บทที่ห้า
...เล่นงานลับหลัง
“พี่ดาวมีคนมาหาค่ะ” ในขณะที่กำลังทำงานอยู่น้องนักศึกษาฝึกงานก็มาบอกเธอด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม มองนาฬิกาที่ตั้งไว้บนโต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วเธอทำงานจนลืมเวลาไปเลยหรือนี่
“ใครเหรอ”
“สามีพี่ดาวค่ะ” บอกพร้อมกับเปิดตัวหนุ่มหล่อที่เดินเข้ามาภายในแผนกด้วยชุดแปลกตาที่ไม่ค่อยเห็น เขาใส่สูทและถือแก้วน้ำหลายใบยี่ห้อเงือกไซเรนสีเขียวที่โด่งดังในเรื่องความอร่อยและราคาของมัน
“สวัสดีครับทุกคน” คนในแผนกโฆษณามีทั้งแปดคนรวมเธอและหัวหน้าแผนกด้วย ดูเหมือนแต่ละคนที่กำลังทำงานจะหยุดมองชายผู้มาใหม่เป็นตาเดียวก่อนสาวๆ จะเกาะกลุ่มกันแล้วซุบซิบพลางตอบรับคำทักทายด้วยเสียงหวาน
“ผมชื่อพสุธานะครับ เรียกสั้นๆ ว่าดินก็ได้ เป็นสามีของดาวเหนือครับ” กล่าวแนะนำตัวเสร็จสรรพพร้อมรอยยิ้มกว้างที่มีให้ทุกคน ดาริกายืนแข็งเหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้กับที่เมื่อสามีเข้ามาแนะนำตัวโดยไม่บอกกล่าวเธอเลยสักคำ
“ผ่านร้านน้ำเลยซื้อมาฝากทุกคน รู้มาว่ามีแปดคนรวมน้องนักศึกษาฝึกงานด้วยก็เก้า ผมไม่รู้ว่าชอบรสไหนกันเลยซื้อมาแบบให้เขาจัดให้ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่า เชิญเลือกได้เลยนะครับ” แก้วน้ำถูกวางไว้บนโต๊ะกลางของแผนกโดยมีผู้คนเข้าไปเลือกอย่างเกรงใจ แต่เมื่อพสุธาบอกตามสบายแต่ละคนจึงรีบจับจองแก้วที่ชอบ
“อ้าว ใช่สามีคุณดาวไหม” คุณหิรัญหัวหน้าแผนกถือแฟ้มเข้ามาภายในห้องหลังจากเสร็จการประชุมช่วงบ่ายที่ลากยาวจนถึงเย็นเห็นหนุ่มหล่อรุ่นลูกยืนยิ้มโดยมีพนักงานในแผนกรุมโต๊ะกลางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ครับ ผมดินนะครับสามีดาว แวะมารับภรรยาเลยซื้อของมาให้คนในแผนกด้วยครับ” เป็นคนเข้าผู้ใหญ่เป็นจึงยกมือไหว้ทั้งยังเดินไปแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
“ตอนเจอที่งานแต่งว่าคุ้นหน้าแล้ว มาวันนี้คุ้นกว่าเดิมอีกนะ” มองหน้าพลางนึกว่าเคยเจอที่ไหนก่อนที่สาวอีกคนจะเอ่ยขึ้นมา
“ก็คุณดินช่างภาพสุดฮอตที่ค่าตัวแพงติดหนึ่งในสามของประเทศไทยตอนนี้ไงคะ เห็นตามหนังสือไม่คิดว่าจะเจอตัวจริง ชื่อข้าวปั้นนะคะ โสดค่ะ” รุ่นพี่อารมณ์ดีร่างอวบเข้าไปทักทาย
“เอ่อครับคุณข้าวปั้น ผมไม่โสดนะครับ อีกอย่างค่าตัวผมไม่ได้แพงขนาดนั้นสักหน่อย ค่าตัวแพงจริงต้องคนโน้น” ชี้ไปที่ภรรยาตัวเองที่ยืนถลึงตาใส่ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ให้รุ่นพี่
