แชร์

บทที่สี่ ...สร้างอาณาจักร

บทที่สี่

...สร้างอาณาจักร

ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ร่างสูงเดินเกาพุงออกไปที่ห้องครัวเห็นฝาชีครอบไว้เลยเปิดออกมาพบอาหารเช้าเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและแซนด์วิชอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปกติตอนเช้าส่วนมากถ้าไม่เป็นกาแฟก็ปิ้งขนมปังเท่านั้นค่อยไปกินที่บริษัทเอา

            “ฮัลโหลว่าไงเพื่อน” ชื่อที่โชว์หราขึ้นมาทำให้เขาทักทายเสียงใสอย่างเป็นกันเอง

            “กูโทรมาขัดจังหวะมึงไหม”

            กัดแซนด์วิชเข้าปากคำโตเคี้ยวไปทั้งยังตอบปลายสาย “ไม่กวน เมียกูไม่อยู่ไปทำงานแต่เช้าแล้วอีกสักพักคงกลับ” ตอบตามความเป็นจริงที่แสนจะเศร้า

            “ชีวิตมึงน่าสงสารจริงๆ” สองพี่น้องคุยกันอีกสักพักก่อนที่คนโทรมาจะเข้าเรื่อง “พรุ่งนี้เข้าบริษัทมาหน่อยนะ พ่อกูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ภราดรเข้าเรื่องที่ทำให้ต้องโทรมาหา มือหนาที่หยิบแฮมขึ้นมากินชะงักไปพลางคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน

            “ไปทำไม เรื่องอะไร จะให้กูไปเรียนรู้งานหรือ กูไม่ทำไงกูชอบถ่ายรูปมึงบอกลุงภมรเลยว่ากูไม่ทำ ไม่เอาหุ้นก็ได้ ไม่ชอบ” ปฏิเสธรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน พสุธาปฏิเสธที่จะทำงานบริษัทแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มไม่ชอบและบอกเสมอว่ามันไม่ใช่ทาง ตอนแรกว่าจะไม่เอาหุ้นแต่พ่อบังคับทำให้ได้เงินจากบริษัททุกเดือนแต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้กะว่าจะเก็บไว้ยามจำเป็นซึ่งก็จำเป็นจริงๆ เพราะได้ใช้ในช่วงแต่งงาน

            “ไม่ใช่หรอก กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่นี้แหละ”

            “อ้าวไอ้ดล ไอ้ดลเดี๋ยวก่อนกูยังไม่ได้ด่ามึงเรื่องซองงานแต่งกูเลย ไอ้ดล!” วางสายไปเสียอย่างนั้นสร้างความขัดใจให้ตากล้องสุดหล่ออย่างหนัก วางมือถือไว้บนโต๊ะแล้วก็กินข้าวเช้าอย่างมีความสุขเปิดเพลงฟังไปพลาง เหลือบเห็นจานข้าวของดาริกาก็จัดการให้เธอด้วย ยังไม่ทันกินหมดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

            “ฮอตจริงวุ้ยไอ้ดิน” เช็ดมือกับกระดาษทิชชูก่อนรับสายของภรรยาคนสวย

            “ว่าไงครับผม”

            “กำลังจะกลับ ฝากซื้ออะไรไหม”

            ไม่รู้ทำไมแค่คำถามพื้นๆ กลับสร้างพลังมหาศาลได้ พสุธายกยิ้มขึ้นแล้วกินไส้กรอก

            “ไม่เอาหรอก แค่เธอรีบกลับมาก็พอแล้ว” ไม่ได้หยอดแต่พูดจริงดังว่า ดาริกาบ่นสักพักแล้ววางสายไปอย่างรวดเร็ว พสุธากินเสร็จก็ทำการเก็บจานไปล้างจัดการทำความสะอาดเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำความสะอาดเปลี่ยนชุดใหม่ให้ดูดีกว่าเดิมเล็กน้อย

            “หล่อแล้ว” ส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยก็เดินไปห้องเล็กที่ดาริกายังไม่เคยเข้าไป จึงเข้าใจว่าเป็นห้องนอนซึ่งจริงๆ แล้วเป็นห้องทำงานของเขา ภายในห้องมีตู้กระจกที่วางกล้องราคาแพงเอาไว้หลายตัวรวมทั้งเลนส์ที่ราคาหากบอกไปดาริกามีหวังบ่นหูชาแน่นอน และห้องนั้นไม่ได้เล็กแต่อย่างใดกลับใหญ่โตมีห้องลับอีกห้องในนั้นคือห้องล้างภาพ บางวันก็ขลุกในห้องนั้นทั้งวัน

