แชร์

บทที่สาม ...เราจะตีป้อม

บทที่สาม

...เราจะตีป้อม

           

            ในที่สุดงานแต่งก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ง่ายๆ ที่บ้านของเจ้าสาว เชิญเพียงญาติและคนสนิทมาเท่านั้น ขบวนขันหมากเจ้าบ่าวแห่มาโดยมีเจ้าสาวแอบดูอยู่บนบ้าน วันนี้ดาริกาอยู่ในชุดไทยสีทองสง่างามขับผิวขาวให้ดูเนียนตา ผมยาวถูกรวบขึ้นมัดอย่างสวยงามพร้อมเสียบปิ่นปักผมไว้ด้วย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขโดยมีเพื่อนยืนอยู่ด้วย

            “หน้าบานเลยนะ” กีรติผู้รู้ใจเพื่อนเอ่ยแซว หากไม่ท้องเธอคงได้ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวด้วย แต่เมื่อมีลูกจึงเป็นเพียงแขกมาร่วมงาน

            “อะไรกัน เราไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วปิดม่านลงเพราะกลัวโดนเพื่อนล้ออีก ในห้องนอนมีเพียงเจ้าสาวและกีรติสองคนเพราะคนที่เหลือลงไปรอกั้นประตูเงินประตูทองที่ด้านล่าง ช่างแต่งหน้าเดินมาสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายจึงลากลับ

            “ยินดีด้วยจริงๆ นะ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอกับดิน” สมัยมัธยมแม้มีคนแซวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะพสุธาควงหญิงได้ไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ประตูดิน รถไฟชนกันก็บ่อยใครจะคิดว่าจะได้แต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิททั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ในวัยเจริญพันธ์เลยก็ว่าได้

            “เราเองก็ไม่คิดเหมือนกัน เรื่องมันดูอิรุงตุงนังไปหมด” แม้แต่ตอนนี้ก็อยากจะหยิกแขนตัวเองให้ตื่นจากฝันครั้งนี้ ซึ่งก็พบว่ามันคือความจริง..ความจริงที่เธอเคยฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

            “แต่ความรู้สึกชัดเจนใช่ไหม” นั่นก็ยังเป็นคำถามที่เธอยังคงถามกับตัวเองว่าความรู้สึกของเธอกับเขามันเป็นอย่างไร พสุธารักเธอแบบไหน..

            ..คนรัก

            ..เพื่อน

            ..หรือแค่คนคั่นเวลา

            ไม่อาจเดาความคิดของพสุธาได้เลย ภายใต้ท่าทางร่าเริงที่สามารถเข้ากับคนได้ง่ายอีกฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม บางครั้งทั้งที่บอกว่ารักแต่กลับหักอกผู้หญิงคนนั้นราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หลายคนบอกว่าวางพสุธาไว้เป็นเพื่อนดีกว่าแฟนคงทำให้เจ็บน้อยกว่า

            “ไม่รู้สิ” น้ำเสียงอ่อนแรงของเจ้าสาวทำเอาคนเป็นเพื่อนต้องโอบไหล่เอาไว้

            “ไม่เอาน่า ดินก็ต้องรักเธอบ้างแหละไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานด้วย คนอย่างหมอนั้นยอมให้ใครบังคับเสียที่ไหน” ชายหนุ่มที่แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังต้องยอม ทำให้เธออดขำไม่ได้เมื่อคิดว่าเขาสร้างวีรกรรมไว้มากมาย

            “ขอบใจนะที่มาอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน” เพื่อนสาวคนสนิทพยักหน้าแล้วกอดดาริกา ทั้งสองคนสนิทกันมาก เมื่อวานกีรติก็มานอนเป็นเพื่อนเพราะกลัวเธอตื่นเต้นทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกผิดที่งานแต่งกีรติเธอไม่ได้มา

            “แค่นี้เพื่อเพื่อนสบายอยู่แล้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ ต่อจากนี้ชีวิตเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ” คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เธอไม่เคยมีแฟน ไม่เคยรับรู้ว่าการมีคนข้างกาย มีเพื่อนคู่คิดเป็นอย่างไรจนกระทั่งหลายเดือนที่ผ่านมา พสุธาทำหน้าที่ทุกอย่างจนเธอเริ่มชินที่มีอีกฝ่ายข้างกายแม้คราแรกจะรู้สึกแปลกอยู่บ้างเพราะชอบทำอะไรคนเดียว แต่พอมีเขาแล้วมันก็รู้สึกดีไม่น้อย

            “ดาว ลงมาได้เลย” ปวราหรือมิ้มเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันขึ้นมาเรียก ดาริกาเดินตามเพื่อนลงไปข้างล่างด้วยหัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ การลงบันไดแต่ละย่างก้าวดูยากสำหรับเธอจนกระทั่งเดินเข้ามาในพิธีนั่งลงเรียบร้อยตรงข้ามกับเจ้าบ่าวของเธอ