“งานแต่งผ่านไปผมเกือบล้มละลายเลย” หยอกเย้าพอเป็นพิธีแต่ก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ที่แต่ละคนเคร่งเครียดในการทำงาน ดาริกาเก็บของสะพายกระเป๋าเดินมาหาสามีที่ไม่บอกก่อนว่าจะมารับเธอถึงแผนก
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นดาวขอกลับก่อนนะคะ” ยกมือไหว้ทุกคนแล้วลากแขนพสุธาเดินออกมาใบหน้าหวานบูดบึ้งพร้อมมีเรื่องทุกขณะ
“เบาๆ ก็ได้ครับผม ลากแรงจังเลยไม่สงสารผู้ชายบอบบางบ้างเลยนะที่รัก” หันไปมองคนบอบบางที่กล้ามแขนเป็นมัดแล้วก็อดใจไม่ไหวตีเข้าที่แขนหนา
“โอ๊ย ตีทำไมเจ็บนะครับ”
“ขึ้นมาทำไม ถ้ามาถึงก็โทรมาบอกสิ” พสุธาหุบยิ้มลงแต่ก็ยังคงมีแววขี้เล่นเช่นเดิม
“อยากมาแนะนำตัวกับคนที่ทำงานเธอ ทุกคนจะได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีสามีแล้วที่สำคัญคือสามีหล่อมาก” พูดจบก็เสยผมราวกับนายแบบจนดาริกาส่ายหน้าให้กับความหลงตัวเองของสามี ร่างบางเดินหนีไม่รออีกฝ่ายก็วิ่งตามมากอดไหล่ภรรยาเอาไว้ส่งยิ้มแสนหวานให้
“เดี๋ยวไปกินข้าวบ้านเธอก่อนนะ คุณพ่อโทรมาหาฉันบอกคิดถึงลูกสาว” ได้ยินคำบอกเล่าของเขาก็ขมวดคิ้วทันทีด้วยสงสัย
“ทำไมพ่อไม่โทรหาฉัน”
“เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนเถอะว่าไม่ได้รับกี่สาย ทั้งพ่อฉันพ่อเธอโทรมาเป็นสิบกว่าครั้งไม่มีการตอบรับเลยสักครั้ง ถ้าจะมีโทรศัพท์ไว้เป็นเครื่องประดับแบบนี้ทีหลังก็เอาไว้ทับกระดาษเฉยๆ ก็ได้นะครับ ฮันนี” มือหนาที่กอดไหล่เนียนลูบหน้าเธอแล้วพูดจาหยอกล้อ
“บอกว่าไม่เอาคำเรียกเลี่ยนๆ แบบนี้” หันไปแหวแต่ดูท่าร่างสูงจะไม่สะท้านเลย
“อุ้ยลืม ให้ลงโทษเลย” ทำปากจู๋ยื่นไปหาจนดาริกาต้องเอามือตีปากอีกฝ่ายพลางมองไปรอบบริเวณโถงกลางหน้าลิฟต์
“คนเยอะ ทำอะไรอายบ้าง” มองซ้ายขวาไม่พบสักคนเพราะเลยเวลาเลิกงานไปนานแล้วส่วนคนที่อยู่ก็มีแค่เคลียร์งาน ซึ่งไม่ได้มายุ่งอยู่แล้ว
“ไม่เห็นคนเลย มีสัมผัสที่หกเหรอ นี่เธอมองเห็นผีเหรอ” เรื่องความเล่นใหญ่เกินเบอร์ต้องคุณคนนี้จริงๆ ดาริกากอดอกมองเขาอย่างเอือมระอา
“ช่วยรอแบบเงียบๆ สักสามสี่นาทีได้ไหม”
“ตามบัญชาเลยครับ” ระหว่างรอลิฟต์ร่างสูงก็ไม่พูดจริงดังว่า แต่มือหนาที่วาดมาโอบไหล่เอาไว้กลับเขี่ยแก้มนิ่มเล่นบางครั้งก็ม้วนผมเธอบ้าง หันไปทำตาดุใส่หลายรอบอีกฝ่ายก็ไม่สะท้าน สะบัดออกก็ไม่ขยับจนต้องปล่อยเลยตามเลย เมื่อลิฟต์มาสองหนุ่มสาวเข้าไปแล้วกดชั้นหนึ่ง ไม่มีคนเข้ามาทำให้ภายในนั้นมีแค่พวกเขาสองคน พสุธาอมยิ้มก่อนจับไหล่ภรรยาดันไปชิดผนังลิฟต์
