Ducati Monster 821 สีดำคันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้าไปในคอนโดมิเนียมในเวลาที่เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขสาม พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบกดปุ่มเพื่อยกไม้กั้นขึ้นให้ทันทีเพราะรู้ดีว่าผู้ที่เป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันนี้เป็นใคร จากนั้นก็ยืนยิ้มร่าทำความเคารพด้วยการตะเบ๊ะพร้อมกับพูดว่า
"เชิญครับลูกพี่"
ผู้ที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์เปิดหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นแล้วยกมือให้ข้างหนึ่งเพื่อทักทายกลับโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะขับเข้าไปด้านในโดยมีสายตาของพนักงานคนเดิมมองตามไปด้วยความชื่นชม
"จุ๊ ๆ โคตรสวยเลย เมื่อไรจะมีวาสนาได้ขับดูคาติกับเขาบ้างวะกู"
พูดจบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะรู้ดีว่ารถซูเปอร์ไบค์คันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไปนั้นราคาเท่าไร ลำพังเงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ อย่างตน ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ
อลินดาขับรถเข้าไปจอดที่ประจำของตน หลังจากดับเครื่องแล้วก็ลงมายืนข้างรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออกมาถือไว้ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ และเครื่องหน้าที่สวยจัดแม้จะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวบิดคอไปมาสองสามครั้งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะเดินไปทางโถงหน้าลิฟต์พลางเปิดกระเป๋าเป้เพื่อหากุญแจห้องพัก
เมื่อเข้ามาในห้อง อลินดาวางกระเป๋าเป้ไว้บนโซฟาห้องรับแขก จากนั้นก็เข้าไปในห้องนอน คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายทันที
"ฟู่..." หญิงสาวเป่าลมออกจากปากอย่างผ่อนคลายก่อนเงยหน้ารับสายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนมาท้าแข่งบนถนนใหญ่ หนำซ้ำรถที่แข่งด้วยยังเป็นซูเปอร์คาร์ ซึ่งเธอรู้ดีว่าอย่างไรเสียตนก็แพ้แน่นอน แต่กระนั้นก็ยังรับคำท้าเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว และรถบนถนนก็ไม่มีคันอื่น แต่เพราะการคุยโวของผู้ชายคนนั้นจึงทำให้อลินดาอดยั่วยุอีกฝ่ายไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ยั่วให้คู่แข่งเลือดลมสูบฉีดแล้วเธอจึงขับชิ่งหนีมาอีกทางทันที เพราะไม่ต้องการมีปัญหาตามมาภายหลัง หรือต่อให้อีกฝ่ายนึกแค้นเคืองแล้วขับตามมาก็คงตามไม่ทัน เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครตามมาเอาเรื่องเธอถึงที่นี่ได้
ช่างเถอะ คงได้เจอกันแค่ครั้งเดียว เธอคงไม่โชคร้ายเจอผู้ชายคนนั้นอีกกระมัง
เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างต่อเนื่องปลุกให้คนที่กำลังหลับใหลต้องสะดุ้งตื่นทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สี่ชั่วโมง อลินดารีบคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงมากดรับสายทันที
"ค่ะคุณแม่" แม้จะง่วงแสนง่วงและลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่หญิงสาวก็ต้องพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้มารดาที่ฟังอยู่ปลายสายเกิดความสงสัย
"ขับรถอยู่หรือลูก ตอนนี้อยู่ตรงไหนแล้ว"
"สระบุรีแล้วค่ะคุณแม่ คิดว่าสักสิบโมงก็น่าจะถึงร้าน" เธอตอบพลางเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่บนหัวเตียง
