"ไม่หรอกค่ะพี่แวว แค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะมีภาพจำที่ติดตาว่าผู้ชายที่กล้ามใหญ่หุ่นล่ำบึ้กมักเป็นเกย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยพี่ พวกเทรนเนอร์น่ะเขามีหน้าที่แนะนำการออกกำลังกายให้คนอื่น เพราะฉะนั้นตัวเองก็ต้องหุ่นดีไว้ก่อน และที่สำคัญคือต้องเฟรนด์ลี่มาก ๆ พูดเพราะช่างเอาอกเอาใจ ยิ้มง่ายคุยเก่ง เพราะแบบนี้มั้งก็เลยดูเหมือนเกย์"
"น้องลินดารู้ดีจังเลย เคยจ้างเทรนเนอร์หรือคะ" แวววรรณถามยิ้ม ๆ อลินดาจึงอดหัวเราะไม่ได้
"เปล่าหรอกค่ะพี่ แต่ลินดามีเพื่อนเป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสอยู่คนหนึ่งก็เลยรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง"
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของอลินดาที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดเป็นสัญญาณว่ามีคนโทร. เข้า ครั้นพอหญิงสาวเห็นชื่อผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาจึงคว้ามันมาถือไว้แล้วเดินออกไปนอกร้านพลางกดรับสาย
"ว่าไงกั๊ต"
"ไอ้ลิน! ข่าวดีเว้ยมึง เฮียไช้เขาดูการแข่งของมึงเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วเขาสนใจอยากได้มึงมาเข้าสังกัดว่ะ" น้ำเสียงตื่นเต้นของกั๊ต กฤษณะเพื่อนสนิทที่ร่วมก๊วนบิ๊กไบค์ด้วยกันโพล่งขึ้นมาตามสายทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง
"เฮ้ยถามจริง มึงอำกูรึเปล่าเนี่ยไอ้กั๊ต"
ด้วยความตื่นเต้นตกใจจึงทำให้อลินดาลืมตัวใช้คำเรียกขานอันแสนสนิทสนมระหว่างตนกับเพื่อน ทั้งที่ปกติแล้วหญิงสาวจะพูดจาแบบนี้เฉพาะเวลาที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิท หรือคุยตามลำพังเท่านั้น แต่เวลาอยู่ข้างนอกหรือที่สาธารณะ เธอจะใช้คำที่สุภาพกว่านี้
"กูจะไปอำมึงทำไมเล่า เรื่องจริงเว้ย เสาร์นี้มึงมาที่นี่เลยนะ เฮียไช้เขาอยากคุยกับมึง"
"เสาร์นี้เลยหรือ งานทางนี้กำลังยุ่งเลยว่ะเพราะเพิ่งเปิดสาขาใหม่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะโทร. บอกอีกทีละกันว่าจะไปได้วันไหน ขอคุยกับคุณแม่ก่อน"
อลินดาแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่อยากให้มารดาหัวหมุนอยู่คนเดียว แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะโอกาสการได้เข้าเป็นนักแข่งที่มีสังกัดนั้นไม่ได้มีมาบ่อย ๆ
"ว่าแต่เฮียเขานึกยังไงถึงอยากให้กูเข้าสังกัดวะกั๊ต แข่งครั้งล่าสุดกูไม่ติดหนึ่งในห้าด้วยซ้ำ" เธออดสงสัยไม่ได้เพราะแข่งครั้งที่ผ่านมาตนทำผลงานได้ไม่ดีนักเพราะไม่คุ้นกับสนาม อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ได้ลงสนามแข่งของที่นี่อีกด้วย
"เขาก็คงเห็นแววมึงนั่นแหละมั้ง ลองมาคุยกับเขาก่อนละกัน ถ้าไม่โอเคมึงก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา"
"อืม จะไปวันไหนแล้วจะโทร. บอกอีกทีละกัน แค่นี้ก่อนนะ"
อลินดากดวางสายทั้งรอยยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าการลงสนามแข่งครั้งแรกของตนจะไปเข้าตาค่ายดังของวงการแข่งขันซูเปอร์ไบค์เข้าจนได้
"จะบอกคุณแม่ยังไงดีเนี่ย" หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งบอกมารดาไปว่าเดือนหน้าตนถึงจะเข้าไปดูงานที่เกสต์เฮ้าส์ ช่วงนี้จึงมีเวลาดูแลสปาสาขาใหม่ได้เต็มที่ ทว่าเห็นทีคราวนี้ตนคงต้องผิดคำพูดเสียแล้ว
ช่วงสายของวันเสาร์ ในที่สุดอลินดาก็พาเจ้าแพนเตอร์ ดูคาติสีดำออกมาโลดแล่นบนถนนได้สำเร็จตามที่หวัง คราแรกหญิงสาวตั้งใจจะออกเดินทางตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา แต่มารดาไม่อนุญาตเพราะไม่อยากให้ขับรถตอนกลางคืน ดังนั้นเธอจึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อขับรถมาจอดไว้ที่คอนโดมิเนียมแล้วขี่รถบิ๊กไบค์คู่ใจมุ่งหน้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์
ใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมงอลินดาก็ถึงที่หมาย หญิงสาวจอดรถที่ปั๊มน้ำมันเพื่อโทรศัพท์หากฤษณะเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกว่าถ้าเธอมาถึงก่อนเที่ยงให้โทรศัพท์ติดต่อเขาก่อน แต่ถ้าหลังเที่ยงเป็นต้นไปก็ให้เธอเข้าไปที่เกสต์เฮ้าส์ได้เลย
"เออ มาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ตรงปั๊มใกล้สี่แยก"
หญิงสาวยู่หน้าเล็กน้อยเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ตอนวิ่งอยู่บนถนนลำตัวปะทะกับสายลมตลอดจึงไม่รู้สึกว่าร้อนเท่าไรนัก ทั้งยังใส่เสื้อแจ็กเก็ตกันลมทับเสื้อยืดด้านใน ทว่าพอจอดรถนิ่ง ๆ ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดซึมออกมาตามไรผมแล้วเพราะตนไม่ได้ถอดหมวกกันน็อกออก
"โวะ! ถึงเร็วจังวะ นี่มึงขี่หรือมึงวาร์ปมาเนี่ยไอ้ลิน งั้นมึงขี่มาร้านไอ้อู๋เลย กูอยู่กับไอ้อู๋ไอ้เปลวเนี่ย"
"แล้วตกลงมีเรื่องอะไรถึงให้โทร. หาถ้ามาถึงก่อนเที่ยง" เธออดถามไม่ได้เพราะฟังดูเหมือนเพื่อนมีเรื่องสำคัญจะบอก
"ไม่มีอะไร ก็ถ้ามึงมาถึงก่อนเที่ยงจะได้แวะมากินข้าวร้านไอ้อู๋ก่อนไง"
"เอ๊า! ก็นึกว่ามีเรื่องอะไร โอเคแล้วเจอกัน"
อลินดากดตัดสายแล้วเดินทางต่อเพื่อไปยังจุดนัดพบซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ของอู๋ อิทธิพลกับเปลว ประวุธที่ลงขันทำด้วยกัน
คล้อยหลังรถของอลินดาที่ขับออกจากปั๊มน้ำมันไป รถเฟอร์รารี่สีเทาดำก็ขับเข้ามาในปั๊มในเวลาไล่เลี่ยกัน กระจกรถฝั่งคนขับเลื่อนลงเมื่อเห็นพนักงานในปั๊มเดินเข้ามาหา
"เก้าห้าเต็มถังครับ" ปกเกล้าบอกกับเด็กปั๊มเสร็จก็เลื่อนกระจกขึ้นตามเดิม เป็นเวลาเดียวกับที่แขนซ้ายของตนถูกความนุ่มหยุ่นเข้ามาบดเบียด
"เสียดายจังค่ะ พี่ปกไม่น่ามีธุระเลย กิฟต์ยังไม่อยากกลับห้องตอนนี้เลยค่ะอยากอยู่กับพี่มากกว่า"
หญิงสาวพูดพลางเบียดหน้าอกกับต้นแขนของเขาอย่างออดอ้อน มือข้างหนึ่งลูบไปมาบนแผงอกหนั่นแน่นของปกเกล้าราวกับต้องการยั่วให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจไม่ไปธุระ จะได้อยู่กับตนต่อ
"ก็อยู่กันมาทั้งคืนแล้วไง ให้พี่ไปทำมาหากินบ้างสิครับคนสวย"
ปกเกล้ายิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปมองที่ตู้จ่ายน้ำมันว่าเสร็จหรือยัง เขามองอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าตัวเลขบนตู้เริ่มวิ่งช้าลงจึงหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ออกมาเตรียมไว้
"ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พี่ปกอย่าลืมโทร. หากิฟต์นะคะห้ามลืมด้วย"
หญิงสาวเอนศีรษะซบลงกับต้นแขนของเขาก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงเขารับปาก
"อืม"
หลังจากจ่ายเงินค่าน้ำมันแล้ว ปกเกล้าก็ขับไปส่งหญิงสาวที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืนในผับชื่อดัง และชวนกันไปเปิดโรงแรมเพื่อหาความสุขเช่นที่เคยทำบ่อย ๆ กว่าเจ้าหล่อนจะยอมลงจากรถก็อ้อยอิ่งอาลัยอาวรณ์อยู่นาน หากแต่ชายหนุ่มก็มีความอดทนมากพอที่จะไม่หงุดหงิดใส่ เขาเพียงยิ้มและรับปากส่ง ๆ ไปว่าจะติดต่อหาเธออีกครั้ง จากนั้นก็รีบขับรถออกจากอพาร์ตเมนต์ของหญิงสาวเพื่อไปร้านอาหารที่นัดกับเพื่อนไว้
"อีกสิบนาทีกูไปถึงแล้ว สั่งข้าวไว้ให้กูด้วย"
ปกเกล้าโทรศัพท์บอกเพื่อนเพราะตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเขาเลย หนำซ้ำยังเสียพลังงานไปกับกิจกรรมบนเตียงอีกด้วย
