บทที่สาม
...เราจะตีป้อม
ในที่สุดงานแต่งก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ง่ายๆ ที่บ้านของเจ้าสาว เชิญเพียงญาติและคนสนิทมาเท่านั้น ขบวนขันหมากเจ้าบ่าวแห่มาโดยมีเจ้าสาวแอบดูอยู่บนบ้าน วันนี้ดาริกาอยู่ในชุดไทยสีทองสง่างามขับผิวขาวให้ดูเนียนตา ผมยาวถูกรวบขึ้นมัดอย่างสวยงามพร้อมเสียบปิ่นปักผมไว้ด้วย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขโดยมีเพื่อนยืนอยู่ด้วย
“หน้าบานเลยนะ” กีรติผู้รู้ใจเพื่อนเอ่ยแซว หากไม่ท้องเธอคงได้ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวด้วย แต่เมื่อมีลูกจึงเป็นเพียงแขกมาร่วมงาน
“อะไรกัน เราไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วปิดม่านลงเพราะกลัวโดนเพื่อนล้ออีก ในห้องนอนมีเพียงเจ้าสาวและกีรติสองคนเพราะคนที่เหลือลงไปรอกั้นประตูเงินประตูทองที่ด้านล่าง ช่างแต่งหน้าเดินมาสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายจึงลากลับ
“ยินดีด้วยจริงๆ นะ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอกับดิน” สมัยมัธยมแม้มีคนแซวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะพสุธาควงหญิงได้ไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ประตูดิน รถไฟชนกันก็บ่อยใครจะคิดว่าจะได้แต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิททั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ในวัยเจริญพันธ์เลยก็ว่าได้
“เราเองก็ไม่คิดเหมือนกัน เรื่องมันดูอิรุงตุงนังไปหมด” แม้แต่ตอนนี้ก็อยากจะหยิกแขนตัวเองให้ตื่นจากฝันครั้งนี้ ซึ่งก็พบว่ามันคือความจริง..ความจริงที่เธอเคยฝันว่ามันจะเกิดขึ้น
“แต่ความรู้สึกชัดเจนใช่ไหม” นั่นก็ยังเป็นคำถามที่เธอยังคงถามกับตัวเองว่าความรู้สึกของเธอกับเขามันเป็นอย่างไร พสุธารักเธอแบบไหน..
..คนรัก
..เพื่อน
..หรือแค่คนคั่นเวลา
ไม่อาจเดาความคิดของพสุธาได้เลย ภายใต้ท่าทางร่าเริงที่สามารถเข้ากับคนได้ง่ายอีกฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม บางครั้งทั้งที่บอกว่ารักแต่กลับหักอกผู้หญิงคนนั้นราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หลายคนบอกว่าวางพสุธาไว้เป็นเพื่อนดีกว่าแฟนคงทำให้เจ็บน้อยกว่า
“ไม่รู้สิ” น้ำเสียงอ่อนแรงของเจ้าสาวทำเอาคนเป็นเพื่อนต้องโอบไหล่เอาไว้
“ไม่เอาน่า ดินก็ต้องรักเธอบ้างแหละไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานด้วย คนอย่างหมอนั้นยอมให้ใครบังคับเสียที่ไหน” ชายหนุ่มที่แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังต้องยอม ทำให้เธออดขำไม่ได้เมื่อคิดว่าเขาสร้างวีรกรรมไว้มากมาย
“ขอบใจนะที่มาอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน” เพื่อนสาวคนสนิทพยักหน้าแล้วกอดดาริกา ทั้งสองคนสนิทกันมาก เมื่อวานกีรติก็มานอนเป็นเพื่อนเพราะกลัวเธอตื่นเต้นทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกผิดที่งานแต่งกีรติเธอไม่ได้มา
“แค่นี้เพื่อเพื่อนสบายอยู่แล้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ ต่อจากนี้ชีวิตเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ” คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เธอไม่เคยมีแฟน ไม่เคยรับรู้ว่าการมีคนข้างกาย มีเพื่อนคู่คิดเป็นอย่างไรจนกระทั่งหลายเดือนที่ผ่านมา พสุธาทำหน้าที่ทุกอย่างจนเธอเริ่มชินที่มีอีกฝ่ายข้างกายแม้คราแรกจะรู้สึกแปลกอยู่บ้างเพราะชอบทำอะไรคนเดียว แต่พอมีเขาแล้วมันก็รู้สึกดีไม่น้อย
“ดาว ลงมาได้เลย” ปวราหรือมิ้มเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันขึ้นมาเรียก ดาริกาเดินตามเพื่อนลงไปข้างล่างด้วยหัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ การลงบันไดแต่ละย่างก้าวดูยากสำหรับเธอจนกระทั่งเดินเข้ามาในพิธีนั่งลงเรียบร้อยตรงข้ามกับเจ้าบ่าวของเธอ
พสุธาวันนี้ดูแปลกตา เพราะอยู่ใส่ชุดไทยสีเข้าคู่กับเธอ ทั้งที่ไปลองด้วยกันที่ร้านแล้วแท้ๆ แต่ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากยุคอดีตเหมือนคุณพี่เดชละครที่กำลังฮิตกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองในขณะนี้
