เขาคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าอายุอ่อนกว่าเขาหลายปีแน่นอน แต่เพราะยังไม่คุ้นเคยและเพิ่งคุยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกจึงไม่กล้าแทนตัวเองว่าพี่ อีกทั้งหากเจ้าตัวสวนกลับมาว่าไม่ต้องการนับญาติด้วย เขาไม่หน้าแตกหรอกหรือ
"ลินค่ะ" เธอตอบเสียงห้วนพลางตวัดตามองมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาเขาอดยิ้มไม่ได้ ดูท่าทางผู้หญิงคนนี้เล่นตัวไม่น้อย แต่จะว่าไปเธอก็มีดีให้เล่นตัวไม่ว่าจะหน้าตาที่สวยบาดใจ รวมไปถึงรูปร่างสูงโปร่งได้สัดส่วน
แต่ปกเกล้าก็คือปกเกล้า ผู้ซึ่งมีชั่วโมงบินสูงในเรื่องหญิงสาว ผู้หญิงแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเจอ ต่อให้เล่นตัวหรือหยิ่งยิ่งกว่านี้เขาก็ปราบมาหมดแล้ว
"ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ค่อยยินดีเท่าไร วันไหนถ้าสนใจอยากลองแข่งรถยนต์บ้างก็บอกผมได้นะครับ ผมจะได้ลงสนามด้วย"
"คุณแข่งรถยนต์หรือคะ" ในที่สุดหญิงสาวก็เป็นฝ่ายถามเขาบ้าง ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะร่าอยู่ในใจ เขามั่นใจว่าวันนี้เขาต้องได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอแน่นอน
"ก็แข่งบ้างครับ แต่ก็เหมือนคุณนั่นแหละคือแข่งเป็นงานอดิเรกมากกว่า ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ เผอิญว่าผมทำงานอยู่แถวนี้ก็เลยได้ลงสนามบ้างเป็นบางครั้ง แล้วคุณล่ะ ทำงานอยู่แถวนี้หรือว่าอยู่กรุงเทพฯ"
"อยู่กรุงเทพฯ ค่ะ"
"อ้อ นึกว่าทำงานแถวนี้ งั้นไม่เป็นไรครับ เอาอย่างนี้ละกัน คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าผมอยากขอเบอร์หรือไลน์คุณไว้หน่อย เผื่อคราวหน้าถ้าคุณมาบุรีรัมย์ หรือว่าสนใจอยากลองแข่งรถยนต์ดูบ้างก็ติดต่อผมได้ หรือไม่ก็แค่นัดเจอกินข้าวกันสักมื้ออะไรแบบนั้น"
เมื่อเขาพูดจบก็เห็นเธอยิ้มพลางหันหน้าไปทางอื่น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นมาทันทีด้วยความคาดหวังและรอคอย จากนั้นหญิงสาวก็หันกลับมามองเขาอีกครั้งแล้วบอกว่า
"ขอโทษนะคะ ฉันไม่ชอบให้เบอร์กับคนแปลกหน้า" พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบหนังสือและเบียร์กระป๋องมาถือไว้ในมือตามเดิมแล้วเดินมาทางเขา ก่อนจะหยุดยืนห่างออกไปประมาณสองช่วงแขนพลางเอียงคอมองเขาทั้งรอยยิ้ม สีหน้าแววตาราวกับต้องการบอกว่าเธอรู้ทันเขา
"คุณคะ หางโผล่แล้วค่ะ" พูดจบเธอก็ยักคิ้วให้เขาข้างหนึ่งก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปจากนั้นก็ปิดประตูไว้ตามเดิม ทิ้งให้เขาได้แต่ยืนกอดอกมองตามเธอไปจนกระทั่งเห็นแต่ประตูห้อง ไม่เห็นตัวคนแล้ว
"หึ!" ชายหนุ่มแค่นหัวเราะให้ตัวเองพลางส่ายหน้าช้า ๆ อุตส่าห์จงใจไม่รุกจีบแบบโจ่งแจ้ง แต่อาศัยพูดคุยเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนแล้วค่อยขอเบอร์โทรศัพท์ ตามหลักแล้วหญิงสาวส่วนใหญ่มักจะให้เบอร์มา ไม่ว่าจะด้วยความพอใจหรือเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธ แต่อย่างไรเสียเขาก็ถือว่าได้เบอร์โทรศัพท์มาแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าหล่อนจะปฏิเสธเขาอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าหากได้มาง่าย ๆ ก็หมดสนุกไวเท่านั้น เขายังมีเวลาเหลือเฟือที่จะตะล่อมหญิงสาวคนนี้ให้ยอมศิโรราบอยู่ใต้อาณัติเขา
...เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย ลินดา
ในช่วงใกล้ค่ำ ยูมิ สาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเพื่อนสนิทอีกคนที่เป็นหุ้นส่วนเกสต์เฮ้าส์ของอลินดาก็มาถึง ยูมิจัดเป็นหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ใบหน้าดูน่ารักอ่อนหวานอย่างสาวแดนอาทิตย์อุทัยที่มองแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน หากมองข้ามรอยสักรูปเกอิชาขนาดใหญ่ที่คลุมเต็มแผ่นหลัง