            “ดิน” เสียงเรียกข้างนอกร่างสูงจึงวางกล้องลงแล้วเดินออกไปหา พบดาริกาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงบานยาวเลยเข่า กำลังเดินตามหาเขาอยู่ ร่างสูงค่อยๆ ย่องไปแล้วกอดเธอจากข้างหลังจนคนตัวบางสะดุ้งโหยง

            “เล่นอะไรตกใจหมด” หันมาเอ็ดเสียงเขียวแต่ชายหนุ่มมีหรือจะกลัวกลับยิ้มหน้าเป็นใส่เสียอย่างนั้น

            “ตื่นเช้ามาไม่ได้กอด ขอกอดตอนนี้ไม่ได้หรือไง” เอาคางไปเกยบนไหล่บาง ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าตัวเธอช่างพอเหมาะเวลาที่กอดเหลือเกิน มันสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ

            “มันอึดอัด”

            “ไม่เห็นอึดอัดเลย อบอุ่นจะตาย” ยังคงกอดไม่ยอมปล่อยทำให้ร่างบางเริ่มเขินด้วยไม่บ่อยครั้งที่พสุธาจะอ้อนเธอแบบนี้ มือบางจับมือหนาเอาไว้แล้วปลดออกหันมามองใบหน้าคม

            “เล่นอยู่ได้ จะไปเปลี่ยนชุด” เอ็ดเสียงเขียวกำลังจะเดินเข้าห้องแต่นึกขึ้นได้

            “ซื้อมาการองมาฝากวางอยู่หน้าทีวี” พูดจบก็เข้าห้องไปทันทีไม่รู้เพราะรีบไปเปลี่ยนชุดดังที่ว่าหรือเขินกันแน่ พสุธายิ้มแล้วเดินฮัมเพลงไปห้องนั่งเล่นเห็นมาการองร้านโปรดวางใส่จานจัดเอาไว้สวยงามก็รู้สึกอุ่นในอก การแต่งงานมีคนเคียงข้างกายมันเป็นเช่นนี้เองหรือ

            ด้านดาริกาเข้ามาในห้องก็จับอกข้างซ้ายที่เต้นระรัว พยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เป็นอย่างนี้ต่อไปมีหวังเธอไม่รอดแน่นอน พสุธามีพลังทำลายล้างสูงมากแค่มองตาก็เหมือนจะตายได้แล้ว เธอต้องมีภูมิคุ้มกันเขาสิ ต้องไม่ตกหลุมที่อีกคนขุดขึ้นมา เธอต้องทำได้ดาริกา

            วันหยุดของสามีภรรยาคือการที่ชายหนุ่มขลุกในห้องเล็กเพื่อทำงานจนถึงตอนเย็นส่วนเธอก็ต้องเคลียร์งานใหม่ต่างคนก็ต่างหน้าที่ของตนเองไม่ได้หยุดพักจนกระทั่งเธอทำงานเสร็จจึงเดินเข้าครัวจะทำอาหารเย็นให้ทาน

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            เคาะประตูห้องทำงานขนาดเล็กที่เธอเพิ่งรู้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดประตูออกมาเห็นกล้องหลายตัวพร้อมทั้งเลนส์ที่ไม่อยากจะคำนวณราคาเลยว่ามันจะเท่าไหร่ หากเธอเอาไปขายสักตัวสองตัวคงพอตั้งบริษัทเป็นของตนเองได้อย่างแน่นอน

            “ดิน ได้ยินไหม” เคาะอีกครั้งก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับจากคนในห้อง ถอนหายใจออกมาแล้วเดินไปทำอาหารโดยตัดสินใจไม่ถามความเห็นของเขาแล้ว เธอทำอะไรก็ต้องกินอันนั้นแหละไม่มีสิทธิเรียกร้องเพราะไม่อยากมาเปิดประตูเอง

            ดาริกาเข้าครัวเตรียมของต่างๆ ตัดสินใจทำสปาเกตตีขี้เมาทะเลเพราะเห็นในตู้เต็มไปด้วยกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ที่คาดว่าอานิทจะเอามาใส่ไว้ให้เมื่อวาน เธอเกรงใจที่ท่านดูแลเรื่องอาหารสงสัยคราวหน้าคงต้องบอกว่าจะดูแลเองเสียแล้ว

