บทที่หก
...หวานไปทั้งตัว
แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้
“แล้วจะหั่นมาทำไม”
“ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น
ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ
“ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก
“แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
“ก็..ไม่หมดหรอก มีคนช่วยคิดบ้าง ก็เธอไม่ยอมมาฮันนีมูนกับฉันดีๆ ก็เลยต้องทำแบบนี้โทษกันไม่ได้นะ” นั่นปะไรมาโทษเธออีกต่างหาก ร่างบางถอนหายใจเหนื่อยหน่ายมองหน้าคนตัวสูงที่ส่งยิ้มมาให้แล้วรู้สึกหมั่นไส้เหลือทน
“อยากมาขนาดนั้นเลยหรือ”
“มาก คนแต่งงานกันแล้วก็ต้องมากันทั้งนั้นแหละ” อ้างตัวอย่างเพื่อนที่รู้จักหรือคนที่ทำงานด้วยว่าไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ถึงต่างประเทศ
“แต่เราไม่เหมือนคนอื่น คู่เราไม่ได้รักกัน” บอกไปใจก็เจ็บเอง พสุธาวางช้อนส้อมลงมองเธอนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ใครบอกเธอ คิดเองหรือว่าฟังใครมา เราไม่ได้รักกันเลยอย่างนั้นหรือ คิดว่าฉันแต่งงานกับเธอเพราะต้องรับผิดชอบอย่างเดียวหรือไง ฉันดูเป็นคนมีความรับผิดชอบมากขนาดนั้นเลยหรือ” คำถามที่ฟังดูแล้วก็จริงดังว่า พสุธาผู้แหกทุกกฎเกณฑ์เอาตนเป็นที่ตั้งจะยอมรับผิดชอบเธอเพราะสถานการณ์บังคับอย่างเดียวจริงหรือ แล้วถ้าไม่ใช่มันเป็นเพราะเขารักเธอใช่ไหม พสุธาที่วางเธอไว้ด้วยคำว่าเพื่อนตลอดอย่างนั้นหรือจะมาหลงรักเธอได้ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
“ต่อจากนี้ฉันจะตอบคำถามของเธอด้วยการกระทำ แล้วคิดให้ดีว่าตกลงความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอมันเป็นยังไง” ปล่อยให้ดาริกานั่งอยู่คนเดียวเพราะพูดจบก็เก็บจานตนเองไปไว้ในครัวเพื่อล้าง หญิงสาวเองก็ทานไม่ลงจึงลุกตามไป
“เดี๋ยวฉันล้างเอง” เห็นพสุธาทำความสะอาดของตนเองเสร็จจึงบอกขึ้นด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายลำบากทำหลายรอบ
“ฉันจะทำให้ ไปนั่งรอเถอะ” มือหนาแย่งจานไปล้างเองเธอทำเพียงมองแผ่นหลังหนาเงียบๆ ไหล่ของเขากว้างน่าซบแต่เธอก็ไม่อาจหาญเดินไปกอดรับความอบอุ่นได้ จึงตัดใจเดินออกมารอข้างนอก ใกล้กันกับโต๊ะกินข้าวมีระเบียงยื่นออกไป ด้านบนมีเพียงผ้าโปร่งแสงคลุมไว้ทั้งยังมีเก้าอี้นอนขนาดกว้างมีหมอนถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
ร่างบางนั่งลงแล้วเอนกายนอนมองดูท้องฟ้าที่แสงจันทร์กลบดวงดาวจนมองไม่เห็น มีเพียงดาวดวงน้อยที่อยู่ห่างเกาะกลุ่มกันเปล่งแสงจนท้องฟ้าไม่ดูโล่งเกินไป คำบอกเล่าของพสุธาที่ให้ดูเพียงการกระทำเธอก็ไม่อาจแน่ใจได้ ทุกอย่างมันรวดเร็วและดูเหลือเชื่อเกินไปในความรู้สึก
“ดูอะไรอยู่หรือ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมานั่งข้างๆตอนไหน เธอลุกขึ้นนั่งจะเดินเข้าห้องแต่เขาเร็วกว่าคว้าเอวบางไปกอดเอาไว้ได้ทัน
“อะไรของนาย”
“ไม่ตอบแถมยังจะเดินหนีอีก เป็นอะไร” วางคางเกยบนไหล่พลางสูดความหอมที่ซอกคอขาว เห็นแล้วก็อยากทำรอยสีกุหลาบเอาไว้
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ง่วงจะไปอาบน้ำนอน” ข้ออ้างของเธอไม่ได้ผลเพราะนอกจากพสุธาจะไม่ปล่อยแล้วยังกอดแน่นขึ้นอีกพร้อมกับฝังจมูกลงที่ซอกคอขาวอย่างนุ่มนวล
“ทำอะไร” ย่นคอหนีเขาแต่อีกฝ่ายก็เปลี่ยนที่เป็นแก้มนุ่มแทนจนต้องหันมามองค้อนใส่
“โธ่ดาว เรามาฮันนีมูนกันนะ เธอจะให้ฉันนั่งจ้องหน้าเธอเป็นปลากัดหรือ” เข้าใจแต่ก็ยังไม่พร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และหากจะหาทางเลี่ยงเขาก็ยากเหลือเกินเพราะใจเกินครึ่งของเธอก็เอนเอียงไปหาพสุธาแล้ว
“แต่ว่าฉันไม่เคย” คำตอบของเธอสร้างรอยยิ้มให้พสุธา
“เคยแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกตัว”
