แน่นอนว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดประจำผับก็มองตรงนี้ออกเช่นกัน แม้จะคับแค้นจนอกแทบระเบิดเพราะเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจแถมรถยังล้มอีก แต่เขาก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถหาเรื่องอีกฝ่ายได้เพราะหากเจ้าของรถเฟอร์รารี่เรียกเงินค่าซ่อมรถขึ้นมาแล้วเขาจะมีปัญญาหาเงินจากไหนไปจ่ายกันเล่า ดีไม่ดีอาจต้องตกงาน ดังนั้นเขาจึงได้แต่เงียบ
ปกเกล้าเห็นคู่กรณีไม่พูดไม่จาอะไร ทว่ามองจากสายตาก็รู้แล้วว่าโกรธจนแทบคลั่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะเขารู้สถานที่ทำงานของอีกฝ่ายจึงตั้งใจยกมาขู่ แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบต้อนเหยื่อจนไร้ทางออก เมื่อเห็นว่าจัดการข่มคนตรงหน้าได้แล้วเขาจึงเป็นฝ่ายถอยออกมาก่อน
"นี่กูเห็นว่ามึงก็เจ็บตัวนะถึงได้ไม่คิดเอาเรื่อง คราวหน้าถ้ากูเจอแบบนี้อีกนะ..."
ปกเกล้าไม่พูดต่อ แต่ชี้ไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตากดดันและข่มขู่ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วจนเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ครั้นพอใกล้ถึงที่พักชายหนุ่มจึงลดความเร็วลงก่อนเลี้ยวเข้าไปจอดในลอยชายเกสต์เฮ้าส์ หลังจากดับเครื่องแล้วจึงลงมายืนข้างรถ เห็นดูคาติสีดำจอดอยู่ที่เดิมที่เคยจอดก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
บัญชีนี้เขาจะทดไว้ในใจ ถึงเวลาเอาคืนเมื่อไร เขาจะให้เธอตอบแทนความช่วยเหลือครั้งนี้อย่างสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว!
วันต่อมา อลินดากับยูมิไปหาเฮียไช้ตามนัด แต่ก่อนไปหญิงสาวโทรศัพท์ไปขอเลื่อนเวลานัดให้เร็วขึ้นเป็นช่วงบ่ายโดยอ้างว่าตนมีธุระด่วนที่ต้องกลับไปจัดการที่กรุงเทพฯ คราแรกเฮียไช้ยังยืนกรานเวลาเดิมคือช่วงหัวค่ำ แต่เธอก็ปฏิเสธโดยทันทีเช่นกันและตัดสินใจบอกไปว่าจะไม่เป็นนักแข่งในสังกัดของเขา ซึ่งพอเฮียไช้ได้ยินอย่างนั้นจึงต้องยอมเปลี่ยนเวลานัดตามที่อลินดาต้องการ
เมื่อทั้งสองคนไปถึงศูนย์จำหน่ายรถของเฮียไช้ พนักงานก็พาหญิงสาวเข้าไปด้านในซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ อลินดาเห็นว่าด้านหลังนั้นเป็นอู่ตกแต่งรถสำหรับแข่งจึงอดไม่ได้ที่จะมองทางไปนั้นด้วยความสนใจ บรรดาช่างเทคนิคที่กำลังง่วนอยู่กับรถเหล่านั้นเมื่อเห็นว่ามีสาวสวยเข้ามาสองคนจึงพากันหันมามองเป็นตาเดียว อลินดาจึงรีบเบนสายตาไปทางอื่น ไม่มองไปตรงนั้นอีก
พนักงานเปิดประตูห้องประชุมขนาดเล็กให้อลินดากับยูมิเข้าไปนั่งรอก่อน จากนั้นก็ปิดประตูให้ตามเดิม เมื่อเห็นว่าได้อยู่กันตามลำพังแล้วยูมิจึงพูดขึ้นเบา ๆ
"อยากรู้จริงว่ามันจะโน้มน้าวมึงยังไง"
อลินดาแค่นยิ้มมุมปาก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเฮียไช้จะต้องหว่านล้อมสารพัดให้เธอยอมเซ็นสัญญาตกลงเป็นนักแข่งในสังกัดของเขาแน่นอน ทั้งที่เธอไม่ใช่คนมีฝีมืออะไร การแข่งรถก็แค่งานอดิเรกที่ชื่นชอบ และเป็นความใฝ่ฝันหนึ่งของเธอเท่านั้นที่อยากขึ้นไปยืนบนโพเดี้ยมเพื่อรับรางวัลชนะเลิศ แต่เฮียไช้ก็ยังตื๊อ ชัดเจนว่าเจตนาของผู้ชายคนนี้ไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก โชคดีที่ได้เห็นตัวตนที่น่ารังเกียจของเขาก่อน มิเช่นนั้นเธอคงตอบตกลงเขาไปด้วยความดีใจโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเป็นแน่
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกโดยไม่มีการเคาะบอกสัญญาณจนหญิงสาวทั้งสองคนได้แต่หันไปลอบส่งสายตาให้กันเพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์กับความไร้มารยาทของเขา
"ขอโทษทีที่ให้รอนะ โอ้...มากันทั้งสองคนเลย ดี ๆ มาคุยกัน"
เฮียไช้พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางนั่งลงตรงข้ามกับสองสาว แต่สายตาดูจะจับจ้องอยู่ที่อลินดาเป็นพิเศษ