"ถึงสระบุรีเร็วจัง นี่แสดงว่าออกจากที่โน่นมาแต่เช้าเลยสิเนี่ย ไม่ต้องรีบนะลินดา ค่อย ๆ ขับมานะลูก ไม่ต้องห่วงทางนี้ แม่ดูแลได้อยู่"
น้ำเสียงของมารดาที่เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงนั้น ทำให้อลินดาอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ต้องโกหก
"หนูจะพยายามไปให้ทันพระสวดนะคะคุณแม่ ฤกษ์เปิดร้านคือเก้าโมงห้าสิบเก้านาทีไม่ใช่หรือคะ หนูไปทันแน่นอนค่ะ"
หญิงสาวคำนวณเวลาในหัวแล้วคิดว่าอย่างไรเสียก็ไปทันตอนพระสวดพอดี วันนี้เป็นวันทำบุญเปิดร้านพิมาลินสปาและนวดแผนไทยสาขาใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมที่พักอยู่เท่าไรนัก เวลานี้เพิ่งเลยแปดนาฬิกามาเพียงเล็กน้อย ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงร้านได้แล้ว
"แม่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ขับมาอย่าให้เกินแปดสิบนะลินดา แถวนั้นรถบรรทุกเยอะจะตายไป...แค่นี้ก่อนละกันนะแม่ไม่กวนแล้ว ขับรถดี ๆ ล่ะ"
"ค่ะคุณแม่" หญิงสาวกดวางสายแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เฮ้อ...ต้องเป็นคุณลินดาผู้เพียบพร้อมอีกแล้วสินะ"
นอกจากเพื่อนสนิทแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าอลินดาหลงใหลการขี่บิ๊กไบค์ คอนโดมิเนียมห้องนี้ก็ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่าหญิงสาวแอบซื้อเอาไว้ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี หากมองจากภายนอก ทุกคนจะเห็นว่าอลินดาเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอและฐานะทางบ้าน แต่ความจริงแล้วคนที่รู้ว่าเธอชอบใช้ชีวิตโลดโผนท้าทาย และนิยมความเร็วเป็นชีวิตจิตใจนั้นมีน้อยคนจนแทบนับนิ้วได้
อลินดานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเรื่องที่เธอแข่งรถมอเตอร์ไซค์รู้ถึงหูมารดาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และถ้าท่านรู้ว่าเธอนำเรื่องเกสต์เฮ้าส์ที่ลงขันเปิดกับเพื่อนในจังหวัดบุรีรัมย์มาเป็นข้ออ้างเพื่อที่ตนจะได้ไปดูการแข่งรถที่สนามบุรีรัมย์ เซอร์กิตบ่อย ๆ นั้นท่านจะรู้สึกอย่างไร
หญิงสาวถอนหายใจแผ่วก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว แม้ว่าใจอยากนอนต่ออีกสักนิดแต่เพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อมารดา ความง่วงงุนจึงหายเป็นปลิดทิ้ง
รถเอสยูวีสีขาวเคลื่อนเข้าจอดที่ลานจอดรถกลางแจ้งของศูนย์การค้าย่านรามอินทราที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมร้านอาหารและร้านค้าต่าง ๆ แล้ว ยังมีฟิตเนสและสถานเสริมความงามอีกด้วย
อรพิม มารดาของอลินดาเห็นว่าแหล่งชอปปิงทาวน์แห่งใหม่นี้น่าจะเป็นที่นิยมในไม่ช้า จึงได้มาจองไว้สองห้องตั้งแต่โครงการเพิ่งเริ่มก่อสร้างเพื่อเปิดร้านพิมาลินสปาเป็นสาขาที่สาม
ร่างโปร่งระหงของอลินดาในชุดเดรสลูกไม้สีขาวแขนกุด ความยาวคลุมเข่าเดินไปทางร้านพิมาลินอย่างไม่รีบร้อน หญิงสาวเห็นคนมากมายที่มารดาเชิญมาร่วมงานทำบุญเปิดร้านใหม่แล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะเท่าที่เห็นล้วนมีแต่ลูกค้าขาประจำ และคนกันเองที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทบทั้งสิ้น
อลินดาเห็นมารดาคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างสนิทสนมเพราะมีการจับมือถือแขนราวกับคุ้นเคยกันมานาน ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา
"อุ๊ยนั่นไง ลินดาลูกสาวฉันมาแล้ว"
เสียงของมารดาที่เอ่ยถึงเธอทำให้หญิงสาวต้องยกมือไหว้คนที่ท่านกำลังคุยด้วยโดยที่ไม่ต้องรอให้มารดาเป็นคนแนะนำ