“ครั้งนั้นไม่นับ” ตื่นมามีเพียงความรู้สึกเมื่อยขบไปทั่วร่างไม่ได้สัมผัสถึงอาการแห่งความสุขแต่อย่างใดเธอจึงไม่คิดว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกันเกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเรามานับครั้งนี้ใหม่ดีไหม” จับไหล่บางให้หันมาหา ดวงตาสบกันท่ามกลางแสงจันทร์ไม่รู้ว่ามีมนต์ขลังหรือกลอันใด ดาริกาจึงนั่งนิ่งรอรับจุมพิตจากเขา เปลือกตาค่อยๆ หลับลงช้าๆ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากและหนักหน่วงขึ้น มือหนาดันเธอให้นอนลงโดยที่ริมฝีปากยังไม่ห่างกัน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันอย่างเพลิดเพลิน รสจูบแสนหวานที่ชวนติดใจเพียงแค่ได้ชิมครั้งแรกจนตอนนี้ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
“นี่มันกลางแจ้งนะเดี๋ยวคนเห็น” มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเธอออกแต่อีกฝ่ายห้ามเอาไว้
“เกาะส่วนตัวไม่มีคนหรอก” ขณะที่มือก็ทำหน้าที่ไม่มีขาดจนกระทั่งเสื้อหลุดออกจากตัวเหลือซับในและชุดชั้นใน
“ถอดเสื้อให้ฉันหน่อย” กระซิบข้างหูแล้วก้มลงจูบแก้ม ดาริกาเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดทำตามอย่างว่าง่าย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นของพสุธาหลุดออกเผยให้เห็นหน้าอกกว้างและกล้ามท้องเป็นลอนสวยงามที่อุตส่าห์ฟิตมาเป็นเดือนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“อือ” ค่อยๆ จูบลงที่ลำคอก่อนจะฝากรอยจูบเอาไว้สองสามจุดเพื่อตีตราจอง มือหนาเอื้อมไปปลดชุดชั้นในแล้วถอดทั้งเสื้อและชั้นในของเธอด้วยความเร็วที่เจ้าของชุดแทบมองไม่ทัน ตอนนี้ท่อนบนของทั้งสองเปลือยเปล่าแถมยังแนบชิดกันอีกด้วย
“หนะ หนาว” ลมพัดโชยมามือบางก็กอดตนเองเอาไว้แต่พสุธาจับมือเธอออกแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ
“เขาบอกหนาวเนื้อให้ห่มเนื้อ” เสียงกระเส่าบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนก้มหน้าลงสูดดมความหอมของดอกบัวคู่งามก่อนจะเคล้าคลึงไปมา ร่างบางที่ไม่เคยให้ผู้ใดแตะต้องกายมาก่อนครางเสียงแผ่ว มวนช่องท้องไปหมดปลายเท้าจิกเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“อื้อ” มือข้างที่ว่างก็ผละจากแขนเรียวลงมาลูบสีข้างเรื่อยไปจนร่นกระโปรงเธอขึ้นมากองเอาไว้ที่หน้าขา
“ให้ตาย เธอเนียนไปทั้งตัวเลย” พสุธาเอ่ยชมก่อนริมฝีปากหนาจะครอบครองปากบางได้รูปเอาไว้
“จะไปไหน” ผวาตามเมื่ออีกฝ่ายผละออกจากตัวเธอ
พสุธายิ้มมุมปาก
“ถอดข้างล่างไง คงไม่คิดว่าจะอยู่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ใช่ไหม”พูดจบร่างสูงก็ถอดกระโปรงและแพนตี้ตัวน้อยออกทำให้ตอนนี้เธอเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปิดบังร่างกายจนนึกอาย จึงเอามือมาปิดด้านบนและล่างเอาไว้ ชายหนุ่มบอกแล้วก็หัวเราะในลำคอรีบจัดการกางเกงของตนเองออกและปราการชิ้นสุดท้าย
“ถอดหมด ไม่โกงแน่นอน” กอดเธอเอาไว้บอกเสียงอ่อนแล้วจูบดาริกาอีกครั้ง เขาจับมือเธอออกแล้วกอบกุมหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวเอาไว้สองมือ เคล้นคลึงไปมาอย่างเมามันก่อนจะใช้นิ้วบี้ปทุมถันสีหวานไปมาสร้างความเสียวกระสัน จนดาริกาครางไม่เป็นสรรพแอ่นอกยอมรับสัมผัสจากร่างหนาอย่างเต็มใจ
มือบางกอดเขาเอาไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวขาสองข้างเกี่ยวเอวหนาในท่าหันหน้าเข้าหากันก่อนจะรู้สึกถึงความแข็งแกร่งแห่งร่างชายที่แข็งตัวทิ่มหน้าขาเธอในขณะนี้
“อื้อ” ริมฝีปากหนาเคลื่อนลงไปชิมดอกบัวงามสลับข้างไปมาอย่างมีความสุขมือบางจับกลุ่มผมดำเอาไว้กัดปากตัวเองระงับเสียงครางด้วยอายเกินกว่าจะร้องออกมาอีกครั้ง