"ตกลงหนูลินจะไม่สนใจจริง ๆ หรือ เฮียว่าน่าเสียดายมากเลยนะถ้าหนูปฏิเสธน่ะ อย่างที่รู้ ๆ กันว่านักแข่งสังกัดเฮียมีฝีมือกันทั้งนั้น และทีมช่างเทคนิคของเราก็มืออาชีพทั้งนั้นเลยด้วย ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูด้านหลังได้ ตอนพวกหนูเดินเข้ามาก็น่าจะเห็นทีมงานของเราแล้ว เฮียยังเช่าสนามให้เด็กในสังกัดเฮียได้ซ้อมกันอาทิตย์ละสองครั้ง และจัดแข่งอุ่นเครื่องกันเดือนละครั้งเพื่อพัฒนาฝีมือ แข่งชนะตามเป้านี่เงินไหลเข้ากระเป๋าสบาย ๆ แต่ต่อให้แข่งแล้วไม่ได้อันดับหรือรางวัล เราก็ยังมีค่าตอบแทนให้ รถก็มีทีมช่างคอยดูแลให้ตลอด เห็นไหมว่ามีแต่ได้กับได้ เฮียว่าหนูลินน่าจะลองเก็บไปคิดดูให้ดีก่อนนะ"
เฮียไช้พูดยืดยาวโดยไม่เปิดโอกาสให้อลินดาได้พูด ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่คิดจะแย้งในเวลานี้อยู่แล้ว และไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้เท่าไรนักว่าจะต้องถูกหว่านล้อมด้วยผลประโยชน์ แต่บังเอิญว่าเธอไม่ใช่คนที่เดือดร้อนเรื่องเงินเสียด้วย
"ลินคิดดีแล้วค่ะเฮีย ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ และก็ขอบคุณค่ะที่เฮียให้โอกาส"
"ติดขัดปัญหาอะไรหรือ หนูบอกเฮียได้ไหม" พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปทางยูมิราวกับจะให้อีกฝ่ายช่วยพูด แต่ยูมิทำทีเป็นไม่สนใจ ได้แต่นั่งยิ้มบาง ๆ อยู่ข้างเพื่อน
"ลินมีงานประจำทำที่กรุงเทพฯ ค่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่ นานครั้งถึงจะมาบุรีรัมย์สักทีเพราะเพื่อนลินชวนมา ลินก็เลยมาเยี่ยมเพื่อน วันนั้นที่เฮียเห็นลินแข่งรถก็เพราะลินมีเพื่อนทำศูนย์แต่งรถอยู่ และวันนั้นเขาจัดกรุ๊ปสำหรับสมาชิกศูนย์ที่อยากลงสนามแข่งจริง ทางศูนย์เลยเช่าสนามไว้สำหรับสมาชิกที่ไปลงทะเบียน ลินก็เลยไปลองแข่งดูเท่านั้นค่ะ"
"โธ่! ทำงานประจำมันจะเงินเดือนเท่าไรกันเชียวหนูลิน อยู่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายมันเยอะจะตาย สู้มาเป็นเด็กเฮียดีกว่า รับรองว่าแต่ละเดือนได้ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นแน่นอน และยิ่งถ้าได้ขึ้นโพเดี้ยมนะ เดือนละหกหลักนี่ยังไงก็เห็นแน่ ๆ"
เฮียไช้พูดพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง ขณะที่ยูมินั้นเกือบหลุดหัวเราะออกมาจึงรีบเม้มปากไว้แน่น อลินดาก็ยิ้มบาง ๆ ไม่มีท่าทางตาโตกับรายได้ที่เขาเอามาล่อ
"ลินก็พอรู้มาบ้างค่ะว่านักแข่งน่ะรายได้ดี แต่อย่างที่บอกค่ะ ลินทิ้งทางกรุงเทพฯ มาไม่ได้จริง ๆ เพราะลินก็มีแม่ที่ต้องดูแล งานประจำก็ทิ้งไม่ได้เพราะทำมานานแล้ว ลินอยู่ที่โน่นก็ไม่ได้ลำบากอะไร บ้านไม่ต้องเช่า เงินเดือนก็เลี้ยงตัวเองเลี้ยงแม่ได้สบาย ๆ หนี้สินก็ไม่มี ลินไม่อยากมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ค่ะ"
ก่อนมาที่นี่เธอตกลงกับยูมิไว้แล้วว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นเจ้าของลอยชายเกสต์เฮ้าส์ และทำธุรกิจอะไรอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะหากคนอย่างเฮียไช้รู้ รับรองว่าเขาจะต้องตามไปวอแวแน่ถ้ามีโอกาส
เฮียไช้ทำหน้าเสียดาย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจแล้วพูดว่า
"ในเมื่อตัดสินใจดีแล้วเฮียก็คงไม่เซ้าซี้อะไรอีก เอาเป็นว่าถ้าหนูเปลี่ยนใจเมื่อไรก็โทร. หาเฮียได้ทันที เฮียยินดีต้อนรับหนูเสมอ อ้อ! จริงสิ วันนี้ตอนบ่ายสี่ที่สนามจะมีการแข่งคัดเลือกห้าอันดับแรกของเด็กในสังกัดเฮีย พวกหนูสองคนลองเข้าไปดูก็ได้"
ได้ยินอย่างนั้นอลินดาก็สนใจขึ้นมาทันที "รุ่นไหนหรือคะ"
"MotoGP อย่าลืมแวะไปนะ หนูจะได้เห็นว่ารถของเรามันเจ๋งแค่ไหน" เฮียไช้ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
จากนั้นทั้งสองสาวก็ขอตัวกลับ เฮียไช้รั้งตัวไว้คุยอีกสามสี่ประโยคจึงปล่อยให้กลับไป
ขณะที่อลินดากำลังเปิดประตูห้องประชุม ที่หน้าห้องก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่พอดี ผู้หญิงคนนั้นมองอลินดากับยูมิตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ทั้งสองสาวจึงจ้องกลับโดยไม่คิดหลบตาจนผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกไปก่อน อลินดากับยูมิจึงพากันเดินไปทางด้านหน้าออฟฟิศซึ่งเป็นโชว์รูมขายรถ
คล้อยหลังสาวสวยทั้งสองคน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้าไปในห้องประชุมพร้อมกับยิงคำถามใส่ทันที
"อีสองคนนั้นเป็นใคร ทำไมมันถึงตามเฮียมาที่นี่!"
