บทที่หนึ่ง
...ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกาย
ตั้งแต่ เป็นสาวเต็มกาย หาผู้ชายถูกใจไม่มี
เมื่อคืน ฝันดีน่าตบ ฝันฝันว่าพบผู้ชายยอดดี
พาไปเที่ยวดูหนัง พาไปนั่งจู๋จี๋แล้วพาไปเที่ยว ชมสวน
เด็ดดอกลำดวนส่งให้ด้วยสิเสียบหูให้ตั้งหลายหน
น่ะเสียบหล่น อ่ะเสียบหล่น ตั้งห้าหกที
ต๊กใจ ตื่นตอน ตีสี่แหมเสีย ดายจัง เฮ่อ เสียดายจัง
เพลงผู้ชายในฝัน : คำร้อง/ทำนอง วิเชียร คำเจริญ
เสียงเพลงของนักร้องลูกทุ่งสาวผู้ล่วงลับไปแล้วดังขึ้นทั่วผับชื่อดังที่ถูกปิดชั่วคราว เนื่องจากต้องการฉลองให้กับลูกสาวของตนเองที่เรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งกลับมาเมืองไทยได้เพียงไม่นานก็ได้ตำแหน่งรองผู้จัดการแผนกโฆษณาของบริษัทจำหน่ายเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ผู้คนที่เข้ามาในงานต่างก็เป็นเพื่อนที่รู้จักคุ้นเคยของลูกหรือเพื่อนของผู้เป็นบิดาที่ท่านชวนมาเพื่อสังสรรค์
“เจ้าของงานมาแล้ว” พิธีกรประกาศใส่ไมค์ทำให้ทุกสายตาจ้องไปที่ประตูทางเข้าก่อนจะพบร่างบางในชุดราตรียาวสีครามมีคริสตัลประดับรอบกระโปรงต้องแสงไฟทำให้ส่องประกายระยิบระยับ ใบหน้าหวานประดับรอยยิ้มระหว่างเดินเข้ามาภายในงานของตนเอง
“สวยขึ้นมากเลยดาว” ชนินาถเพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกันเอ่ยชม อาจเพราะไม่ได้เจอกันนานทำให้เพื่อนเธอดูแปลกตาไปจากตอนเรียน
“เวลาเปลี่ยนเราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองสิ” เจ้าของงานตอบรับเสียงใสแม้จะมีเสียงดังจากเพลงรบกวนเธอก็พยายามที่จะเข้ามาคุยกับเพื่อนทุกคนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเพราะพวกเขาอุตส่าห์สละเวลามาหาจะให้เมินเฉยได้อย่างไร
“แต่เธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ สวยวันสวยคืนฉันละอิจฉาจริง” กีรติหรือหญิงกีที่เพื่อนๆ พากันเรียกเอ่ยขึ้นบ้าง แม้จะอยู่ในรูปร่างท้วมเพราะกำลังท้องลูกคนที่สองก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลย
“ใครจะเหมือนเธอล่ะ ที่นอกจากจะสวยวันสวยคืนยังมีลูกโผล่มาอีกหนึ่ง ได้ข่าวว่าลูกคนแรกยังไม่เข้าประถมด้วยซ้ำ” ดาริกาธรนกุลเอ่ยแซวเพื่อนสนิทบ้าง เธอกับกีรติสนิทกันมากกว่าใครเพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม มัธยมจนกระทั่งมหาวิทยาลัยก็เลือกคณะเดียวกัน สาขาวิชาเดียวกันอีก เสียดายที่วันแต่งงานเพื่อนเธอไม่ได้มาเพราะติดเรียนปริญญาโท
“แซวฉันนะยายดาว” กลุ่มเพื่อนสาวหัวเราะด้วยความสุขก่อนที่สามีของกีรติจะเข้ามาโอบเอวเธอด้วยความรัก ใบหน้าหล่อแย้มยิ้มให้เจ้าของงาน
“ไงไอ้ดาว กลับมาคราวนี้มีแฟนรึยัง” คำถามที่บ่งบอกนิสัยของผู้พูดทำให้ดาริกาต้องค้อนใส่เขา ไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพื่อนสนิทไปหลงอะไรของหมอนี่ถึงได้แต่งงานอย่างรวดเร็วขนาดนั้น หลังรับปริญญาได้สามเดือนเพื่อนก็สละโสดแถมสามียังเป็นเพื่อนในห้องเดียวกันอีก ปกติเธอมักจะเห็นสองคนนี้ทะเลาะกันทุกครั้ง จึงได้แต่นึกสงสัยว่าไปสปาร์กกันได้อย่างไร
“ฉันมีหรือไม่มีแล้วมันหนักส่วนไหนบนหัวแกเหรอ” ดาริกาตอบกลับไปอย่างรวดเร็วทำเอาคุณพ่อลูกสองหัวเราะร่า
“ก็ไม่หนักหัวฉันหรอก แต่มันอาจจะไปหนักหัวใครบางคน” พิชิตพูดแบบมีเลศนัยก่อนที่สายตาจะมองไปที่ด้านหลังเธอแล้วยิ้มออกมา
“นั่น เพื่อนสนิทคนสำคัญของแกมาพอดีเลย” ได้ยินแค่นั้นก็ตรึงร่างของเธอเอาไว้ได้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแทบไม่อยากหันไปมองว่าคนที่พูดถึงคือใครได้แต่ลุ้นและภาวนาว่าให้ไม่ใช่เขา เธอหนีหน้าอีกฝ่ายมาได้สี่ปีแล้วและยังไม่พร้อมจะเจอตอนนี้ หวังว่าคงไม่ใช่