            กลิ่นอาหารลอยเข้าไปภายในห้องทำเอาคนที่กำลังทำงานอย่างเพลิดเพลินถึงกับสมาธิกระเจิง มองดูนาฬิกาข้างฝาผนังพบว่าตอนนี้หนึ่งทุ่มครึ่งแล้วเสียงท้องก็ร้องประท้วงทันที พสุธาบิดขี้เกียจลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงานตามกลิ่นไปพบดาริกาที่กำลังตักอาหารใส่จานและตกแต่งอย่างสวยงาม

            “หอมจัง”

            “ได้กลิ่นแล้วมาเลยนะ ทีฉันเคาะเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ” เงยหน้ามาเจอร่างสูงยืนยิ้มอยู่ก็เอ่ยประชดจนชายหนุ่มต้องทำหน้าออดอ้อน

            “โธ่ ตอนทำงานมันเพลินเลยไม่ได้ยินครับผม ต่อไปคราวหน้าถ้าคุณภรรยาเรียกจะรีบเปิดประตูมาอย่างเร็วเลย” เห็นทำท่าอย่างนั้นก็เกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาในความกะล่อน

            “ถ้าไม่เปิดฉันจะเอาอาหารไปเทให้หมาแมวแถวนี้กิน”

            “ใจร้าย ถึงกับเทให้หมากินเลยหรือ” พสุธานั่งเก้าอี้รออาหารเสิร์ฟ มองสปาเกตตีขี้เมาทะเลด้วยตาเป็นประกายเริ่มกินด้วยความหิว ระหว่างนั้นสองคนแทบไม่พูดกันเพราะมัวแต่ทานอาหารจนหมดพสุธาก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีโดยดาริกากลับไปทำงานต่อ เสร็จจากล้างจานร่างสูงก็เดินมานั่งข้างภรรยา

            “อะไร” ผละจากหน้าจอโน้ตบุ๊กหันมาถามเขา

            “ต้องการความรัก ความเอาใจใส่” น้ำเสียงที่มีแววกวนมากกว่าจะพูดจริงดังรู้สึกทำให้ดาริกาส่ายหัวด้วยความระอาใจ

            “ไปไกลๆ เลยไป คนจะทำงาน แล้วงานนายเสร็จแล้วหรือ” พยักหน้าช้าๆ เอนศีรษะมาพิงไหล่บางเอาไว้ ดาริกานั่งทำงานอยู่บนพื้นตรงโต๊ะตัวเล็กหน้าโทรทัศน์เพราะมีพื้นที่ให้วางเอกสารเยอะ ทั้งยังเปิดหนังต่างประเทศดูไปด้วย

            “เสร็จแล้ว ไม่เสร็จก็ช่างมันขี้เกียจ” ว่าจบก็เอนตัวลงนอนบนตักเธอเหมือนครั้งยังเรียนมัธยม เวลาที่ดาริกาไปติวหนังสือให้หลังจากติวเสร็จเขาก็มักจะนอนบนตักหญิงสาวประจำราวกับมันคือที่ของตนไปเสียแล้ว

            “ไปนอนในห้องสิมานอนตรงนี้ทำไม” ควรชินกับการกระทำอีกฝ่ายแต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่ชินกับมันเสียที

            “ไม่เอา อยากนอนตักเมีย” คำพูดที่ผ่ากลางปล้องทำให้ดาริกาเงียบโดยพลัน เธอไม่พูดอะไรต่อแต่ก้มมองคนที่กำลังมองเธออยู่

            “อยู่กับฉันอย่างนี้ไปนานๆ ได้ไหม” สองสายตาสบกันนิ่งก่อนที่มือหนาจะดึงเธอลงมาจูบโดยร่างบางก็โอนอ่อนผ่อนตาม ริมฝีปากทั้งสองประกบกันดูดดึงไปมาราวกับชิมความหวานจากอีกฝ่าย พสุธายืดตัวขึ้นโดยไม่ผละออกจากเธอ เขาอ่อนโยนก่อนจะเพิ่มเป็นความดุดันลิ้นหนาแทรกเข้าไปชิมความหวานก่อนจะเกี่ยวกระหวัดทั่วโพรงปากอย่างคนชำนาญจนดาริกาได้แต่ครางอืออาด้วยไม่ประสา