“อย่ากัดปากสิ ร้องออกมาเลย” เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานที่กลั้นอารมณ์ไว้สุดความสามารถเขาจึงบอก เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“ที่รัก ร้องออกมาเถอะ ฉันอยากได้ยิน” แพ้อย่างราบคาบกับน้ำเสียงทุ้มอ่อนหวานที่ร่างสูงบอกเธอ ดาริกาไม่สามารถสะกดกลั้นเสียงครางที่ดังออกมาได้ พสุธายกยิ้มพอใจเริ่มขยับเข้าใกล้เธออีกครั้งมือหนาลูบไปข้างล่างทักทายกลีบดอกไม้งามด้วยนิ้วของตนเอง
“ตรงนั้นไม่ได้” จับมือหนาเอาไว้ห้ามปรามด้วยความอาย แม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์ที่แสงสว่างอาจไม่มากพอ แต่เขาก็เห็นชัดว่าแก้มเธอแดงขนาดไหน น่าเอ็นดูเหลือเกิน
“ได้สิ แล้วเธอจะมีความสุข” กล่อมเธอให้คล้อยตามพลางดูดดึงริมฝีปากล่างขมเม้มเบาๆ มือสองข้างก็ทำหน้าที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีจนร่างบางลืมไปชั่วขณะครางออกมาเสียงดังเพราะเสียวเกินจะทานทนไหว
“ดิน มันเจ็บ” เห็นดาริกาหลงไปกับอารมณ์ที่อีกฝ่ายนำพาร่างสูงก็ค่อยๆ แทรกเข้าไปในกายสาวช้าๆ แต่แล้วเธอก็ร้องบอกเขาพลางจับไหล่หนาแน่นสบตาอ้อนวอนราวกับจะให้ร่างสูงหยุดเสียเดี๋ยวนั้น
“ทนอีกนิดนะ” โน้มไปจุมพิตเธอเพื่อให้หญิงสาวลืมความเจ็บมือก็เคล้นดอกบัวงามจนร่างบางหลงไปกับสิ่งที่อีกคนทำให้เธอคลายเจ็บ คงเพราะส่วนบอบบางของเธอไม่เคยมีผู้ใดกล้ำกรายเข้าไปได้และขนาดของเขาก็ไม่ใช่น้อยกว่าจะเข้าไปจนสุดก็ต้องใช้เวลาเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเจ็บ
“อื้อ เบาๆ” นิ่งค้างเอาไว้สักพักก่อนจะเริ่มขยับทีละน้อย เขาไม่สนที่เธอบอกให้เบาเพราะพสุธาใส่เต็มแรงเหยียบเต็มสปีดเร่งความเร็วจนร่างบางครางเสียงหลงด้วยอารมณ์เสียวที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่เคยพบพานมาก่อน
“เร็วกว่านี้หน่อย” เขาหัวเราะในลำคอเมื่อเธอเปลี่ยนคำรวดเร็ว ดอกไม้แรกแย้มตอดรัดจนคับแน่น รู้ว่าเป็นครั้งแรกควรจะทะนุถนอมเธอมากกว่านี้แต่อารมณ์เขาช่างไม่ยอมทำตามสมองสั่งเลย มันรั้นจะไปแรงดังเรือยนต์
คลื่นซัดเข้าฝั่งดังรับกับเสียงรักของทั้งสอง ท่ามกลางหมู่ดาวและแสงจันทร์พราวบนฟากฟ้าสองหนุ่มสาวก็สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนั้นเองที่ราวกับเท้าแตะท้องฟ้าเธอเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมดอารมณ์พุ่งทะยานสูงขึ้นด้วยความสุขก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วแล้วใบหน้าหวานก็ซบลงที่ไหล่หนาหอบหายใจเหนื่อยอ่อนราวกับวิ่งมานับสิบกิโลเมตร
“ให้ตาย เธอฮอตเป็นบ้า” พสุธาว่าเสียงภูมิใจในตัวภรรยาแต่ตอนนี้เธอไม่ตอบรับแล้วนอกจากหายใจเข้าออกแล้วซ่อนหน้าที่แดงก่ำจากสายตาคม
“ปล่อยได้แล้ว” พักได้ไม่นานก็จะออกจากอ้อมกอดอุ่นแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ปล่อยเธอ
“ไปไหน”
“อาบน้ำเหนียวตัว” ก้มหน้าพูดเพราะน้ำสีขุ่นที่เขาฉีดมาเต็มไปหมดทั้งกลิ่นยังคลุ้งจนต้องการชำระร่างกาย พสุธายิ้มพลางคิดในใจว่าตนไม่ได้ป้องกันเพราะเธอคือภรรยาและแน่นอนว่าเขามีแผนในใจ แผนที่จะกักตัวเธอเอาไว้กับเขาไปตลอดกาล
“ไปด้วย” ว่าอย่างนั้นก็ทำเอาเธอตาโตส่ายหัวพัลวันจนผมยาวปิดหน้า มือหนาจึงเอาผมเธอทัดหูให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เอา” ดาริกาปฏิเสธเสียงแข็ง
“ทำไม กลัวฉันต่ออีกรอบหรือ” ใครจะไปบอกว่าคิดอย่างนั้นจริง
“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไม่ต่ออีกรอบแน่” ฟังเขาตอบก็ไม่แน่ใจมองแววตากรุ้มกริ่มที่ส่งให้แล้วชั่งใจว่าจะทำอย่างที่ตนพูดจริงหรือเปล่า
“เพราะฉันจะต่ออีกหลายๆ รอบยังไงล่ะ” พูดไม่ทันขาดคำตัวเธอก็ลอยขึ้นโดยอ้อมแขนของสามีที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ “คืนนี้ยังอีกยาวไกลที่รัก” แล้วเธอจะทำอย่างไรได้เล่าเพราะร้องประท้วงไปแล้วเขาก็ไม่สะท้านจะทุบก็ไม่ได้เพราะมือปิดของสงวนทั้งบนและล่างเอาไว้ พสุธาพาเธอเข้าไปในห้องน้ำตามบัญชาแต่กว่าจะได้อาบน้ำเธอก็เสียเหงื่อไปอีกรอบ ทั้งยังบนเตียงอีกสองรอบกว่าจะได้นอนก็..