“ไอ้ดิน ทางนี้เพื่อน” นั่นปะไร พิชิตเรียกเพื่อนสนิทเข้ามาในวงสนทนาที่มีแต่สาวๆ ในขณะที่เขาก้าวเดินมาเธอก็เหงื่อแตกราวกับร้อนนักหนา ทั้งที่เครื่องปรับอากาศเปิดเย็นฉ่ำ มือบางกำเข้าหากันแน่นพยายามคิดหาทางเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับบุคคลที่เธอหนีมาตลอดหลายปี
“ฉันคงต้องไปหาพ่อก่อน ขอตัวนะ” รีบพูดโดยเร็วแล้วเดินหนีไปทันทีโดยไม่ได้อยู่รอพบหน้าอีกคนให้หัวใจเจ็บปวด
“เดี๋ยวสิยายดาว” เสียงใครตะโกนไล่หลังมาเธอไม่อาจจะรับรู้ได้เพราะตอนนี้ต้องการหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ดาริกาเดินไปยังโซนที่นั่งของแขกบิดาที่อยู่บนชั้นสอง เข้าไปหาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ยายดาวมาสวัสดีลุงๆ เร็ว” คนเป็นพ่อเอ่ยเรียกบุตรสาวสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่เธอจะมาท่านก็ได้เอ่ยชมบุตรสาวคนโตถึงการเรียนว่าดีเยี่ยมมาแต่เด็ก เรียกได้ว่าเป็นงานอวดลูกสาวให้เหล่าเพื่อนๆได้ชื่นชมอย่างแท้จริง
“อาก็พอมั้งไอ้เน กูยังไม่อยากแก่ขนาดนั้น” คุณปวิชเอ่ยขัดเพื่อน รูปร่างที่เคยฟิตตอนหนุ่มพอแก่ตัวมาก็เริ่มปล่อยตัวจนลงพุง
“อ้าวเหรอ ตามใจเลยเพื่อน” แก๊งคุณพ่อคุยกันอย่างสนุกสนานเธอก็นั่งยิ้มฟัง ในขณะที่สายตาก็มองไปยังกลุ่มเพื่อนด้านล่าง แม้ในผับจะมืดแต่ก็ยังมีไฟเปิดให้พอมองเห็น และตอนนั้นเองที่ทำให้เธอสบตากับชายหนุ่มที่ไม่เคยลืมเพราะติดอยู่ในใจมาตลอดสิบแปดปี แววตาที่สบเพียงครั้งเดียวก็สามารถสั่นคลอนหัวใจเธอได้
“แล้วไอ้พสุมันไม่มาเหรอ”
“มันส่งลูกมาแทน มันบอกติดงาน อายุห้าสิบกว่าแล้วใครเขาทำงานกัน” ชื่อคุณอาที่เธอคุ้นเคยมากที่สุดถูกเอ่ยถึงทำให้ความสนใจของหญิงสาวถูกเปลี่ยนทันที
“อ้อดินน่ะเหรอ เห็นมันบอกทำงานเป็นช่างภาพไม่อยากทำบริษัท มันบ่นให้กูฟังบ่อยๆ” ดาริกาอมยิ้มเพราะเธอรู้ว่าเพื่อนชายดื้อแค่ไหน ไม่มีใครสามารถบังคับพสุธาได้ หากเขายืนกรานที่จะทำอะไรก็ตาม อาชีพในอนาคตก็เช่นกัน ชายหนุ่มเลือกจะเรียนนิเทศแทนบริหาร ต้องการทำงานเป็นช่างภาพมากกว่านั่งบริหารงานในบริษัท
“ลูกมันมาผับกูบ่อย แต่ละครั้งสาวนั่งข้างไม่ซ้ำหน้า” พ่อของเธอพูดกับเพื่อนพลางยกแก้วขึ้นดื่ม หัวใจดวงน้อยดิ่งลง พสุธามีเสน่ห์ต่อคนรอบข้างเสมอ มักจะดึงดูดเพศตรงข้ามเข้าหาและอีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์ต่อ
“เจ้าชู้เหมือนพ่อ แต่ถ้ามีเมียคงกลัวเมียเหมือนพ่อด้วย” เสียงหัวเราะดังขึ้นกลางวงสนทนาเพราะรู้ว่าคุณพสุรักและเกรงใจภรรยาขนาดไหน
“บางทีมึงอาจจะได้ลูกไอ้พสุเป็นลูกเขยก็ได้นะวิช” คุณเนติธรเอ่ยแซวเพื่อน
“กูกลัวลูกกูเสียใจน่ะสิ เด็กมันร้าย ดูสายตาแพรวพราว” ร่างบางก้มลงมองพื้นนึกถึงสายตาเมื่อครู่ที่เธอสบด้วยไม่กี่วิก็พานใจสั่น เขาคือเสือร้ายที่เหยื่อต้องตายเพียงเพราะสบตา
“มึงอาจจะได้เป็นลูกเขยนะไอ้เน ได้ข่าวหนูดาวก็สนิทกับดินด้วยใช่ไหม” คำถามพุ่งมาที่เธอทำเอาหญิงสาวตกใจส่ายหัวแทบไม่ทัน
“ไม่ ไม่หรอกค่ะ เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น” ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว คงไม่หวังสูงเป็นมากกว่านั้นให้ตนเองเจ็บใจเล่นเพราะอีกคนฝากใจทั้งดวงไว้กับคนอื่น
“ใช่ มึงอย่ามายุลูกกู” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงเข้มแล้วโอบบ่าลูกสาวอย่างหวงแหน ท่านมีลูกสาวคนเดียวก็อยากจะเลือกคู่ครองที่ดีให้กับลูก ภาพรวมผู้ชายคนนั้นต้องดีและไม่มีให้ติ ลูกควรได้แต่งงานเมื่ออายุสามสิบให้ประสบความสำเร็จในเรื่องงานก่อนความรักค่อยว่าอีกที
“ดาวขอตัวไปหาเพื่อนนะคะ” เห็นผู้ใหญ่พูดกันโดยที่ตนเองนั่งเฉยจึงขออนุญาตไปหาเพื่อน คนเป็นพ่อพยักหน้าแล้วหันมาสนใจการสังสรรค์ตรงหน้า