ยูมิเคาะประตูห้องพักที่อลินดาอยู่สองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเปิดเข้าไปเองโดยไม่รอให้คนที่อยู่ในห้องมาเปิดให้เพราะตนก็มีกุญแจเช่นกัน อีกทั้งห้องพักห้องนี้ก็เป็นห้องของพวกตนซึ่งเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์แห่งนี้อยู่แล้ว บางครั้งที่ยูมิมาที่นี่แต่อลินดาไม่ได้มาด้วย ยูมิก็พักอยู่ห้องนี้เช่นกัน
"ทำไมมาช้า นึกว่าจะมาถึงตั้งแต่หกโมงแล้วซะอีก" อลินดาเปิดปากพูดทันทีเมื่อเห็นเพื่อนก้าวขาเข้าไปในห้อง
"แวะไปกินข้าวร้านไอ้อู๋มา" ยูมิตอบพลางหย่อนตัวนั่งที่ริมเตียงนอนแล้วทิ้งตัวนอนไปบนนั้นก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า
"โคตรเมื่อยเลย ขับรถจากกรุงเทพฯ มาบุรีรัมย์แค่ไม่กี่กิโล น่าเบื่อชะมัดเป็นผู้หญิงนี่แม่งไม่มีอะไรดีสักอย่าง"
อลินดาเหลือบมองเพื่อนสาวแล้วได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา เพื่อนของเธอคนนี้หากเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักคงมองแค่ภายนอกแล้วนึกว่ายูมิเป็นสาวหวานคิขุเป็นแน่ ทั้งที่ความจริงแล้วอีกฝ่ายจัดว่าเป็นสาวห้าวเป้งคนหนึ่งเลยทีเดียว ความใจกล้าบ้าบิ่นไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกเลยด้วยซ้ำ
"แล้วทำไมถึงมานั่งในห้องล่ะ กูนึกว่ามึงจะออกไปนั่งรีแลกซ์อยู่นอกชานซะอีก" ยูมิหันหน้ามามองเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ตรงหน้ามีเบียร์กระป๋องวางอยู่
"ยุงเยอะ รำคาญ"
อลินดาตอบสั้น ๆ แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะที่พักของที่นี่จะติดตั้งเครื่องไล่ยุงไฟฟ้าเอาไว้ทุกห้องเพื่อให้ลูกค้าสามารถออกมานั่งนอกชานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องยุง อีกทั้งพันธุ์ไม้ที่ปลูกแซมไว้ก็มีประเภทที่มีคุณสมบัติไล่ยุงและแมลงอยู่ไม่น้อย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องยุงมาก่อน พอได้ยินอลินดาตอบมาอย่างนั้นจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามย้ำไปเพื่อความแน่ใจ
"ยุงเนี่ยนะ อะไรวะ อย่าบอกนะว่าไอ้เครื่องไล่ยุงพวกนั้นเจ๊งแล้ว"
อลินดาเงยหน้าจากหนังสือมองเพื่อนแล้วถอนหายใจแผ่วก่อนตอบว่า
"กูหมายถึงไอ้ห้องข้าง ๆ นี่"
อลินดาพยักพเยิดไปทางห้องที่ปกเกล้าอยู่ ซึ่งพอรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วก็ทำให้ยูมิหัวเราะขึ้นมาทันที
"ทำใจเว้ยไอ้ลิน เกิดมาสวยก็เงี้ย"
ครั้นพอพูดถึงเรื่องความสวย ยูมิก็เหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เจ้าตัวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคงข้างแล้วใช้มือยันศีรษะเอาไว้ก่อนถามว่า
"ตกลงวันนี้ได้ไปคุยกับเฮียไช้ยัง"
"ยัง เขาโทร. มาเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ตอนค่ำ ๆ เห็นบอกว่าวันนี้มีธุระด่วน" อลินดาตอบไปตามความจริง เรื่องที่ตนได้รับการทาบทามให้เป็นนักแข่งในสังกัดดังนั้นเพื่อนสนิททุกคนรู้กันหมดแล้วเพราะกฤษณะป่าวประกาศไปทั่ว
"นัดกันที่ไหน พรุ่งนี้กูจะไปกับมึงด้วย" ยูมิทำเสียงจริงจังจนอลินดาเอะใจจึงเอ่ยปากถาม
"นัดที่ศูนย์เขานั่นแหละ ทำไมวะ"
คราวนี้ยูมิลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วพูดว่า
"กูเพิ่งรู้มาว่าเฮียไช้น่ะไว้ใจไม่ค่อยได้เท่าไรโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ไม่ใช่เห็นว่ามึงสวยก็เลยคิดแผนอุบาทว์จะจัดการมึงล่ะ"
"ก็ไหนว่าเมียโคตรดุเลยไม่ใช่หรือวะ ไอ้กั๊ตบอกมาอย่างงั้น" อลินดาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
"เออ เมียดุแถมยังขี้หึงสุด ๆ แต่แม่งไม่จัดการผัวตัวเองนะเว้ย มันไปตามคิดบัญชีกับผู้หญิงพวกนั้นแทน และเท่าที่รู้มานะ นางไม่สนด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นจะถูกผัวตัวเองหลอกมาฟันหรือบังคับพามา เวลาไปตามเช็คบิลก็เล่นงานแต่พวกผู้หญิง ส่วนไอ้ผัวเฮงซวยก็ลอยตัวตามระเบียบ"