            พสุธาวันนี้ดูแปลกตา เพราะอยู่ใส่ชุดไทยสีเข้าคู่กับเธอ ทั้งที่ไปลองด้วยกันที่ร้านแล้วแท้ๆ แต่ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากยุคอดีตเหมือนคุณพี่เดชละครที่กำลังฮิตกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองในขณะนี้

            พิธีต่างๆ ผ่านไปก่อนผู้ใหญ่จะให้ทั้งสองสวมแหวนหมั้นให้กัน นิ้วนางข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่าบัดนี้กลับมีตราจองเป็นแหวนเพชรน้ำงามที่เธอกลัวเหลือเกินว่าตนเองจะทำหายจึงคิดว่าหากเสร็จจากพิธีแล้วคงจะถอดเก็บไว้มากกว่ามาใส่โชว์

            “เป็นอะไร” หลังจากนั้นก็เป็นการรดน้ำสังข์แต่ดูท่าเจ้าสาวจะลุกไม่ขึ้นเพราะตะคริวกินเรียบร้อย

            “ตะคริวกินน่ะสิ” พสุธาเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจนแขกทั้งงานเอ่ยแซวเสียงดัง ฝ่ายเจ้าสาวอายม้วนพยายามผลักเจ้าบ่าวออกแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเธอเลยนอกจากพาหญิงสาวเดินไปยังเก้าอี้นั่งสำหรับรดน้ำสังข์

            “เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม” ดาริกาพยักหน้าเร็วๆ เพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรรุ่มร่ามอีก งานพิธีดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นช่วงเช้า ทุกคนร่วมรับประทานอาหารโดยมีบ่าวสาวเดินเข้าไปทักทาย ส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย

            หลังส่งแขกกลับทุกคนก็ย้ายไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมงานช่วงค่ำต่อ แม้จะเหนื่อยแต่ดาริกาก็มีความสุขเพราะงานแต่งในชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เธอสัญญากับตัวเองว่าจะไม่จัดงานแต่งสองรอบเด็ดขาด เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกกันไปแต่งตัวเพื่อรองานเย็นที่เริ่มตั้งแต่หกโมง หญิงสาวต้องล้างหน้าใหม่ระหว่างรอช่างแต่งหน้าเธอก็เข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น

            “มาแล้วหรือคะ” ดาริกาได้ยินเสียงออดก็รีบใส่ชุดคลุมมาเปิดประตูพบกับช่างแต่งหน้างานตอนเย็นเธอจึงเชื้อเชิญให้เข้ามาในห้องพัก หลังจากพูดคุยทักทายกันแล้วก็เริ่มแต่งหน้าทำผมทันทีเพราะเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงพอดี ร่างบางในชุดเจ้าสาวทรงหางปลาเน้นสัดส่วนได้เป็นอย่างดีทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูป

            “สวยมาเลยค่ะ” ช่างแต่ละคนเอ่ยชมด้วยความจริงใจก่อนจะขอถ่ายรูปเอาไว้ ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูบอกว่าเป็นช่างภาพที่พสุธาจ้างให้มาถ่ายในงานแต่งจะขอถ่ายรูปเธอก่อน ดาริกาจึงยืนโพสต์ท่าทางต่างๆ จนเหนื่อย

            “ขอพักก่อนได้ไหมคะ” ช่างภาพจึงบอกเท่านี้ก็พอแล้วเดินออกไป เจ้าสาวคนสวยที่อุตส่าห์ฟิตหุ่นเพื่อวันนี้โดยเฉพาะท้องก็เริ่มประท้วงด้วยความหิว เธอเดินไปจิบน้ำและทานขนมนิดหน่อยด้วยกลัวเป็นลมกลางงานไปเสียก่อน

            เมื่อได้เวลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกไปยืนรอต้อนรับและถ่ายรูปกับแขกที่หน้างาน พสุธายิ้มและทักทายกับแขกของตนเองและแขกของบิดามารดาอย่างเป็นกันเองทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง ดาริกาเองก็ยิ้มแย้มทักทายผู้คนที่เข้ามาถ่ายรูปด้วยแม้ว่าจะเหนื่อยมากแค่ไหนก็พยายามเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้

            “หิวไหม” ในระหว่างที่ไม่มีแขกเจ้าบ่าวก็หันมาถามเจ้าสาวของตนเสียงนุ่ม

            “พอควร” รู้อย่างนี้เธอน่าจะหาอะไรกินเพื่อรองท้องมากกว่านี้ดีที่เสียงโดยรอบดังจึงพอกรบเสียงท้องร้องของเธอไปได้บ้าง