ร่างบางเดินลงไปข้างล่างพยายามเลี่ยงไม่อยากเจอพสุธา เธอจึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปล้างหน้าล้างตาให้กำลังใจตนเอง แม้ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์แต่เธอเหมือนรู้สึกเมาเพียงแค่สบตาอีกฝ่ายครั้งเดียว หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเจอเลย
“เฮ้อ ทำไงดี” ไม่เคยสักครั้งที่หญิงสาวจะรู้สึกเสียศูนย์ขนาดนี้ เธอกลัวการได้เผชิญหน้ากับเขา กลัวจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนทั้งที่มันไม่ควรเป็นแบบนี้ ถ้าหากวันนั้นเราไม่จูบกันเรื่องมันคงไม่เลยเถิดจนเข้าหน้ากันไม่ติด ไม่น่าเลยจริงๆ
“แกต้องสู้สิดาว สู้” ให้กำลังใจตัวเองหน้ากระจกสูดลมหายใจลึกๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องรีบกลับเข้ามาใหม่เพราะพสุธากำลังเดินมาทางนี้เช่นเดียวกัน เธอวิ่งเข้าไปหลบในห้องก่อนหายใจเข้าออกรวดเร็ว เธอไม่กล้าสู้หน้าเขาไม่สมกับที่เป็นดาวเหนือหญิงแกร่งเลย ทำตัวอ่อนแอจนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกรับไม่ได้
“เอาใหม่ดาว ตั้งสติ ไอ้ดินแค่เพื่อน เพื่อนไง เพื่อนจูบกันไม่แปลกหรอก ไม่แปลก มันก็แค่เมาหลังจากนั้นมันก็ไปหาคนอื่นแล้ว มันอาจจะลืมไปแล้วก็ได้” เตือนตัวเองอีกครั้งหายใจเข้าออกหลายรอบแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ ส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย มองแววตาของตนเองในกระจกก็เห็นความเศร้าที่แฝงอยู่ “พอๆ” มือบางตบลงบนอ่างล้างหน้าให้ตนเองเลิกคิดถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น เธอยืดตัวตรงเดินออกจากห้องน้ำทันที
“โอ๊ย” สองเสียงร้องพร้อมกันก่อนที่อีกฝ่ายจะรับร่างเธอเอาไว้เพราะกลัวล้ม “เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงที่คุ้นเคยสัมผัสที่ไม่ลืมทำให้เธอรีบผละออกจากร่างสูงอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ฉันโอเค สบายดี” สมองของเธอประมวลผลไม่ทัน รีบตอบออกไปอย่างรวดเร็วเพราะต้องการหนีจากสถานการณ์ตรงหน้าแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อน
“ไม่คิดจะหันมาคุยกันเลยเหรอ แกหนีฉันไปตั้งสี่ปี” น้ำเสียงที่ถามมีความอ้อนวอนอย่างไม่คิดว่าจะได้ยินจากนายพสุธาเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ประถม
“แกไม่ติดต่อฉัน เปลี่ยนเบอร์ ไม่ตอบอีเมลไลน์ก็บล็อกบอกฉันหน่อยสิดาวว่าทำไม” ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบดวงตาคมคู่นั้น เธอหลับตาลงก่อนจะลืมขึ้น สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยกยิ้มแล้วหันไปหาพสุธา
“ก็ฉันเรียนหนัก” ครั้งแรกที่ทั้งสองได้มองหน้ากันในระยะใกล้ ใบหน้าคมดูเข้มขึ้น ทั้งยังสูงและรูปร่างหนากว่าเมื่อก่อน แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือดวงตาที่ขโมยหัวใจเธอได้ทุกครั้งที่ได้สบกันแม้อีกคนจะไม่รู้ก็ตาม สี่ปีที่ผ่านมามันนานมากสำหรับดาริกา เธอต้องเรียนหนักเพราะไม่อยากคิดถึงค่ำคืนนั้นที่เขาทำการหยามเกียรติเธอ ทั้งยังพาผู้หญิงคนอื่นไปเริงรักกันต่ออีก
“หรอ” มันคือข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เธอรู้ว่าชายหนุ่มเองก็ไม่เชื่อทั้งสองมองหน้ากันนิ่งราวกับกำลังสื่อสารกันทางจิต ดวงตาที่โหยหาซึ่งกันและกันดาริกาลอบมองพสุธาในชุดเสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีดำแถบขาวแขนยาวถูกพับขึ้นเหนือศอกเล็กน้อย กางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีดำ มองโดยรวมแล้วดูดีจนผู้หญิงต้องมองเหลียวหลัง
“ไอ้ดาว มาอยู่นี่เองพวกฉันหาตั้งนาน” ราวกับสวรรค์มาโปรดเมื่อกีรติเดินเข้ามาหาเพื่อนเรียกเสียงดัง แล้วมาร่วมวงสนทนาที่เธออยากหลีกหนีมากที่สุด