“ทำอะไรของนายน่ะ” แหวเสียงลั่นมองตาคมอย่างไม่ชอบมาพากล
“อยากลองในลิฟต์บ้าง” บอกเจตนาแล้วก้มลงจูบคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว ดาริการีบปิดกั้นไม่ให้สอดลิ้นเข้ามาแต่เพียงไม่นานก็ต้องเปิดปากเพราะหายใจไม่ทันเป็นโอกาสดีที่ร่างสูงสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อ ก่อนผละออกมาแล้วก้มลงจูบอีกครั้ง ใบหน้าคมยิ้มอย่างมีความสุขจนกระทั่งได้ยินเสียงลิฟต์ดังเมื่อถึงชั้นที่ต้องการเธอจึงรีบผลักร่างสูงออกไปโดยเร็ว
ดาริกาเดินออกไปไม่รอคนข้างหลังที่ใช้นิ้วโป้งเช็ดมุมปากเพราะมีน้ำลายไหลออกมา ชิมความหวานแล้วก็มีความสุขเดินผิวปากตามเธอออกไป เขาไปเอารถให้ดาริการอหน้าบริษัท ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรนอกจากฟังเพลงที่เปิดตามคลื่นวิทยุเท่านั้น
“ต่อไปนี้นายห้ามทำอะไรแบบเมื่อกี้อีก” ทนไม่ไหวจนต้องหันมาสั่งเสียงเข้มแต่ใบหน้ากลับแดงก่ำไม่รู้เพราะโกรธหรือเขินกันแน่
“ทำอะไร ขึ้นไปหาเธอน่ะหรือ” แสร้งเฉไฉไม่รู้เรื่องจนคนพูดต้องเอามือมาบิดสีข้างด้วยหมั่นไส้เหลือทน
“โอ๊ยๆๆ เจ็บครับ พอก่อนๆ” ปล่อยมือออกเพราะสงสารเสียงร้องโอดครวญอีกฝ่ายรีบลูบตรงที่ถูกบิดเพื่อคลายความเจ็บลงบ้าง แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่เพราะยังคงเจ็บเหมือนเดิม
“พูดเรื่อยเปื่อย ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย แต่พูดมาก็ดีแล้วถ้ามาถึงก็โทรหาสิเดี๋ยวฉันลงมาข้างล่างไม่ต้องขึ้นไปหาให้มันเอิกเกริก รู้ว่าตัวเองดัง คนชอบเยอะก็ไม่ต้องมาทำตัวอ่อยไปทั่วแบบนี้เลย แค่ไปงานแต่งเราฉันก็ฟังคนในออฟฟิศชื่นชมนายจนเอียนไปหมดแล้ว” นี่คือสาเหตุที่ไม่อยากให้สามีไปหา เพราะผู้หญิงกว่าครึ่งแผนกชื่นชอบพสุธา บางคนถึงกับขอให้เธอเอาสมุดไปให้สามีหนุ่มเซ็นด้วยซ้ำ
“บ่นยาวเลย” พึมพำเสียงเบาแต่คนหูดีดันได้ยิน
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” หันไปหาคนขับรถกิตติมศักดิ์ด้วยแววตาเอาเรื่องจนสะดุ้งรีบแก้ตัวลิ้นพันกัน “เปล่าจ้ะ แค่บอกว่ารถยาวมากเลย กว่าจะถึงคงอีกนาน” พลางยื่นคอมองการจราจรที่ติดขัดในช่วงเลิกงาน ดาริกาเลิกสนใจร่างสูงมองออกไปข้างนอกทำให้เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อกี้ไม่ได้กลัวเมียใช่ไหม เรียกว่าให้เกียรติซึ่งกันและกันดีกว่า ไม่ได้เข้าชมรมพ่อบ้านใจกล้าแน่นอน
รถติดกว่าสามชั่วโมง ดาริกาหลับจนถึงบ้านพอปลุกเธอเลยตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงียหันมามองสามีตาขวางอีกที่ขัดการนอนของตนเอง