            “ไปหลังเวทีค่อยกิน” พยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มแย้มต้อนรับแขกคนต่อไป เพื่อนๆ ของทั้งเขาและเธอมางานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่น่าเชื่อที่พสุธาและดาริกาจะแต่งงานกันเห็นสนิทสนมจนเห็นไส้เห็นพุงหมดใครจะคาดคิดดันมาลงเอยกันเสียได้ เจ้าสาวทำได้เพียงหัวเราะไปกับคำแซวนั้นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าหัวใจเธอก็เจ็บช้ำที่ได้แต่งแต่ไม่ได้ใจ

            งานพิธีเริ่มตามกำหนดการที่วางเอาไว้ผู้คนต่างสงเสียงเชียร์สนั่นเมื่อวีดีโอที่เจ้าบ่าวจัดทำขึ้นโดยเฉพาะบอกความรู้สึกที่มีต่อเจ้าสาว

            “ไหนบอกจะไม่ทำไง” ครั้งที่ไปถ่ายรูปด้วยกันพสุธาบอกจะไม่ทำวิดีโอพรีเซนเทชั่นเธอก็เชื่อ

            “เซอร์ไพรส์” หน้าตาทะเล้นตอบกลับมองไปที่จอขนาดใหญ่บนเวที

            “เจอครั้งแรกตอนแปดขวบนะ ดาวใส่ชุดเอี๊ยมเสื้อสีแดง มัดผมเปียสองข้างแก้มแดงๆ หน่อย ตอนนั้นก็คิดว่าน่ารักดีครับ” ดาริกาที่ยืนดูวีดีโออยู่หันไปมองพสุธาที่มองจอโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่แล้วอมยิ้ม

            “แกจำได้จริงเหรอ” ดาริกาหันไปถาม

            “ไม่เคยลืมเลยต่างหาก” ใบหน้าคมที่ยิ้มให้ทำเอาหัวใจดวงน้อยสั่นสะท้าน คำพูดนั้นเหมือนน้ำมารดต้นไม้ต้นเล็กที่กำลังจะเหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

            “รู้สึกรักก็คงตอนเรียนจบ ป.ตรี ก็แค่อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ ผมไม่ชอบเวลาที่ดาวมีผู้ชายเข้าใกล้มันรู้สึกอยากเข้าไปกระทืบผู้ชายที่เข้ามาให้เดี้ยงน่ะครับ” หน้าตาที่ตอบดูเฉยๆ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผู้ชายที่เคยหมายปองดาริกาเริ่มหนาวๆ แล้วดีที่รอดพ้นช่วงนั้นมาได้ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงโดนพสุธามากระทืบจนนอนโรงพยาบาลแน่นอน

            “อยากบอกอะไรกับดาวเหรอ แค่อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอว่าผมไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินไปข้างหน้าคนเดียว ถ้าเศร้าผมจะอยู่ข้างๆ ถ้าทุกข์ผมจะกอดปลอบ ถ้าเธอสุขผมก็จะยิ้มไปด้วย เราจะอยู่ข้างๆ กันไปเรื่อยๆ นะ” แววตาจากวิดีโอที่ส่งมาให้ราวกับจะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอ

            “ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะ” เพียงคำพูดที่ย้ำกับเธออีกครั้งก็ทำให้น้ำตาร่วงลงมาจนต้องรีบเช็ดออก ไม่รู้ว่าทำไมจึงเชื่อคำพูดของร่างสูงจนหมดใจแม้รู้เสมอว่าพสุธาไม่ได้รักเธอแบบชู้สาว

            งานดำเนินต่อไปจนกระทั่งเลิก พสุธาไปส่งแขกหน้างานโดยไม่มีอาฟเตอร์ปาร์ตีต่ออย่างที่เคนพูดกับเพื่อนไว้ เขาบอกไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเปลืองเงินทั้งยังเบียดเบียนเวลาการเข้าหอของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกด้วย เพื่อนพากันโห่แซวว่าทั้งสองคนคงรีบทำแต้มมีลูกให้ทันพิชิตกับกีรติ ซึ่งเจ้าบ่าวอย่างพสุธาก็ทำแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เท่านั้นแต่ก็ทำเอาดาริการู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันที

            “ไปกันเถอะ” สองบ่าวสาวจูงมือกันเดินไปยังรถยนต์ที่มาจอดรอหน้าโรงแรม เขาเลือกคอนโดเป็นห้องหอมากกว่าจะเช่าห้องที่โรงแรม มือหนาประคองแขนเจ้าสาวเอาไว้ แล้วช่วยเธอจับกระโปรงที่ยาวลากพื้นทำให้เดินยากขึ้นรถ