เสียงแหลมแสบแก้วหูที่โพล่งขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฮียไช้สะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบกลอกตามองเพดานอย่างเอือมระอาแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วหันไปยิ้มแป้นอย่างประจบให้ภรรยาแม้ว่าในใจจะอยากตบอีกฝ่ายจนลงไปนอนกองกับพื้นแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้"สองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันต่างหากเล่า เฮียเรียกให้มาที่นี่ก็เพราะจะคุยเรื่องที่เฮียอยากให้เขามาเป็นนักแข่งในสังกัด เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เอชเคเซอร์กิตจัดให้สมาชิกมาแข่งบิ๊กไบค์แล้วเขาลงแข่งด้วย เฮียเห็นว่ามีแววน่าจะปั้นให้ดังได้ก็เลยเรียกมาคุยดู""ใช่เร้อ...ดูท่าทางไม่น่าจะใช่นักแข่ง ไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันสวยหรือ เฮีย ถึงได้อยากเรียกเข้ามาคุย คิดอะไรอยู่อย่านึกว่าไม่รู้นะ"เธอชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ ตอนเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากห้องเธอยังอดตะลึงไม่ได้ แล้วมีหรือที่สามีของเธอจะให้เป็นแค่นักแข่งในสังกัด ไม่มีทาง!"รุ้ง เฮียเรียกมาคุยเรื่องเป็นนักแข่งจริง ๆ แต่เขาไม่เอาเพราะเขาทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วสองคนนี้เขาเป็นแฟนกันจริง ๆ เมื่อคืนเฮียก็เห็นเขาเดินกอดกันอยู่ในผับ คนที่สวย ๆ นั่นน่ะห้าวจะตาย เสียงยังห้าวเลย"เฮียไช
คิดแล้วก็อดนึกถึงคำพูดประโยคเด็ดของยูมิขึ้นมาไม่ได้...ทุกข์ของคนเกิดมาหน้าตาดีขณะที่อลินดากำลังนั่งมองไปที่สนามอยู่คนเดียว จู่ ๆ เก้าอี้ข้างตัวเธอก็มีใครบางคนมานั่ง หญิงสาวไม่ได้หันไปมองเขา เพียงใช้หางตามองผ่าน ๆ จึงรู้ว่าเป็นผู้ชาย เห็นดังนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย"บังเอิญจัง ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่"เสียงทุ้มคุ้นหูของคนข้างกาย ทำให้อลินดาต้องหันไปมองหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้ ครั้นพอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มข้างห้อง เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะในสนามเป็นรายการแข่งขันรถจักรยานยนต์ แต่เขาขับซูเปอร์คาร์จึงไม่น่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้"แถวบ้านผมเรียกบุพเพสันนิวาส หนีกันไม่พ้น"ปกเกล้ายิ้มพรายเต็มวงหน้า ยิ่งเห็นเธอขมวดคิ้วใส่และมองเขาเหมือนตัวประหลาด รอยยิ้มของชายหนุ่มก็ยิ่งกว้างขึ้น"แถวบ้านฉันเรียกเวรกรรมตามติดค่ะ ต้องกรวดน้ำคว่ำขันถึงจะหลุดพ้น" พออลินดาพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า"ก็แสดงว่าชาติก่อนเราเคยเกี่ยวดองกัน ชาตินี้ถึงได้มาพัวพันกันอีกไง""พัวพันหรือตามจองเวรกันแน่"หญิงสาวตวัดตามองค้อน
เฮียไช้หัวคิ้วกระตุกไปเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังฝืนแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา"อ้อ มิน่าล่ะหนูลินถึงปฏิเสธท่าเดียว ที่แท้ก็เพราะผู้ปกครองไม่อนุญาตนี่เอง"อลินดาคร้านจะสนใจกับการคุยกันระหว่างผู้ชายทั้งสองคนเพราะเวลานี้เธอเป็นห่วงยูมิมากกว่าจึงหันไปบอกปกเกล้าว่า"ฉันจะไปหายูมิ""ไปด้วยกัน...ไปก่อนนะเฮียไช้ แล้วเจอกัน"ชายหนุ่มพยักหน้าให้เฮียไช้ก่อนจะเดินโอบเอวของอลินดาเดินผ่านไปโดยไม่หันกลับมามองอีก จึงไม่เห็นว่าตอนนี้สีหน้าของเฮียไช้นั้นแดงก่ำด้วยความโกรธ และรู้สึกเสียหน้าที่ปกเกล้าทำเหมือนไม่เห็นตนอยู่ในสายตาทั้งที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าหลายปี"สักวันเถอะมึง กูจะให้มึงกราบตีนกูเพื่อร้องขอชีวิตให้ได้ ไอ้ปก!""ปล่อยได้แล้ว" ไม่พูดเปล่า แต่อลินดายังปัดมือของปกเกล้าออกจากเอวของตัวเองอย่างแรง ครั้นพอชายหนุ่มเห็นมือของตัวเองแล้วก็ทำทีเป็นร้องเสียงหลง"โห! นี่เล่นถึงกับเลือดตกยางออกเลยหรือเนี่ย ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ ไอ้เรารึอุตส่าห์หวังดีให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา แล้วคุณตอบแทนผมด้วยการจิกจนเนื้อเกือบหลุดเนี่ยนะ"