“อย่ามองแบบนั้นสิจ๊ะ ถึงบ้านแล้วเลยปลุกจ้ะ ไม่ได้กวนเลยนะจ๊ะ” เพิ่งตื่นเลยไม่มีอารมณ์พูดกวนพสุธาตอบ ทั้งสองเดินเข้าบ้านไปหาคุณเนติธรที่ยืนรอต้อนรับบุตรสาวตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้างลูก ดินดูแลดีไหม” ยังไม่ทันที่ดาริกาจะตอบชายหนุ่มผู้มาด้วยก็โพล่งขึ้นเสียก่อน
“ผมดูแลอย่างดีเลยครับคุณพ่อ ไปรับไปส่ง กินอาหารที่เมียทำจนหมด ไม่มีปากเสียงว่ายังไงว่าตามกัน ดีกว่านี้หาไม่ได้อีกแล้วครับ” มือหนากุมข้างหน้าแล้วโฆษณาตัวเองเต็มที่เอาใจพ่อตาที่เริ่มพอใจตนมากขึ้นทีละน้อยแล้ว หากไม่ไปเที่ยวผับของคุณเนติธรบ่อยท่านก็คงไม่เห็นข้อเสียเล็กน้อยเรื่องผู้หญิงหรอก
“จริงหรือเปล่าลูก” โอบไหล่ลูกสาวแล้วถามขึ้น
“ตามนั้นก็ได้ค่ะพ่อ” เหนื่อยจะมาเถียงเพราะหากจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นอย่างที่ว่าจริงยกเว้นเสียแต่เรื่องตามใจทุกอย่างนี่แหละเพราะบางอย่างก็ค้านจนเธอคร้านจะเอ่ยให้มากความ
ทั้งสามรับประทานอาหารเย็นด้วยกันโดยมีดาริกาเข้าครัวระหว่างนั้นพสุธาก็ออกไปนั่งดื่มเบียร์กับพ่อตาพูดคุยเรื่องราวต่างๆ เข้ากันได้ดี กำแพงที่คุณเนติธรสร้างขึ้นมาพังทลายหมดเพราะความช่างพูดของพสุธา
“จริง แต่ก่อนพ่อก็แบบนี้เลย ตอนแม่ยายดาวอยู่นะไปไหนแทบไม่ได้กระดิกตัวทีจ้องตาเขียว” ระบายความเป็นพ่อบ้านแสนดีให้ฟัง
“แต่ก็ยอมใช่ไหมครับ” ท่านพยักหน้าดวงตาล่องลอยเพราะคิดไปถึงครั้งภรรยายังอยู่ข้างกาย เสียดายที่จากไปตั้งแต่ลูกชายได้หกขวบเพราะเป็นมะเร็งปากมดลูก ตรวจพบช้าเกินไปทำให้มันลุกลามไปมากแล้วท่านทำเพียงรอเวลาให้เธอจากไปอย่างสงบเท่านั้น ถือเป็นการสูญเสียที่หนักหน่วงมากแทบไม่เป็นอันทำอะไรวันๆ เอาแต่เมามายจนลูกสาวเดินมาเก็บขวดเบียร์จึงคิดได้กลับมายืนหยัดอีกครั้งและสัญญากับตนเองว่าจะไม่มีใครมาแทนที่เธอจนบัดนี้
“ก็รักมากนั่นแหละ” กับแกล้มมาเสิร์ฟบนโต๊ะพสุธาก็กินเพลิน “แล้วจะไปฮันนีมูนตอนไหน” คุณเนติธรเอ่ยถามขณะยกเบียร์ขึ้นจิบ
“อีกไม่นานหรอกครับ ถามดาวก่อนว่าว่างตอนไหน”
“คิดที่ไว้หรือยัง”
“คิดไว้แล้วครับ คงเป็นทะเล เห็นดาวชอบ” คนเป็นพ่อตาพยักหน้าภูมิใจที่ลูกเขยทำการบ้านมาดี บรรยากาศยามเย็นลมพัดสบาย สักพักก็มีสาวใช้มาเรียกไปยังห้องอาหารเพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้บนโต๊ะหมดแล้ว
“โอ้โฮ น่ากินจังเลย” อาหารมากกว่าห้าอย่างวางเรียงบนโต๊ะอย่างสวยงาม พสุธาเดินมานั่งข้างซ้ายโดยมีภรรยานั่งเก้าอี้ฝั่งขวาคุณเนติธรนั่งหัวโต๊ะ