“อ้าวดิน คุยกันอยู่หรือ ฉันมากวนหรือเปล่า”
“ไม่/ใช่” สองเสียงตอบแตกต่างกัน ดาริกาหันมาหาพสุธาที่ตอบว่าใช่ ใบหน้าหล่อดูขัดใจอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ยอมปล่อยแขนเธอออก
“ตกลงมันยังไง” กีรติมองเพื่อนสองคนสลับกันไปมาก่อนดาริกาจะคว้ามือเพื่อนให้เดินออกไปจากตรงนี้
“ไม่หรอก ไปกันเถอะ” สองสาวเดินจากไปโดยไม่ได้หันมามองคนข้างหลังว่าเป็นอย่างไร ดาริกาถอนหายใจออกมาราวกับโล่งอกหนักหนาเมื่อพ้นจากเขามาได้ รักเพื่อนสาวคนนี้เหลือเกินที่มาได้ถูกจังหวะพอดี
“ยายดาว” เพื่อนที่คุ้นเคยเดินเข้ามากอดเธอเอาไว้ ฐิตาหรือต้าสาวสวยจากคณะเดียวกัน สาขาเดียวกันทั้งยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน สนิทกันมากแต่ห่างหายไปเพราะต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
“ไม่เจอนาน ผอมลงไหม” ผละออกจากกันมาได้เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ ฐิตาแนะนำแฟนหนุ่มที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานเพื่อนแต่ละคนจึงเอ่ยแซว เวลาผ่านไปสักพักพิธีกรก็เชิญดาริกาออกไปพูดคุยหน้าเวทีแล้วให้เธอร้องเพลงแต่เจ้าของงานก็ปฏิเสธเพราะอายเกินกว่าจะร้องต่อหน้าคนเป็นร้อยแบบนี้ เสียงเธอไม่ดีหนักไปทางแย่ด้วยซ้ำจึงต้องให้น้องชายขึ้นมาช่วยร้องแทน นิปุณหรือฟองสมุทรรับหน้าที่อย่างเต็มใจเพราะมาช่วยพ่อที่ผับบ่อย ถือเป็นนักร้องประจำเลยก็ว่าได้ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง
“น้องฟอง” หญิงสาวด้านล่างต่างส่งเสียงเรียกและปรบมือให้นักร้องหนุ่มหล่อขณะที่กำลังตั้งสายกีตาร์ ดาริกาลงมาข้างล่างพลางรับน้ำมาจากกีรติเพื่อดื่ม เธอยิ้มให้ทุกคนขณะเดียวกันก็มองหาหนุ่มร่างสูงที่คุ้นเคยหากไม่พบ หรือจะกลับไปแล้ว...
อยู่ดีๆ ใจก็ห่อเหี่ยวแค่รู้ว่าพสุธากลับ
“น้องดาว” ดวงตากลมโตมองผู้ชายตรงหน้าที่ส่งยิ้มมาให้
“พี่รุต” เธอเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่มาใหม่แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน เขาเป็นพี่ชายที่น่ารักรู้จักกันเพราะอีกฝ่ายไปเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งยังอายุมากกว่าเธอสองปีแต่เพิ่งมีเวลาไปเรียนจึงได้ร่วมชั้นกัน
“พอดีพี่เลิกงานช้า ขอโทษนะ แล้วก็นี่ของขวัญครับ” ชายหนุ่มยื่นกล่องของขวัญที่ถูกห่ออย่างประณีตมาให้เธอ
“อะไรคะเนี่ย” ถามกลับแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับนอกจากรอยยิ้ม ที่ถูกส่งมาให้เท่านั้น
“พี่ใช้เวลาเลือกนานเลยนะ ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่า”
“แค่มาก็ดีใจแล้วค่ะ” ก่อนที่หญิงสาวจะเชิญให้เขาไปนั่งกับเพื่อนของเธอ ไม่ลืมแนะนำให้ทุกคนรู้จักทำเอาสาวๆ แต่ละคนรีบแนะนำตัวกันแทบไม่ทัน เมื่อรู้ว่ามารุตเป็นถึงรองประธานผู้จัดการบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ขนาดใหญ่
เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ดาริกากลับรู้สึกง่วงนอนทุกขณะ เธอหาวบ่อยจนเพื่อนแซวว่าเป็นคุณหนูอนามัยต้องนอนสี่ทุ่มตื่นหกโมงจนต้องค้อนให้เพื่อนวงใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ทนความง่วงไม่ไหวขอตัวขึ้นไปพักบนห้องนอนชั้นสามโดยไม่ลืมไปบอกบิดาไว้ก่อนเพราะกลัวท่านตามหา เธอลาทุกคนแล้วขึ้นห้องที่พ่อทำไว้เพื่อพักผ่อนที่ผับแห่งนี้
“ทำไมง่วงแบบนี้” ได้แต่ถามตัวเองอย่างสงสัยตอนแรกว่าจะอาบน้ำแต่คงไม่ไหวเพราะง่วงเกินกว่าจะทำอะไรได้ ดาริกาเลือกที่จะนอนทันทีที่ถึงห้อง เพียงไม่นานเธอก็หลับไปลมหายใจสม่ำเสมอจนไม่รับรู้ว่าวันต่อมาจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับตนเอง
“ยายดาว!”