            “พอ พอก่อน หายใจไม่ทัน” เอามือยันอกหนาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยเธอ

            “ต้องฝึกบ่อยๆ จะได้หายใจทัน” ย้ำกับเธอแล้วเข้าไปชิมความหวานอีกรอบ อีกรอบและอีกรอบจนดาริกาไม่มีสมาธิทำงาน เสียงจูบดังไปทั่วห้องแต่ดีที่คอนโดเก็บเสียงจึงมั่นใจว่าต่อให้เสียงดังแค่ไหนห้องข้างๆ ก็ไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน

            “อื้อ พอก่อนที่รัก” แม้อารมณ์กำลังได้ที่พร้อมปะทุแต่พสุธาก็ผละออกจากเธอ แม้แววตาหวานจะแสดงออกถึงอาการเสียดายก็ตาม

            “รอก่อนนะ ต้องไม่ใช่ตอนนี้” คำบอกเล่าของเขาแม้สงสัยแต่  ดาริกาคิดได้ว่าพสุธาคงไม่อยากมีอะไรกับเธอ ครั้งนั้นมันก็เกินพอแล้ว หญิงสาวพยักหน้าติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกให้เข้าที่หันไปทำงานโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ความรู้สึกสับสนตีกันมั่วไปหมด

            “ไม่งอนสิ”

            “เปล่าสักหน่อย ปล่อยได้แล้วอึดอัด” เป็นข้ออ้างที่ดาริกามักใช้แต่ก็ไม่ได้ผลสักครั้ง พสุธาหัวเราะน้อยๆ ราวกับมันเป็นเรื่องขบขันแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป ลับหลังร่างสูงดาริกาก็แอบมองด้วยความผิดหวัง เขาไม่อยากมีสัมพันธ์เกินเลยกับเธออย่างนั้นใช่ไหม

            “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” กว่าจะรวบรวมสมาธิจากอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เธอนั่งทำงานจนดึกจึงปิดโน้ตบุ๊กเดินเข้าห้องพบพสุธาที่นอนหลับไปแล้ว อยากจะเอาหมอนปิดหน้าหล่อให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลย แต่ก็ได้เพียงแค่คิด อยากรู้เหลือเกินว่าอีกคนรู้ไหมว่าทำให้คนอื่นคิดหนักแค่ไหน ไม่หรอก..

            ..พสุธาไม่เคยรู้อะไรเลย

            ตื่นเช้ามาหญิงสาวก็รีบไปอาบน้ำเพราะตื่นสายกว่าปกติดีที่คอนโดของสามีหนุ่มใกล้ที่ทำงาน เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไปทำแซนด์วิชไว้ให้คนที่ยังไม่ตื่น เข้ามาในห้องเพื่อบอกว่าจะไปทำงาน แต่พสุธาก็จะไปส่งพูดไปจนเกือบทะเลาะกันเธอเลยต้องยอม ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดคอย้วยสีขาวกับกางเกงขาสามส่วนคีบรองเท้าแตะเดินไปที่จอดรถ สภาพเขาแม้จะเพิ่งตื่นก็อดยอมรับไม่ได้ว่าหล่อจริงๆ

            “บอกแล้วว่าไม่ต้องมาส่ง” ขึ้นรถมาก็ยังบ่นไม่เลิก

            “ทำไม กลัวคนอื่นเห็นหรือไง” ดาริกาหันมามองร่างสูงอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดที่เอ่ยประชด

            “ฉันขับมาสะดวกกว่า”

            “แล้วฉันมาส่งมันไม่สะดวกตรงไหน นั่งเฉยๆ มันไม่สบายกว่าขับมาเองหรือไง” ถามเสียงเข้มบ้างแม้รู้ว่าอาจนำไปสู่การทะเลาะแต่มันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ ดาริกาเงียบไม่ยอมพูดที่ไม่อยากให้มาส่งเพราะไม่อยากให้ลำบาก ขับมาแล้วขับกลับทั้งที่วันนี้อีกฝ่ายเองไม่มีงานเช้าก็อยากให้นอนเต็มที่มากกว่า

            “เดี๋ยวตอนเย็นมารับนะ” ถึงบริษัทก็บอกเป็นปกติ ดาริกาพยักหน้าลงจากรถไปทันทีปล่อยร่างสูงมองตามแล้วถอนหายใจออกมา ชีวิตแต่งงานดูท่าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว

            “ว่าไง” เสียงโทรศัพท์แผดดังจนต้องยกขึ้นมารับเป็นสายจากญาติสนิทของตน

            “อย่าลืมเข้าบริษัท” มันโทรมาย้ำอีกครั้ง ซึ่งก็ดีเพราะเขาลืมไปแล้วว่าต้องเข้าไปพบคุณลุงภมรที่แสนจะใจดี

            “เออกูไม่ลืมหรอก ขอไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน” วางสายเสร็จก็ขับรถกลับคอนโดตนเอง ไม่ลืมซื้อน้ำเต้าหู้ใต้คอนโดไปกินด้วย เมื่อถึงห้องก็อาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีสมกับเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนเสียหน่อย สูทที่นานทีจะใส่ก็ถูกจับออกจากราวมาอยู่บนตัวร่างสูงที่หุ่นราวกับนายแบบ มีแมวมองชวนเข้าวงการแต่ไม่ถนัดงานหน้ากล้อง ขออยู่หลังกล้องแบบนี้ดีกว่า

            “หล่อแล้ว” จัดทรงผมเสร็จตรวจเช็กความเรียบร้อยก็ออกจากห้องไปนั่งกินอาหารเช้าที่ภรรยาเตรียมไว้ให้ มองนาฬิกาที่ข้อมือพบว่าเป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้วเลยรีบออกจากห้อง ดีที่คุณลุงภมรเรียกพบเพราะตนเองก็จะไปหาท่านอยู่แล้วมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย

            เดินมาหยิบกุญแจรถแล้วใส่รองเท้าหนังยี่ห้อดังที่นานครั้งจะใส่เพราะชอบรองเท้าผ้าใบที่ทะมัดทะแมงและเข้ากับทุกชุดที่ใส่มากกว่า วันนี้พสุธาออกไปในมาดผู้บริหารหนุ่มหล่อทำเอาเพื่อนบ้านทักว่าดูดีขึ้นเป็นกอง ซึ่งชายหนุ่มก็ทำเพียงยิ้มรับเท่านั้นเพราะเขาดูดีทุกวันแม้จะอยู่ในลุคธรรมดาก็ตาม ความมั่นใจที่สร้างได้ด้วยตนเองมีมานานแล้วสำหรับผู้ชายคนนี้

            ระหว่างขับรถก็ฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข ระยะทางจากคอนโดไปบริษัทไม่ไกลนักแต่ก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าเพราะรถติด มาถึงก็เข้าจอดรถตรงชั้นวีไอพี พสุธามาบริษัทวิจิตร จำกัด (มหาชน) ไม่ค่อยบ่อยเพราะไม่มีกิจธุระอะไรจะมาแค่ประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งก็ปีละครั้ง ร่างสูงตรงไปยังห้องประธานบริษัทพอเลขาหน้าห้องเห็นก็ให้เข้าไปเนื่องจากคุณภมรสั่งไว้อยู่แล้ว

            “สวัสดีครับคุณลุง”

            คุณภมรที่กำลังนั่งอ่านเอกสารเงยหน้าขึ้นยิ้มให้หลานชายก่อนจะผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่งลง

            “ลุงขอโทษที่ไม่ได้ไปงานแต่งนะ พอดีมีประชุมกะทันหันที่ฮ่องกง” พสุธายิ้มแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน

            “ไม่เป็นไรครับ ถึงไม่มาแต่เงินมาแทนผมก็โอเคแล้ว” หลานชายผู้ร่าเริงหยอกกลับทำให้ท่านหัวเราะไปด้วย พสุธากับภราดรแม้จะเกิดไล่เลี่ยและอายุเท่ากันแต่นิสัยต่างกันสิ้นเชิง ลูกชายท่านค่อนข้างเจ้าระเบียบและขรึมผิดกับพสุธาที่ร่าเริง เป็นกันเองเข้ากับคนได้ง่ายกว่า

            “ว่าแต่คุณลุงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” ชายร่างใหญ่ในวัยหกสิบกว่าที่ยังไม่เกษียณอายุการทำงานแม้ลูกชายของท่านที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดจะสามารถทำให้ผู้ถือหุ้นไว้ใจได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม

            “ได้ข่าวเรากำลังหาที่สร้างเรือนหอ” รู้มาจากน้องชายที่มาถามไถ่เรื่องที่ของตระกูลซึ่งเขาถือโฉนดเอาไว้