            ระหว่างทางดาริกาก็งีบหลับเพราะเหนื่อยจากงานสำคัญของตนเอง พอถึงคอนโดก็เดินตามร่างสูงไปอย่างมึนๆ เพราะยังไม่ตื่นดีทำเอาร่างสูงต้องช่วยประคองกลัวเธอล้มกลางอากาศ เมื่อเข้าห้องก็มีบรรดาครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรออยู่แล้ว

            “มาช้านะพี่” นิปุณน้องชายของดาริกาซึ่งสนิทกับพสุธาเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่สวยอย่างไรน้องชายก็หล่ออย่างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

            “กว่าจะส่งแขกหมดไหนกลับมารถก็ติด เลยนานหน่อย”

ฤกษ์เข้าหอคือห้าทุ่มสิบเก้านาทีถือว่าทำเวลาได้ดีเพราะตอนนี้ห้าทุ่มสิบนาที คุณพสุนั่งคุยอยู่กับคุณเนติธรโดยมีคุณนิทรานั่งข้างกายสามีและ พิยดากำลังกินขนมอยู่ข้างมารดา

            “ไปเถอะ เดี๋ยวจะดึกกว่านี้” ถึงเวลาสมควรคุณเนติธรก็เอ่ยชวนโดยมีเพื่อนสนิทอย่างพสุเดินไปด้วย ท่านมองลูกสาวแล้วรู้สึกภูมิใจแม้จะไม่อยากให้ลูกแต่งงานเร็วก็ตาม คิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วอยากให้เธอได้อยู่ในวันสำคัญของลูก

            “ต่อจากนี้เราไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรให้คิดถึงอีกคนไว้ รู้จักยับยั้งชั่งใจ ศีลห้าน่ะท่องไว้ให้ดี” ญาติผู้ใหญ่ให้พรสองบ่าวสาวที่น้อมรับเอาคำสั่งสอนไว้เพื่อนเตือนใจตนเอง

            “หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก ถ้าสงสัยก็ถาม ข้องใจก็บอก อย่าเก็บงำความคิดไว้คนเดียว ถ้าทะเลาะกันก็พูดให้เสร็จเสียตั้งแต่ตอนนั้นอย่าคาราคาซังข้ามวันคืน” คุณนิทราบอกพร้อมยิ้มหวาน

            “ยุคนี้มันคือยุคผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปมีเล็กน้อยหาเศษหาเลยให้ลูกสาวฉันเสียใจ เข้าใจไหม” คุณเนติธรไม่วายกำชับอีกรอบเพราะกลัวบุตรสาวของตนเองต้องน้ำตาตกใน ที่สามีไปมีหญิงอื่นให้ได้ช้ำใจเล่น

            “ครับคุณพ่อ ไม่มีแน่นอนครับผมจะซื่อสัตย์กับดาวคนเดียว” แววตาจริงจังของพสุธาที่ส่งมาทำให้พอเบาใจไปได้บ้าง

            “มีหลานให้รุ้งเลี้ยงเร็วๆ นะคะ” พิยดาที่นั่งฟังอยู่นานก็พูดขึ้นน้ำเสียงทะเล้น ดาริกาก้มหน้างุดด้วยความเขินต่างจากพสุธาที่หัวเราะร่า

            “แน่นอน เดี๋ยวพี่จะรีบทำลูกอย่างรวดเร็วเลย” คำตอบนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากครอบครัว ต่างคนก็หัวเราะก่อนจะพากันขอตัวกลับเพราะอยากให้บ่าวสาวใช้เวลาค่ำคืนที่แสนหวานด้วยหัน ดาริกากอดพ่อกับน้องไว้ก่อนจะโบกมือลาทั้งสอง ประตูปิดลงพร้อมความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา

            “ขออาบน้ำก่อนนะ ไม่ไหวเหนียวตัว” ร่างสูงพูดขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว ดาริกาถอนหายใจออกมาแล้วไปห้องนั่งเล่นของคอนโด เปิดทีวีดูระหว่างรอเขาอาบน้ำ

            “หิวข้าวจัง” ท้องร้องประท้วงทำให้เริ่มตระหนักว่าตนเองยังไม่ได้ทานอะไรเลยเพราะมัวแต่วุ่นถ่ายรูปและดูแลแขกเหรื่อในงาน แต่ถ้าทำอาหารตอนนี้ชุดเธอก็ไม่เอื้ออำนวยอีกถ้าอย่างนั้นก็หุงข้าวรอก่อนก็แล้วกัน ร่างบางในชุดเจ้าสาวเดินไปหุงข้าวรอเอาไว้ระหว่างนั้นก็เปิดตู้เย็นคิดเมนูที่จะทำกินในช่วงเวลาห้าทุ่มนี้