“ไอ้ดิน แกทำอะไรลูกฉัน”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางที่นอนหลับใหลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ภายในห้องเปิดไฟสว่างจ้าจนต้องเอามือยกขึ้นมาบังแสงเพราะยังปรับสายตาไม่ได้ เธอไม่ได้ปวดศีรษะอย่างคนเมาเหล้าแค่เพลียเพราะการนอนมากกว่า แต่เมื่อสติเริ่มมาดาริกาก็รู้ถึงสภาพของตนเองว่าเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น!
“ใจเย็นครับคุณพ่อ”
“ใครพ่อแก!”
หลังจากตกใจกับสภาพของตนเองเธอก็ดึงผ้าห่มมาปกปิดร่างกายเอาไว้หันไปข้างกายก็เห็นสองหนุ่มต่างวัยกำลังถกเถียงกันหน้าเคร่งเครียด และเมื่อมองไปยังชายหนุ่มก็ทำให้ตกใจยิ่งขึ้นไปอีกเพราะเขาคือพสุธา!
“ดิน” หญิงสาวเรียกด้วยความอึ้งปนสงสัย เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พ่อให้เวลาไปจัดการตัวเอง ส่วนแกมากับฉัน” คำพูดเด็ดขาดพร้อมสายตาแข็งกร้าวส่งมาให้คนเป็นลูก ครั้งแรกที่พ่อใช้น้ำเสียงและสายตาแบบนี้กับเธอ มันเกิดอะไรขึ้น ดาริกามองตามผู้เป็นพ่อที่ลากคอเสื้อพสุธาออกจากห้องไป โดยที่หนุ่มร่างสูงยังหันมายิ้มให้เธออีกด้วย ประตูปิดลงเสียงดังพร้อมกับสติของหญิงสาวที่ค่อยๆ กลับมา เมื่อคืนเธอง่วงมากจึงเข้ามานอนในห้องนี้ หัวถึงหมอนก็หลับไปเลยแต่ทำไมตื่นเช้ามากลับเจอเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแล้วทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพตัวเปลือยเปล่า แบบนี้
ดาริกาค่อยๆ ลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย ส่องกระจกเห็นสภาพตัวเองเต็มตาอีกครั้งก็ทำให้อ้าปากค้างทันที คอเธอเต็มไปด้วยรอยจูบสีกุหลาบ ทั้งยังลามไปทั่วบริเวณหน้าอกอย่างน่ากลัวว่าเป็นโรคอะไรหรือเปล่า
“เกิดอะไรขึ้น” ขาอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ไหว มีใครมาล่วงละเมิดตอนเธอหลับอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวพยายามนึกทบทวนก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้กับเธอขึ้นได้อย่างไร ใบหน้าหวานมีเครื่องสำอางแน่นจะล้างออกก็ไม่ได้เพราะไม่ได้เอาโลชั่นแบบน้ำสำหรับเช็ดเครื่องสำอางมาด้วย จึงทำได้เพียงชโลมน้ำลงบนใบหน้าเพื่อให้สดชื่นเท่านั้น
ชำระร่างกายเสร็จก็ออกมาแต่งตัวโดยใส่ชุดเมื่อวานเพราะไม่มีชุดให้เธอเปลี่ยนได้เลย
“นี่มัน” ในขณะที่เดินไปที่เตียงก็เห็นสีแดงตรงที่นอนด้านขวาซึ่งเธอนอนเมื่อคืน “เฮ้ย” พอจะเดินไปกลับเหยียบเข้ากับถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว “ฮือ” เพียงเท่านี้ก็ได้คำตอบทุกอย่างแล้ว เธอเสียสาวแล้วอย่างนั้นหรือ สิ่งที่ทะนุถนอมมากว่ายี่สิบปี แล้วคนคนนั้นคือใคร หรือว่าจะเป็น “ดินเหรอ” พึมพำเสียงเบาอย่างสงสัย
“ไอ้พสุมึงดูลูกมึง!”