ชายหนุ่มไปถึงร้านอาหารเร็วกว่าที่คิด เขาจอดรถไว้ตรงลานโล่งด้านข้างร้านอาหารซึ่งทำเป็นลานจอดรถสำหรับลูกค้า ขณะที่กำลังเดินไปหน้าร้าน สายตาของปกเกล้าก็สะดุดเข้ากับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อดูคาติสีดำที่จอดหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ สองขาของเขาจึงเปลี่ยนทิศทางไปตรงนั้นโดยอัตโนมัติ
จะใช่ไหมวะ...
ปกเกล้าได้แต่สงสัยอยู่ในใจ คืนที่แข่งกับสาวบิ๊กไบค์คนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจมองทะเบียนรถด้วยว่าเป็นเลขอะไร แต่คนที่ขี่รถ Ducati Monster 821 รุ่นล่าสุดก็ใช่ว่าจะมีเยอะจนเจอกันได้ง่ายดายอย่างนี้
ในเมื่อรถจอดอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าเจ้าของรถคงอยู่ในร้านกระมัง
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะก้าวยาว ๆ เข้าไปในร้านอาหารทันที
ช่วงกลางดึกของคืนหนึ่งบนถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร รถสปอร์ตสีเทาดำกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับติดจรวด เสียงเครื่องยนต์จากรถที่มีสมรรถนะแปดร้อยแรงม้าดังกระหึ่มไปตามเส้นทางที่รถเฟอร์รารี่คันนี้แล่นผ่าน หากแต่คนที่นั่งอยู่ในรถกลับได้ยินเพียงเสียงเพลงที่เปิดอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้นปกเกล้าขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี การขับรถบนถนนโล่งในช่วงกลางดึกแบบนี้เป็นกิจกรรมที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด ยิ่งถ้าขับบนถนนต่างจังหวัดเขายิ่งชอบเพราะรถไม่พลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่ เขาไม่ชอบขับรถในกรุงเทพฯ เพราะหาถนนโล่ง ๆ ได้ยาก ลูกชายสุดที่รักของเขาเป็นถึงเฟอร์รารี่แปดร้อยแรงม้า จะให้ติดแหงกอยู่บนถนนที่สามารถเคลื่อนที่ได้ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงทุกวันคงน่าเบื่อแย่ดังนั้นทุกสุดสัปดาห์ชายหนุ่มจึงมักหาเรื่องพารถคู่ใจออกมาโลดแล่นปล่อยพลังให้เต็มที่ตามถนนในต่างจังหวัด ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ปกเกล้ากำลังมีโครงการจะเปิดศูนย์ซ่อมและตกแต่งรถซูเปอร์คาร์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาจึงถือโอกาสนี้มาลองรถบนถนนหลวงอยู่หลายครั้ง"อ้าวเฮ้ย!"ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อมองเห็นแต่ไกลว่าไฟจราจรสี่แยก
Ducati Monster 821 สีดำคันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้าไปในคอนโดมิเนียมในเวลาที่เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขสาม พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบกดปุ่มเพื่อยกไม้กั้นขึ้นให้ทันทีเพราะรู้ดีว่าผู้ที่เป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันนี้เป็นใคร จากนั้นก็ยืนยิ้มร่าทำความเคารพด้วยการตะเบ๊ะพร้อมกับพูดว่า"เชิญครับลูกพี่"ผู้ที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์เปิดหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นแล้วยกมือให้ข้างหนึ่งเพื่อทักทายกลับโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะขับเข้าไปด้านในโดยมีสายตาของพนักงานคนเดิมมองตามไปด้วยความชื่นชม"จุ๊ ๆ โคตรสวยเลย เมื่อไรจะมีวาสนาได้ขับดูคาติกับเขาบ้างวะกู"พูดจบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะรู้ดีว่ารถซูเปอร์ไบค์คันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไปนั้นราคาเท่าไร ลำพังเงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ อย่างตน ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของอลินดาขับรถเข้าไปจอดที่ประจำของตน หลังจากดับเครื่องแล้วก็ลงมายืนข้างรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออกมาถือไว้ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ และเครื่องหน้าที่สวยจัดแม้จะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวบิดคอไปมาสองสามครั้งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะเดินไปทางโถงหน้าลิฟต์พลางเปิดกระเป๋าเป้เพื่อ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณป้า ชมกันขนาดนี้หนูเขินเลย" อลินดายิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองด้านในร้านแล้วหันมาพูดกับมารดา"หนูเข้าไปดูแขกข้างในนะคะคุณแม่""จ้ะไปเถอะ มีอะไรก็ถามคุณแววเขาละกันนะ" ผู้เป็นมารดายิ้มให้บุตรสาว ขณะที่เกศรินนั้นมองตามอลินดาที่เดินเข้าร้านไปด้วยแววตายิ้มได้ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปถามอรพิมเบา ๆ"หนูลินดาน่ารักมากเลย ถามจริง ๆ นะยายพิม ลูกสาวเธอมีแฟนรึยัง""ยังหรอก" อรพิมตอบโดยไม่ต้องคิดพลางถอนหายใจแผ่วก่อนพูดต่อ"ฉันกับลูกน่ะ มีอะไรก็คุยกันเปิดอกเสมอ ถ้าเขามีแฟนก็คงบอกฉันตามตรง แต่เวลาฉันถามทีไรเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าทุกที ลินดาเคยบอกกับฉันว่าเขาจะไม่แต่งงาน เขาจะอยู่ดูแลฉัน ดูแลร้านอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เฮ้อ...แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกได้เจอคนดี ๆ แล้วออกไปสร้างครอบครัวมากกว่าที่เขาจะต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต""หนูลินดาเขาฝังใจเรื่องพ่อใช่ไหม" เกศรินกดเสียงให้เบาลงกว่าเดิมเพราะเรื่องนี้รับรู้กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น"ใช่ ลินดาเขากลัวจะเจอผู้ชายแบบพ่อตัวเองน่ะ" เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อรพิมก็มีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที เกศรินจึงบีบมือเพื่อนอย่างให้กำลังใจ"หนูลินดาจะต้องได้เจอคน
"บรื้น ๆ รถแบตแมนมาแล้ว" รถไฟฟ้าสำหรับเด็กเล็กที่ทำเลียนแบบรถซูเปอร์คาร์คันจิ๋วค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่นโดยผู้ทำหน้าที่ขับคือปกปักษ์ หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้านหลังนี้ และเป็นบุตรชายวัยสี่ขวบของปกป้องกับกวิสราเกศรินหันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับยิ้มกว้างพลางลุกขึ้นเดินไปหาหลานชายตัวน้อย "ตาโป้ง มาให้ย่าหอมหน่อยเร็ว แล้วนี่อะไรกัน ได้คันใหม่มาอีกแล้วหรือ ใครซื้อให้เนี่ย"ผู้เป็นย่ามองรถคันสีแดงแปะยี่ห้อเฟอร์รารี่ที่หลานชายนั่งอยู่พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย"อาปกซื้อให้คับ" เด็กน้อยตอบพลางมองหน้าผู้เป็นอาแล้วยิ้มกว้าง"เจ้าปก!" เกศรินเรียกชื่อบุตรชายอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่อยากโวยวายเสียงดังเพราะกลัวหลานตัวน้อยจะตกใจ แต่คนถูกคาดโทษกลับยิ้มระรื่นพลางลุกขึ้นนั่งแล้วพูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมว่า"เป็นลูกผู้ชายทั้งทีจะมีรถคันเดียวได้ยังไง จริงไหมโป้ง""จริงคับ!" เด็กชายปกปักษ์ตอบรับอย่างขึงขังเช่นกัน ผู้เป็นย่าจึงหันไปพูดกับหลานชายว่า"ตาโป้ง ของเล่นทุกอย่างรถทุกคันที่ได้มา หนูเล่นแล้วต้องรักษาให้ดีรู้ไหมลูก อย่าเล่นทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ วันนี้เล่นคันนี้ วันพรุ่งนี้ก็เล่นคันเก่