"หงอยเหงาหรือหอยเหงากันแน่นังยูมิ!" นิสราพูดดักคอซึ่งยูมิก็หัวเราะคิกคักตอบกลับทันทีเช่นกัน"ทั้งสองอย่างเลยเจ๊ แบบว่าของขาดน่ะ จะทำเองก็ไม่มันเท่ามีทอมรูปหล่อมาช่วยทำ ฟินกว่ากันเยอะ""ของปลอมมันจะสู้ของจริงได้ยังไงวะนังยูมิ ของจริงสิมันกว่า" นิสรายังไม่ยอมแพ้ เพราะอยากให้อีกฝ่ายคบหากับผู้ชายแท้ ๆ มากกว่าทอม"ทำไมจะสู้ไม่ได้ละเจ๊ ของปลอมสิดีไม่ต้องกลัวท้องไม่ต้องกลัวโรคติดต่อ แถมเลือกขนาดได้ด้วยว่าจะเอาไซซ์ไหน มีให้เลือกตั้งแต่เล็กพริกขี้หนูยันมะระอันโตเลยเจ๊ จะสีชมพูฟรุ้งฟริ้งหรือไฟกะพริบวิบวับก็ยังมี สนุกจะตาย" ยูมิพูดพร้อมกับทำมือประกอบไปด้วย"ระวังจะเจอบวบเหลี่ยมนะแก..." นิสรายังพูดไม่ทันจบ อลินดาก็ยกมือเบรกคนทั้งคู่เสียก่อน"พอ ๆ พอได้แล้วทั้งคู่เลย คุยอะไรกันเนี่ย ไม่มีเรื่องอื่นคุยกันแล้วรึไง"อลินดาหัวเราะร่วนกับการต่อปากต่อคำของทั้งคู่ แม้จะชินชาเสียแล้วที่ทั้งสองคนมักจะคุยสองแง่สองง่ามเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าอยู่เสมอ แต่บางครั้งก็ต้องเบรกเสียบ้างเพราะคราวนี้หากยังปล่อยให้เถียงกันต่อไป คงเลยเถิดไปถึงท่วงท่าและบรรดาอุปกรณ์เสริมทั้งหลา
อลินดากลับมาถึงลอยชายเกสต์เฮ้าส์ก็เห็นปกเกล้ากำลังนั่งพักผ่อนอยู่หน้าห้องพักของเขาพอดี หญิงสาวลอบถอนหายใจแผ่วเพราะรู้ดีว่าตนจะทำเมินเฉยต่อผู้ชายคนนี้ไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียวันนี้ชายหนุ่มก็ช่วยเหลือตนไว้ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับวิธีการช่วยของเขานัก แต่ก็ถือว่าสามารถกันเฮียไช้ออกไปอย่างได้ผลเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมคนอย่างเฮียไช้ยังไม่กล้ามีเรื่องด้วย อีกทั้งยังมีท่าทีเกรงใจผู้ชายคนนี้อย่างเห็นได้ชัด เห็นทีคงต้องลองสอบถามจากประวุธหรืออิทธิพล เพื่อนของเธอเสียแล้วทว่า เธอจำได้แค่ชื่อเล่นของเขาที่ชื่อปก แต่ไม่รู้ว่าชื่อเต็มของเขาคืออะไร ถ้าบอกแค่ชื่อเล่นของเขาไป ไม่รู้ว่าเพื่อนทั้งสองคนจะเคยได้ยินบ้างหรือเปล่า"คู่หูไปไหนแล้วล่ะครับ" ปกเกล้าเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน"ฉันให้แวะเอารถอีกคันที่อู่แล้วขับตามหลังมาน่ะ" เธอตอบไปตามตรง ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้จึงพูดว่า"ขอบคุณนะคะเรื่องที่สนามแข่งวันนี้"ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพลางลุกเดินเข้ามาใกล้"ไม่เป็นไรครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยละกันที่ล่วงเกินคุณไปบ้าง แต
ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วแล้วพูดอย่างปลงตก "ขอโทษนะ ไอ้เรื่องที่ไม่ชอบเป็นจุดเด่นหรือเป้าสายตาใครนี่คงจะยากแล้วล่ะ สวยซะขนาดนั้น"ครั้นพอได้ยินเขาพูด ยูมิก็พยักหน้าขึ้นลงไปมาอย่างเห็นด้วย"เออเนอะ ก็จริงของพี่""ตกลงจะให้พี่ไปตามหาเบอร์เอาเอง จะไม่ช่วยพี่จริงหรือ พี่จริงใจกับเพื่อนเราจริง ๆ นะ"ปกเกล้าลองตื๊อดูอีกสักครั้งแม้จะมั่นใจว่าหญิงสาวคนนี้ไม่มีทางให้เบอร์เพื่อนรักกับตนแน่นอน"ได้ข่าวมาว่าสาว ๆ ของพี่เนี่ยตั้งเป็นฮาเร็มได้เลยไม่ใช่หรือ แหม...