            “เสร็จแล้วครับผม” พสุธาในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเลสีน้ำเงินเดินยิ้มมาหาเธอที่ห้องครัว

            “พอดีเลย ฉันจะไปอาบน้ำนายช่วยล้างผักหั่นหมูไว้ด้วยนะ จะทำกับข้าวกิน” ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่ารับคำปล่อยให้เธอไปจัดการตนเอง ดาริกาเข้ามาในห้องเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่กว่าแปดสิบเปอร์เซ็น เป็นของเธอก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ที่ต้องมาแชร์ห้องร่วมกับคนอื่น จัดการล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้าหมดจดก็เข้าไปอาบน้ำ ตู้เสื้อผ้าที่เคยมีแต่ของพสุธาก็มีเสื้อผ้าเธอด้วย ทั้งกระเป๋า เครื่องประดับวางไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบ ดีที่ขยายห้องจึงดูไม่แออัดทั้งที่ของมากมาย

            ดาริกาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จด้วยเสื้อผ้าเนื้อนิ่มเข้ากันกับกางเกงลายการ์ตูนตัวโปรดที่ทำให้เธอดูเยาว์วัยลงไปอีก เดินออกมาหาเขาที่ห้องครัวเห็นร่างสูงกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ “เสร็จยัง” ถามขึ้นทำให้ใบหน้าคมเงยมามองเธอ

            “เสร็จแล้ว ทำได้เลยครับผม” เปิดทางให้เธอได้โชว์ฝีมืออีกครั้ง ดาริกาเลือกจะทำผัดผักใส่หมูอย่างเดียว ไม่นานอาหารก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ ทั้งสองจัดการกับข้าวหมดอย่างรวดเร็วเพราะหิวเกินกว่าจะคิดเรื่องน้ำหนัก วันนี้แทบไม่ได้แตะของกินสักอย่างเลย

            “อร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ต่อจากนี้ฉันก็มีแม่ครัวส่วนตัวแล้วสิ” พสุธาพูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บจานไปล้าง เป็นกฎที่รู้กันดีแล้วว่าหากเธอทำอาหารร่างสูงจะเป็นคนล้างจาน

            “เดี๋ยวฉันจะซื้อยาถ่ายมาผสมให้แกกิน” ว่ากลับอย่างหมั่นไส้ขณะที่ช่วยอีกฝ่ายเก็บจานวางไว้ในซิงก์ล้างจาน แต่แล้วร่างสูงกลับมายืนตรงหน้าเธอแล้วจับใบหน้าหวานให้แหงนขึ้นรับจูบทันที เธอตกใจทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพยายามผลักอีกฝ่ายออกแต่ไม่เป็นผล ริมฝีปากหนาก็ทำหน้าที่ได้ดีเหลือเกินดูดพลังจนขาเธอเริ่มอ่อนต้องจับไหล่เขาเอาไว้เป็นหลักยึด สองหนุ่มสาวแลกจูบกันก่อนที่ใบหน้าหวานจะซุกที่อกหนาหายใจหอบถี่ราวกับวิ่งมาหลายกิโลเมตร

            “ลงโทษที่เธอใช้สรรพนามเดิมบอกแล้วว่าไม่เอาแก ถ้าเผลออีกไม่จบแค่จูบแน่” ดาริกาพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบหลีกหนีจากอ้อมกอดอบอุ่น พสุธาหัวเราะหันไปล้างจานแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุขปล่อยให้ร่างบางยืนใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คนเดียว

            “ไอ้บ้า” ว่าเสียงเขียวแล้วเดินไปนั่งรอที่หน้าทีวีเปิดรายการโทรทัศน์ดูเพลินๆ ไม่นานร่างสูงก็มานั่งข้างเธอ

            “ไปนอนกัน” ดาริกาทำตามอย่างว่าง่ายปิดทีวีเดินตามไปก่อนจะแยกไปอีกห้องทำเอาร่างสูงที่เดินมาก่อนรีบจับแขนเรียวเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

            “จะไปไหน”

            “ก็ไปนอนไง”

            “แล้วไปห้องเล็กทำไม” ถามเสียงหาเรื่องพร้อมแววตาที่ไม่เข้าใจ ดาริกาปลดมือหนาออกจากการเกาะกุม

            “เราแต่งงานกันแค่ในนาม ไม่จำเป็นต้องนอนห้องเดียวกันหรอก” ดวงตาเรียวแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขาจับมือเธอเอาไว้แน่นมองไปยังดวงหน้าหวานที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนด้วยความไม่เข้าใจ

            “จำเป็น เราต้องนอนห้องเดียวกัน”