ได้ยินเสียงเอะอะข้างล่างเธอก็ลืมเรื่องที่คิดไปเสียสนิท เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยจึงเดินลงไปโดยไม่ลืมหาผ้ามาคลุมไหล่เอาไว้เพราะรอยเต็มไปหมดจนนึกอายหากปล่อยให้มันโล่งโจ้ง
“มึงใจเย็นก่อน” พสุพูดกับเนติธร
การก้าวลงบันไดแต่ละขั้น เธอรู้สึกว่ามันยากเย็นเหลือเกินด้วยไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังกลัวบิดาที่อารมณ์ของท่านที่อยู่ในขีดสูงสุดจึงไม่รู้จะรับมืออย่างไร ทั้งพสุธาที่นั่งหันหลังอยู่และครอบครัวของเขาอย่างคุณอาพสุและอานิทราที่มาด้วย
“ดาวมานี่!” บิดาเรียกเสียงเข้มอย่างไม่เคยเป็น ทำเอาร่างบางรีบเดินมานั่งข้างท่าน เพราะตอนเช้าร้านไม่เปิดทำให้การคุยค่อนข้างเป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ชั้นสองที่เป็นชั้นสำหรับแขกวีไอพี เพราะมีโต๊ะค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง” คนมาใหม่อย่างคุณพสุเอ่ยถามเพื่อน หากแต่สายตากลับมองไปที่ลูกชายซึ่งนั่งก้มหน้าราวกับสำนึกผิดหากแต่แววตากลับมีประกายระยับอย่างยากจะคาดเดาว่าพสุธากำลังคิดอะไรอยู่
“ถามลูกมึงดูสิ” สายตาสี่คู่หันมามองพสุธาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังพ่อตาหมาดๆ
“ผมยอมรับผิดครับ เพราะผมที่ไม่ห้ามใจจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” คำพูดกำกวมที่ตอบสร้างความขัดใจให้ดาริกาที่อยากรู้เรื่องทั้งหมดเหมือนกัน
“เล่าให้พ่อฟังทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อคืนผมเมา เลยขึ้นไปบนห้องชั้นสามเพราะไม่คิดว่ามีใครอยู่ แล้วพอนอนลงก็มีคนมากอดอารมณ์มันก็มาผมเลยเผลอมีอะไรนิดหน่อย” หลังจากได้ฟังคำอธิบายอารมณ์ของดาริกาก็ไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง เธอเป็นคนนอนดิ้นและติดหมอนข้างมากไม่คิดเลยว่าเพราะนิสัยส่วนตัวแบบนี้จะทำให้เกิดเรื่อง และก็เจ็บเหลือเกินที่ได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถนอนกับเขาได้ขอแค่เป็นผู้หญิง ร่างสูงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ เป็นใคร
“แล้วใครใช้ให้ขึ้นไปนอนข้างบน บ้านมีก็กลับไปสิ” คุณเนติธรเริ่มหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวสุดที่รัก
“ผมเมา เพื่อนก็เมา เขารณรงค์เมาไม่ครับนะครับคุณพ่อ”
“บอกแล้วไงฉันไม่ใช่พ่อแก” สองหนุ่มต่างวัยถกเถียงกันอีกครั้ง
“พ่อของเมียก็คือพ่อตา ก็ต้องเรียกพ่อถูกแล้วนะครับ” ระบุสถานะชัดเจนจนทำให้ดาริกาหน้าแดงเพราะอายกับจำกัดความสัมพันธ์ของเขา จากเพื่อนได้เลื่อนเป็นเมียอย่างรวดเร็วเพียงข้ามคืน
“ไอ้ดิน” ตอนนี้คุณเนติธรหน้าแดงด้วยความโกรธแทบจะลุกขึ้นมาวางมวยกับว่าที่ลูกเขย แต่พสุก็รีบห้ามเพื่อนเอาไว้
“ดินพอได้แล้ว” หันไปดุลูกชายที่ทำทีสลดลงแต่ก็ไม่ได้สำนึกเลย คุณนิทราถอนหายใจด้วยความกลุ้ม หันไปมองดาริกาที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกคนหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้ พ่อลูกชายตัวดีไม่มีคำว่ารักบอกให้อีกคนรู้สักนิด
“เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก” พสุนั่งข้างเพื่อนเพราะกลัวลูกชายจะได้รับอันตราย ดูจากสายตาของเนติธรที่มองแล้วคาดว่าพสุธาน่าจะตกที่นั่งลำบาก
“ผมจะแต่งงานกับดาวครับ” ชายหนุ่มแทรกขึ้นมาเสียงดังทำเอาคนที่เหลือมองเป็นตาเดียว แววตาที่เด็ดเดี่ยวมองไปยังดาริกาก่อนเอ่ยออกมา “ผมจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น” เพียงเขาเอ่ยเท่านั้นดาริกาก็ตอบขึ้นทันที
“ไม่ค่ะ หนูไม่แต่ง” ด้วยอารมณ์น้อยใจเธอหันไปมองพ่อทันทีพร้อมคำปฏิเสธที่ชัดเจน
“ไม่ได้ ต้องแต่ง เมื่อคืนฉันไม่ได้ป้องกันตั้งหลายรอบแถมยังแตกในด้วย เผื่อท้องขึ้นมาจะทำยังไง” คำพูดตรงๆ ของลูกชายทำเอาคุณนิทราลมแทบจับได้แต่หยิบยาหอมขึ้นมาดม
“ไอ้ดิน!” คนเป็นพ่อปรามลูกชายด้วยสายตาพลางจับแขนเพื่อนสนิทไว้เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะลุกขึ้นไปตีพสุธาได้ทุกเมื่อ
“ผมพูดจริงนิพ่อ ยังไงก็ต้องแต่งว่าไงครับพ่อเนตัดสินเลยครับ”
“ไม่ ฉันไม่แต่ง พ่อคะดาวไม่แต่ง” ลูกสาวหันไปอ้อนพ่อมองอย่างเว้าวอน
“ต้องแต่ง แต่งครับ จัดงานวันไหนดี ไปดูฤกษ์วันนี้เลยไหม” พสุธาก็ไม่น้อยหน้ารีบถามอย่างเร่งรัด
“ไอ้ดิน!” ดาริกาหันมาแหวใส่เขาเสียงเขียว
“เงียบทั้งสองคน!” ในที่สุดคุณเนติธรก็เอ่ยขึ้น ท่านมองหนุ่มสาวสองคนอย่างตัดสินใจนิ่งไปนานแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนสิ้นหวัง ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาขนาดนี้แล้ว หากดูไปพสุธาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถ้าอยู่ๆ กันอาจจะเลิกนิสัยเรื่องผู้หญิงได้บ้าง เรื่องมาถึงขนาดนี้คงทำได้อย่างเดียว
“งานแต่งต้องจัดขึ้นเร็วที่สุด” คำประกาศิตของคุณเนติธรเหมือนสายฟ้าสาดมากลางใจลูกสาวอย่างดาริกา
“คุณพ่อ!”