อลินดานิ่งไปอย่างใช้ความคิด เพราะข่าวที่ยูมิได้รับมานั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงเพราะบิดาของอีกฝ่ายจัดว่าเป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางคนหนึ่ง ข่าวสารที่ได้รับมาจึงเชื่อถือได้
"กูรู้ว่ามึงเอาตัวรอดได้ แต่กูไม่วางใจ ยังไงพรุ่งนี้กูก็จะไปด้วย"
ไม่พูดเปล่า แต่ยูมิหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋าเป้แล้ววางบนเตียงตรงหน้าตนพร้อมกับยิ้มมุมปาก
"จัดไป" อลินดายิ้มอ่อน ไม่คิดห้ามเพื่อนแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าห้ามไปก็เท่านั้น จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อยหากเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ก็ยังมียูมิคอยเป็นกำลังเสริมให้
คืนนี้อลินดากับยูมิมีนัดกับเพื่อนที่สถานบันเทิงชื่อดังของตัวเมืองบุรีรัมย์ สองสาวจึงออกจากที่พักในเวลาสี่ทุ่มเศษ ประจวบเหมาะกับที่ปกเกล้าก็ออกมาจากห้องเช่นกัน ชายหนุ่มยิ้มพลางผงกศีรษะให้หญิงสาวทั้งสองคนอย่างเป็นมิตร หากแต่สายตาจับจ้องไปที่อลินดาเป็นพิเศษ และยูมิก็สังเกตเห็น จึงได้แต่ยิ้มพลางมองเพื่อนสนิทที่ยังคงปั้นหน้านิ่ง และยิ้มอย่างขอไปทีให้อีกฝ่าย"คนนี้?" ยูมิกระซิบถาม อลินดาจึงตอบรับเบา ๆ"ดูดีนี่หว่า เซอร์ ๆ แบบแบดบอยดี กูว่าเหมาะกับมึงนะ"ยูมิยังคงกระซิบกระซาบแต่อลินดาไม่พูดอะไร ได้แต่ตวัดตามองค้อนเพื่อนระหว่างที่เดินไปทางด้านหน้าของเกสต์เฮ้าส์ ซึ่งชายหนุ่มห้องข้าง ๆ ก็เดินตามหลังมาโดยเว้นระยะห่างพอประมาณเพื่อไม่ให้ดูเป็นการตามติดจนเกินไปนักครั้นพอมาถึงบริเวณที่จอดรถ อลินดาก็หันไปถามยูมิว่า"จะต่างคนต่างขี่ไปหรือว่าจะไปคันเดียวกัน"ยูมิยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางเอียงคอมองเพื่อนก่อนพูดว่า"คิดว่าไงล่ะ กูล้าไปทั้งตัวขนาดนี้คิดว่าจะขี่เองไหม"อลินดายิ้มพลางส่ายหน้าไปมา แต่เมื่อเห็นสายตาของเพื่อนมองไปทางด้านห
ยูมิหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อน ก่อนยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอลินดา"โบราณว่าไว้เกลียดอย่างไหนมักได้อย่างนั้นนะเพื่อนรัก"ท่าทางกระซิบกระซาบหยอกเย้าของสองสาวที่กำลังเดินเข้ามานั้นได้ตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่ม ๆ โต๊ะหนึ่ง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นปกเกล้า นรเชษฐ์และตฤณภพ สองคนหลังนั้นอ้าปากค้างและคิ้วขมวดมุ่น แต่ปกเกล้ากลับมองด้วยวาววาม อีกทั้งมุมปากยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย"ไม่จริงน่า สุดสวยของกูเป็นเลสเบี้ยนหรือวะ" ตฤณภพโอดครวญด้วยความเสียดาย"เฮ้ย เขาอาจจะแค่สนิทกันเฉย ๆ ก็ได้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือวะ" นรเชษฐ์แย้งขึ้นพลางมองปกเกล้าที่กำลังจับจ้องสาวสวยคนนั้นไม่วางตา"สนิทกันเฉย ๆ อะไรของมึง เขาจะจูบกันอยู่แล้วมึงไม่เห็นรึไงไอ้นิค"ตฤณภพบุ้ยหน้าไปทางสองสาวที่กำลังเดินไปยังโต๊ะของชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นเขาจำได้ว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ตนไปกินวันนี้"หรือไม่ก็อาจจะเป็นแฟนของคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนั้น หรือมึงคิดว่าไงไอ้ปก" นรเชษฐ์เห็นปกเกล้านั่งเงียบไม่พูดอะไร สายตาเอาแต่มองไปทางนั้นตลอดเวลาจ