ความจริงใจของพี่นี่เผื่อแผ่และทั่วถึงดีจังเนอะ"ยูมิไม่วายแซะเขาจนได้ เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพราะไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่อมันคือเรื่องจริง"ก็จริงอยู่ที่สาว ๆ ของพี่เยอะแต่ก็ไม่ใช่แฟนไง ถ้าพี่มีแฟนเมื่อไรก็หยุดทุกอย่างเมื่อนั้น นี่พูดจริงนะเนี่ย คนอย่างพี่พูดอะไรไว้ก็ทำได้อย่างที่พูดเสมอ"ยูมิทำตาโตเหมือนไม่เชื่อที่เขาพูด เธอผงกศีรษะขึ้นลงช้า ๆ ราวกับล้อเลียน จากนั้นก็ยื่นมือมาตบต้นแขนเขาเบา ๆ แล้วพูดว่า"ถ้าอย่างนั้นก็พยายามเข้าละกันนะ จะรอดูคนพูดจริงทำจริง บ๊ายบาย"พูด
วันต่อมา อลินดาต้องกลับกรุงเทพฯ แต่เช้าตรู่เพราะหญิงสาวบอกมารดาว่ามาที่นี่แค่สามวันเท่านั้น ระหว่างที่เดินผ่านหน้าห้องของปกเกล้าเธออดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้ที่ไม่เจอผู้ชายคนนี้อยู่หน้าห้องอลินดาเกลียดผู้ชายเจ้าชู้เข้ากระดูกดำ ยิ่งผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องสนองความใคร่เธอยิ่งรังเกียจ หญิงสาวยอมรับว่าการที่ตนเกิดมามีรูปร่างหน้าตาดูดีกว่าผู้หญิงคนอื่นนั้น ไม่ต่างอะไรกับบ่อน้ำหวานที่ล่อหมู่ภมรให้เข้ามาดอมดม แต่นั่นก็ยิ่งทำให้อลินดาได้เห็นธาตุแท้ของผู้ชายหลายคนที่เข้าหา ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิต ดังนั้นเธอจึงตั้งใจไว้ว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานเพราะไม่ต้องการสัมผัสกับความผิดหวังหรือเสียใจภายหลังขากลับเข้ากรุงเทพฯ อลินดาใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมงก็ถึงคอนโดมิเนียมของตน หญิงสาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทะมัดทะแมงสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์ไปเป็นกางเกงห้าส่วนสีขาวกับเสื้อสายเดี่ยวสีพีชแล้วคลุมทับด้วยสูทสีขาวอีกที จากนั้นก็แต่งหน้าอ่อน ๆ ปล่อยผมให้ยาวสยาย ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปพิมาลินสปาให้ทันช่วงบ่าย“เป็นยังไงบ้างคะ
“ไม่จริงค่ะคุณย่า วันนี้มันไปที่สปาสาขาใหม่ พีชยังเห็นมันลอยหน้าลอยตาอยู่ที่ร้านเลย มันไม่ได้อยู่บุรีรัมย์”ขวัญชีวาพูดโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิด ไม่นำพากับแรงสะกิดของมารดาที่พยายามส่งสัญญาณเตือน“แล้วหล่อนจะไปให้เขาตบถึงที่ทำไมล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีเองนี่นา ฉันเคยบอกเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าให้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาข้องแวะกันอีก แล้วทำไมหล่อนไม่ฟัง หืม...”ขวัญชีวาหุบปากฉับทันที อรชุมาเห็นดังนั้นจึงอดพูดไม่ได้“แต่ทำกันขนาดนี้ก็เกินไปหน่อยนะคะคุณแม่ ยังไงพีชก็เป็นน้อง ลินดาไม่น่าทำกับน้องสาวตัวเองขนาดนี้”“อ้อ...นี่หล่อนเห็นแม่ลินดาเป็นพี่สาวด้วยหรือแม่พีช ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ย ถ้านับถือเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วแบบนี้คนแก่อย่างฉันก็คงนอนตายตาหลับ”มารศรีแกล้งพูดแทงใจดำสองแม่ลูก และคนที่เก็บอารมณ์และความคิดของตัวเองไม่เคยอยู่อย่างขวัญชีวาก็โพล่งขึ้นมาทันที“เปล่าสักหน่อยค่ะคุณย่า พีชไม่มีวันนับญาติกับคนที่ฆ่าพ่อตัวเองได้ลงคอหรอก”“แม่พีช!” มารศรีตวาดใส่หลานเสียงกร้าว ก่อ
