"บรื้น ๆ รถแบตแมนมาแล้ว" รถไฟฟ้าสำหรับเด็กเล็กที่ทำเลียนแบบรถซูเปอร์คาร์คันจิ๋วค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่นโดยผู้ทำหน้าที่ขับคือปกปักษ์ หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้านหลังนี้ และเป็นบุตรชายวัยสี่ขวบของปกป้องกับกวิสรา
เกศรินหันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับยิ้มกว้างพลางลุกขึ้นเดินไปหาหลานชายตัวน้อย "ตาโป้ง มาให้ย่าหอมหน่อยเร็ว แล้วนี่อะไรกัน ได้คันใหม่มาอีกแล้วหรือ ใครซื้อให้เนี่ย"
ผู้เป็นย่ามองรถคันสีแดงแปะยี่ห้อเฟอร์รารี่ที่หลานชายนั่งอยู่พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"อาปกซื้อให้คับ" เด็กน้อยตอบพลางมองหน้าผู้เป็นอาแล้วยิ้มกว้าง
"เจ้าปก!" เกศรินเรียกชื่อบุตรชายอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่อยากโวยวายเสียงดังเพราะกลัวหลานตัวน้อยจะตกใจ แต่คนถูกคาดโทษกลับยิ้มระรื่นพลางลุกขึ้นนั่งแล้วพูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมว่า
"เป็นลูกผู้ชายทั้งทีจะมีรถคันเดียวได้ยังไง จริงไหมโป้ง"
"จริงคับ!" เด็กชายปกปักษ์ตอบรับอย่างขึงขังเช่นกัน ผู้เป็นย่าจึงหันไปพูดกับหลานชายว่า
"ตาโป้ง ของเล่นทุกอย่างรถทุกคันที่ได้มา หนูเล่นแล้วต้องรักษาให้ดีรู้ไหมลูก อย่าเล่นทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ วันนี้เล่นคันนี้ วันพรุ่งนี้ก็เล่นคันเก่าสลับกันไป อย่าทิ้งให้คันอื่นต้องน้อยใจล่ะรู้รึเปล่า"
"รู้คับ" เด็กน้อยรับคำผู้เป็นย่าแล้วก็ขับรถเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับทำเสียงเครื่องยนต์ไปด้วยโดยมีสายตาของเกศรินมองตามไป ครั้นพอคล้อยหลังปกปักษ์แล้วจึงหันมาเล่นงานบุตรชายตัวดี
"เจ้าปก แกจะทำให้หลานเคยตัวอยากได้แต่ของใหม่นะ คันเก่าก็ยังวิ่งได้อยู่แท้ ๆ"
"โธ่แม่ ก็ผมเห็นว่ามันสวยดีเหมือนเฟอร์รารี่ย่อส่วนเลย ราคาก็ไม่เท่าไรเลยซื้อให้ตาโป้งไว้ขับเล่นในบ้าน" ปกเกล้าหยิบแก้วน้ำตรงหน้ามาดื่มกลั้วคอ
"ไอ้ราคาไม่เท่าไรของแกน่ะมันกี่หมื่นยะ พอเลยนะ ต่อไปนี้แม่สั่งห้ามเลยว่าอย่าซื้ออะไรที่ฟุ่มเฟือยให้หลานอีก ให้เฉพาะในโอกาสพิเศษก็พอ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ซื้อให้"
"รับทราบครับผม แล้วนี่แม่ไปไหนมาครับเนี่ย ผมได้กลิ่นหอม ๆ ไปสปามาหรือครับ" ชายหนุ่มรู้ดีว่ามารดาของตนชื่นชอบการทำสปาเพื่อผ่อนคลาย ท่านไปแทบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ขณะที่บิดานั้นชอบดูการแข่งขันชกมวยจึงมักไปสนามมวยลุมพินีที่รามอินทราเสมอ
"ใช่ เป็นสปาของเพื่อนแม่เองแหละ คิดแล้วก็ตลกดี แม่ไปใช้บริการที่สปานั้นมาเกือบปีแต่เพิ่งรู้ว่าเจ้าของก็คือเพื่อนตัวเอง เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ใช้บริการคนกันเองก็สบายใจดี"
เกศรินยังคงอุบเรื่องอลินดาเอาไว้ไม่ยอมพูดถึง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้มาเจอกันทีเดียวโดยที่ไม่ต้องมีการเกริ่นนำใด ๆ ทั้งสิ้น
"แม่เอากระเป๋าไปเก็บก่อน จะได้เตรียมตัวทำมื้อเย็นด้วย" พูดจบก็ลุกเดินขึ้นไปบนห้อง เป็นเวลาเดียวกับที่ปกป้อง พี่ชายของปกเกล้าเดินออกมาจากห้องทำงานพอดี
"เรื่องที่จะเป็นสปอนเซอร์ให้ปีย์ ชนะพลทางกูโอเคนะ" ปกป้องพูดพลางนั่งบนโซฟาทางด้านซ้ายมือ
"อืม นักแข่งคนนี้ดูแววแล้วกูว่าอนาคตไกล ถ้ามึงโอเคกูจะได้โทร. ไปบอกให้ก้องมันไปคุยกับเขาเลย" ปกเกล้าคุยกับพี่ชายเหมือนคุยกับเพื่อนสนิท เพราะสองพี่น้องคู่นี้อายุห่างกันแค่สองปีเท่านั้น