"แล้วเมื่อกี้ตอนเจอกันที่ลานจอดรถนะมึงเอ๊ย พอเห็นหน้าไอ้ลินเท่านั้นแหละ มันรีบวิ่งกระดิกหางพั่บ ๆ เข้ามาหาเลย หน้าแม่งโคตรหื่น ขนาดเมียขี้หึงสุด ๆ นะนั่น" ยูมิเบะปากอย่างรังเกียจ"ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี ถ้ามึงปฏิเสธมัน ร้อยทั้งร้อยกูว่ามันไม่พอใจแน่นอน และถ้ามันหมายหัวมึงเมื่อไร มันลงมือไม่สนวิธีจริง ๆ ไอ้ห่านั่นน่ะ"ประวุธเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าเฮียไช้มีอิทธิพลในละแวกนี้มากแค่ไหน กระทั่งตำรวจยังเกรงใจ ฉะนั้นหากมีเรื่องกันขึ้นมาจริง แน่นอนว่าฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบก็คืออลินดาคนที่อาจถูกหมายหัวได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกไม่สบอารมณ์จนพานหมดสนุก ได้แต่นั่งมองไปเรื่อยเปื่อยโดยมียูมิเต้นไปตามจังหวะเพลงอยู่ข้างตัว ส่วนเพื่อนชายทั้งสามคนก็นั่งคุยสัพเพเหระซึ่งอลินดาก็เอ่ยปากแจมบ้างในบางเรื่องอลินดาเห็นแก้วของตัวเองเหลือแต่น้ำแข็งแล้วจึงคิดจะชงเครื่องดื่มให้ตัวเองอีกครั้ง แต่จู่ ๆ ประวุธก็แย่งแก้วของหญิงสาวไปถือไว้พร้อมกับปรามเสียงต่ำ"พอแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก ต้องขับรถด้วยไม่ใช่หรือ""ตั้งแต่มานั่งเนี่ยเพิ่งจะเติมไปแก้วที่สองเองนะเปลว"อลินด
แน่นอนว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดประจำผับก็มองตรงนี้ออกเช่นกัน แม้จะคับแค้นจนอกแทบระเบิดเพราะเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจแถมรถยังล้มอีก แต่เขาก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถหาเรื่องอีกฝ่ายได้เพราะหากเจ้าของรถเฟอร์รารี่เรียกเงินค่าซ่อมรถขึ้นมาแล้วเขาจะมีปัญญาหาเงินจากไหนไปจ่ายกันเล่า ดีไม่ดีอาจต้องตกงาน ดังนั้นเขาจึงได้แต่เงียบปกเกล้าเห็นคู่กรณีไม่พูดไม่จาอะไร ทว่ามองจากสายตาก็รู้แล้วว่าโกรธจนแทบคลั่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะเขารู้สถานที่ทำงานของอีกฝ่ายจึงตั้งใจยกมาขู่ แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบต้อนเหยื่อจนไร้ทางออก เมื่อเห็นว่าจัดการข่มคนตรงหน้าได้แล้วเขาจึงเป็นฝ่ายถอยออกมาก่อน"นี่กูเห็นว่ามึงก็เจ็บตัวนะถึงได้ไม่คิดเอาเรื่อง คราวหน้าถ้ากูเจอแบบนี้อีกนะ..."ปกเกล้าไม่พูดต่อ แต่ชี้ไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตากดดันและข่มขู่ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วจนเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ครั้นพอใกล้ถึงที่พักชายหนุ่มจึงลดความเร็วลงก่อนเลี้ยวเข้าไปจอดในลอยชายเกสต์เฮ้าส์ หลังจากดับเครื่องแล้วจึงลงมายืนข้างรถ เห็นดูคาติสีดำจอดอยู่ที่เดิมที่เคยจอดก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้บัญชีนี้เข
เสียงแหลมแสบแก้วหูที่โพล่งขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฮียไช้สะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบกลอกตามองเพดานอย่างเอือมระอาแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วหันไปยิ้มแป้นอย่างประจบให้ภรรยาแม้ว่าในใจจะอยากตบอีกฝ่ายจนลงไปนอนกองกับพื้นแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้"สองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันต่างหากเล่า เฮียเรียกให้มาที่นี่ก็เพราะจะคุยเรื่องที่เฮียอยากให้เขามาเป็นนักแข่งในสังกัด เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เอชเคเซอร์กิตจัดให้สมาชิกมาแข่งบิ๊กไบค์แล้วเขาลงแข่งด้วย เฮียเห็นว่ามีแววน่าจะปั้นให้ดังได้ก็เลยเรียกมาคุยดู""ใช่เร้อ...ดูท่าทางไม่น่าจะใช่นักแข่ง ไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันสวยหรือ เฮีย ถึงได้อยากเรียกเข้ามาคุย คิดอะไรอยู่อย่านึกว่าไม่รู้นะ"เธอชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ ตอนเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากห้องเธอยังอดตะลึงไม่ได้ แล้วมีหรือที่สามีของเธอจะให้เป็นแค่นักแข่งในสังกัด ไม่มีทาง!"รุ้ง เฮียเรียกมาคุยเรื่องเป็นนักแข่งจริง ๆ แต่เขาไม่เอาเพราะเขาทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วสองคนนี้เขาเป็นแฟนกันจริง ๆ เมื่อคืนเฮียก็เห็นเขาเดินกอดกันอยู่ในผับ คนที่สวย ๆ นั่นน่ะห้าวจะตาย เสียงยังห้าวเลย"เฮียไช