“ลงครัวเองทุกวันเลยหรือลูก” นั่งเรียบร้อยท่านจึงเอ่ยถามบุตรสาว
“ใช่ค่ะ ถ้าปล่อยให้ดินทำคงไม่ได้กินแน่เผลอๆ หนูว่าครัวจะไหม้ด้วยซ้ำ” ภรรยาเผาสามีทำเอาเขาหน้างอมองค้อนเธอเสียยกใหญ่
“เดี๋ยวต่อไปฉันจะไปเรียนทำอาหารมาให้เธอกิน” ตั้งเป้าหมายเอาไว้ด้วยแววตามุ่งมั่นก่อนจะโดนภรรยาเบรก
“แยกน้ำปลากับซอสให้ได้ก่อนเถอะ” คุณเนติธรหัวเราะลูกเขยก่อนลงมือรับประทานอาหาร บรรยากาศเป็นกันเองและดาริการับรู้ได้ว่าพ่อเริ่มเปิดใจให้พสุธามากขึ้น ใบหน้าหวานยิ้มอย่างมีความสุขแค่คนที่เธอรักสองคนเข้ากันได้ดี ก็พอใจแล้ว
“เราจะไปฮันนีมูนวันไหนดี” ถามขึ้นกลางโต๊ะกินข้าว ร่างบางที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยชะงักเมื่อได้ยินคำว่าฮันนีมูน เธอลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปด้วยซ้ำ
“ไปทำไม” คำถามนั้นทำให้สองหนุ่มต่างวัยมองหน้ากันทันที ไม่คิดว่าจะเจอคำถามแบบนี้จากดาริกาผู้หญิงที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งพ่วงด้วยดีกรีปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเยลเก่งด้านทฤษฎีหากแต่ความรักกลับติดลบอย่างไม่น่าเชื่อ
“ที่รักจ๊ะ การแต่งงานถ้าให้สมบูรณ์แบบเราก็ต้องไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ใต้แสงเทียนแสงดาวสิ” อันที่จริงก็รู้แต่ดาริกาไม่เห็นถึงความสำคัญที่จะต้องไป เธอคิดว่ามันเสียเวลา ไปหลายวันงานก็ต้องลางานขาดรายได้อีก
“ไม่อยากไป นายไปเลย” พอเจอภรรยาตอบแบบนี้สามีก็งงตาแตกเลย ไปฮันนีมูนคนเดียวอย่างนั้นหรือ ให้นอนกอดหมอนข้างหรืออย่างไร
“ได้ไงล่ะ มันคือฮันนีมูนสามีภรรยานะให้ไปคนเดียวฉันก็เปลี่ยวใจแย่” ข้าวบนโต๊ะเริ่มไม่อร่อยสำหรับพสุธาแล้ว เพราะจะพูดอย่างไรภรรยาก็ไม่มีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเลย เธอยืนกรานที่จะไม่ไปฮันนีมูน ทุกครั้งเขามักจะตามใจแต่ครั้งนี้ไม่ได้ อย่างไรเธอก็ต้องไปฮันนีมูน
“ลางานก็เสียรายได้ไม่เอาด้วยหรอก” อีกอย่างเธอยังไม่ชินกับความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา กลัวที่จะอยู่ใกล้พสุธาแล้วทำให้ขาดเขาไม่ได้แค่ทุกวันนี้อีกฝ่ายไปรับส่งไม่ขาดทั้งยังพูดออดอ้อนให้เธอใจอ่อนก็ต้านทานไม่ไหวแล้ว หากให้ใกล้มากกว่านี้กลัวว่าวันหนึ่งต้องเสียเขาไปคนที่เจ็บจะเป็นเธอ
“คุณพ่อครับ ดูลูกสาวคุณพ่อสิ” เมื่อไม่ได้ผลก็ต้องหาตัวช่วยซึ่งคงไม่พ้นคุณเนติธร ท่านสะดุ้งแล้วยิ้มแหยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของสามีภรรยา อีกทั้งลูกสาวยังส่งสายตากดดันมาให้อีก กระแอมเบาๆ แล้วรวบช้อนดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว
“ตกลงกันเองแล้วกัน พ่ออิ่มแล้ว ขอตัว” หยิบผ้ามาเช็ดปากแล้วลุกขึ้นออกจากโต๊ะอาหารที่กลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ ไม่ขออยู่ต่อดีกว่าหนีเอาตัวรอดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“อย่างไรก็ช่าง ฉันไม่ไปแน่”
“เธอต้องไป ครั้งนี้ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย” ยืนกรานหนักแน่น ด้วยวางแผนเอาไว้เสียดิบดีจะมาล่มเพราะภรรยาไม่ยอมไปด้วยไม่ได้
“หรือเธอจะให้ฉันไปกับคนอื่น” พูดเท่านั้นมือบางก็วางช้อนส้อมลงเสียงดัง นัยน์ตาโตแข็งกร้าวพร้อมขย้ำคนตรงหน้าได้ทันทีทำเอาพสุธาอยากตบปากตัวเองร้อยที สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวแล้วไหมล่ะไอ้ดิน
“ลองดูสิ” เป็นสามพยางค์ที่ทำให้ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มาแบบนี้ก็ไม่ขอสู้ทำเพียงยิ้มหวานหวังลดไฟในดวงตาเธอได้
“ไม่จ้ะ ล้อเล่นเฉยๆ ไม่ไปก็ได้จ้ะ” ในที่สุดสามีก็ต้องยอมเธอเพราะไม่อยากทะเลาะกันให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต “แค่นี้ก็จบ” ไม่เคยเลยสักครั้งที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองจะตกอยู่ในอุ้งมือใครสักคนแต่ตอนนี้ประจักษ์แล้ว เหมือนตนเองอยู่ในกำมือของดาริกาจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ทำอะไรไม่ได้เลยเธอช่างเป็นคนกำหนดชะตาเขาโดยแท้
หลังทานข้าวเย็นเสร็จก็ลาคุณเนติธรขับรถกลับคอนโด ระหว่างทางดาริกาก็หลับเหมือนเดิมปล่อยพสุธาขับรถไปด้วยความเงียบแต่นั่นก็ทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้ ฮันนีมูนที่วางไว้จะต้องไม่ล่ม ภรรยาไม่ยอมแต่โดยดีก็ต้องใช้ตัวช่วยเสียหน่อย
ผ่านไปสองสัปดาห์โดยที่สองสามีภรรยาแทบไม่มีเวลาให้กันไม่มีช่วงข้าวใหม่ปลามันทั้งสิ้น เพราะงานที่บริษัทยุ่งเสียจนเวลาจะทานข้าวยังไม่มีไม่ต่างจากพสุธาที่รับงานเยอะราวกับมีหนี้ท่วมหัวพี่ที่บริษัทต่างพากันถามด้วยความสงสัยว่าจะเอาเงินไปทำอะไรเขาก็เพียงยิ้มให้ไม่ได้ไขข้อสงสัยนั้น
“ว่าไงดิน” สองทุ่มครึ่งแล้วดาริกายังคงนั่งทำงานอยู่ที่บริษัท มือเรียวยังพิมพ์งานโดยใช้ไหล่ช่วยประคองโทรศัพท์ไว้
“วันนี้ฉันไม่กลับห้องนะ เร่งทำงาน”
หยุดการทำงานก่อนจะใช้มือจับโทรศัพท์ไว้