            “ครับ ว่าจะสร้างแต่กำลังหาที่อยู่” ตั้งใจจะแยกออกมาอยู่เป็นครอบครัวบ้านหลังใหญ่ก็ให้พิยดาไปเลยอยากสร้างบ้านด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองมากกว่า

            “ถ้าอย่างนั้น ลุงให้นี่เป็นของขวัญแต่งงานอีกชิ้นแล้วกัน” ซองสีน้ำตาลขนาดบีสี่ยื่นมาตรงหน้าใจหนุ่มรุ่นลูกเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆลุ้นว่าจะเป็นดังที่คิดหรือเปล่า

            “โฉนดที่ดินติดถนนใหญ่ใกล้สาทรอยู่แถวที่ทำงานเราพอดี” ท่านเฉลยทั้งที่เขายังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ พอเปิดดูโฉนดที่ดินเนื้อที่กว่า220ตารางวาก็ตื้นตัน ที่ดินแถวนี้แพงจนไม่กล้าสู้ราคาซื้อเองจึงบากหน้าไปให้พ่อช่วยท่านก็บอกจะช่วยแต่ไม่คิดว่าจะได้มาฟรีอย่างนี้

            “ส่วนเรื่องก่อสร้างออกแบบก็ให้บริษัทเราทำให้แล้วกัน คนกันเองคิดไม่แพงหรอก ตอนแรกลุงจะสร้างเรือนหอให้ด้วยแต่พ่อเราเลยขัดก่อนบอกว่าเราอยากใช้เงินตัวเอง” พสุธาพยักหน้าหากคุณลุงสร้างให้เขาก็คงไม่รับเพราะแค่ที่ดินก็มากเกินพอแล้ว

            “ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณลุง” สองหนุ่มต่างวัยคุยเรื่องต่างๆ ก่อนที่พสุธาจะขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของคุณลุง ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะไปหาบิดาของตนเองที่ห้องทำงานก่อน ทักทายเลขาหน้าห้องแล้วเข้าไปหาพ่อ

            “พ่อครับ” คุณพสุเงยหน้าขึ้นมามองประตูเห็นลูกชายตัวน้อยที่ค่อยๆ โตขึ้นตามกาลเวลาแล้วยิ้มออกมา แต่ก่อนยังหลีสาวด้วยกันตอนนี้โตจนมีเมียแล้ว

            “จะมาไม่เห็นบอกก่อน” ทั้งที่เพิ่งเจอลูกไปตอนงานแต่งเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เหมือนไม่เจอกันนาน ยิ่งช่วงที่พสุธาไปเรียนต่อที่อเมริกาทั้งท่านและคุณนิทราคิดถึงจนต้องบินไปหาลูกบ่อยๆ

            “กะทันหันน่ะพ่อ ไอ้ดลมันโทรไปบอกว่าลุงอยากพบ” คนเป็นพ่อเดินไปโอบไหล่ลูกมานั่งที่โซฟารับแขก

            “อยากพบเรื่องอะไรล่ะ”

            “ก็พ่อไปคุยอะไรให้ผมไว้เล่า ลุงภมรให้โฉนดแถมยังให้คนของบริษัททำเรือนหอให้ผมอีกด้วย” ได้ทีก็อวดใหญ่ราวกับเด็กน้อย เขายื่นโฉนดที่ดินให้พ่อดู

            “โอ้โฮ ให้เยอะเลยขนาดพ่อเป็นน้องยังไม่ได้ขนาดนี้ หลานรักนะเรา”

            พสุธายิ้มภูมิใจ ด้วยความที่เข้ากับคนง่ายช่างประจบข้อนี้รู้ตัวดีทำให้เป็นที่เอ็นดูของลุงภมรกับป้าลินดา ทุกเทศกาลถ้าไปบ้านนั้นมักได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่ภราดรยังอดกระแซะไม่ได้ว่าเขาเหมือนลูกชายมากกว่าภราดรเสียอีก

            “มันแน่นอนอยู่แล้วพ่อ”

            “แล้วจะไปไหนต่อ วันนี้ไม่มีงานหรือ” เห็นลูกชายแต่งชุดเต็มยศยิ่งกว่าไปทำงานก็นึกเสียดายที่พสุธาไม่เรียนบริหารมาช่วยงานของทางบ้าน