ฟ้าสว่างพอดี
ตื่นมาอีกทีแสงจากด้านนอกก็สาดมาใส่เธอกว่าครึ่งตัวแล้ว ม่านสีขาวไม่สามารถกันแดดไว้ได้เลย ร่างเปล่าเปลือยของดาริกามีผ้าห่มผืนหนาปิดเอาไว้และลำแขนหนากอดเอวเธอเสียแน่นจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขาอีกครั้ง
“อื้อ” พยายามเอาลำแขนหนาออกจากเอวแต่ดูจะยาก เธอหันไปมองอีกคนหลับนิ่งแล้วยกแขนพสุธาออกจากตัว ก้มลงหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของเขามาใส่กันอุจาดตาหากเดินโทงๆ ทั้งที่ไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น ถึงแม้พสุธาจะบอกไม่มีคนแต่เธอก็อายผีสางที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้ว่ามีเหมือนกัน
“โอ๊ย” ท่อนล่างเธอแทบก้าวไม่ออกรู้สึกชาทั้งยังปวดระบมอีก หันไปมองคนต้นเรื่องก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์โมโหที่เขามักมากเล่นซะเกือบเช้าดีที่ยังปล่อยให้เธอได้นอนบ้างถึงแม้จะกอดเอาไว้ทั้งคืนก็ตาม
ดาริกาเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายอีกรอบนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วเข้าห้องนอนตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่คาดว่าคงเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เธอบ้าง แล้วก็เป็นดังที่หวังเพราะมีชุดผู้หญิงพับไว้อย่างเรียบร้อยข้างกันนั้นก็มีชุดชั้นในวางไว้ด้วย ร่างบางรีบหยิบของทั้งหมดแล้วเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ ใส่ชุดชั้นในก็อดอึ้งไม่ได้ที่เขากะไซซ์เธอได้ถูก ใส่พอดีราวกับรู้ขนาดอยู่แล้ว สวมเสื้อยืดกับกางเกงเลก็เป็นอันเสร็จ
เดินออกมารับลมยามเช้าที่พอมองไปยังนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ท้องเริ่มประท้วงเธอจึงตัดสินใจเดินเข้าห้องครัวเพื่อทำอะไรรับประทาน แม้บ้านจะเป็นกระท่อมแต่เครื่องใช้ต่างๆ กลับทันสมัย ในครัวถูกมุงด้วยฟางผนังห้องก็เป็นเพียงไม้สานแต่เครื่องครัวกลับมีทั้งเตาแก๊สและหม้ออบไฟฟ้า คงเป็นเกาะห่างไกลผู้คนที่ราคาแพงพอสมควร
เปิดตู้เย็นก็พบของสดมากมายจนยิ้มออกมาคิดหาเมนูที่จะทำสองสามอย่าง สิ่งที่เธอทำก่อนคือการหุงข้าวสวยหลังจากนั้นเธอก็เอาผักและเนื้อสัตว์มาเตรียมไว้โดยตั้งใจจะทำฉู่ฉี่กุ้ง ยำทะเลรวมมิตรและไข่เจียว ลงมือตีไข่นำไปปรุงแล้วทอดลงกระทะจนได้ไข่เจียวสีเหลืองกรอบน่ากิน ก่อนหันไปทำฉู่ฉี่และปิดท้ายด้วยยำทะเล
“ทำอะไรหอมจัง” ขณะที่ก้มหน้าก้มตาทำยำทะเลรวมมิตรก็มีแรงกอดรอบเอวจากชายร่างสูงพร้อมหอมแก้มเธอเสียฟอดใหญ่
“ปากเหม็น แปรงฟันหรือยัง” หันไปมองสามีที่หน้าตายังสะลึมสะลืออยู่ผมเผ้ายุ่งจนดูไม่ได้ก็เอ่ยถามขึ้น เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เธอ
“ยังเลย ได้กลิ่นหอมเลยตามกลิ่นมา”
“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนไป น่าเกลียดจริงๆ” แม้จะเขินอายแต่ก็ระงับอาการไว้ด้วยการส่งสายตาดุ ซึ่งคนตัวสูงก็ทำตามอย่างว่าง่ายปล่อยเธอแต่โดยดีหันหลังกลับออกไปจากครัว ลับหลังร่างสูงดาริกาถอนหายใจออกมาเอามือทาบอกทันที
“เก่งมากดาว เก่งแล้ว” ชมตนเองที่พยายามทำนิ่งต่อหน้าเขาได้ทั้งที่ยากเกินเพราะใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะจนกลัวว่าจะถูกจับได้ ดาริกาทำอาหารเสร็จพอดีกับที่พสุธาเข้ามาช่วยยกออกไป สองหนุ่มสาวสามัคคีกันอย่างดีถ้าไม่ติดที่พสุธามักจะมองเธอแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“มองบ้าอะไรนักหนา” แหวใส่ร่างสูงเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินแต่พสุธาก็เอาแต่ยิ้มจนเธอต้องตีไหล่หนา
“หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้” สั่งเสียงเข้มขณะที่ช่วยอีกฝ่ายจัดโต๊ะอาหาร
“นี่มันหน้าฉัน ฉันจะยิ้มจะร้องไห้จะหัวเราะมันก็เรื่องของฉันไง” ยิ่งพูดก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีกดาริกาจึงทำเมินเฉยเสียแม้ว่าหน้าจะแดงขนาดไหนก็ตาม สองหนุ่มสาวนั่งกินข้าวโดยที่ร่างบางพยายามมองทะเลหรือต้นไม้แทนใบหน้าคมที่ทานไปยิ้มไปราวกับโลกนี้สดใสนักหนา
“ถ้านายไม่หยุดยิ้มฉันเอาส้อมจิ้มหน้าจริงๆ ด้วย” แววตาของพสุธาทำให้เธอแทบละลายไปกับน้ำ มันดูหวานหยดย้อยจนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก
“โหดจังเลย คืนนี้ขอโหดๆ แบบนี้นะ” คำพูดคำจาที่ดูล่อแหลมทั้งสายตากรุ้มกริ่มดาริกาตัดสินใจวางช้อนส้อมลงทั้งที่ยังกินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งจาน เอามือตบโต๊ะเสียงดังแล้วมองค้อน
“หยุดพูดเลยนะ จะพูดอะไรนักหนาเรื่องเมื่อคืน ฉันลืมไปหมดแล้ว” ว่าจบเดินออกไปแต่มือหนามาคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อน
“ลืมจริงหรือ มาย้ำใหม่อีกรอบไหม” ลุกขึ้นมากอดเอวบางเอาไว้จนเธอต้องเอามือยันอกเขาพร้อมยื่นหน้าออกห่าง
“หยุดเลยนะ พอเลยแค่นี้ก็ระบมไปหมดแล้ว”
“ฮ่าๆ เมื่อคืนแค่ออเดิร์ฟครับ หลังจากนี้จัดเต็มแน่นอน” ยอมปล่อยร่างบางก่อนจะนั่งลงทานข้าวอย่างอารมณ์ดี เคี้ยวข้าวไปยิ้มไปซึมซับบรรยากาศดีๆ ที่นานครั้งจะเกิดขึ้น ดาริกาเดินหนีไปในห้องก็พบว่าห้องยังเกลื่อนไปด้วยเสื้อผ้าเมื่อคืนทั้งผ้าห่มที่ยับย่น
“เฮ้อ เหมือนได้ลูกชาย” ถอนหายใจระอากับเขาแล้วก็เริ่มลงมือเก็บที่นอน เธอรื้อผ้าห่มออกแล้วจัดการเก็บห้อง เห็นน้ำสีขุ่นก็รีบเบือนหน้าหนีเก็บผ้าปูที่นอนด้วยความเขินอาย เสื้อผ้าบนพื้นหยิบลงตะกร้าสานเอาออกมาซัก
“จะทำอะไรน่ะ” ระหว่างเดินสวนกันพสุธาก็ถามขึ้น
“เอาไปเผาทิ้งมั้ง”
“โฮ เสียดายแย่เลยถือเป็นความทรงจำระหว่างเราไปเผาทิ้งก็เสียของแย่สิที่รัก” วางแขนบนไหล่เธอกระซิบข้างหูจนหญิงสาวต้องมองค้อนตาเขียว
“เลิกเล่นเลย ตื่นขึ้นมารู้จักเก็บข้าวของบ้างไหม ผ้าห่มไปทางหมอนไปทาง ไหนจะเสื้อผ้าอีกแล้วดูสิน้ำท่าก็ยังไม่รู้จักอาบมันกี่โมงกี่ยามแล้วจะต้องให้พูดให้บอกกี่ครั้ง” ดาริการ่ายยาวจนสามีมองเธออย่างอึ้งๆ เริ่มคิดหนักแล้วว่าได้เมียหรือได้แม่มาเพิ่ม
“ไปจ้ะ ไปซักผ้าดีกว่านะ เดี๋ยวช่วยซักจะได้เสร็จเร็วๆ” รู้เอาตัวรอดเป็นยอดดีเขาตามเธอไปที่ระเบียงซักผ้าข้างห้องน้ำที่มีบันไดลงเป็นที่โล่งมีเพียงก๊อกน้ำและโอ่งแดงตั้งอยู่
“เข้าไปเอาผ้าปูกับผ้าห่มในห้องมาด้วย” สั่งเสร็จร่างสูงก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ดาริกาเอากะละมังออกมาเทน้ำใส่ก่อนจะเทผงซักฟอกลงไปพอประมาณ หลังจากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันซักผ้าแม้ว่าพสุธาจะทำไม่ค่อยเป็นและโดนบ่นตลอดการทำกิจกรรมคู่รักที่แปลกจากแผนการที่วางเอาไว้ก็ตาม
“เหยียบดีๆ เอาให้ซึมเข้าไป” หลังจากซักเสื้อผ้าเสร็จก็ต้องมาซักผ้าห่มผืนใหญ่แต่ไม่รู้เหตุใดคนที่ซักมีแค่เขาส่วนภรรยาก็นั่งสั่งในร่มปล่อยสามีสุดหล่อยืนตากแดดอยู่คนเดียว
“พอได้แล้ว เหยียบมาจะครบชั่วโมงแล้วครับ” ประท้วงด้วยสีหน้าโอดครวญ
“อย่ามาบ่น ทำไปเลย” ได้รับคำสั่งมาพ่อบ้านใจกล้ามีหรือจะยอมทำตามคำสั่ง
“หยุดสั่งได้แล้ว” ทำท่าขึงขังใส่อย่างห้าวหาญ
“ทำไม”
“ก็จะล้างน้ำสะอาดไงครับผม เดี๋ยวขอเทน้ำออกก่อนนะ” เปลี่ยนเป็นความนอบน้อมอย่างรวดเร็ว ดาริกาก้มหน้ายิ้มแล้วสั่งให้ทำต่อไปส่วนพสุธาก็ยิ้มรับ แม้ว่าอีกฝ่ายจะบ่นมากแค่ไหนก็ตาม ดูท่าไม่น่าจะใช่เมียแล้วแหละ อย่างนี้แม่คนที่สองแน่นอน