            “ฉันไม่นอน จะนอนห้องเล็ก” ร่างบางยังคงดื้อดึงยืนกรานที่จะนอนคนละห้องกับเขา

            “นี่ดาว ฉันพูดจริงๆ นะ เธอคิดว่าการแต่งงานของเรามันแค่จัดฉากหรือ แล้วไอ้การที่ฉันวิ่งจัดงานงกๆ นี่คือฉันทำเพราะจำใจอย่างนั้นหรือ” ดาริกาพูดไม่ออกเธอเงียบไปชั่วขณะเพราะจริงดังว่า ที่เขาวิ่งวุ่นจัดงานแต่งแทบไม่ได้พัก พสุธาดูจะให้ความสนใจมันมากกว่าเธอเสียอีก

            “อีกไม่นานเราก็หย่ากันแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่ได้รักกันสักหน่อย” ตากลมโตก้มมองต่ำเพราะไม่อยากสบตาคมก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้งราวหนักใจนักหนา

            “ฟังนะ จะไม่มีการหย่าเกิดขึ้น ฉันไม่มีทางหย่าแน่นอน ถ้าเราจะหย่ากันนั่นคือความต้องการของเธอไม่ใช่ฉัน” น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้เธอเงยหน้าไปสบตาเรียวที่มีความมั่นคงจนใจดวงน้อยสั่นไหวอีกครั้ง เธอไม่อยากตกหลุมรักเขาไปมากกว่านี้เพราะหากวันไหนที่ต้องจากกันกลัวจะเจ็บจนทนไม่ไหว

            “แต่ว่า”

            “ดาว ขอร้องฉันง่วงแล้วนะ อีกอย่างคืนนี้มันคือคืนแต่งงานของเราด้วย เธอจะให้ฉันยืนง้อตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือ” ใบหน้าคมที่ดูเหนื่อยอ่อนทำเอาใจเธออ่อนยวบ

            “เฮ้อ เข้าห้องเถอะ” หลังจากนั้นใบหน้าคมก็ยิ้มออกมาแล้วโอบไหล่บางเอาไว้

            “ดีมาก คืนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน อย่าลืมสิ” ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเธอเสียงแผ่วสร้างความรู้สึกปั่นป่วนที่ท้องน้อยจนต้องเอียงหน้าหลบ พสุธาเปิดประตูห้องนอนทำเอาใจดวงน้อยเต้นระทึก ทั้งที่เขากับเธอก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งมาแล้วแต่ว่าตอนนั้นเธอไม่รู้สึกตัว หากเป็นตอนนี้...จะรู้สึกอย่างไร

            “เข้ามาสิครับ” เพราะมัวแต่ยืนใจลอยโดยไม่รู้ว่าพสุธาเดินไปนั่งบนเตียงตอนไหนปล่อยเธอเอาไว้หลังประตู ร่างบางเดินไปนั่งเตียงอีกฝั่งพยายามห่างร่างสูงให้มากที่สุด

            “อ้าว ไปนั่งทำไมตั้งไกล” เพราะนั่งชิดขอบเตียงแทบตกพสุธาเลยเอ่ยทัก ร่างบางจึงเขยิบเข้ามาอีกนิด

            “เดี๋ยวขอไปเอาอุปกรณ์แปบนะ รอก่อน” พูดเท่านั้นหัวใจของเธอก็เต้นราวกับกลองรัวได้แต่จับตรงอกข้างซ้ายเพราะกลัวมันเด้งออกมา หายใจเข้าออกช้าๆ พยายามระงับอารมณ์แปลกๆ ที่พุ่งขึ้นมา

            “มาแล้ว” ออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับกล่องสีขาวที่เธอจำได้ว่าเป็นกล่องใส่ซองหน้างานแต่งพร้อมสมุดและปากกา ใบหน้าคมยิ้มแย้มเดินมานั่งบนเตียงกว้างแล้วเปิดกล่องออกมาพบซองการ์ดแต่งงานจำนวนมากที่ล้นกล่อง

            “นี่คือเรื่องสำคัญที่นายว่าหรือ” ดาริกาถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองซองตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึง

            “ใช่ นี่แหละเรื่องสำคัญของเรา” ใครจะเชื่อว่างานแต่งที่หลายคนคิดว่าจะต้องเป็นค่ำคืนแสนหวานเจ้าบ่าวตระกองกอดเจ้าสาวด้วยความรักมันจะเป็นแค่เรื่องในนิยายเท่านั้น ชีวิตจริงหลังงานแต่งที่แสนเหนื่อยของเธอคือ...

            การนั่งนับเงิน!