            “มีบ่ายครับ เสร็จจากไปหาพ่อก็ว่าจะแวะไปหาไอ้ดลมันก่อน” สองพ่อลูกพูดคุยกันแล้วลูกชายก็ไหว้ลาเดินออกไป

            “กลับบ้านบ้างล่ะแม่คิดถึง ไม่ใช่ว่าติดเมียจนไม่เป็นอันไปไหนนะ” ร่างสูงหัวเราะพลางส่ายหน้า

            “ไม่หรอกพ่อ เดี๋ยวเข้าไปหาแต่อีกไม่นานผมว่าจะไปฮันนีมูนนะ”

            “ที่ไหน”

            “ความลับครับผม” คุณพสุส่ายหน้าระอาใจแล้วตบไหล่ลูกชายก่อนไปส่งหน้าห้อง เขาเดินไปหน้าลิฟต์กดชั้น12เพื่อไปยังฝ่ายการตลาดที่มีหัวหน้าแผนกเป็นชายหนุ่มอายุเพียงแค่ยี่สิบหกปีแต่ได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนมากมาย ภายในแผนกกำลังวุ่นวายคนเดินผ่านไปมาเหมือนกำลังจะมีประชุม

            “อ้าว มาได้ยังไง” ขณะที่กำลังจะเข้าไปทักทายภราดรในห้องทำงานอีกฝ่ายก็เปิดประตูออกมาเสียก่อนจนเกือบกระแทกหน้า

            “เอาจริงหรือ กูขับรถมาจากคอนโดแล้วก็ไปจอดชั้นวีไอพี เสร็จแล้วก็เดินไปหาพ่อมึงไปหาพ่อกูสุดท้ายก็เดินมาหามึง” เล่าย่อแบบกระชับส่งยิ้มปิดท้าย แต่ในความรู้สึกของภราดรมันช่างกวนบาทาจนคันไม้คันมืออยากตั้นหน้าหล่อๆ ของญาติคนนี้เหลือเกิน

            “ขอบใจที่แจกแจงขนาดนี้ เข้ามาในห้องก่อนมา”

            “มึงไม่ไปธุระแล้วหรือ” ถามเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายรีบร้อนออกมาจากห้อง

            “ไม่หรอก ช่างมัน” พสุธาพยักหน้าเดินตามเพื่อนเข้าไปในห้องทำงานที่มีเอกสารอยู่รายรอบ รู้สึกว่าตนเองตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะทำงานถ่ายภาพเพราะถึงแม้จะไม่เป็นเวลาหรือเลิกดึกดื่นแค่ไหนก็ดีกว่าต้องมานั่งในห้องสี่เหลี่ยมอ่านเอกสารวันละหลายฉบับแบบนี้ ขอลาขาด

            “คุณเฟื่องเอาน้ำมาให้แขกผมด้วย” ยกหูโทรศัพท์สั่งเลขาหน้าห้องก่อนจะวางมาดผู้บริหารเป็นแบบนี้เองแม้จะเห็นบ่อยแต่ก็ไม่ชินเสียที

            “ห้องมึงเล็ก เข้ามาแล้วหายใจไม่ออก” มองโดยรอบถือว่าเล็กหากเทียบกับระดับประธานหรือรองประธานบริษัท แต่หากเป็นหัวหน้าแผนกก็ถือว่าใหญ่พอสมควร

            “เรื่องของมึงสิ หายใจไม่ออกก็ตายๆ ไปเลยส่วนแบ่งสมบัติจะได้น้อย” สองคนนี้มักใช้คำพูดรุนแรงใส่กันแต่ไม่มีใครเก็บไปคิดเพราะสนิทเกินกว่าจะคิดเรื่องเล็กน้อยแบบนี้

            “กูไม่ตาย กูจะอยู่แบบนี้รอกินปันผลไปเรื่อยๆ” ขายาวนั่งไขว่ห้างอย่างสบาย เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเลขาที่ถือน้ำกับขนมมาเสิร์ฟแขกของหัวหน้า

            “มึงใส่ซองงานแต่งกูน้อย งานมึงกูใส่พันเดียวพอ” ด้วยยังไม่ลืมและไม่มีทางลืมง่ายๆ ด้วย

            “กูใส่ไปตั้งห้าพัน มันน้อยตรงไหน”