คิดแล้วก็อดนึกถึงคำพูดประโยคเด็ดของยูมิขึ้นมาไม่ได้...ทุกข์ของคนเกิดมาหน้าตาดีขณะที่อลินดากำลังนั่งมองไปที่สนามอยู่คนเดียว จู่ ๆ เก้าอี้ข้างตัวเธอก็มีใครบางคนมานั่ง หญิงสาวไม่ได้หันไปมองเขา เพียงใช้หางตามองผ่าน ๆ จึงรู้ว่าเป็นผู้ชาย เห็นดังนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย"บังเอิญจัง ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่"เสียงทุ้มคุ้นหูของคนข้างกาย ทำให้อลินดาต้องหันไปมองหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้ ครั้นพอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มข้างห้อง เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะในสนามเป็นรายการแข่งขันรถจักรยานยนต์ แต่เขาขับซูเปอร์คาร์จึงไม่น่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้"แถวบ้านผมเรียกบุพเพสันนิวาส หนีกันไม่พ้น"ปกเกล้ายิ้มพรายเต็มวงหน้า ยิ่งเห็นเธอขมวดคิ้วใส่และมองเขาเหมือนตัวประหลาด รอยยิ้มของชายหนุ่มก็ยิ่งกว้างขึ้น"แถวบ้านฉันเรียกเวรกรรมตามติดค่ะ ต้องกรวดน้ำคว่ำขันถึงจะหลุดพ้น" พออลินดาพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า"ก็แสดงว่าชาติก่อนเราเคยเกี่ยวดองกัน ชาตินี้ถึงได้มาพัวพันกันอีกไง""พัวพันหรือตามจองเวรกันแน่"หญิงสาวตวัดตามองค้อน
เฮียไช้หัวคิ้วกระตุกไปเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังฝืนแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา"อ้อ มิน่าล่ะหนูลินถึงปฏิเสธท่าเดียว ที่แท้ก็เพราะผู้ปกครองไม่อนุญาตนี่เอง"อลินดาคร้านจะสนใจกับการคุยกันระหว่างผู้ชายทั้งสองคนเพราะเวลานี้เธอเป็นห่วงยูมิมากกว่าจึงหันไปบอกปกเกล้าว่า"ฉันจะไปหายูมิ""ไปด้วยกัน...ไปก่อนนะเฮียไช้ แล้วเจอกัน"ชายหนุ่มพยักหน้าให้เฮียไช้ก่อนจะเดินโอบเอวของอลินดาเดินผ่านไปโดยไม่หันกลับมามองอีก จึงไม่เห็นว่าตอนนี้สีหน้าของเฮียไช้นั้นแดงก่ำด้วยความโกรธ และรู้สึกเสียหน้าที่ปกเกล้าทำเหมือนไม่เห็นตนอยู่ในสายตาทั้งที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าหลายปี"สักวันเถอะมึง กูจะให้มึงกราบตีนกูเพื่อร้องขอชีวิตให้ได้ ไอ้ปก!""ปล่อยได้แล้ว" ไม่พูดเปล่า แต่อลินดายังปัดมือของปกเกล้าออกจากเอวของตัวเองอย่างแรง ครั้นพอชายหนุ่มเห็นมือของตัวเองแล้วก็ทำทีเป็นร้องเสียงหลง"โห! นี่เล่นถึงกับเลือดตกยางออกเลยหรือเนี่ย ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ ไอ้เรารึอุตส่าห์หวังดีให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา แล้วคุณตอบแทนผมด้วยการจิกจนเนื้อเกือบหลุดเนี่ยนะ"
"หงอยเหงาหรือหอยเหงากันแน่นังยูมิ!" นิสราพูดดักคอซึ่งยูมิก็หัวเราะคิกคักตอบกลับทันทีเช่นกัน"ทั้งสองอย่างเลยเจ๊ แบบว่าของขาดน่ะ จะทำเองก็ไม่มันเท่ามีทอมรูปหล่อมาช่วยทำ ฟินกว่ากันเยอะ""ของปลอมมันจะสู้ของจริงได้ยังไงวะนังยูมิ ของจริงสิมันกว่า" นิสรายังไม่ยอมแพ้ เพราะอยากให้อีกฝ่ายคบหากับผู้ชายแท้ ๆ มากกว่าทอม"ทำไมจะสู้ไม่ได้ละเจ๊ ของปลอมสิดีไม่ต้องกลัวท้องไม่ต้องกลัวโรคติดต่อ แถมเลือกขนาดได้ด้วยว่าจะเอาไซซ์ไหน มีให้เลือกตั้งแต่เล็กพริกขี้หนูยันมะระอันโตเลยเจ๊ จะสีชมพูฟรุ้งฟริ้งหรือไฟกะพริบวิบวับก็ยังมี สนุกจะตาย" ยูมิพูดพร้อมกับทำมือประกอบไปด้วย"ระวังจะเจอบวบเหลี่ยมนะแก..." นิสรายังพูดไม่ทันจบ อลินดาก็ยกมือเบรกคนทั้งคู่เสียก่อน"พอ ๆ พอได้แล้วทั้งคู่เลย คุยอะไรกันเนี่ย ไม่มีเรื่องอื่นคุยกันแล้วรึไง"อลินดาหัวเราะร่วนกับการต่อปากต่อคำของทั้งคู่ แม้จะชินชาเสียแล้วที่ทั้งสองคนมักจะคุยสองแง่สองง่ามเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าอยู่เสมอ แต่บางครั้งก็ต้องเบรกเสียบ้างเพราะคราวนี้หากยังปล่อยให้เถียงกันต่อไป คงเลยเถิดไปถึงท่วงท่าและบรรดาอุปกรณ์เสริมทั้งหลา