"ถ้ากูอยากเป็นสปอนเซอร์ให้นักแข่งบิ๊กไบค์ด้วย มึงคิดว่าไงวะป้อง"
ปกเกล้าพูดพลางยิ้มมุมปาก ภาพของหญิงสาวเสียงห้าวตาคมสวยที่นั่งคร่อมอยู่บนรถดูคาติสีดำคันใหญ่ยังคงติดอยู่ในใจเขาจนกระทั่งตอนนี้
เขาอยากรู้จักและอยากเห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน ทั้งที่ได้คุยกันแค่ไม่กี่นาที ได้แข่งขันในระยะเวลาสั้น ๆ แม้เขาจะแข่งชนะแต่เขากลับรู้สึกว่าคนที่แพ้คือตนต่างหาก
ถ้าเดาไม่ผิด สาวดูคาติคนนั้นจะต้องพักอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นแน่ และการจะหาตัวเธอที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีทางเดียวก็คือรอจนถึงเดือนหน้าที่จะมีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็หวังว่าตนจะได้ทำความรู้จักกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาตั้งแต่แรกเห็นคนนี้สักที
"หืม นึกยังไงวะ คิดจะเปิดศูนย์แต่งรถบิ๊กไบค์ด้วยรึไง" ปกป้องถามอย่างแปลกใจเพราะแต่ไรมาไม่เคยเห็นว่าน้องชายจะสนใจรถซูเปอร์ไบค์มาก่อน
"ก็คิดอยู่ มันก็น่าลองนะ กลุ่มคนที่เล่นบิ๊กไบค์เริ่มกว้างขึ้นด้วย"
ปกเกล้าพูดไปตามที่ตนคิด เพราะปัจจุบันนี้ผู้ที่นิยมรถซูเปอร์ไบค์เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่าตัวนัก
"ไม่ใช่ว่ามึงไปปิ๊งสาวเรซควีนแถวนั้นล่ะ" ปกป้องมองน้องชายอย่างรู้ทัน แต่ปกเกล้าเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า
"ทำมาเป็นรู้ดี คนอย่างกูถ้าคิดจะจีบสาวสักคนคงไม่ลงทุนเปิดศูนย์ใหม่หรอก โถ คุณพี่ชายครับ กูไม่ได้บ้ากามขนาดนั้นหรอกครับผม"
เขาไม่ได้สนใจสาวเรซควีนแสนเซ็กซี่เหล่านั้น แต่เขาสนใจนักแข่งสาวใจถึงต่างหากเล่า
หนึ่งอาทิตย์ถัดมา อลินดายังคงเทียวไปเทียวมาเพื่อดูแลร้านพิมาลิน สปาทั้งสามสาขาสลับกับมารดาเช่นเคย หลายวันแล้วที่ไม่ได้สัมผัสบิ๊กไบค์คู่ใจ หญิงสาวเริ่มคิดถึงความรู้สึกตอนที่ได้โลดแล่นท้าสายลมอยู่บนถนน ใจนึกอยากกลับคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นรังลับของตนแล้วพาเจ้าแพนเตอร์ ดูคาติสีดำออกไปเที่ยวเล่นไกล ๆ สักแห่ง หากแต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งงานทางนี้ไปได้ ทำได้เพียงโทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่คอยดูแลเกสต์เฮ้าส์ที่บุรีรัมย์ และมีบ้างที่ออกไปกินข้าวสังสรรค์กับเพื่อนในกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ชาย
หลังจากที่ตรวจดูรายได้ของสาขาใหม่ซึ่งเปิดทำการมาได้เพียงไม่กี่วันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อลินดาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจเพราะได้ลูกค้ากลุ่มใหม่หลายคน
"ดูเหมือนว่าลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าจากฟิตเนสข้าง ๆ นี่ด้วยนะคะพี่แวว" เธอยิ้มให้แวววรรณ ผู้จัดการร้านสปาก่อนจะมองไปทางฟิตเนสที่อยู่ห่างจากร้านไปเพียงไม่กี่ก้าว
"ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่ออกกำลังกายเสร็จก็จะมาทำสปาตัวสปาหน้า ไม่ค่อยมานวดกันเท่าไรแต่จะเน้นไปทางบำรุงผิวมากกว่าโดยเฉพาะคอร์สนี้ขายดีมากค่ะ" แวววรรณชี้ไปที่คอร์สบำรุงผิวที่ว่า ซึ่งเป็นรายการขัด ลอก พอก นวดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรของทางร้าน
อลินดาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วพูดว่า "เป็นธรรมดาค่ะพี่แวว เพราะเท่าที่ลินดารู้มาพวกเทรนเนอร์ในฟิตเนสเขาจะนวดคลายเส้นให้ลูกค้าหลังออกกำลังกายด้วย"
"อ้อ มิน่าล่ะถึงไม่ซื้อคอร์สนวดกันเลย แสดงว่าค่าเทรนเนอร์นี่ก็คงจะแพงน่าดูสินะคะ" แวววรรณถาม