            “มึงเป็นถึงหัวหน้าแผนกอีกไม่นานก็เป็นประธานใหญ่มีเงินเดือนเป็นแสน ในบัญชีธนาคารมึงอีกกี่ล้านให้กูมาห้าพัน เดี๋ยวโบกด้วยปูนซีเมนต์เลยครับเพื่อน เรื่องนี้สำคัญนะครับคนมีครอบครัวมีเมียอีกไม่นานก็จะมีลูก คิดซะว่าเป็นทุนการศึกษาหลานสิ” ภราดรยกยิ้มพลางส่ายหน้าให้กับความคิดไปไกลของเพื่อน

            “หลานกูมาเมื่อไหร่เอาไปเลยแสนหนึ่ง” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็ตาโตทันที

            “มึงพูดแล้วนะ คืนคำกูตามไปทวงเงินมึงถึงบ้านแน่” เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน แม้จะไม่เก่งวิชาคณิตแต่เรื่องทวงเงินและคำนวณพสุธาไม่เคยพลาดแม้แต่บาทเดียว

            “กูไม่เห็นไอ้โปรดเลย น้องมึงหายไปไหนงานแต่งกูก็ไม่มา ฝากบอกมันด้วยว่ามันจะไม่ใช่น้องรักกูอีกแล้ว” คนโปรดหรือพัลลภ วิจิตรประภา น้องชายแท้ๆที่คลานตามกันมาของภราดรกำลังไปเป็นเด็กฝึกหัดที่ประเทศเกาหลีใต้ คาดว่าอีกไม่เกินสองปีคงได้แจ้งเกิดและโด่งดังไปทั่วแน่นอน

            “ให้มันได้นอนก่อนเถอะ ซ้อมถึงตีสามตีสี่แม่กูบินไปหาทุกเดือนหว่านล้อมให้กลับมาไทยมันก็ดื้อ” พูดอย่างระอาใจ น้องชายไปแข่งตอนที่ค่ายดังมาออดิชั่นแล้วติดจึงต้องไปเป็นเด็กฝึกหัดตั้งแต่อายุเพียงสิบหกปี ตอนนี้ก็อายุ 18 ปีเข้าไปแล้วพึ่งได้กำหนดเปิดตัววงใหม่ของค่ายดังน่าจะเป็นสองปีข้างหน้า

            “ความสุขมัน ถ้าน้องมึงดังก็ได้ผลบุญไปด้วย เผื่อมีเมียเป็นสาวเกาหลี ขาวสวยหมวยอึ๋มเลยนะมึง”

            “แต่กูชอบแบบเมียมึงมากกว่า” จบคำพสุธาแทบจะเอาเท้าทาบหน้าลูกพี่ลูกน้องที่พูดออกมาหน้าตายว่าชอบเมียเขา

            “อยากสลบแล้วตื่นขึ้นมาไปเฝ้ายมบาลไหม” ดูก็รู้ว่าหวงเมียมากแค่ไหน สองหนุ่มคุยกันไปเรื่อยโดยลืมเวลาไปเลย

            “ช่วงนี้ดาราที่มึงคบเป็นไงบ้าง ได้ข่าวงอนเก่ง” ธรรมดาของหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยแถมมีอนาคตไกลอย่างภราดรที่มักจะมีสาวมาติดพัน แต่ช่วงนี้กำลังคบกับดาราสาวเจ้าเสน่ห์ช่องน้อยสีที่ดังเป็นพลุแตกจากละครย้อนยุค

            “อือ พอสมควรคบไปก่อนถ้าไม่ไหวก็เลิก”

            ใครว่าพสุธาเจ้าชู้ถ้ามารู้จักภราดรเขาแทบจะชิดซ้าย ชายคนนี้คือผู้ไม่มีรักแท้ในหัวใจถูกใจก็คบ พอไปต่อไม่ไหวก็เลิก ทำผู้หญิงอกหักมานักต่อนักแล้วก็ต้องรอดูว่าจะมีใครมามัดใจชายผู้รักอิสระอย่างเพื่อนสุดหล่อได้บ้าง

            “ฮอตเหลือเกิน”

            “ธรรมดา” คุยไปสักพักมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้วเลยขอตัวไปทำงานเพราะกลัวไม่ทันยิ่งขับรถยนต์มาด้วยหากรถติดอาจไปถึงช้า ปกติแล้วจะขี่มอเตอร์ไซค์แต่พอแต่งงานอะไรหลายอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนไปบ้าง สองหนุ่มลากันก่อนที่พสุธาจะเดินไปชั้นจอดรถขับออกไปทำงานของตนเอง

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status