พิธีต่างๆ ผ่านไปก่อนผู้ใหญ่จะให้ทั้งสองสวมแหวนหมั้นให้กัน นิ้วนางข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่าบัดนี้กลับมีตราจองเป็นแหวนเพชรน้ำงามที่เธอกลัวเหลือเกินว่าตนเองจะทำหายจึงคิดว่าหากเสร็จจากพิธีแล้วคงจะถอดเก็บไว้มากกว่ามาใส่โชว์
“เป็นอะไร” หลังจากนั้นก็เป็นการรดน้ำสังข์แต่ดูท่าเจ้าสาวจะลุกไม่ขึ้นเพราะตะคริวกินเรียบร้อย
“ตะคริวกินน่ะสิ” พสุธาเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจนแขกทั้งงานเอ่ยแซวเสียงดัง ฝ่ายเจ้าสาวอายม้วนพยายามผลักเจ้าบ่าวออกแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเธอเลยนอกจากพาหญิงสาวเดินไปยังเก้าอี้นั่งสำหรับรดน้ำสังข์
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม” ดาริกาพยักหน้าเร็วๆ เพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรรุ่มร่ามอีก งานพิธีดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นช่วงเช้า ทุกคนร่วมรับประทานอาหารโดยมีบ่าวสาวเดินเข้าไปทักทาย ส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย
หลังส่งแขกกลับทุกคนก็ย้ายไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมงานช่วงค่ำต่อ แม้จะเหนื่อยแต่ดาริกาก็มีความสุขเพราะงานแต่งในชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เธอสัญญากับตัวเองว่าจะไม่จัดงานแต่งสองรอบเด็ดขาด เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกกันไปแต่งตัวเพื่อรองานเย็นที่เริ่มตั้งแต่หกโมง หญิงสาวต้องล้างหน้าใหม่ระหว่างรอช่างแต่งหน้าเธอก็เข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น
“มาแล้วหรือคะ” ดาริกาได้ยินเสียงออดก็รีบใส่ชุดคลุมมาเปิดประตูพบกับช่างแต่งหน้างานตอนเย็นเธอจึงเชื้อเชิญให้เข้ามาในห้องพัก หลังจากพูดคุยทักทายกันแล้วก็เริ่มแต่งหน้าทำผมทันทีเพราะเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงพอดี ร่างบางในชุดเจ้าสาวทรงหางปลาเน้นสัดส่วนได้เป็นอย่างดีทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูป
“สวยมาเลยค่ะ” ช่างแต่ละคนเอ่ยชมด้วยความจริงใจก่อนจะขอถ่ายรูปเอาไว้ ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูบอกว่าเป็นช่างภาพที่พสุธาจ้างให้มาถ่ายในงานแต่งจะขอถ่ายรูปเธอก่อน ดาริกาจึงยืนโพสต์ท่าทางต่างๆ จนเหนื่อย
“ขอพักก่อนได้ไหมคะ” ช่างภาพจึงบอกเท่านี้ก็พอแล้วเดินออกไป เจ้าสาวคนสวยที่อุตส่าห์ฟิตหุ่นเพื่อวันนี้โดยเฉพาะท้องก็เริ่มประท้วงด้วยความหิว เธอเดินไปจิบน้ำและทานขนมนิดหน่อยด้วยกลัวเป็นลมกลางงานไปเสียก่อน
เมื่อได้เวลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกไปยืนรอต้อนรับและถ่ายรูปกับแขกที่หน้างาน พสุธายิ้มและทักทายกับแขกของตนเองและแขกของบิดามารดาอย่างเป็นกันเองทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง ดาริกาเองก็ยิ้มแย้มทักทายผู้คนที่เข้ามาถ่ายรูปด้วยแม้ว่าจะเหนื่อยมากแค่ไหนก็พยายามเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้
“หิวไหม” ในระหว่างที่ไม่มีแขกเจ้าบ่าวก็หันมาถามเจ้าสาวของตนเสียงนุ่ม
“พอควร” รู้อย่างนี้เธอน่าจะหาอะไรกินเพื่อรองท้องมากกว่านี้ดีที่เสียงโดยรอบดังจึงพอกรบเสียงท้องร้องของเธอไปได้บ้าง
“ไปหลังเวทีค่อยกิน” พยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มแย้มต้อนรับแขกคนต่อไป เพื่อนๆ ของทั้งเขาและเธอมางานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่น่าเชื่อที่พสุธาและดาริกาจะแต่งงานกันเห็นสนิทสนมจนเห็นไส้เห็นพุงหมดใครจะคาดคิดดันมาลงเอยกันเสียได้ เจ้าสาวทำได้เพียงหัวเราะไปกับคำแซวนั้นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าหัวใจเธอก็เจ็บช้ำที่ได้แต่งแต่ไม่ได้ใจ
งานพิธีเริ่มตามกำหนดการที่วางเอาไว้ผู้คนต่างสงเสียงเชียร์สนั่นเมื่อวีดีโอที่เจ้าบ่าวจัดทำขึ้นโดยเฉพาะบอกความรู้สึกที่มีต่อเจ้าสาว
“ไหนบอกจะไม่ทำไง” ครั้งที่ไปถ่ายรูปด้วยกันพสุธาบอกจะไม่ทำวิดีโอพรีเซนเทชั่นเธอก็เชื่อ