“งานเสร็จดึกมากหรือ” แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ต่างคนก็ยุ่งในหน้าที่ของตน แต่ทุกคืนก็กลับไปนอนคอนโดด้วยกันได้นอนข้างกันจนดาริกาชินไปกับการตื่นมาแล้วเห็นร่างสูงนอนหลับอยู่
“ใช่ ว่าจะอยู่ทำจนเช้าเลย ไม่โกรธนะครับ” พยายามถอนหายใจออกมาเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ปลายสายได้ยิน กังวลสารพัดจากนิสัยของพสุธาที่เคยเป็น เขาเจ้าชู้ทำเธอเจ็บช้ำมาหลายหนมาถึงเวลานี้จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนกัน
“อือ อย่าหักโหมนะ”
“เธอก็เหมือนกัน กลับห้องได้แล้ว” บอกราวกับรู้ว่าเธอกำลังทำงานอยู่ออฟฟิศ
“กำลังจะกลับแล้ว”
“ไว้เจอกัน” สายถูกตัดไปเหลือเพียงความเงียบที่โอบล้อมเธอ มองไปก็พบเพียงความว่างเปล่าเพราะทุกคนกลับบ้านหมดแล้วเธอตัดสินใจเซฟงานปิดคอมแล้วเก็บของเพื่อกลับไปคอนโด คงเหงาน่าดูถ้าไม่มีพสุธา การแต่งงานเปลี่ยนคนจริงดังว่า จากที่เคยทำอะไรตัวคนเดียวได้ตอนนี้ต่างออกไป เพียงแค่สัปดาห์ที่ผ่านมาพสุธาไม่ค่อยมาส่งเธอก็รู้สึกเหงา ขับรถมาคนเดียวก็คิดถึงเขาจนอาจจะเข้าขั้นเพ้อเสียด้วยซ้ำทั้งที่เจอกันที่ห้องทุกวัน
เดินมารอลิฟต์ไม่นานก็มาถึง เธอเข้าไปข้างในระหว่างที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดกลับมีคนแทรกเข้ามาก่อน ชายร่างสูงใส่ผ้าปิดปากกว่าครึ่งหน้าทั้งยังมีหมวกสีเข้มปิดบังอีก ดาริกาเริ่มระแวงขยับไปชิดผนังในหัวเริ่มคิดทางหนีทีไล่ ประตูลิฟต์ถูกปิดลงพร้อมการเคลื่อนไปชั้นที่หมาย คนชุดดำเริ่มขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้น
ขาเธอไม่มีแรงจะยืนเพราะไม่เคยพบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต ร่างบางเดินไปกดปุ่มหวังจะเปิดชั้นที่ใกล้ที่สุดให้รอดพ้นจากตรงนี้ชายชุดดำจึงอาศัยช่วงเวลาเธอหันหลังรีบเอาผ้ามาปิดปากและจมูกด้วยความเร็ว มือบางไขว่คว้ากลางอากาศราวกับต้องการตัวช่วยพยายามกลั้นหายใจแต่ไม่เป็นผลเพราะต่อมาเธอก็สลบไม่ได้สติ
เปลือกตาที่ถูกเคลือบด้วยเครื่องสำอางสีหวานค่อยๆ เปิดออกมองเพดานที่เป็นโครงไม้มีฟางวางทับกันแดดกันฝน หันมองด้านข้างหน้าต่างก็เป็นเพียงมุ้งลวดไม่มีประตูปิด ดาริกาค่อยๆ รำลึกถึงเหตุการณ์น่ากลัวที่เธอประสบก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว
“เราถูกลักพาตัวหรือ” ได้แต่ถามตัวเองแล้วสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง ผนังบ้านเป็นไม้สานตัวห้องโล่งมีเพียงเตียงกว้างทั้งยังมีมุ้งห้อยไว้ด้านบน ตู้ไม้สีเข้มคาดว่าน่าจะเป็นตู้เสื้อผ้าอยู่มุมห้องด้านขวาดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่ค่อยมาอยู่ราวกับร้างคนมานาน เธอค่อยๆ หย่อนขาลงเหยียบพื้นเบาๆ เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน ก้มตัวต่ำกว่าหน้าต่างเดินไปที่ประตูห้อง แสงสว่างจากหลอดไฟกลมกลางห้องพอให้เธอมองเห็นด้านนอกที่มืดสนิทอยู่บ้าง