“คุณดินครับ คุณดินอยู่บ้านไหมครับ” ดาริกาหันตามเสียงด้วยความสงสัย เธอไม่คิดว่าจะมีคนอยู่บนเกาะด้วย
“ครับลุงสม อยู่ครับ” อยากจะวิ่งเข้าไปกอดผู้ช่วยชีวิตตนเอง เขาเดินแกมวิ่งไปที่สะพานเชื่อมไปชายฝั่ง ร่างบางก็เดินตามไปไม่ห่าง
“พอดีผมจะไปหาปลา คุณจะไปด้วยกันไหมครับ” ชายมีอายุหน้าตาใจดียืนยิ้มให้พสุธาบนไหล่มีแหอยู่ด้วย ตากลมโตมองแขกด้วยความสงสัย
“ไปครับลุง รอผมก่อนนะครับขอไปใส่รองเท้าก่อน” ในใจตะโกนร้องว่ารอดตายแล้ว ปล่อยให้ดาริกายืนยิ้มให้ลุงสม
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เห็นเขายกมือไหว้เธอก็รับไหว้แทบไม่ทัน “อย่าไหว้หนูเลยค่ะ หนูอายุน้อยกว่าลุงอีก”
“คุณลุงอยู่ที่นี่นานแล้วหรือคะ” เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเธอคิดว่าเกาะนี้เป็นเกาะร้างเสียอีกเพราะไม่เห็นคนหรือบ้านเลยนอกจากหลังที่เธออยู่นอกนั้นก็เป็นป่าที่ดูอุดมสมบูรณ์
“ครับ ผมเป็นคนดูแลเกาะนี้แล้วก็บ้านหลังใหญ่ให้คุณภมร” ชื่อคุ้นเคยทำให้เธอยิ่งสงสัยพอดีกับที่พสุธาวิ่งมาหา
“เสร็จแล้วครับ” เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วยืนส่งเขา
“ฝากซักผ้าห่มด้วยนะที่รักเดี๋ยวฉันจะไปหาปลามาให้เธอทำกับข้าวกิน งานบ้านก็ต้องเป็นของภรรยา เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ” โบกมือลาแล้วยิ้มให้ดูอีกคนจะมีความสุขเหลือเกินที่ได้ออกไป ดาริกาอมยิ้มรู้ทันว่าพสุธาอยากหาทางออกไปข้างนอกตอนนี้ก็สมใจแล้ว ร่างบางเดินเข้าบ้านไปซักผ้าต่อปล่อยให้สามีออกไปหาปลา
หลังซักผ้าและตากเสร็จเรียบร้อยเธอก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดแม้แดดจะเปรี้ยงก็ไม่กลัว เห็นเปลือกหอยมากมายก็เก็บมาล้างแล้วจัดการร้อยเป็นกำไล จากนั้นเธอก็เริ่มจัดการเก็บกวาดบ้านให้จนแสงตะวันอ่อนลงมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว
“ทำไมยังไม่กลับอีกนะ” มองสะพานก็ไม่เห็นเขาเดินมาท้องทะเลเวิ้งว้างช่างกว้างใหญ่เหลือเกินตอนที่ไม่มีพสุธาอยู่ด้วย ยิ่งแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลาลับไปก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มเหงา
“มาแล้วครับ” ไม่รู้ทำไมแค่ได้ยินเสียงเขาหัวใจที่แห้งเหี่ยวเมื่อครู่กลับชุ่มชื่นขึ้นมา เดินออกจากห้องนอนไปข้างนอกก็พบพสุธาถือถังใส่ปลามาด้วย ร่างสูงส่งยิ้มให้เธอจนต้องยิ้มตอบ วินาทีนี้ต้องยอมรับกับตัวเองเสียแล้วว่าติดเขาจนไม่อาจห่างได้
“ได้ปลามาเยอะเลย ฉันอยากกินต้มยำปลาเก๋าแล้วก็ย่างปลาธรรมดากินกับน้ำพริก น่าอร่อยมากเลยทำให้กินหน่อยนะครับ” สั่งอย่างกับเธอเป็นแม่ครัวร้านดังที่จะทำได้ทุกเมนูที่อยากกิน
“คิดว่าฉันทำต้มยำปลาเก๋าเป็นหรือไง” ถามกลับซึ่งพสุธาก็พยักหน้า
“ทำเป็น เธอคือกูเกิ้ลผู้รู้ทุกอย่าง ทำให้กินหน่อยนะครับฮันนี” เข้ามาออดอ้อนอย่างกับเด็กน้อยทั้งที่อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบหกปีแล้ว
“ก็ได้” มือหนาชูขึ้นพร้อมร้องไชโยแต่โดนเบรกก่อน
“แต่ว่า นายต้องช่วยฉันทำ” พยักหน้าแล้วยิ้มให้เธอ
“สบายมาก ของถนัดเลยงานนี้” ดูคำโอ้อวดแล้วก็ได้แต่คิดว่าเธอทำถูกไหมที่เอาคนอย่างพสุธามาเข้าครัว ดูท่าแล้วน่าจะพังมากกว่า เอาเถอะในเมื่อพูดไปแล้วก็คงต้องให้อีกคนแสดงฝีมือบ้างอยากรู้เหมือนกันว่าตากล้องสุดหล่อจะทำอาหารรสชาติออกมาเป็นอย่างไรบ้างแม้ครั้งล่าสุดจะเกือบเผาครัวไปแล้วก็ตาม