“เซอร์ไพรส์” หน้าตาทะเล้นตอบกลับมองไปที่จอขนาดใหญ่บนเวที
“เจอครั้งแรกตอนแปดขวบนะ ดาวใส่ชุดเอี๊ยมเสื้อสีแดง มัดผมเปียสองข้างแก้มแดงๆ หน่อย ตอนนั้นก็คิดว่าน่ารักดีครับ” ดาริกาที่ยืนดูวีดีโออยู่หันไปมองพสุธาที่มองจอโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่แล้วอมยิ้ม
“แกจำได้จริงเหรอ” ดาริกาหันไปถาม
“ไม่เคยลืมเลยต่างหาก” ใบหน้าคมที่ยิ้มให้ทำเอาหัวใจดวงน้อยสั่นสะท้าน คำพูดนั้นเหมือนน้ำมารดต้นไม้ต้นเล็กที่กำลังจะเหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“รู้สึกรักก็คงตอนเรียนจบ ป.ตรี ก็แค่อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ ผมไม่ชอบเวลาที่ดาวมีผู้ชายเข้าใกล้มันรู้สึกอยากเข้าไปกระทืบผู้ชายที่เข้ามาให้เดี้ยงน่ะครับ” หน้าตาที่ตอบดูเฉยๆ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผู้ชายที่เคยหมายปองดาริกาเริ่มหนาวๆ แล้วดีที่รอดพ้นช่วงนั้นมาได้ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงโดนพสุธามากระทืบจนนอนโรงพยาบาลแน่นอน
“อยากบอกอะไรกับดาวเหรอ แค่อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอว่าผมไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินไปข้างหน้าคนเดียว ถ้าเศร้าผมจะอยู่ข้างๆ ถ้าทุกข์ผมจะกอดปลอบ ถ้าเธอสุขผมก็จะยิ้มไปด้วย เราจะอยู่ข้างๆ กันไปเรื่อยๆ นะ” แววตาจากวิดีโอที่ส่งมาให้ราวกับจะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอ
“ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะ” เพียงคำพูดที่ย้ำกับเธออีกครั้งก็ทำให้น้ำตาร่วงลงมาจนต้องรีบเช็ดออก ไม่รู้ว่าทำไมจึงเชื่อคำพูดของร่างสูงจนหมดใจแม้รู้เสมอว่าพสุธาไม่ได้รักเธอแบบชู้สาว
งานดำเนินต่อไปจนกระทั่งเลิก พสุธาไปส่งแขกหน้างานโดยไม่มีอาฟเตอร์ปาร์ตีต่ออย่างที่เคนพูดกับเพื่อนไว้ เขาบอกไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเปลืองเงินทั้งยังเบียดเบียนเวลาการเข้าหอของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกด้วย เพื่อนพากันโห่แซวว่าทั้งสองคนคงรีบทำแต้มมีลูกให้ทันพิชิตกับกีรติ ซึ่งเจ้าบ่าวอย่างพสุธาก็ทำแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เท่านั้นแต่ก็ทำเอาดาริการู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันที
“ไปกันเถอะ” สองบ่าวสาวจูงมือกันเดินไปยังรถยนต์ที่มาจอดรอหน้าโรงแรม เขาเลือกคอนโดเป็นห้องหอมากกว่าจะเช่าห้องที่โรงแรม มือหนาประคองแขนเจ้าสาวเอาไว้ แล้วช่วยเธอจับกระโปรงที่ยาวลากพื้นทำให้เดินยากขึ้นรถ
ระหว่างทางดาริกาก็งีบหลับเพราะเหนื่อยจากงานสำคัญของตนเอง พอถึงคอนโดก็เดินตามร่างสูงไปอย่างมึนๆ เพราะยังไม่ตื่นดีทำเอาร่างสูงต้องช่วยประคองกลัวเธอล้มกลางอากาศ เมื่อเข้าห้องก็มีบรรดาครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรออยู่แล้ว
“มาช้านะพี่” นิปุณน้องชายของดาริกาซึ่งสนิทกับพสุธาเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่สวยอย่างไรน้องชายก็หล่ออย่างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
“กว่าจะส่งแขกหมดไหนกลับมารถก็ติด เลยนานหน่อย”
ฤกษ์เข้าหอคือห้าทุ่มสิบเก้านาทีถือว่าทำเวลาได้ดีเพราะตอนนี้ห้าทุ่มสิบนาที คุณพสุนั่งคุยอยู่กับคุณเนติธรโดยมีคุณนิทรานั่งข้างกายสามีและ พิยดากำลังกินขนมอยู่ข้างมารดา
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะดึกกว่านี้” ถึงเวลาสมควรคุณเนติธรก็เอ่ยชวนโดยมีเพื่อนสนิทอย่างพสุเดินไปด้วย ท่านมองลูกสาวแล้วรู้สึกภูมิใจแม้จะไม่อยากให้ลูกแต่งงานเร็วก็ตาม คิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วอยากให้เธอได้อยู่ในวันสำคัญของลูก
“ต่อจากนี้เราไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรให้คิดถึงอีกคนไว้ รู้จักยับยั้งชั่งใจ ศีลห้าน่ะท่องไว้ให้ดี” ญาติผู้ใหญ่ให้พรสองบ่าวสาวที่น้อมรับเอาคำสั่งสอนไว้เพื่อนเตือนใจตนเอง
“หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก ถ้าสงสัยก็ถาม ข้องใจก็บอก อย่าเก็บงำความคิดไว้คนเดียว ถ้าทะเลาะกันก็พูดให้เสร็จเสียตั้งแต่ตอนนั้นอย่าคาราคาซังข้ามวันคืน” คุณนิทราบอกพร้อมยิ้มหวาน
“ยุคนี้มันคือยุคผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปมีเล็กน้อยหาเศษหาเลยให้ลูกสาวฉันเสียใจ เข้าใจไหม” คุณเนติธรไม่วายกำชับอีกรอบเพราะกลัวบุตรสาวของตนเองต้องน้ำตาตกใน ที่สามีไปมีหญิงอื่นให้ได้ช้ำใจเล่น
“ครับคุณพ่อ ไม่มีแน่นอนครับผมจะซื่อสัตย์กับดาวคนเดียว” แววตาจริงจังของพสุธาที่ส่งมาทำให้พอเบาใจไปได้บ้าง
“มีหลานให้รุ้งเลี้ยงเร็วๆ นะคะ” พิยดาที่นั่งฟังอยู่นานก็พูดขึ้นน้ำเสียงทะเล้น ดาริกาก้มหน้างุดด้วยความเขินต่างจากพสุธาที่หัวเราะร่า
“แน่นอน เดี๋ยวพี่จะรีบทำลูกอย่างรวดเร็วเลย” คำตอบนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากครอบครัว ต่างคนก็หัวเราะก่อนจะพากันขอตัวกลับเพราะอยากให้บ่าวสาวใช้เวลาค่ำคืนที่แสนหวานด้วยหัน ดาริกากอดพ่อกับน้องไว้ก่อนจะโบกมือลาทั้งสอง ประตูปิดลงพร้อมความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา
“ขออาบน้ำก่อนนะ ไม่ไหวเหนียวตัว” ร่างสูงพูดขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว ดาริกาถอนหายใจออกมาแล้วไปห้องนั่งเล่นของคอนโด เปิดทีวีดูระหว่างรอเขาอาบน้ำ
“หิวข้าวจัง” ท้องร้องประท้วงทำให้เริ่มตระหนักว่าตนเองยังไม่ได้ทานอะไรเลยเพราะมัวแต่วุ่นถ่ายรูปและดูแลแขกเหรื่อในงาน แต่ถ้าทำอาหารตอนนี้ชุดเธอก็ไม่เอื้ออำนวยอีกถ้าอย่างนั้นก็หุงข้าวรอก่อนก็แล้วกัน ร่างบางในชุดเจ้าสาวเดินไปหุงข้าวรอเอาไว้ระหว่างนั้นก็เปิดตู้เย็นคิดเมนูที่จะทำกินในช่วงเวลาห้าทุ่มนี้
“เสร็จแล้วครับผม” พสุธาในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเลสีน้ำเงินเดินยิ้มมาหาเธอที่ห้องครัว
“พอดีเลย ฉันจะไปอาบน้ำนายช่วยล้างผักหั่นหมูไว้ด้วยนะ จะทำกับข้าวกิน” ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่ารับคำปล่อยให้เธอไปจัดการตนเอง ดาริกาเข้ามาในห้องเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่กว่าแปดสิบเปอร์เซ็น เป็นของเธอก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ที่ต้องมาแชร์ห้องร่วมกับคนอื่น จัดการล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้าหมดจดก็เข้าไปอาบน้ำ ตู้เสื้อผ้าที่เคยมีแต่ของพสุธาก็มีเสื้อผ้าเธอด้วย ทั้งกระเป๋า เครื่องประดับวางไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบ ดีที่ขยายห้องจึงดูไม่แออัดทั้งที่ของมากมาย
ดาริกาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จด้วยเสื้อผ้าเนื้อนิ่มเข้ากันกับกางเกงลายการ์ตูนตัวโปรดที่ทำให้เธอดูเยาว์วัยลงไปอีก เดินออกมาหาเขาที่ห้องครัวเห็นร่างสูงกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ “เสร็จยัง” ถามขึ้นทำให้ใบหน้าคมเงยมามองเธอ
“เสร็จแล้ว ทำได้เลยครับผม” เปิดทางให้เธอได้โชว์ฝีมืออีกครั้ง ดาริกาเลือกจะทำผัดผักใส่หมูอย่างเดียว ไม่นานอาหารก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ ทั้งสองจัดการกับข้าวหมดอย่างรวดเร็วเพราะหิวเกินกว่าจะคิดเรื่องน้ำหนัก วันนี้แทบไม่ได้แตะของกินสักอย่างเลย
“อร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ต่อจากนี้ฉันก็มีแม่ครัวส่วนตัวแล้วสิ” พสุธาพูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บจานไปล้าง เป็นกฎที่รู้กันดีแล้วว่าหากเธอทำอาหารร่างสูงจะเป็นคนล้างจาน
“เดี๋ยวฉันจะซื้อยาถ่ายมาผสมให้แกกิน” ว่ากลับอย่างหมั่นไส้ขณะที่ช่วยอีกฝ่ายเก็บจานวางไว้ในซิงก์ล้างจาน แต่แล้วร่างสูงกลับมายืนตรงหน้าเธอแล้วจับใบหน้าหวานให้แหงนขึ้นรับจูบทันที เธอตกใจทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพยายามผลักอีกฝ่ายออกแต่ไม่เป็นผล ริมฝีปากหนาก็ทำหน้าที่ได้ดีเหลือเกินดูดพลังจนขาเธอเริ่มอ่อนต้องจับไหล่เขาเอาไว้เป็นหลักยึด สองหนุ่มสาวแลกจูบกันก่อนที่ใบหน้าหวานจะซุกที่อกหนาหายใจหอบถี่ราวกับวิ่งมาหลายกิโลเมตร
