่งรถมอเตอร์ไซค์รู้ถึงหูมารดาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และถ้าท่านรู้ว่าเธอนำเรื่องเกสต์เฮ้าส์ที่ลงขันเปิดกับเพื่อนในจังหวัดบุรีรัมย์มาเป็นข้ออ้างเพื่อที่ตนจะได้ไปดูการแข่งรถที่สนามบุรีรัมย์ เซอร์กิตบ่อย ๆ นั้นท่านจะรู้สึกอย่างไร

หญิงสาวถอนหายใจแผ่วก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว แม้ว่าใจอยากนอนต่ออีกสักนิดแต่เพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อมารดา ความง่วงงุนจึงหายเป็นปลิดทิ้ง

รถเอสยูวีสีขาวเคลื่อนเข้าจอดที่ลานจอดรถกลางแจ้งของศูนย์การค้าย่านรามอินทราที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมร้านอาหารและร้านค้าต่าง ๆ แล้ว ยังมีฟิตเนสและสถานเสริมความงามอีกด้วย

อรพิม มารดาของอลินดาเห็นว่าแหล่งชอปปิงทาวน์แห่งใหม่นี้น่าจะเป็นที่นิยมในไม่ช้า จึงได้มาจองไว้สองห้องตั้งแต่โครงการเพิ่งเริ่มก่อสร้างเพื่อเปิดร้านพิมาลินสปาเป็นสาขาที่สาม

ร่างโปร่งระหงของอลินดาในชุดเดรสลูกไม้สีขาวแขนกุด ความยาวคลุมเข่าเดินไปทางร้านพิมาลินอย่างไม่รีบร้อน หญิงสาวเห็นคนมากมายที่มารดาเชิญมาร่วมงานทำบุญเปิดร้านใหม่แล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะเท่าที่เห็นล้วนมีแต่ลูกค้าขาประจำ และคนกันเองที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทบทั้งสิ้น

อลินดาเห็นมารดาคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างสนิทสนมเพราะมีการจับมือถือแขนราวกับคุ้นเคยกันมานาน ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา

"อุ๊ยนั่นไง ลินดาลูกสาวฉันมาแล้ว"

เสียงของมารดาที่เอ่ยถึงเธอทำให้หญิงสาวต้องยกมือไหว้คนที่ท่านกำลังคุยด้วยโดยที่ไม่ต้องรอให้มารดาเป็นคนแนะนำ

"ลินดา นี่ป้าเกศจ้ะ เป็นเพื่อนแม่ตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยเชียวนะ"

ท่านพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อลินดาจึงยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วย

"สวัสดีค่ะป้าเกศ" หญิงสาวยิ้มละไม ทำเอาคนที่รับไหว้ถึงกับมองตาค้าง

"สวัสดีลูก ตายจริงหนูลินดา ตอนเด็กก็ว่าน่ารักน่าชังแล้วนะ โตขึ้นมาก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่...สวยขนาดนี้ไปเป็นดารานางแบบได้เลยนะเนี่ยยายพิม"

เกศรินมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง อลินดาเองก็เขินไม่น้อย ได้แต่เอ่ยขอบคุณทั้งรอยยิ้ม

"โอ๊ยเธอ แม่คนนี้เขาไม่ชอบวงการบันเทิงหรอก แค่ฉันให้มาเป็นนางแบบโปรโมตร้านยังต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะยอม ฉันนี่งัดทั้งไม้อ่อนไม้แข็งมาเลยเชียว"

อรพิมพยักพเยิดไปทางโปสเตอร์แผ่นใหญ่ที่ติดอยู่บนกระจกหน้าร้าน อีกฝ่ายจึงหันมองตามก่อนจะยิ้มพลางป้องปากพูดกับหญิงสาวคราวลูกตรงหน้า

"ป้าว่าตัวจริงสวยกว่าในโปสเตอร์เยอะเลย"

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status