“ไว้ใจนายพสุธาได้เลย งานนี้มีแต่คำว่าอร่อย” คำคุยมีเป็นล้าน สองหนุ่มสาวเดินเข้าครัวโดยมือหนาโอบไหล่บางเอาไว้ราวกับว่ามันคือที่ประจำ ดาริกาเริ่มคุ้นชินกับสัมผัสจากร่างสูงมากขึ้นอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยาร่วมเดือนแล้ว การมาฮันนีมูนครั้งนี้ดูจะเชื่อมความสัมพันธ์มากขึ้นถือว่าแผนการสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว
บทที่เจ็ด...ร้อนระอุในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด “ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม “ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น “เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว “เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ
บทที่สิบ...เจ็บปวดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทีมงานผ่านไปหนึ่งเดือนโดยไม่มีเรื่องต้องให้ทะเลาะกัน จะมีก็แต่สามีหนุ่มขอทำการบ้านเสียทุกคืนจนดาริกาตื่นไปทำงานสาย บอกหลายรอบว่าไม่ให้ทำรอยที่คอแต่เวลาเผลอทีไรพสุธามักจะปากรอยสีกุหลาบไว้ให้เสมอจนเธอยื่นคำขาดว่าถ้าทำรอยอีกจะอดตามจำนวนรอยดังนั้นพสุธาจึงละจากลำคอไปที่หน้าอกแทน ลายพร้อยจนกลัวตนเองเป็นโรค “ดาวจ๋า อีกสามวันฉันต้องไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่นะ” อาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมแล้วตากล้องสุดหล่อเดินมาจากห้องพร้อมเสื้อหนังสุดเท่ห์นั่งลงที่ประจำของตนเอง “ไปกี่วัน” ดาริกายกข้าวต้มร้อนๆ มาเสิร์ฟกลิ่นหอมฉุยจนท้องร้อง “สามวันสองคืนครับผม” ตอบอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนได้บรรเลงเพลงรักจนร่างกายกระปรี้กระเปร่าจะห่วงก็แต่ภรรยาที่ดูจะมีเวลานอนน้อยกว่าปกติ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์หรือ” นับไปอีกสามวันก็ตรงกับวันหยุดพอดี ร่างบางนั่งลงทานข้าวเช้ากับเขาแล้วจะออกไปทำงานพร้อมกัน เดี๋ยวนี้พสุธาเริ่มรับงานเป็นปกติไม่รับทุกอย่างเหมือนเดิมที่ผ่านมา “ใช่ ไปด้วยไหม” เอ่ยชวนแววตามีความหวัง อาจจะมีการฮันนีมูนรอบสองอีกก็เป็นได
บทที่สิบเอ็ด...เขาคือคนในใจแล้วฉันคืออะไร“พี่ดินมากับพี่ดาวหรือคะ” อยู่ดีๆ บรรยากาศระหว่างพวกเราก็เงียบเสียอย่างนั้น ดาริกาหันไปมองสามีที่ยังคงยิ้มให้สาวน้อยหน้าใสราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ หัวใจเจ็บปวดทั้งที่เคยคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเธอคงไม่เจ็บเท่าไหร่แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เธอเจ็บแต่ก็ต้องแสร้งยิ้ม “ใช่ เล็กไม่รู้หรือว่าพวกพี่แต่งงานกันแล้ว” คำบอกเล่าของพสุธาสร้างความตกใจให้ลักษณ์นาราจนต้องมองทั้งสองสลับกันไปมา “โอ้โฮ ไม่น่าเชื่อเลยแต่เล็กยินดีด้วยนะคะพี่สองคนเหมาะสมกันมาก” แววตากลมโตฉายความจริงใจจนดาริกาใจชื้นขึ้น บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด “มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เจอนานสวยขึ้นนะเรา” “ตามกาลเวลาค่ะพี่ดิน มาเที่ยวหรือมาฮันนีมูนคะเนี่ย เสียดายเล็กไม่ได้ไปงานแต่งเพิ่งกลับมาจากอิตาลีก็ต้องมาทำงานพี่ใหญ่บ่นจะแย่” ไม่คิดว่าน้องสาวจะสนิทกับพสุธาเพราะเธอเอาแต่จ้อไม่หยุดสามีเธอเองก็ตอบโต้อย่างอารมณ์ดี “พี่มาทำงานเลยชวนดาวมาด้วย จริงๆ พวกพี่ไปฮันนีมูนที่ทะเลมาแล้วล่ะ” “หวานน่าดู ถ้ามาเชียงให