“ลงโทษที่เธอใช้สรรพนามเดิมบอกแล้วว่าไม่เอาแก ถ้าเผลออีกไม่จบแค่จูบแน่” ดาริกาพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบหลีกหนีจากอ้อมกอดอบอุ่น พสุธาหัวเราะหันไปล้างจานแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุขปล่อยให้ร่างบางยืนใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คนเดียว
“ไอ้บ้า” ว่าเสียงเขียวแล้วเดินไปนั่งรอที่หน้าทีวีเปิดรายการโทรทัศน์ดูเพลินๆ ไม่นานร่างสูงก็มานั่งข้างเธอ
“ไปนอนกัน” ดาริกาทำตามอย่างว่าง่ายปิดทีวีเดินตามไปก่อนจะแยกไปอีกห้องทำเอาร่างสูงที่เดินมาก่อนรีบจับแขนเรียวเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“จะไปไหน”
“ก็ไปนอนไง”
“แล้วไปห้องเล็กทำไม” ถามเสียงหาเรื่องพร้อมแววตาที่ไม่เข้าใจ ดาริกาปลดมือหนาออกจากการเกาะกุม
“เราแต่งงานกันแค่ในนาม ไม่จำเป็นต้องนอนห้องเดียวกันหรอก” ดวงตาเรียวแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขาจับมือเธอเอาไว้แน่นมองไปยังดวงหน้าหวานที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนด้วยความไม่เข้าใจ
“จำเป็น เราต้องนอนห้องเดียวกัน”
“ฉันไม่นอน จะนอนห้องเล็ก” ร่างบางยังคงดื้อดึงยืนกรานที่จะนอนคนละห้องกับเขา
“นี่ดาว ฉันพูดจริงๆ นะ เธอคิดว่าการแต่งงานของเรามันแค่จัดฉากหรือ แล้วไอ้การที่ฉันวิ่งจัดงานงกๆ นี่คือฉันทำเพราะจำใจอย่างนั้นหรือ” ดาริกาพูดไม่ออกเธอเงียบไปชั่วขณะเพราะจริงดังว่า ที่เขาวิ่งวุ่นจัดงานแต่งแทบไม่ได้พัก พสุธาดูจะให้ความสนใจมันมากกว่าเธอเสียอีก
“อีกไม่นานเราก็หย่ากันแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่ได้รักกันสักหน่อย” ตากลมโตก้มมองต่ำเพราะไม่อยากสบตาคมก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้งราวหนักใจนักหนา
“ฟังนะ จะไม่มีการหย่าเกิดขึ้น ฉันไม่มีทางหย่าแน่นอน ถ้าเราจะหย่ากันนั่นคือความต้องการของเธอไม่ใช่ฉัน” น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้เธอเงยหน้าไปสบตาเรียวที่มีความมั่นคงจนใจดวงน้อยสั่นไหวอีกครั้ง เธอไม่อยากตกหลุมรักเขาไปมากกว่านี้เพราะหากวันไหนที่ต้องจากกันกลัวจะเจ็บจนทนไม่ไหว
“แต่ว่า”
“ดาว ขอร้องฉันง่วงแล้วนะ อีกอย่างคืนนี้มันคือคืนแต่งงานของเราด้วย เธอจะให้ฉันยืนง้อตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือ” ใบหน้าคมที่ดูเหนื่อยอ่อนทำเอาใจเธออ่อนยวบ
“เฮ้อ เข้าห้องเถอะ” หลังจากนั้นใบหน้าคมก็ยิ้มออกมาแล้วโอบไหล่บางเอาไว้
“ดีมาก คืนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน อย่าลืมสิ” ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเธอเสียงแผ่วสร้างความรู้สึกปั่นป่วนที่ท้องน้อยจนต้องเอียงหน้าหลบ พสุธาเปิดประตูห้องนอนทำเอาใจดวงน้อยเต้นระทึก ทั้งที่เขากับเธอก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งมาแล้วแต่ว่าตอนนั้นเธอไม่รู้สึกตัว หากเป็นตอนนี้...จะรู้สึกอย่างไร
“เข้ามาสิครับ” เพราะมัวแต่ยืนใจลอยโดยไม่รู้ว่าพสุธาเดินไปนั่งบนเตียงตอนไหนปล่อยเธอเอาไว้หลังประตู ร่างบางเดินไปนั่งเตียงอีกฝั่งพยายามห่างร่างสูงให้มากที่สุด
“อ้าว ไปนั่งทำไมตั้งไกล” เพราะนั่งชิดขอบเตียงแทบตกพสุธาเลยเอ่ยทัก ร่างบางจึงเขยิบเข้ามาอีกนิด
“เดี๋ยวขอไปเอาอุปกรณ์แปบนะ รอก่อน” พูดเท่านั้นหัวใจของเธอก็เต้นราวกับกลองรัวได้แต่จับตรงอกข้างซ้ายเพราะกลัวมันเด้งออกมา หายใจเข้าออกช้าๆ พยายามระงับอารมณ์แปลกๆ ที่พุ่งขึ้นมา
“มาแล้ว” ออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับกล่องสีขาวที่เธอจำได้ว่าเป็นกล่องใส่ซองหน้างานแต่งพร้อมสมุดและปากกา ใบหน้าคมยิ้มแย้มเดินมานั่งบนเตียงกว้างแล้วเปิดกล่องออกมาพบซองการ์ดแต่งงานจำนวนมากที่ล้นกล่อง
“นี่คือเรื่องสำคัญที่นายว่าหรือ” ดาริกาถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองซองตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึง
“ใช่ นี่แหละเรื่องสำคัญของเรา” ใครจะเชื่อว่างานแต่งที่หลายคนคิดว่าจะต้องเป็นค่ำคืนแสนหวานเจ้าบ่าวตระกองกอดเจ้าสาวด้วยความรักมันจะเป็นแค่เรื่องในนิยายเท่านั้น ชีวิตจริงหลังงานแต่งที่แสนเหนื่อยของเธอคือ...
การนั่งนับเงิน!