            พสุธาดูจะจริงจังมากเปิดซองพร้อมกับอ่านชื่อด้านหลังอีกด้วย “ช่วยกันจดหน่อย เพื่อนเราใครใส่น้อยใช้ปากกาแดงเลย” ดูอีกฝ่ายจะทุ่มเทกับเรื่องนี้จนดาริกาต้องนั่งขัดสมาธิจดชื่อเพื่อนใส่สมุดด้วยความงงงวย

            “ซองนี้ไอ้ผิง หนึ่งพัน! โอ้โฮแล้วมันได้นั่งโต๊ะหน้าด้วย ปากกาแดงไว้เลยงานมันเราใส่ห้าร้อยพอ” ร่างบางเขียนลงไป

            “มันต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ” เห็นร่างสูงทำหน้าตาเครียดราวกับกำลังปั่นโพรเจกต์ช่วงสอบก็อดถามขึ้นไม่ได้

            “จริงจังสิ เราเสียไปเยอะเราต้องได้กลับมาบ้าง” ก็พอเข้าใจว่างานแต่งเขาใช้เงินส่วนตัวออกมีบ้างที่คุณพสุช่วยแต่เจ้าบ่าวของเธอก็ไม่อยากรับเพราะงานตนเองก็อยากใช้เงินที่หามาได้จัด แอบภูมิใจที่เห็นชายหนุ่มโตขึ้นมากกว่าเก่า

            “แกเห็นงานแต่งเป็นเรื่องธุรกิจหรือ” ถามเพราะสงสัยแต่ก็แอบน้อยใจนิดๆ พสุธาชะงักมือที่จับซองแล้วหันมามองดาริกา

            “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้มองแบบนั้น คือจะพูดยังไงดีล่ะ” เกาศีรษะเพราะรู้สึกอธิบายไม่ถูกยิ่งเห็นใบหน้าหวานออกเศร้าก็ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด

            “ฉันอยากเก็บเงินไว้สร้างครอบครัวกับเธออีกไม่นานเราก็ต้องมีลูกเงินส่วนนี้ก็จะเก็บเอาไว้ให้ลูก ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆ อีก ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวก็อยากหาเงินเยอะๆ อยากให้เธออยู่แบบสุขสบายไม่ใช่ว่ามาอยู่กับฉันแล้วลำบาก” เพราะเป็นคนอธิบายไม่ค่อยเก่งแต่ก็พยายามพูดทุกอย่างจากความรู้สึกออกมาซึ่งทำให้ดาริการู้สึกราวกับมีฝนตกตอนหน้าแล้ง มันชุ่มฉ่ำหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

            “เข้าใจแล้ว นับเงินเถอะ” ต่อจากนั้นทั้งสองต่างก็ช่วยกันจดมือเป็นระวิงโดยมีพสุธาบ่นตลอด

            “นี่ไอ้ดลมันเป็นถึงหัวหน้าแผนกการตลาดแล้วมันใส่มาแค่ห้าพันได้ยังไง!”

            “โห่ กีรติเป็นคนดี ใส่มาสองหมื่น คนดีต้องชื่นชมจดไว้เลยๆ รับขวัญหลานต้องให้หนัก ทองสักสามบาท”

            “ต่อไปซองนี้ ไอ้ณัทเพื่อนรัก จดไว้เลยครับที่รักมันให้มาเยอะพอควรสมกับเป็นลูกเจ้าของร้านทองสามสิบสาขาทั่วประเทศ”

            “อันนี้ฐิตาเพื่อนเธอ นอกจากหน้าตาดีแล้วยังใจดีอีก คนแบบนี้คบนานๆ”

            “ฉันว่าควรเลิกคบไอ้แมวได้แล้ว ใส่อะไรของมันมา แบงก์พันกาโม่ห้าใบแต่ยังดีที่มันใส่แบงก์จริงมาให้อีกห้าใบถือว่าอยู่ในส่วนที่พอรับได้”

            “คนนี้ให้เยอะ ดาวจดไว้ ดาว..อ้าว หลับแล้วเหรอ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่จากซองเต็มกล่องตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง พอหันไปมองคนข้างๆ ก็พบว่าเธอนอนหลับคอพับไปเสียแล้วจนต้องอมยิ้มปัดผมออกจากใบหน้าหวานแล้วเก็บซองที่แกะแล้วใส่ถุงพลาสติก นำกล่องและสมุดลงมานับที่พื้นแล้วจัดท่านอนดาริกาใหม่พร้อมห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ

            “ฝันดีนะ” ก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากมนอย่างแผ่วเบาแล้วลูบแก้มเนียนอีกครั้ง เขาลงมานั่งนับเงินต่อโดยจดชื่อเพื่อนเอาไว้ด้วยเผื่อว่าจะลืม คนอย่างพสุธาต้องละเอียดรอบคอบในเรื่องเงิน ใครให้เยอะมาต้องให้เยอะตอบ ใครให้น้อยมาต้องให้น้อยกว่า!