"ลินดา นี่ป้าเกศจ้ะ เป็นเพื่อนแม่ตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยเชียวนะ"
ท่านพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อลินดาจึงยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วย
"สวัสดีค่ะป้าเกศ" หญิงสาวยิ้มละไม ทำเอาคนที่รับไหว้ถึงกับมองตาค้าง
"สวัสดีลูก ตายจริงหนูลินดา ตอนเด็กก็ว่าน่ารักน่าชังแล้วนะ โตขึ้นมาก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่...สวยขนาดนี้ไปเป็นดารานางแบบได้เลยนะเนี่ยยายพิม"
เกศรินมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง อลินดาเองก็เขินไม่น้อย ได้แต่เอ่ยขอบคุณทั้งรอยยิ้ม
"โอ๊ยเธอ แม่คนนี้เขาไม่ชอบวงการบันเทิงหรอก แค่ฉันให้มาเป็นนางแบบโปรโมตร้านยังต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะยอม ฉันนี่งัดทั้งไม้อ่อนไม้แข็งมาเลยเชียว"
อรพิมพยักพเยิดไปทางโปสเตอร์แผ่นใหญ่ที่ติดอยู่บนกระจกหน้าร้าน อีกฝ่ายจึงหันมองตามก่อนจะยิ้มพลางป้องปากพูดกับหญิงสาวคราวลูกตรงหน้า
"ป้าว่าตัวจริงสวยกว่าในโปสเตอร์เยอะเลย"
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณป้า ชมกันขนาดนี้หนูเขินเลย" อลินดายิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองด้านในร้านแล้วหันมาพูดกับมารดา"หนูเข้าไปดูแขกข้างในนะคะคุณแม่""จ้ะไปเถอะ มีอะไรก็ถามคุณแววเขาละกันนะ" ผู้เป็นมารดายิ้มให้บุตรสาว ขณะที่เกศรินนั้นมองตามอลินดาที่เดินเข้าร้านไปด้วยแววตายิ้มได้ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปถามอรพิมเบา ๆ"หนูลินดาน่ารักมากเลย ถามจริง ๆ นะยายพิม ลูกสาวเธอมีแฟนรึยัง""ยังหรอก" อรพิมตอบโดยไม่ต้องคิดพลางถอนหายใจแผ่วก่อนพูดต่อ"ฉันกับลูกน่ะ มีอะไรก็คุยกันเปิดอกเสมอ ถ้าเขามีแฟนก็คงบอกฉันตามตรง แต่เวลาฉันถามทีไรเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าทุกที ลินดาเคยบอกกับฉันว่าเขาจะไม่แต่งงาน เขาจะอยู่ดูแลฉัน ดูแลร้านอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เฮ้อ...แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกได้เจอคนดี ๆ แล้วออกไปสร้างครอบครัวมากกว่าที่เขาจะต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต""หนูลินดาเขาฝังใจเรื่องพ่อใช่ไหม" เกศรินกดเสียงให้เบาลงกว่าเดิมเพราะเรื่องนี้รับรู้กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น"ใช่ ลินดาเขากลัวจะเจอผู้ชายแบบพ่อตัวเองน่ะ" เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อรพิมก็มีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที เกศรินจึงบีบมือเพื่อนอย่างให้กำลังใจ"หนูลินดาจะต้องได้เจอคน
"บรื้น ๆ รถแบตแมนมาแล้ว" รถไฟฟ้าสำหรับเด็กเล็กที่ทำเลียนแบบรถซูเปอร์คาร์คันจิ๋วค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่นโดยผู้ทำหน้าที่ขับคือปกปักษ์ หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้านหลังนี้ และเป็นบุตรชายวัยสี่ขวบของปกป้องกับกวิสราเกศรินหันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับยิ้มกว้างพลางลุกขึ้นเดินไปหาหลานชายตัวน้อย "ตาโป้ง มาให้ย่าหอมหน่อยเร็ว แล้วนี่อะไรกัน ได้คันใหม่มาอีกแล้วหรือ ใครซื้อให้เนี่ย"ผู้เป็นย่ามองรถคันสีแดงแปะยี่ห้อเฟอร์รารี่ที่หลานชายนั่งอยู่พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย"อาปกซื้อให้คับ" เด็กน้อยตอบพลางมองหน้าผู้เป็นอาแล้วยิ้มกว้าง"เจ้าปก!" เกศรินเรียกชื่อบุตรชายอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่อยากโวยวายเสียงดังเพราะกลัวหลานตัวน้อยจะตกใจ แต่คนถูกคาดโทษกลับยิ้มระรื่นพลางลุกขึ้นนั่งแล้วพูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมว่า"เป็นลูกผู้ชายทั้งทีจะมีรถคันเดียวได้ยังไง จริงไหมโป้ง""จริงคับ!" เด็กชายปกปักษ์ตอบรับอย่างขึงขังเช่นกัน ผู้เป็นย่าจึงหันไปพูดกับหลานชายว่า"ตาโป้ง ของเล่นทุกอย่างรถทุกคันที่ได้มา หนูเล่นแล้วต้องรักษาให้ดีรู้ไหมลูก อย่าเล่นทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ วันนี้เล่นคันนี้ วันพรุ่งนี้ก็เล่นคันเก่
"ไม่หรอกค่ะพี่แวว แค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะมีภาพจำที่ติดตาว่าผู้ชายที่กล้ามใหญ่หุ่นล่ำบึ้กมักเป็นเกย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยพี่ พวกเทรนเนอร์น่ะเขามีหน้าที่แนะนำการออกกำลังกายให้คนอื่น เพราะฉะนั้นตัวเองก็ต้องหุ่นดีไว้ก่อน และที่สำคัญคือต้องเฟรนด์ลี่มาก ๆ พูดเพราะช่างเอาอกเอาใจ ยิ้มง่ายคุยเก่ง เพราะแบบนี้มั้งก็เลยดูเหมือนเกย์""น้องลินดารู้ดีจังเลย เคยจ้างเทรนเนอร์หรือคะ" แวววรรณถามยิ้ม ๆ อลินดาจึงอดหัวเราะไม่ได้"เปล่าหรอกค่ะพี่ แต่ลินดามีเพื่อนเป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสอยู่คนหนึ่งก็เลยรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง"ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของอลินดาที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดเป็นสัญญาณว่ามีคนโทร. เข้า ครั้นพอหญิงสาวเห็นชื่อผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาจึงคว้ามันมาถือไว้แล้วเดินออกไปนอกร้านพลางกดรับสาย"ว่าไงกั๊ต""ไอ้ลิน! ข่าวดีเว้ยมึง เฮียไช้เขาดูการแข่งของมึงเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วเขาสนใจอยากได้มึงมาเข้าสังกัดว่ะ" น้ำเสียงตื่นเต้นของกั๊ต กฤษณะเพื่อนสนิทที่ร่วมก๊วนบิ๊กไบค์ด้วยกันโพล่งขึ้นมาตามสายทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง"เฮ้ยถามจริง มึงอำกูรึเปล่าเนี่ย
ช่วงกลางดึกของคืนหนึ่งบนถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร รถสปอร์ตสีเทาดำกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับติดจรวด เสียงเครื่องยนต์จากรถที่มีสมรรถนะแปดร้อยแรงม้าดังกระหึ่มไปตามเส้นทางที่รถเฟอร์รารี่คันนี้แล่นผ่าน หากแต่คนที่นั่งอยู่ในรถกลับได้ยินเพียงเสียงเพลงที่เปิดอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้นปกเกล้าขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี การขับรถบนถนนโล่งในช่วงกลางดึกแบบนี้เป็นกิจกรรมที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด ยิ่งถ้าขับบนถนนต่างจังหวัดเขายิ่งชอบเพราะรถไม่พลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่ เขาไม่ชอบขับรถในกรุงเทพฯ เพราะหาถนนโล่ง ๆ ได้ยาก ลูกชายสุดที่รักของเขาเป็นถึงเฟอร์รารี่แปดร้อยแรงม้า จะให้ติดแหงกอยู่บนถนนที่สามารถเคลื่อนที่ได้ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงทุกวันคงน่าเบื่อแย่ดังนั้นทุกสุดสัปดาห์ชายหนุ่มจึงมักหาเรื่องพารถคู่ใจออกมาโลดแล่นปล่อยพลังให้เต็มที่ตามถนนในต่างจังหวัด ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ปกเกล้ากำลังมีโครงการจะเปิดศูนย์ซ่อมและตกแต่งรถซูเปอร์คาร์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาจึงถือโอกาสนี้มาลองรถบนถนนหลวงอยู่หลายครั้ง"อ้าวเฮ้ย!"ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อมองเห็นแต่ไกลว่าไฟจราจรสี่แยก