พสุธาดูจะจริงจังมากเปิดซองพร้อมกับอ่านชื่อด้านหลังอีกด้วย “ช่วยกันจดหน่อย เพื่อนเราใครใส่น้อยใช้ปากกาแดงเลย” ดูอีกฝ่ายจะทุ่มเทกับเรื่องนี้จนดาริกาต้องนั่งขัดสมาธิจดชื่อเพื่อนใส่สมุดด้วยความงงงวย
“ซองนี้ไอ้ผิง หนึ่งพัน! โอ้โฮแล้วมันได้นั่งโต๊ะหน้าด้วย ปากกาแดงไว้เลยงานมันเราใส่ห้าร้อยพอ” ร่างบางเขียนลงไป
“มันต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ” เห็นร่างสูงทำหน้าตาเครียดราวกับกำลังปั่นโพรเจกต์ช่วงสอบก็อดถามขึ้นไม่ได้
“จริงจังสิ เราเสียไปเยอะเราต้องได้กลับมาบ้าง” ก็พอเข้าใจว่างานแต่งเขาใช้เงินส่วนตัวออกมีบ้างที่คุณพสุช่วยแต่เจ้าบ่าวของเธอก็ไม่อยากรับเพราะงานตนเองก็อยากใช้เงินที่หามาได้จัด แอบภูมิใจที่เห็นชายหนุ่มโตขึ้นมากกว่าเก่า
“แกเห็นงานแต่งเป็นเรื่องธุรกิจหรือ” ถามเพราะสงสัยแต่ก็แอบน้อยใจนิดๆ พสุธาชะงักมือที่จับซองแล้วหันมามองดาริกา
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้มองแบบนั้น คือจะพูดยังไงดีล่ะ” เกาศีรษะเพราะรู้สึกอธิบายไม่ถูกยิ่งเห็นใบหน้าหวานออกเศร้าก็ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด
“ฉันอยากเก็บเงินไว้สร้างครอบครัวกับเธออีกไม่นานเราก็ต้องมีลูกเงินส่วนนี้ก็จะเก็บเอาไว้ให้ลูก ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆ อีก ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวก็อยากหาเงินเยอะๆ อยากให้เธออยู่แบบสุขสบายไม่ใช่ว่ามาอยู่กับฉันแล้วลำบาก” เพราะเป็นคนอธิบายไม่ค่อยเก่งแต่ก็พยายามพูดทุกอย่างจากความรู้สึกออกมาซึ่งทำให้ดาริการู้สึกราวกับมีฝนตกตอนหน้าแล้ง มันชุ่มฉ่ำหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“เข้าใจแล้ว นับเงินเถอะ” ต่อจากนั้นทั้งสองต่างก็ช่วยกันจดมือเป็นระวิงโดยมีพสุธาบ่นตลอด
“นี่ไอ้ดลมันเป็นถึงหัวหน้าแผนกการตลาดแล้วมันใส่มาแค่ห้าพันได้ยังไง!”
“โห่ กีรติเป็นคนดี ใส่มาสองหมื่น คนดีต้องชื่นชมจดไว้เลยๆ รับขวัญหลานต้องให้หนัก ทองสักสามบาท”
“ต่อไปซองนี้ ไอ้ณัทเพื่อนรัก จดไว้เลยครับที่รักมันให้มาเยอะพอควรสมกับเป็นลูกเจ้าของร้านทองสามสิบสาขาทั่วประเทศ”
“อันนี้ฐิตาเพื่อนเธอ นอกจากหน้าตาดีแล้วยังใจดีอีก คนแบบนี้คบนานๆ”
“ฉันว่าควรเลิกคบไอ้แมวได้แล้ว ใส่อะไรของมันมา แบงก์พันกาโม่ห้าใบแต่ยังดีที่มันใส่แบงก์จริงมาให้อีกห้าใบถือว่าอยู่ในส่วนที่พอรับได้”
“คนนี้ให้เยอะ ดาวจดไว้ ดาว..อ้าว หลับแล้วเหรอ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่จากซองเต็มกล่องตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง พอหันไปมองคนข้างๆ ก็พบว่าเธอนอนหลับคอพับไปเสียแล้วจนต้องอมยิ้มปัดผมออกจากใบหน้าหวานแล้วเก็บซองที่แกะแล้วใส่ถุงพลาสติก นำกล่องและสมุดลงมานับที่พื้นแล้วจัดท่านอนดาริกาใหม่พร้อมห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ
“ฝันดีนะ” ก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากมนอย่างแผ่วเบาแล้วลูบแก้มเนียนอีกครั้ง เขาลงมานั่งนับเงินต่อโดยจดชื่อเพื่อนเอาไว้ด้วยเผื่อว่าจะลืม คนอย่างพสุธาต้องละเอียดรอบคอบในเรื่องเงิน ใครให้เยอะมาต้องให้เยอะตอบ ใครให้น้อยมาต้องให้น้อยกว่า!
เช้าวันใหม่หลังงานแต่งดาริกาตื่นขึ้นมาโดยรู้สึกหนักที่เอวคราแรกนึกว่าผีอำแต่พอนึกได้ว่าเธอแต่งงานแล้วจึงรู้สึกตื่นเต้น หรือว่าร่างสูงจะกอดเธอ ดวงตากลมโตตื่นขึ้นมาก็พบว่าพสุธาเอาขายาวๆ ของเขามาพาดไว้ที่เอวของเธอ
“ไอ้ดิน!” เสียงหวานเรียกคนหลับเสียงดังพร้อมมือที่ยกขายาวออก ความโรแมนติกคืออะไรอยากจะรู้เหลือเกิน เมื่อคืนที่ควรมีความหวานกลับต้องมานั่งนับเงินจนหลับตื่นเช้ามาแทนที่จะได้นอนในอ้อมกอดอีกฝ่ายดันยกขามาก่ายเธอเสียอย่างนั้น พสุธาคือมนุษย์ที่เข้าใจยากจริงๆ
“อืม จะนอน” พลิกตัวหันไปอีกทางแล้วยกผ้าห่มขึ้นปิดหูดาริกายันตัวลุกขึ้นมองสามีหมาดๆ ของตนเองแล้วหมั่นไส้จนอยากถีบตกเตียง นิยายที่เคยอ่านต่อจากนี้ไปเธอจะไม่อ่านแล้วความหวานหลังงานแต่งมันคือเรื่องโกหกทั้งเพ!