“ได้ครับ ผมจะจัดให้เร็วที่สุดคุณพ่อไม่ต้องห่วงเลย” พสุธารีบคลานเข่าเข้าไปกราบเนติธรด้วยรู้สึกผิด “ผมขอขมาที่ล่วงเกินดาว ผมสัญญาว่าจะดูแลดาวอย่างดีที่สุด” สองสายตาของหนุ่มต่างวัยสบกันอย่างหยั่งเชิงก่อนที่คุณเนติธรจะตบไหล่ว่าที่ลูกเขย
“ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูด..ตาย” แค่เห็นสายตาท่าน ชายหนุ่มก็เสียววาบทันทีแต่เชื่อมั่นในตนเองว่าจะดูแลดาริกาได้ ร่างสูงลุกไปนั่งข้างหญิงสาวแต่เธอทำท่าจะขยับหนีจึงคว้าเอวบางเอาไว้
“ทำแน่นอนครับ ผมกลัวตาย” หญิงสาวมองพสุธาอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วไปหมดจนเธอตั้งรับไม่ทัน แม้จะมีความน้อยใจ เสียใจที่อีกฝ่ายทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงง่ายๆ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าลึกๆ ก็ดีใจที่จะได้แต่งงานกัน
“แต่ดาว”
“ปล่อยให้เป็นเรื่องผู้ใหญ่คุยกัน” พสุธาหันมาบอกว่าที่เจ้าสาวของเขาแล้วยิ้มในหน้า ทำเอาเธอแสนหมั่นไส้จนต้องหยิกเอวเขาเพื่อให้อารมณ์โกรธคลายคงบ้าง
“โอ๊ย” ได้ผลพสุธาปล่อยเอวบางแล้วกระเถิบออกไปทันทีมองร่างบางอย่างคาดโทษ หากก็ได้รับการตอบกลับด้วยแววตาแข็งกร้าวไม่ต่างกันเขาจึงยิ้มเจื่อนนั่งมองบุพการีตกลงเรื่องต่างๆ
“ตาดินพาหนูดาวกลับไปพักผ่อนก่อนไป เดี๋ยวเรื่องต่างๆ ผู้ใหญ่จะจัดการเอง” คุณนิทราหันมาบอกลูกชายซึ่งก็ยิ้มร่าทันที
“ไปเถอะหนูดาว” เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะค้านคุณนิทราจึงบอกเสียงอ่อนโยนทำให้สาวรุ่นลูกยอมเดินไปกับพสุธาที่ยืนยิ้มรออยู่แล้ว
“เดินไปสิ” อดลงที่พสุธาไม่ได้กับหน้าตาที่แสนจะน่าหมั่นไส้ทำราวกับโลกทั้งใบอยู่ในกำมือของเขาแล้วซึ่งเธอไม่ชอบเหลือเกิน
“ครับ คุณผู้หญิง”
สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันไปเหมาะสมเกินจะบรรยาย คุณนิทราอมยิ้มดีใจราวกับได้ย้อนอดีตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกชายของเธอดูจะมีความสุขกับการได้แต่งงานทั้งที่เธอก็ไม่อาจทราบได้ว่าลูกรู้สึกอย่างไรกับดาริกาทำเพียงภาวนาให้ทั้งสองใจตรงกันและไม่มีเรื่องราวยุ่งเหยิงเกิดขึ้นเหมือนรุ่นเธอด้วยเถอะ
บทที่สอง…กะทันหันไปหมด ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำนอกจากร่างสูงจะนั่งฮัมเพลงราวกับมีความสุขนักหนา ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พสุธาหวงชีวิตโสดดูได้จากการที่เขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนเลยนอกจาก...น้องเล็ก เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ข้างบ้านเธอ “แกไปส่งฉันที่คอนโดก็ได้” ดาริกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมุ่งตรงไปยังบ้านของเธอ “ไปอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามด้วยความสงสัยเพราะปกติ ตลอดช่วงเวลาในการเรียนเธอก็อยู่ที่บ้านตลอดทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้านอีกด้วย ไม่นับรวมเวลาต้องมาสอนการบ้านหรือทำงานกลุ่มที่บ้านของเขาก็มักจะเห็นหญิงสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน “ตั้งแต่กลับไทย บ้านไกลจากที่ทำงาน” แล้วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งโดยที่ดาริกาก็ไม่ได้ชวนคุยแต่อย่างใด สี่ปีที่ห่างกันทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนดูห่างออกไปเช่นเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกเหมือนพสุธาเป็นคนแปลกหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีความเงียบระหว่างกัน อาจจะเป็นพสุธาที่ชวนคุยหรือเธอที่เอ่ยถามว่าตลอดสี่ปีเขาทำอะไรบ้าง ร