“ไม่!” เธอมองเขาตาเขียวก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกจากห้องนอนก่อนที่จะทนลูกอ้อนของเขาไม่ไหว เพราะสำหรับปกเกล้าแล้ว คำว่าแป๊บเดียวนั้นไม่เคยต่ำกว่ายี่สิบนาทีอลินดาลงไปรับภาวินกับแฟนสาวที่ล็อบบี้ชั้นล่าง สาวน้อยคนนั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างที่ปกเกล้าว่าไว้จริงเสียด้วย“อ้าวลินดา อยู่กับไอ้ปกมันหรือ” ภาวินทักด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้าเหมือนจะล้อเลียนเรื่องที่ตนลงมาช้าเพราะคงคิดว่าเธอกับปกเกล้ามัวแต่เล่นผีผ้าห่มกันอยู่บนเตียงกระมัง“เอ่อ...ค่ะ พี่ปกอาบน้ำอยู่ก็เลยให้ลินดาลงมารับ”“นี่มะลิ แฟนพี่เอง นี่พี่ลินดาแฟนพี่ปกเขาน่ะ” ภาวินแนะนำแฟนสาวให้รู้จัก อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้พลางมองมาด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด อลินดาจึงรับไหว้และยิ้มกว้างพลางพูดว่า“ยังเด็กอยู่เลย พี่วินหลอกน้องเขามารึเปล่าคะเนี่ย”“เด็กอะไร ไม่เด็กแล้ว หน้าอ่อนเฉย ๆ หรอก แหม...เห็นพี่เป็นพวกโลลิคอนรึไง”เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก อลินดาจึงเดินไปหยิบน้ำมาให้แขก เป็นเวลาเดียวกับที่ปกเกล้าเดินออกมาจากห้องนอนพอดี
ปกเกล้าคลี่ยิ้มร้ายกาจ ความช่างยั่วแสนเซ็กซี่ของเธอนี่เป็นอย่างหนึ่งที่ถูกใจเขามากเช่นกัน และเขาก็ไม่รอให้เธออนุญาตหรือตั้งตัว ก้มลงจูบหญิงสาวทันทีท่ามกลางคนมากมายที่กำลังเดินออกจากผับ“โอเค ถือว่าดื่มไม่เยอะเท่าไร แต่เพื่อความปลอดภัยพี่ว่าเธอขับรถพี่กลับไปดีกว่าไหม” ไม่พูดเปล่า แต่เขาล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงมาใส่มือเธอด้วย เพราะสำหรับเขาแล้วความปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนของอลินดาสำคัญที่สุด“ก็ได้” เธอหยิบกุญแจรถบิ๊กไบค์และหมวกกันน็อกของตัวเองยื่นส่งให้เขาบ้าง จากนั้นก็เดินออกไปที่ลานจอดรถรถซูเปอร์คาร์ของปกเกล้าหาไม่ยากนักเพราะน้อยคนที่จะมีรถแบบนี้ขับ หลังจากสตาร์ตเครื่องแล้วอลินดาก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถบิ๊กไบค์อันแสนคุ้นหูอยู่ใกล้กับรถที่ตนนั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปกเกล้าขี่เจ้าแพนเตอร์มาจอดรออยู่เบื้องหน้าแล้ว เธอจึงเลื่อนกระจกลงแล้วทำมือเป็นเชิงบอกให้เขาล่วงหน้าไปก่อนได้เลย เพราะเธอจะขับตามเขาไปเองปกเกล้าพยักหน้าแล้วเคลื่อนรถออกไปไม่เร็วนัก อลินดาจึงขับตามไป เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าแฟนสาวขับตามมาแล้วจึงเร่ง
อลินดาขับรถบิ๊กไบค์คู่ใจเข้ามาจอดไว้ในบริเวณที่ทางสถานบันเทิงจัดเอาไว้ให้โดยมียูมิ เพื่อนสนิทขับอีกคันเข้ามาจอดคู่กัน ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในผับชื่อดังของตัวเมืองบุรีรัมย์หญิงสาวอยู่ในชุดกางเกงยีนสกินนีกับเสื้อยืดพอดีตัวเช่นเคย ส่วนยูมินั้นสวมกางเกงยีนรัดรูปกับเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยเพื่อโชว์รอยสักรูปเกอิชาบนแผ่นหลังที่เจ้าตัวแสนภาคภูมิใจอลินดามองหากลุ่มเพื่อนของตนที่นัดเอาไว้ แต่สายตาดันไปหยุดอยู่ที่โต๊ะของนักท่องราตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในโต๊ะเธอก็คุ้นหน้าคุ้นตาดีทั้งสามคน แต่ที่ไม่คุ้นคือหญิงสาวอีกสามคนที่นั่งเบียดกับหนุ่ม ๆ เหล่านั้นจนแทบจะรวมร่างกันอยู่รอมร่อ“มึงเดินไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูตามไป” อลินดาหันไปบอกเพื่อน ยูมิมองตามสายตาของอีกฝ่ายจึงแค่นยิ้มมุมปากพลางพูดว่า“ได้ แต่ถ้าจะตบก็เรียกกูด้วยละกัน พักนี้กูคัน อยากตบคน”อลินดาหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าพูดว่า “เออ รู้แล้วน่า”จากนั้นหญิงสาวก็เดินไปยังโต๊ะที่ปกเกล้ากับเพื่อนอีกคนสองคนนั่งอยู่ เธอเห็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าแฟ