“นอนไปเลย นอนให้ตะวันแยงก้นไปเลย” เช้าวันอาทิตย์หลังงานแต่งเจ้าสาวที่ควรจะนอนในอ้อมกอดเจ้าบ่าวแต่เหตุการณ์คู่เธอไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจ้าบ่าวหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าสาวเลยต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำและทำอาหารเช้าไว้รอท่า
“สวัสดีค่ะพี่กานต์” ในขณะที่กำลังทำอาหารเช้าก็มีโทรศัพท์จากบริษัทโทรเข้ามา
“ว่าอย่างไรนะคะ” เธอชะงักมือที่กำลังทอดไข่ดาวเมื่อได้ยินว่างานที่ต้องส่งหัวหน้าไฟล์มีปัญหา
“ค่ะ ถ้าอย่างไรดาวจะรีบเข้าบริษัทนะคะ ไม่เป็นไรค่ะพี่กานต์ ค่ะ สวัสดีค่ะ” รีบจัดการอาหารของเธอและเขาใส่จานเอาไว้แล้วไปเปลี่ยนชุดทำงานก่อนจะเดินมาหาพสุธา
“ดิน ฉันไปบริษัทแปบหนึ่งนะ” ทุกเวลามีค่าเธอจึงเดินไปนั่งแต่งหน้าแล้วบอกคนที่นอนหลับอยู่
“หือ วันนี้วันอาทิตย์นะ” ผงกศีรษะมองภรรยาที่กำลังนั่งแต่งหน้าทั้งที่ตายังลืมได้ไม่เต็มที่
“งานมีปัญหานิดหน่อย ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้อยู่บนโต๊ะ แล้วเจอกัน” เธอแต่งหน้าไม่นานก็เสร็จจึงเดินไปเอากุญแจรถของตนเองที่น้องชายขับมาให้เมื่อคืน มือหนาคว้าแขนเรียวเอาในขณะที่เธอเดินผ่านเตียงนอน ก่อนลุกขึ้นนั่ง
“เดี๋ยวไปส่ง” เห็นตาแดงๆ ของร่างสูงก็รู้สึกสงสาร
“ไม่ต้อง นอนไปเลยไม่รู้เมื่อคืนนอนกี่โมง” นิ่งเงียบไปเพราะกว่าเขาจะจัดการทุกอย่างและเก็บเรียบร้อยก็ปาเข้าไปตีสามเกือบตีสี่แล้ว
“อยากไปส่ง” ยังงอแงไม่เลิกเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“บริษัทฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง นายนอนเถอะ แล้วจะรีบกลับมาหาตกลงไหม” เมื่อเธอว่าเสียงจริงจังเลยจำยอมพยักหน้าแล้วล้มตัวลงนอนปล่อยให้ดาริกาไปทำงานในวันหยุด ช่างเป็นคู่แต่งงานที่เรียบง่ายเสียเหลือเกินแต่กลับแปลกที่ดาริการู้สึกพอใจ แม้มันอาจจะไม่โรแมนติกเหมือนในนิยาย ไม่หวือหวาเหมือนในละครหรือซีรี่ส์ที่เคยดูแต่เธอก็มีความสุขแล้วแค่คนที่อยู่ข้างกายคือพสุธา
...เขาคนเดียวเท่านั้น
บทที่สี่...สร้างอาณาจักรตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ร่างสูงเดินเกาพุงออกไปที่ห้องครัวเห็นฝาชีครอบไว้เลยเปิดออกมาพบอาหารเช้าเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและแซนด์วิชอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปกติตอนเช้าส่วนมากถ้าไม่เป็นกาแฟก็ปิ้งขนมปังเท่านั้นค่อยไปกินที่บริษัทเอา “ฮัลโหลว่าไงเพื่อน” ชื่อที่โชว์หราขึ้นมาทำให้เขาทักทายเสียงใสอย่างเป็นกันเอง “กูโทรมาขัดจังหวะมึงไหม” กัดแซนด์วิชเข้าปากคำโตเคี้ยวไปทั้งยังตอบปลายสาย “ไม่กวน เมียกูไม่อยู่ไปทำงานแต่เช้าแล้วอีกสักพักคงกลับ” ตอบตามความเป็นจริงที่แสนจะเศร้า “ชีวิตมึงน่าสงสารจริงๆ” สองพี่น้องคุยกันอีกสักพักก่อนที่คนโทรมาจะเข้าเรื่อง “พรุ่งนี้เข้าบริษัทมาหน่อยนะ พ่อกูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ภราดรเข้าเรื่องที่ทำให้ต้องโทรมาหา มือหนาที่หยิบแฮมขึ้นมากินชะงักไปพลางคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน “ไปทำไม เรื่องอะไร จะให้กูไปเรียนรู้งานหรือ กูไม่ทำไงกูชอบถ่ายรูปมึงบอกลุงภมรเลยว่ากูไม่ทำ ไม่เอาหุ้นก็ได้ ไม่ชอบ” ปฏิเสธรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน พสุธาปฏิเสธที่จะทำงานบริษัทแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มไม่ชอบและบอกเสมอ
บทที่ห้า...เล่นงานลับหลัง “พี่ดาวมีคนมาหาค่ะ” ในขณะที่กำลังทำงานอยู่น้องนักศึกษาฝึกงานก็มาบอกเธอด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม มองนาฬิกาที่ตั้งไว้บนโต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วเธอทำงานจนลืมเวลาไปเลยหรือนี่ “ใครเหรอ” “สามีพี่ดาวค่ะ” บอกพร้อมกับเปิดตัวหนุ่มหล่อที่เดินเข้ามาภายในแผนกด้วยชุดแปลกตาที่ไม่ค่อยเห็น เขาใส่สูทและถือแก้วน้ำหลายใบยี่ห้อเงือกไซเรนสีเขียวที่โด่งดังในเรื่องความอร่อยและราคาของมัน “สวัสดีครับทุกคน” คนในแผนกโฆษณามีทั้งแปดคนรวมเธอและหัวหน้าแผนกด้วย ดูเหมือนแต่ละคนที่กำลังทำงานจะหยุดมองชายผู้มาใหม่เป็นตาเดียวก่อนสาวๆ จะเกาะกลุ่มกันแล้วซุบซิบพลางตอบรับคำทักทายด้วยเสียงหวาน “ผมชื่อพสุธานะครับ เรียกสั้นๆ ว่าดินก็ได้ เป็นสามีของดาวเหนือครับ” กล่าวแนะนำตัวเสร็จสรรพพร้อมรอยยิ้มกว้างที่มีให้ทุกคน ดาริกายืนแข็งเหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้กับที่เมื่อสามีเข้ามาแนะนำตัวโดยไม่บอกกล่าวเธอเลยสักคำ “ผ่านร้านน้ำเลยซื้อมาฝากทุกคน รู้มาว่ามีแปดคนรวมน้องนักศึกษาฝึกงานด้วยก็เก้า ผมไม่รู้ว่าชอบรสไหนกันเลยซื้อมาแบบให้เขาจัดให้ไม่รู้ว
บทที่หก...หวานไปทั้งตัว แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้ “แล้วจะหั่นมาทำไม” “ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ “ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก “แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
บทที่เจ็ด...ร้อนระอุในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด “ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม “ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น “เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว “เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ
บทที่สิบ...เจ็บปวดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทีมงานผ่านไปหนึ่งเดือนโดยไม่มีเรื่องต้องให้ทะเลาะกัน จะมีก็แต่สามีหนุ่มขอทำการบ้านเสียทุกคืนจนดาริกาตื่นไปทำงานสาย บอกหลายรอบว่าไม่ให้ทำรอยที่คอแต่เวลาเผลอทีไรพสุธามักจะปากรอยสีกุหลาบไว้ให้เสมอจนเธอยื่นคำขาดว่าถ้าทำรอยอีกจะอดตามจำนวนรอยดังนั้นพสุธาจึงละจากลำคอไปที่หน้าอกแทน ลายพร้อยจนกลัวตนเองเป็นโรค “ดาวจ๋า อีกสามวันฉันต้องไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่นะ” อาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมแล้วตากล้องสุดหล่อเดินมาจากห้องพร้อมเสื้อหนังสุดเท่ห์นั่งลงที่ประจำของตนเอง “ไปกี่วัน” ดาริกายกข้าวต้มร้อนๆ มาเสิร์ฟกลิ่นหอมฉุยจนท้องร้อง “สามวันสองคืนครับผม” ตอบอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนได้บรรเลงเพลงรักจนร่างกายกระปรี้กระเปร่าจะห่วงก็แต่ภรรยาที่ดูจะมีเวลานอนน้อยกว่าปกติ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์หรือ” นับไปอีกสามวันก็ตรงกับวันหยุดพอดี ร่างบางนั่งลงทานข้าวเช้ากับเขาแล้วจะออกไปทำงานพร้อมกัน เดี๋ยวนี้พสุธาเริ่มรับงานเป็นปกติไม่รับทุกอย่างเหมือนเดิมที่ผ่านมา “ใช่ ไปด้วยไหม” เอ่ยชวนแววตามีความหวัง อาจจะมีการฮันนีมูนรอบสองอีกก็เป็นได
บทที่สิบเอ็ด...เขาคือคนในใจแล้วฉันคืออะไร“พี่ดินมากับพี่ดาวหรือคะ” อยู่ดีๆ บรรยากาศระหว่างพวกเราก็เงียบเสียอย่างนั้น ดาริกาหันไปมองสามีที่ยังคงยิ้มให้สาวน้อยหน้าใสราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ หัวใจเจ็บปวดทั้งที่เคยคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเธอคงไม่เจ็บเท่าไหร่แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เธอเจ็บแต่ก็ต้องแสร้งยิ้ม “ใช่ เล็กไม่รู้หรือว่าพวกพี่แต่งงานกันแล้ว” คำบอกเล่าของพสุธาสร้างความตกใจให้ลักษณ์นาราจนต้องมองทั้งสองสลับกันไปมา “โอ้โฮ ไม่น่าเชื่อเลยแต่เล็กยินดีด้วยนะคะพี่สองคนเหมาะสมกันมาก” แววตากลมโตฉายความจริงใจจนดาริกาใจชื้นขึ้น บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด “มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เจอนานสวยขึ้นนะเรา” “ตามกาลเวลาค่ะพี่ดิน มาเที่ยวหรือมาฮันนีมูนคะเนี่ย เสียดายเล็กไม่ได้ไปงานแต่งเพิ่งกลับมาจากอิตาลีก็ต้องมาทำงานพี่ใหญ่บ่นจะแย่” ไม่คิดว่าน้องสาวจะสนิทกับพสุธาเพราะเธอเอาแต่จ้อไม่หยุดสามีเธอเองก็ตอบโต้อย่างอารมณ์ดี “พี่มาทำงานเลยชวนดาวมาด้วย จริงๆ พวกพี่ไปฮันนีมูนที่ทะเลมาแล้วล่ะ” “หวานน่าดู ถ้ามาเชียงให