บทที่สาม...เราจะตีป้อม ในที่สุดงานแต่งก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ง่ายๆ ที่บ้านของเจ้าสาว เชิญเพียงญาติและคนสนิทมาเท่านั้น ขบวนขันหมากเจ้าบ่าวแห่มาโดยมีเจ้าสาวแอบดูอยู่บนบ้าน วันนี้ดาริกาอยู่ในชุดไทยสีทองสง่างามขับผิวขาวให้ดูเนียนตา ผมยาวถูกรวบขึ้นมัดอย่างสวยงามพร้อมเสียบปิ่นปักผมไว้ด้วย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขโดยมีเพื่อนยืนอยู่ด้วย “หน้าบานเลยนะ” กีรติผู้รู้ใจเพื่อนเอ่ยแซว หากไม่ท้องเธอคงได้ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวด้วย แต่เมื่อมีลูกจึงเป็นเพียงแขกมาร่วมงาน “อะไรกัน เราไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วปิดม่านลงเพราะกลัวโดนเพื่อนล้ออีก ในห้องนอนมีเพียงเจ้าสาวและกีรติสองคนเพราะคนที่เหลือลงไปรอกั้นประตูเงินประตูทองที่ด้านล่าง ช่างแต่งหน้าเดินมาสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายจึงลากลับ “ยินดีด้วยจริงๆ นะ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอกับดิน” สมัยมัธยมแม้มีคนแซวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะพสุธาควงหญิงได้ไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ประตูดิน รถไฟชนกันก็บ่อยใครจะคิดว่าจะได้แต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิททั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ในวัยเจริญพันธ์เลย
บทที่สี่...สร้างอาณาจักรตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ร่างสูงเดินเกาพุงออกไปที่ห้องครัวเห็นฝาชีครอบไว้เลยเปิดออกมาพบอาหารเช้าเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและแซนด์วิชอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปกติตอนเช้าส่วนมากถ้าไม่เป็นกาแฟก็ปิ้งขนมปังเท่านั้นค่อยไปกินที่บริษัทเอา “ฮัลโหลว่าไงเพื่อน” ชื่อที่โชว์หราขึ้นมาทำให้เขาทักทายเสียงใสอย่างเป็นกันเอง “กูโทรมาขัดจังหวะมึงไหม” กัดแซนด์วิชเข้าปากคำโตเคี้ยวไปทั้งยังตอบปลายสาย “ไม่กวน เมียกูไม่อยู่ไปทำงานแต่เช้าแล้วอีกสักพักคงกลับ” ตอบตามความเป็นจริงที่แสนจะเศร้า “ชีวิตมึงน่าสงสารจริงๆ” สองพี่น้องคุยกันอีกสักพักก่อนที่คนโทรมาจะเข้าเรื่อง “พรุ่งนี้เข้าบริษัทมาหน่อยนะ พ่อกูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ภราดรเข้าเรื่องที่ทำให้ต้องโทรมาหา มือหนาที่หยิบแฮมขึ้นมากินชะงักไปพลางคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน “ไปทำไม เรื่องอะไร จะให้กูไปเรียนรู้งานหรือ กูไม่ทำไงกูชอบถ่ายรูปมึงบอกลุงภมรเลยว่ากูไม่ทำ ไม่เอาหุ้นก็ได้ ไม่ชอบ” ปฏิเสธรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน พสุธาปฏิเสธที่จะทำงานบริษัทแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มไม่ชอบและบอกเสมอ
บทที่ห้า...เล่นงานลับหลัง “พี่ดาวมีคนมาหาค่ะ” ในขณะที่กำลังทำงานอยู่น้องนักศึกษาฝึกงานก็มาบอกเธอด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม มองนาฬิกาที่ตั้งไว้บนโต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วเธอทำงานจนลืมเวลาไปเลยหรือนี่ “ใครเหรอ” “สามีพี่ดาวค่ะ” บอกพร้อมกับเปิดตัวหนุ่มหล่อที่เดินเข้ามาภายในแผนกด้วยชุดแปลกตาที่ไม่ค่อยเห็น เขาใส่สูทและถือแก้วน้ำหลายใบยี่ห้อเงือกไซเรนสีเขียวที่โด่งดังในเรื่องความอร่อยและราคาของมัน “สวัสดีครับทุกคน” คนในแผนกโฆษณามีทั้งแปดคนรวมเธอและหัวหน้าแผนกด้วย ดูเหมือนแต่ละคนที่กำลังทำงานจะหยุดมองชายผู้มาใหม่เป็นตาเดียวก่อนสาวๆ จะเกาะกลุ่มกันแล้วซุบซิบพลางตอบรับคำทักทายด้วยเสียงหวาน “ผมชื่อพสุธานะครับ เรียกสั้นๆ ว่าดินก็ได้ เป็นสามีของดาวเหนือครับ” กล่าวแนะนำตัวเสร็จสรรพพร้อมรอยยิ้มกว้างที่มีให้ทุกคน ดาริกายืนแข็งเหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้กับที่เมื่อสามีเข้ามาแนะนำตัวโดยไม่บอกกล่าวเธอเลยสักคำ “ผ่านร้านน้ำเลยซื้อมาฝากทุกคน รู้มาว่ามีแปดคนรวมน้องนักศึกษาฝึกงานด้วยก็เก้า ผมไม่รู้ว่าชอบรสไหนกันเลยซื้อมาแบบให้เขาจัดให้ไม่รู้ว
บทที่หก...หวานไปทั้งตัว แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้ “แล้วจะหั่นมาทำไม” “ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ “ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก “แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
บทที่เจ็ด...ร้อนระอุในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด “ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม “ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น “เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว “เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