"ลินดาก็บอกไม่ถูกค่ะพี่ แล้วแต่คนจะคิด แต่ที่รู้ ๆ คือเทรนเนอร์แต่ละคนเขาก็จะมีเลเวลของตัวเองด้วย คนที่เลเวลสูงค่าเทรนต่อชั่วโมงก็จะแพงหน่อย ตกคอร์สหนึ่งก็หลายหมื่น บางคนเป็นแสนก็มี แต่ลูกค้าบางคนเขาก็ยอมจ่ายเพื่อสุขภาพ เพราะเทรนเนอร์เขาจะดูแลตลอดคอร์ส อยากลดส่วนไหนหรืออยากเพิ่มส่วนไหนเขาก็จะแนะนำอุปกรณ์หรือท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมให้"
แวววรรณพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นเจ้าตัวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงยื่นหน้าไปกระซิบถามอลินดาอีก
"แล้วจริงไหมคะที่เขาว่ากันว่าเทรนเนอร์ส่วนใหญ่เป็นเกย์"
ได้ยินคำถามนี้อลินดาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า
"ไม่หรอกค่ะพี่แวว แค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะมีภาพจำที่ติดตาว่าผู้ชายที่กล้ามใหญ่หุ่นล่ำบึ้กมักเป็นเกย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยพี่ พวกเทรนเนอร์น่ะเขามีหน้าที่แนะนำการออกกำลังกายให้คนอื่น เพราะฉะนั้นตัวเองก็ต้องหุ่นดีไว้ก่อน และที่สำคัญคือต้องเฟรนด์ลี่มาก ๆ พูดเพราะช่างเอาอกเอาใจ ยิ้มง่ายคุยเก่ง เพราะแบบนี้มั้งก็เลยดูเหมือนเกย์""น้องลินดารู้ดีจังเลย เคยจ้างเทรนเนอร์หรือคะ" แวววรรณถามยิ้ม ๆ อลินดาจึงอดหัวเราะไม่ได้"เปล่าหรอกค่ะพี่ แต่ลินดามีเพื่อนเป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสอยู่คนหนึ่งก็เลยรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง"ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของอลินดาที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดเป็นสัญญาณว่ามีคนโทร. เข้า ครั้นพอหญิงสาวเห็นชื่อผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาจึงคว้ามันมาถือไว้แล้วเดินออกไปนอกร้านพลางกดรับสาย"ว่าไงกั๊ต""ไอ้ลิน! ข่าวดีเว้ยมึง เฮียไช้เขาดูการแข่งของมึงเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วเขาสนใจอยากได้มึงมาเข้าสังกัดว่ะ" น้ำเสียงตื่นเต้นของกั๊ต กฤษณะเพื่อนสนิทที่ร่วมก๊วนบิ๊กไบค์ด้วยกันโพล่งขึ้นมาตามสายทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง"เฮ้ยถามจริง มึงอำกูรึเปล่าเนี่ย
ช่วงกลางดึกของคืนหนึ่งบนถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร รถสปอร์ตสีเทาดำกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับติดจรวด เสียงเครื่องยนต์จากรถที่มีสมรรถนะแปดร้อยแรงม้าดังกระหึ่มไปตามเส้นทางที่รถเฟอร์รารี่คันนี้แล่นผ่าน หากแต่คนที่นั่งอยู่ในรถกลับได้ยินเพียงเสียงเพลงที่เปิดอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้นปกเกล้าขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี การขับรถบนถนนโล่งในช่วงกลางดึกแบบนี้เป็นกิจกรรมที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด ยิ่งถ้าขับบนถนนต่างจังหวัดเขายิ่งชอบเพราะรถไม่พลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่ เขาไม่ชอบขับรถในกรุงเทพฯ เพราะหาถนนโล่ง ๆ ได้ยาก ลูกชายสุดที่รักของเขาเป็นถึงเฟอร์รารี่แปดร้อยแรงม้า จะให้ติดแหงกอยู่บนถนนที่สามารถเคลื่อนที่ได้ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงทุกวันคงน่าเบื่อแย่ดังนั้นทุกสุดสัปดาห์ชายหนุ่มจึงมักหาเรื่องพารถคู่ใจออกมาโลดแล่นปล่อยพลังให้เต็มที่ตามถนนในต่างจังหวัด ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ปกเกล้ากำลังมีโครงการจะเปิดศูนย์ซ่อมและตกแต่งรถซูเปอร์คาร์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาจึงถือโอกาสนี้มาลองรถบนถนนหลวงอยู่หลายครั้ง"อ้าวเฮ้ย!"ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อมองเห็นแต่ไกลว่าไฟจราจรสี่แยก