“ไม่!” เธอมองเขาตาเขียวก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกจากห้องนอนก่อนที่จะทนลูกอ้อนของเขาไม่ไหว เพราะสำหรับปกเกล้าแล้ว คำว่าแป๊บเดียวนั้นไม่เคยต่ำกว่ายี่สิบนาทีอลินดาลงไปรับภาวินกับแฟนสาวที่ล็อบบี้ชั้นล่าง สาวน้อยคนนั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างที่ปกเกล้าว่าไว้จริงเสียด้วย“อ้าวลินดา อยู่กับไอ้ปกมันหรือ” ภาวินทักด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้าเหมือนจะล้อเลียนเรื่องที่ตนลงมาช้าเพราะคงคิดว่าเธอกับปกเกล้ามัวแต่เล่นผีผ้าห่มกันอยู่บนเตียงกระมัง“เอ่อ...ค่ะ พี่ปกอาบน้ำอยู่ก็เลยให้ลินดาลงมารับ”“นี่มะลิ แฟนพี่เอง นี่พี่ลินดาแฟนพี่ปกเขาน่ะ” ภาวินแนะนำแฟนสาวให้รู้จัก อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้พลางมองมาด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด อลินดาจึงรับไหว้และยิ้มกว้างพลางพูดว่า“ยังเด็กอยู่เลย พี่วินหลอกน้องเขามารึเปล่าคะเนี่ย”“เด็กอะไร ไม่เด็กแล้ว หน้าอ่อนเฉย ๆ หรอก แหม...เห็นพี่เป็นพวกโลลิคอนรึไง”เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก อลินดาจึงเดินไปหยิบน้ำมาให้แขก เป็นเวลาเดียวกับที่ปกเกล้าเดินออกมาจากห้องนอนพอดี
ปกเกล้าคลี่ยิ้มร้ายกาจ ความช่างยั่วแสนเซ็กซี่ของเธอนี่เป็นอย่างหนึ่งที่ถูกใจเขามากเช่นกัน และเขาก็ไม่รอให้เธออนุญาตหรือตั้งตัว ก้มลงจูบหญิงสาวทันทีท่ามกลางคนมากมายที่กำลังเดินออกจากผับ“โอเค ถือว่าดื่มไม่เยอะเท่าไร แต่เพื่อความปลอดภัยพี่ว่าเธอขับรถพี่กลับไปดีกว่าไหม” ไม่พูดเปล่า แต่เขาล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงมาใส่มือเธอด้วย เพราะสำหรับเขาแล้วความปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนของอลินดาสำคัญที่สุด“ก็ได้” เธอหยิบกุญแจรถบิ๊กไบค์และหมวกกันน็อกของตัวเองยื่นส่งให้เขาบ้าง จากนั้นก็เดินออกไปที่ลานจอดรถรถซูเปอร์คาร์ของปกเกล้าหาไม่ยากนักเพราะน้อยคนที่จะมีรถแบบนี้ขับ หลังจากสตาร์ตเครื่องแล้วอลินดาก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถบิ๊กไบค์อันแสนคุ้นหูอยู่ใกล้กับรถที่ตนนั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปกเกล้าขี่เจ้าแพนเตอร์มาจอดรออยู่เบื้องหน้าแล้ว เธอจึงเลื่อนกระจกลงแล้วทำมือเป็นเชิงบอกให้เขาล่วงหน้าไปก่อนได้เลย เพราะเธอจะขับตามเขาไปเองปกเกล้าพยักหน้าแล้วเคลื่อนรถออกไปไม่เร็วนัก อลินดาจึงขับตามไป เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าแฟนสาวขับตามมาแล้วจึงเร่ง
อลินดาขับรถบิ๊กไบค์คู่ใจเข้ามาจอดไว้ในบริเวณที่ทางสถานบันเทิงจัดเอาไว้ให้โดยมียูมิ เพื่อนสนิทขับอีกคันเข้ามาจอดคู่กัน ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในผับชื่อดังของตัวเมืองบุรีรัมย์หญิงสาวอยู่ในชุดกางเกงยีนสกินนีกับเสื้อยืดพอดีตัวเช่นเคย ส่วนยูมินั้นสวมกางเกงยีนรัดรูปกับเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยเพื่อโชว์รอยสักรูปเกอิชาบนแผ่นหลังที่เจ้าตัวแสนภาคภูมิใจอลินดามองหากลุ่มเพื่อนของตนที่นัดเอาไว้ แต่สายตาดันไปหยุดอยู่ที่โต๊ะของนักท่องราตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในโต๊ะเธอก็คุ้นหน้าคุ้นตาดีทั้งสามคน แต่ที่ไม่คุ้นคือหญิงสาวอีกสามคนที่นั่งเบียดกับหนุ่ม ๆ เหล่านั้นจนแทบจะรวมร่างกันอยู่รอมร่อ“มึงเดินไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูตามไป” อลินดาหันไปบอกเพื่อน ยูมิมองตามสายตาของอีกฝ่ายจึงแค่นยิ้มมุมปากพลางพูดว่า“ได้ แต่ถ้าจะตบก็เรียกกูด้วยละกัน พักนี้กูคัน อยากตบคน”อลินดาหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าพูดว่า “เออ รู้แล้วน่า”จากนั้นหญิงสาวก็เดินไปยังโต๊ะที่ปกเกล้ากับเพื่อนอีกคนสองคนนั่งอยู่ เธอเห็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าแฟ