บทที่สิบสอง...เมื่อเธอจะไปมีใจรักใครอีกคน ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีปัญหาหรือการทะเลาะของเขาและภรรยาแต่อย่างใดจนเบาใจว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะราบรื่นชีวิตแต่งงานของเขาคงเข้าที่เข้าทางแล้ว ร่างสูงผิวปากเดินลงจากรถพร้อมภรรยาหลังเลิกงานก็ไปรับเธอจากที่ทำงานมุ่งตรงมาบ้านของบิดามารดาเนื่องจากนัดทานข้าวด้วยกันในวันศุกร์ “สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่” เข้ามาภายในบ้านที่อยู่ตั้งแต่เด็กก่อนจะขอออกไปอยู่ที่คอนโดตอนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยอยากใช้ชีวิตคนเดียว “มาเร็วอย่างนี้แสดงว่ารถไม่ติด” มองมารดาที่วางนิตติ้งบนตักลงโต๊ะกลางตัวเล็กพลางลุกขึ้นเดินมาหาลูกสะใภ้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มส่วนบิดาเขาเองก็โอบบ่าลูกชายอย่างสนิทสนมชวนไปห้องรับประทานอาหารเพราะเย็นมากแล้ว “ติดสิพ่อแต่ผมเลิกงานเร็วมาหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะเลยนะครับ” ติดนิสัยอ้อนตั้งแต่เด็กจนโตแม้จะมีคนล้อแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากเห็นว่าคนในครอบครัวชอบทำไมจะต้องไปเอาความคิดคนอื่นมาเปลี่ยนการกระทำของตนเองด้วย “หิวกันรึยัง แม่เขาลงครัวเองเลยนะทำแต่ของชอบหนูดาว” เพราะลูกสะใภ้คนโปรดจะมาเลยแ
บทที่สิบสาม...ถ้าเขามาฉันคงต้องไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วเพราะจิตใจของเธอเหม่อลอยเกินกว่าจะมองนาฬิกานับเวลาได้ ดวงตากลมโตจ้องมองเพียงประตูคิดว่าคนข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่เพราะเขาเงียบไปได้สักพักไม่มีคำขอร้องหรืออ้อนวอนให้ได้ยิน หรือจะกลับไปแล้ว... คิดเท่านั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะไม่พร้อมจะพบกับพสุธาในเวลานี้ ไม่อยากบอกว่าเธอรู้เรื่องเมื่อคืนหมดแล้วที่เขาไปโรงแรมกับลักษณ์นาราแล้วโกหกว่าไปบ้านเพื่อน รู้หมดทุกอย่างจนหัวใจของเธอแตกสลายอีกครั้งเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นมากเท่าไหร่ เธอค่อยๆ เดินไปที่ประตูแนบหูฟังเสียงข้างนอกก็ไม่ได้ยินอะไรจึงถอนหายใจโล่งอกก่อนจะแง้มประตูเปิดอย่างช้าๆ มองลอดออกไปข้างนอกไม่พบแม้แต่เงาของพสุธาคิดว่าคงกลับไปแล้วไม่มาเสียเวลานั่งรอเธอนานขนาดนี้หรอก “ดาว!” เสียงของเขาพร้อมแรงที่จับประตูให้เปิดยิ่งสร้างความตกใจ ดาริการีบปิดประตูแต่ก็ไม่อาจสู้แรงอีกคนได้เขาเปิดเข้ามาภายห้องคว้าร่างบางมากอดเอาไว้แนบอกจนหายใจแทบไม่ออก “ปล่อยนะ
บทที่สิบสี่...รักอยู่รอบตัว“พี่ดาว!” เสียงเรียกของลักษณ์นาราทำให้เธอตื่นจากภวังค์มองแก้วน้ำที่ยังวางอยู่ที่เดิมและน้ำเต็มแก้วก็รู้สึกโล่งอกที่เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดเอง “ขอโทษทีช่วงนี้พี่เหม่อบ่อย” “ไม่เป็นไรค่ะ” หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบก่อนที่น้องสาวข้างบ้านจะค่อยๆ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เล็กรู้มาว่าพี่ดาวกับพี่ดินทะเลาะกัน” ดาริกาสะดุ้งเมื่อคำขึ้นต้นเหมือนกับเมื่อครู่ที่เธอคิดมือเล็กกำเข้าหากันแน่นขึ้นกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง “จริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดเล็กผิดเองค่ะ” ลักษณ์นาราก้มหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาพี่สาวหน้าหวานที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก “คืนนั้นเล็กไปงานเลี้ยงปิดกล้องกับคุณลาภินที่ผับแถวทองหล่อ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเครียดทำให้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมไปด้วย “ก่อนหน้านั้นเล็กโทรไปคอนเฟิร์มงานวันต่อมาของคุณลาภินกับพี่ดิน” ดาริกาคิดไปถึงวันนั้นที่เธอได้ยินว่าเขาคุยโทรศัพท์กับลักษณ์นาราก็เข้าใจในวินาทีนี้เองว่าตนเองคิดมากเกินไป “แล้วพอกลับเข้าไปในงานก็มีพี่ผู้หญิงเอาน้ำมาให้เล็กดื่ม หลังจากนั้นเล