ปกเกล้าก้าวลงจากรถสปอร์ตสีเทาดำแล้วเดินเข้าไปในคอนโดมิเนียมของแฟนสาว ขณะที่กำลังจะกดเรียกลิฟต์นั้น สายตาของชายหนุ่มก็เห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวที่เขาตั้งใจขับรถจากบุรีรัมย์มาหาเพราะอยากเห็นหน้า และชวนไปกินมื้อเย็นด้วยกันก่อนที่ตนจะต้องขับกลับไปทำงานที่จังหวัดบุรีรัมย์อีกครั้งอลินดากำลังยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งหากเป็นคนอื่นปกเกล้าคงไม่เข้าไปวุ่นวาย แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นนครินทร์ ตำรวจหนุ่มที่จ้องจะตีท้ายครัวของตนเสมอเมื่อสบโอกาส เขาจึงไม่สามารถอยู่เฉยได้ ฉะนั้นปกเกล้าจึงเดินเข้าไปหาแฟนสาวแล้วโอบเอวของเธอพร้อมกับจูบขมับเบา ๆ เพื่อประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทันที“ไงครับผู้กอง เพิ่งกลับหรือครับ” ปกเกล้ายิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าขณะที่มือก็เลื่อนขึ้นมาโอบบ่าของอลินดาไว้“ครับ เพิ่งมาถึงก็เจอคุณลินดาพอดี” นครินทร์ยิ้มตอบ“ผู้กองเขาชวนไปกินข้าวหน้าคอนโดฯ น่ะ พี่กินอะไรมารึยังล่ะ”อลินดาหันไปถามแฟนหนุ่มพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นอาการขี้หวงของใครบางคนกำเริบ“กินอะไรเล่า เดี๋ยวเราต้องร
“เรื่องนั้นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรามีลูกพี่ก็คงอยากให้ลูกเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ มากกว่าเพราะใกล้ญาติพี่น้องทางนี้ เวลามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ง่ายกว่าอยู่บุรีรัมย์”“ถ้าเราแต่งงานกัน พี่ไปอยู่บ้านลินได้ไหมล่ะ แม่ของลินจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เพราะบ้านพี่ก็มีพี่ป้องกับพี่ก้อยอยู่ที่นั่นแล้ว”“ได้สิไม่มีปัญหา” เขายิ้มมุมปากพลางเลื่อนมือลงต่ำไปที่บั้นท้ายงามงอนแล้วเลิกชายกระโปรงของเธอขึ้นแล้วพูดว่า“แต่เราอาจต้องทำห้องนอนใหม่นะ เอาแบบที่เก็บเสียงได้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่ของลินอาจจะนอนไม่หลับเพราะเสียงตอนพี่กระแทกเธอคงดังรบกวนท่านแน่นอน” ไม่พูดเปล่า แต่เขายังจ่ออาวุธประจำตัวเข้าที่จุดเดิมแล้วเริ่มขยับสะโพกอย่างเป็นจังหวะ มือทั้งสองข้างก็จับชายชุดกระโปรงของหญิงสาวแล้วดึงขึ้นเพื่อถอดออกไปทางศีรษะ จนในที่สุดร่างเซ็กซี่เย้ายวนที่เขาหลงใหลก็ปรากฏต่อสายตา“ไหนว่าจะนวดให้ไง” เสียงแหบพร่าของเธอกระท่อนกระแท่นไปตามแรงกระแทกกระทั้น“ขออีกยกแล้วจะนวดให้ รับรองว่าเธอจะติดใจฝีมือการนวดของ
“แล้วคิดว่าไงล่ะ” แค่เธอลูบคลำไปมา เจ้าสิ่งที่อยู่ในกางเกงก็ประกาศศักดาสู้มือทันทีราวกับสั่งได้“จะไวไฟไปแล้วนะ” อลินดาแค่นยิ้มให้แฟนหนุ่ม“ไม่ไวได้ไงเล่า พี่ไม่ได้เมกเลิฟกับเธอนานแล้วนะ กระสุนเต็มรังแล้วเนี่ยไม่ได้ยิงออกไปสักที” ปกเกล้าปลดกระดุมกางเกงยีนเพื่อปล่อยอาวุธประจำกายให้เป็นอิสระ จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะศีรษะหญิงสาวเป็นเชิงบอกใบ้ ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก“นานอะไรกัน ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย หื่นไม่เข้าเรื่อง” อลินดายิ้มมุมปาก“สามวันก็จะขาดใจแล้ว นะที่รัก” ปกเกล้าออดอ้อนเสียงอ่อน ก่อนจะครางออกมาเบา ๆ เมื่อปลายลิ้นอ่อนนุ่มที่เขาหลงใหลปัดป่ายอยู่ตรงส่วนหัวแล้วลากไล่จากโคนถึงปลาย ตามมาด้วยความอุ่นร้อนจากโพรงปากที่กำลังกลืนกินเขาเข้าไปทีละนิดจนหมดชายหนุ่มชะลอรถให้วิ่งช้าลง เขาไม่กลัวรถคันอื่นจะมองมาแล้วเห็นว่าแฟนสาวคนสวยของเขากำลังก้มหน้าทำอะไรให้เพราะกระจกติดฟิล์มดำ อีกทั้งการขับรถไปแบบเสียว ๆ นี้ทำให้เขาตื่นเต้นและอารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด ส่งผลให้
อลินดายืนกอดอกมองคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาในร้านพิมาลินสปาด้วยแววตาขบขัน จำได้ว่าเมื่อวานปกเกล้าเพิ่งพูดกับเธอว่าจะไม่เข้ากรุงเทพฯ หลายวันเพราะต้องเตรียมเรื่องการจัดแข่งขันรถยนต์ให้กับสมาชิกของทริปเปิลเอกซ์ เขายังบอกเธอด้วยว่าไม่ต้องคิดถึงเขามากเกินไปจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ทำไมคนพูดถึงได้มาโผล่ที่นี่เวลานี้ได้เล่า“มาทำไมคะคุณปกเกล้า” เธอถามยิ้ม ๆ“มาหาข้าวกิน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” พูดจบเขาก็คว้าข้อมือเธอแล้วจะดึงไปข้างนอก แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หันมาพูดว่า“ไม่กินแถวนี้นะเบื่อแล้ว ไปกินข้างนอกกันบ้างดีกว่า”หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ “ก็ได้ ขอไปหยิบกระเป๋าก่อนนะ”หลังจากนั้นอลินดาก็ขึ้นรถไปกับปกเกล้า ชายหนุ่มขับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง หญิงสาวรู้สึกสงสัยจึงถามไปว่า“นึกยังไงถึงพามากินที่นี่ และทำไมต้องร้านนี้ด้วยล่ะ”“ความจริงแล้วพี่นัดเพื่อนไว้น่ะ”“อ้าว นัดเพื่อนไว้แล้วพี่จะลากลินมาด้วยทำไมเนี่ย”“ก็อยากพามาด้วยนี่
“ไปกินเค้กวันเกิดเว้ย” ชินดนัยตอบทั้งรอยยิ้ม“ตอนกินใส่ชุดวันเกิดด้วยละสิท่า โธ่เอ๊ย สุดท้ายก็เห็นหญิงดีกว่าเพื่อนนะมึงเนี่ย” ปกเกล้าหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในจานกับแกล้มปาใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ชินดนัยเอาแต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือให้แล้วเดินจากไปเมื่อเหลือกันอยู่สามคน ปกเกล้าจึงชี้ไปที่ภาวินแล้วพูดกับหญิงสาวว่า“รู้จักเครื่องสำอางแบรนด์เอเอ็นเอสไหม คนนี้แหละคือเจ้าของ”อลินดาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เครื่องสำอางแบรนด์นี้ใครบ้างจะไม่รู้จัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอกับเจ้าของแบรนด์ตัวจริงเสียงจริง หนำซ้ำยังเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอีกด้วย“สนใจเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์พี่ไหมครับ พี่ว่าน้องสวยกว่าดาราบางคนซะอีกนะ” ภาวินได้โอกาสจึงชักชวนให้มาเป็นนางแบบเครื่องสำอางแบรนด์ของตนทันที แต่สุดท้ายก็ถูกปกเกล้าเบรกตัวโก่ง“ไม่ให้เว้ย”“อ้าว มึงมีสิทธิ์อะไรไปห้ามน้องเขาเนี่ยไอ้ปก มึงเป็นอะไรกับเขา”ภาวินแกล้งโวยวาย“กูเป็นแฟนเขา ก็กูไม่ให้อะมีปัญหา
อลินดายืนกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มที่เดิม หลังจากเก็บเงินในกระเป๋าสตางค์เรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเทรนเนอร์หนุ่มคนเดิมยืนยิ้มให้อย่างเคย“พักนี้ผมไม่ค่อยเจอคุณเลย อยู่อีกสาขาหรือครับ”“ใช่ค่ะ ดูแลสลับกันไปเรื่อย ๆ” ในเมื่อเขาชี้นำคำตอบมาให้แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องคิดหาคำตอบอื่นเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องบอกเขาว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไปอยู่บุรีรัมย์ทั้งเดือน“ถึงว่าสิครับ ไม่เจอเลย ตอนแรกแอบใจหายนึกว่าคุณลาออกไปแล้วเสียอีก”“งานสมัยนี้หายากจะตาย จะลาออกทำไมละคะ”เธอมองไปทางหน้าร้านสปาของตน เห็นมีลูกค้ากำลังเดินเข้าไปจึงเอ่ยปากขอตัวกับเขา ชายหนุ่มจึงพูดว่า“ผมยังเสนอให้คุณเหมือนเดิมนะครับถ้าคุณสนใจจะนวด ผมบริการให้ฟรีเลยถ้าเป็นคุณ”ช่วงนี้อรชุมาไม่ได้เรียกใช้บริการเขาแล้วเพราะเจ้าหล่อนติดใจหมอนวดหนุ่มคนอื่น อีกทั้งพักหลังนี้อรชุมาจะติดใจการนวดแล้วนาบแบบแซนวิชที่ต้องใช้หมอนวดชายสองคน เขาจึงไม่ต้องหลอกล่อสาวสวยคนนี้ให้มาใช้บริ