Ducati Monster 821 สีดำคันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้าไปในคอนโดมิเนียมในเวลาที่เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขสาม พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบกดปุ่มเพื่อยกไม้กั้นขึ้นให้ทันทีเพราะรู้ดีว่าผู้ที่เป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันนี้เป็นใคร จากนั้นก็ยืนยิ้มร่าทำความเคารพด้วยการตะเบ๊ะพร้อมกับพูดว่า"เชิญครับลูกพี่"ผู้ที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์เปิดหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นแล้วยกมือให้ข้างหนึ่งเพื่อทักทายกลับโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะขับเข้าไปด้านในโดยมีสายตาของพนักงานคนเดิมมองตามไปด้วยความชื่นชม"จุ๊ ๆ โคตรสวยเลย เมื่อไรจะมีวาสนาได้ขับดูคาติกับเขาบ้างวะกู"พูดจบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะรู้ดีว่ารถซูเปอร์ไบค์คันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไปนั้นราคาเท่าไร ลำพังเงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ อย่างตน ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของอลินดาขับรถเข้าไปจอดที่ประจำของตน หลังจากดับเครื่องแล้วก็ลงมายืนข้างรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออกมาถือไว้ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ และเครื่องหน้าที่สวยจัดแม้จะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวบิดคอไปมาสองสามครั้งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะเดินไปทางโถงหน้าลิฟต์พลางเปิดกระเป๋าเป้เพื่อ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณป้า ชมกันขนาดนี้หนูเขินเลย" อลินดายิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองด้านในร้านแล้วหันมาพูดกับมารดา"หนูเข้าไปดูแขกข้างในนะคะคุณแม่""จ้ะไปเถอะ มีอะไรก็ถามคุณแววเขาละกันนะ" ผู้เป็นมารดายิ้มให้บุตรสาว ขณะที่เกศรินนั้นมองตามอลินดาที่เดินเข้าร้านไปด้วยแววตายิ้มได้ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปถามอรพิมเบา ๆ"หนูลินดาน่ารักมากเลย ถามจริง ๆ นะยายพิม ลูกสาวเธอมีแฟนรึยัง""ยังหรอก" อรพิมตอบโดยไม่ต้องคิดพลางถอนหายใจแผ่วก่อนพูดต่อ"ฉันกับลูกน่ะ มีอะไรก็คุยกันเปิดอกเสมอ ถ้าเขามีแฟนก็คงบอกฉันตามตรง แต่เวลาฉันถามทีไรเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าทุกที ลินดาเคยบอกกับฉันว่าเขาจะไม่แต่งงาน เขาจะอยู่ดูแลฉัน ดูแลร้านอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เฮ้อ...แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกได้เจอคนดี ๆ แล้วออกไปสร้างครอบครัวมากกว่าที่เขาจะต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต""หนูลินดาเขาฝังใจเรื่องพ่อใช่ไหม" เกศรินกดเสียงให้เบาลงกว่าเดิมเพราะเรื่องนี้รับรู้กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น"ใช่ ลินดาเขากลัวจะเจอผู้ชายแบบพ่อตัวเองน่ะ" เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อรพิมก็มีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที เกศรินจึงบีบมือเพื่อนอย่างให้กำลังใจ"หนูลินดาจะต้องได้เจอคน