ปกเกล้าก้าวลงจากรถสปอร์ตสีเทาดำแล้วเดินเข้าไปในคอนโดมิเนียมของแฟนสาว ขณะที่กำลังจะกดเรียกลิฟต์นั้น สายตาของชายหนุ่มก็เห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวที่เขาตั้งใจขับรถจากบุรีรัมย์มาหาเพราะอยากเห็นหน้า และชวนไปกินมื้อเย็นด้วยกันก่อนที่ตนจะต้องขับกลับไปทำงานที่จังหวัดบุรีรัมย์อีกครั้งอลินดากำลังยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งหากเป็นคนอื่นปกเกล้าคงไม่เข้าไปวุ่นวาย แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นนครินทร์ ตำรวจหนุ่มที่จ้องจะตีท้ายครัวของตนเสมอเมื่อสบโอกาส เขาจึงไม่สามารถอยู่เฉยได้ ฉะนั้นปกเกล้าจึงเดินเข้าไปหาแฟนสาวแล้วโอบเอวของเธอพร้อมกับจูบขมับเบา ๆ เพื่อประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทันที“ไงครับผู้กอง เพิ่งกลับหรือครับ” ปกเกล้ายิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าขณะที่มือก็เลื่อนขึ้นมาโอบบ่าของอลินดาไว้“ครับ เพิ่งมาถึงก็เจอคุณลินดาพอดี” นครินทร์ยิ้มตอบ“ผู้กองเขาชวนไปกินข้าวหน้าคอนโดฯ น่ะ พี่กินอะไรมารึยังล่ะ”อลินดาหันไปถามแฟนหนุ่มพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นอาการขี้หวงของใครบางคนกำเริบ“กินอะไรเล่า เดี๋ยวเราต้องร
“เรื่องนั้นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรามีลูกพี่ก็คงอยากให้ลูกเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ มากกว่าเพราะใกล้ญาติพี่น้องทางนี้ เวลามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ง่ายกว่าอยู่บุรีรัมย์”“ถ้าเราแต่งงานกัน พี่ไปอยู่บ้านลินได้ไหมล่ะ แม่ของลินจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เพราะบ้านพี่ก็มีพี่ป้องกับพี่ก้อยอยู่ที่นั่นแล้ว”“ได้สิไม่มีปัญหา” เขายิ้มมุมปากพลางเลื่อนมือลงต่ำไปที่บั้นท้ายงามงอนแล้วเลิกชายกระโปรงของเธอขึ้นแล้วพูดว่า“แต่เราอาจต้องทำห้องนอนใหม่นะ เอาแบบที่เก็บเสียงได้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่ของลินอาจจะนอนไม่หลับเพราะเสียงตอนพี่กระแทกเธอคงดังรบกวนท่านแน่นอน” ไม่พูดเปล่า แต่เขายังจ่ออาวุธประจำตัวเข้าที่จุดเดิมแล้วเริ่มขยับสะโพกอย่างเป็นจังหวะ มือทั้งสองข้างก็จับชายชุดกระโปรงของหญิงสาวแล้วดึงขึ้นเพื่อถอดออกไปทางศีรษะ จนในที่สุดร่างเซ็กซี่เย้ายวนที่เขาหลงใหลก็ปรากฏต่อสายตา“ไหนว่าจะนวดให้ไง” เสียงแหบพร่าของเธอกระท่อนกระแท่นไปตามแรงกระแทกกระทั้น“ขออีกยกแล้วจะนวดให้ รับรองว่าเธอจะติดใจฝีมือการนวดของ
“แล้วคิดว่าไงล่ะ” แค่เธอลูบคลำไปมา เจ้าสิ่งที่อยู่ในกางเกงก็ประกาศศักดาสู้มือทันทีราวกับสั่งได้“จะไวไฟไปแล้วนะ” อลินดาแค่นยิ้มให้แฟนหนุ่ม“ไม่ไวได้ไงเล่า พี่ไม่ได้เมกเลิฟกับเธอนานแล้วนะ กระสุนเต็มรังแล้วเนี่ยไม่ได้ยิงออกไปสักที” ปกเกล้าปลดกระดุมกางเกงยีนเพื่อปล่อยอาวุธประจำกายให้เป็นอิสระ จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะศีรษะหญิงสาวเป็นเชิงบอกใบ้ ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก“นานอะไรกัน ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย หื่นไม่เข้าเรื่อง” อลินดายิ้มมุมปาก“สามวันก็จะขาดใจแล้ว นะที่รัก” ปกเกล้าออดอ้อนเสียงอ่อน ก่อนจะครางออกมาเบา ๆ เมื่อปลายลิ้นอ่อนนุ่มที่เขาหลงใหลปัดป่ายอยู่ตรงส่วนหัวแล้วลากไล่จากโคนถึงปลาย ตามมาด้วยความอุ่นร้อนจากโพรงปากที่กำลังกลืนกินเขาเข้าไปทีละนิดจนหมดชายหนุ่มชะลอรถให้วิ่งช้าลง เขาไม่กลัวรถคันอื่นจะมองมาแล้วเห็นว่าแฟนสาวคนสวยของเขากำลังก้มหน้าทำอะไรให้เพราะกระจกติดฟิล์มดำ อีกทั้งการขับรถไปแบบเสียว ๆ นี้ทำให้เขาตื่นเต้นและอารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด ส่งผลให้
อลินดายืนกอดอกมองคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาในร้านพิมาลินสปาด้วยแววตาขบขัน จำได้ว่าเมื่อวานปกเกล้าเพิ่งพูดกับเธอว่าจะไม่เข้ากรุงเทพฯ หลายวันเพราะต้องเตรียมเรื่องการจัดแข่งขันรถยนต์ให้กับสมาชิกของทริปเปิลเอกซ์ เขายังบอกเธอด้วยว่าไม่ต้องคิดถึงเขามากเกินไปจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ทำไมคนพูดถึงได้มาโผล่ที่นี่เวลานี้ได้เล่า“มาทำไมคะคุณปกเกล้า” เธอถามยิ้ม ๆ“มาหาข้าวกิน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” พูดจบเขาก็คว้าข้อมือเธอแล้วจะดึงไปข้างนอก แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หันมาพูดว่า“ไม่กินแถวนี้นะเบื่อแล้ว ไปกินข้างนอกกันบ้างดีกว่า”หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ “ก็ได้ ขอไปหยิบกระเป๋าก่อนนะ”หลังจากนั้นอลินดาก็ขึ้นรถไปกับปกเกล้า ชายหนุ่มขับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง หญิงสาวรู้สึกสงสัยจึงถามไปว่า“นึกยังไงถึงพามากินที่นี่ และทำไมต้องร้านนี้ด้วยล่ะ”“ความจริงแล้วพี่นัดเพื่อนไว้น่ะ”“อ้าว นัดเพื่อนไว้แล้วพี่จะลากลินมาด้วยทำไมเนี่ย”“ก็อยากพามาด้วยนี่
“ไปกินเค้กวันเกิดเว้ย” ชินดนัยตอบทั้งรอยยิ้ม“ตอนกินใส่ชุดวันเกิดด้วยละสิท่า โธ่เอ๊ย สุดท้ายก็เห็นหญิงดีกว่าเพื่อนนะมึงเนี่ย” ปกเกล้าหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในจานกับแกล้มปาใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ชินดนัยเอาแต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือให้แล้วเดินจากไปเมื่อเหลือกันอยู่สามคน ปกเกล้าจึงชี้ไปที่ภาวินแล้วพูดกับหญิงสาวว่า“รู้จักเครื่องสำอางแบรนด์เอเอ็นเอสไหม คนนี้แหละคือเจ้าของ”อลินดาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เครื่องสำอางแบรนด์นี้ใครบ้างจะไม่รู้จัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอกับเจ้าของแบรนด์ตัวจริงเสียงจริง หนำซ้ำยังเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอีกด้วย“สนใจเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์พี่ไหมครับ พี่ว่าน้องสวยกว่าดาราบางคนซะอีกนะ” ภาวินได้โอกาสจึงชักชวนให้มาเป็นนางแบบเครื่องสำอางแบรนด์ของตนทันที แต่สุดท้ายก็ถูกปกเกล้าเบรกตัวโก่ง“ไม่ให้เว้ย”“อ้าว มึงมีสิทธิ์อะไรไปห้ามน้องเขาเนี่ยไอ้ปก มึงเป็นอะไรกับเขา”ภาวินแกล้งโวยวาย“กูเป็นแฟนเขา ก็กูไม่ให้อะมีปัญหา
อลินดายืนกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มที่เดิม หลังจากเก็บเงินในกระเป๋าสตางค์เรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเทรนเนอร์หนุ่มคนเดิมยืนยิ้มให้อย่างเคย“พักนี้ผมไม่ค่อยเจอคุณเลย อยู่อีกสาขาหรือครับ”“ใช่ค่ะ ดูแลสลับกันไปเรื่อย ๆ” ในเมื่อเขาชี้นำคำตอบมาให้แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องคิดหาคำตอบอื่นเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องบอกเขาว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไปอยู่บุรีรัมย์ทั้งเดือน“ถึงว่าสิครับ ไม่เจอเลย ตอนแรกแอบใจหายนึกว่าคุณลาออกไปแล้วเสียอีก”“งานสมัยนี้หายากจะตาย จะลาออกทำไมละคะ”เธอมองไปทางหน้าร้านสปาของตน เห็นมีลูกค้ากำลังเดินเข้าไปจึงเอ่ยปากขอตัวกับเขา ชายหนุ่มจึงพูดว่า“ผมยังเสนอให้คุณเหมือนเดิมนะครับถ้าคุณสนใจจะนวด ผมบริการให้ฟรีเลยถ้าเป็นคุณ”ช่วงนี้อรชุมาไม่ได้เรียกใช้บริการเขาแล้วเพราะเจ้าหล่อนติดใจหมอนวดหนุ่มคนอื่น อีกทั้งพักหลังนี้อรชุมาจะติดใจการนวดแล้วนาบแบบแซนวิชที่ต้องใช้หมอนวดชายสองคน เขาจึงไม่ต้องหลอกล่อสาวสวยคนนี้ให้มาใช้บริ