            เช้าวันใหม่หลังงานแต่งดาริกาตื่นขึ้นมาโดยรู้สึกหนักที่เอวคราแรกนึกว่าผีอำแต่พอนึกได้ว่าเธอแต่งงานแล้วจึงรู้สึกตื่นเต้น หรือว่าร่างสูงจะกอดเธอ ดวงตากลมโตตื่นขึ้นมาก็พบว่าพสุธาเอาขายาวๆ ของเขามาพาดไว้ที่เอวของเธอ

            “ไอ้ดิน!” เสียงหวานเรียกคนหลับเสียงดังพร้อมมือที่ยกขายาวออก ความโรแมนติกคืออะไรอยากจะรู้เหลือเกิน เมื่อคืนที่ควรมีความหวานกลับต้องมานั่งนับเงินจนหลับตื่นเช้ามาแทนที่จะได้นอนในอ้อมกอดอีกฝ่ายดันยกขามาก่ายเธอเสียอย่างนั้น พสุธาคือมนุษย์ที่เข้าใจยากจริงๆ

            “อืม จะนอน” พลิกตัวหันไปอีกทางแล้วยกผ้าห่มขึ้นปิดหูดาริกายันตัวลุกขึ้นมองสามีหมาดๆ ของตนเองแล้วหมั่นไส้จนอยากถีบตกเตียง นิยายที่เคยอ่านต่อจากนี้ไปเธอจะไม่อ่านแล้วความหวานหลังงานแต่งมันคือเรื่องโกหกทั้งเพ!

            “นอนไปเลย นอนให้ตะวันแยงก้นไปเลย” เช้าวันอาทิตย์หลังงานแต่งเจ้าสาวที่ควรจะนอนในอ้อมกอดเจ้าบ่าวแต่เหตุการณ์คู่เธอไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจ้าบ่าวหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าสาวเลยต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำและทำอาหารเช้าไว้รอท่า

            “สวัสดีค่ะพี่กานต์” ในขณะที่กำลังทำอาหารเช้าก็มีโทรศัพท์จากบริษัทโทรเข้ามา

            “ว่าอย่างไรนะคะ” เธอชะงักมือที่กำลังทอดไข่ดาวเมื่อได้ยินว่างานที่ต้องส่งหัวหน้าไฟล์มีปัญหา

            “ค่ะ ถ้าอย่างไรดาวจะรีบเข้าบริษัทนะคะ ไม่เป็นไรค่ะพี่กานต์ ค่ะ สวัสดีค่ะ” รีบจัดการอาหารของเธอและเขาใส่จานเอาไว้แล้วไปเปลี่ยนชุดทำงานก่อนจะเดินมาหาพสุธา

            “ดิน ฉันไปบริษัทแปบหนึ่งนะ” ทุกเวลามีค่าเธอจึงเดินไปนั่งแต่งหน้าแล้วบอกคนที่นอนหลับอยู่

            “หือ วันนี้วันอาทิตย์นะ” ผงกศีรษะมองภรรยาที่กำลังนั่งแต่งหน้าทั้งที่ตายังลืมได้ไม่เต็มที่

            “งานมีปัญหานิดหน่อย ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้อยู่บนโต๊ะ แล้วเจอกัน” เธอแต่งหน้าไม่นานก็เสร็จจึงเดินไปเอากุญแจรถของตนเองที่น้องชายขับมาให้เมื่อคืน มือหนาคว้าแขนเรียวเอาในขณะที่เธอเดินผ่านเตียงนอน ก่อนลุกขึ้นนั่ง

            “เดี๋ยวไปส่ง” เห็นตาแดงๆ ของร่างสูงก็รู้สึกสงสาร

            “ไม่ต้อง นอนไปเลยไม่รู้เมื่อคืนนอนกี่โมง” นิ่งเงียบไปเพราะกว่าเขาจะจัดการทุกอย่างและเก็บเรียบร้อยก็ปาเข้าไปตีสามเกือบตีสี่แล้ว

            “อยากไปส่ง” ยังงอแงไม่เลิกเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

            “บริษัทฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง นายนอนเถอะ แล้วจะรีบกลับมาหาตกลงไหม” เมื่อเธอว่าเสียงจริงจังเลยจำยอมพยักหน้าแล้วล้มตัวลงนอนปล่อยให้ดาริกาไปทำงานในวันหยุด ช่างเป็นคู่แต่งงานที่เรียบง่ายเสียเหลือเกินแต่กลับแปลกที่ดาริการู้สึกพอใจ แม้มันอาจจะไม่โรแมนติกเหมือนในนิยาย ไม่หวือหวาเหมือนในละครหรือซีรี่ส์ที่เคยดูแต่เธอก็มีความสุขแล้วแค่คนที่อยู่ข้างกายคือพสุธา

            ...เขาคนเดียวเท่านั้น

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status