“ทะเลอย่างนั้นหรือ” มองทะลุมุ้งลวดออกไปก็เจอน้ำทะเลยามกลางคืนทั้งยังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งหอบเอาลมเย็นๆพัดผ่านหน้า
“จะจับเรามาขายหรือเปล่า” คิดไปไกลเพราะดูข่าวว่ามีคนถูกจับไปขายเพื่อสนองตัณหาให้พวกคนรวยเยอะ มองสำรวจตนเองก็ยังอยู่ในชุดเดิมพอให้โล่งใจได้บ้าง มือเรียวจับประตูที่ไม่มีลูกบิดหรือที่จับอะไรทั้งสิ้นเป็นเพียงประตูไม้สาน ผลักออกไปพบว่าไม่ได้ล็อกไว้
เมื่อออกมาก็ต้องตะลึงกับบรรยากาศโดยรอบที่มีคบไฟจุดไว้เพื่อให้แสงสว่างแทนหลอดไฟ ช่อดอกไม้ที่ตั้งไว้ข้างกันทั้งยังเทียนหอมที่ส่งกลิ่นหอมหวานราวเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ กระท่อมที่เธออยู่ยื่นออกมากลางทะเลโดยมีสะพานเป็นทางเดินเชื่อมออกจากห้องนอนมาด้านขวาจะเป็นห้องครัวใกล้กันนั้นเป็นห้องน้ำ ส่วนด้านซ้ายเป็นโต๊ะกินข้าวซึ่งตอนนี้มีดอกไม้ประดับไว้กลางโต๊ะ
“นี่มันอะไรกัน” ใครเล่นตลกอะไรกับเธอหรือเปล่าหากถูกจับมาทำไมไม่มีใครมาเฝ้าเลยสักคนไม่กลัวหนีหรือ แต่พอมองไปก็สิ้นหวังเพราะไม่รู้จะหนีอย่างไรมีแต่ทะเลกับป่า ใครพาเธอมาติดเกาะกันเนี่ย
“ว้าย” ในขณะที่กำลังเหม่อก็มีมือปริศนามากอดเธอจากข้างหลัง ใจดวงน้อยหล่นไปอยู่ตาตุ่มตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
“ถ้าขยับจะจับจูบจนปากเปื่อยเลย” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เธอแทบจะร้องไห้ออกมา ความอุ่นวาบวิ่งเข้ามาในหัวใจหันไปมองเขาแล้วยิ้มออกเมื่อพบว่าคนที่กอดคือพสุธาสามีของเธอนั่นเอง
“ดิน” ร่างบางกอดตอบทันที กอดแน่นจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย ดาวเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” กอดเธอแน่นแล้วลูบหัวเบาๆ รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะท้านจากคนในอ้อมกอด ร่างสูงเริ่มหน้าเสียพลางคิดว่าเล่นแรงเกินไปหรือเปล่า
“นายทำบ้าอะไรรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหน” พูดอู้อี้อยู่กับอกหนาพลางทุบหลังชายหนุ่มราวกับต้องการลงโทษที่ทำให้เธอคิดมากและกลัวว่าจะถูกจับมาขาย
“ก็แค่ล้อเล่นเอง ฉันอยากมาฮันนีมูนกลัวเธอไม่มาด้วยเลยต้องใช้วิธีนี้” เฉลยความจริงแต่ดูเหมือนดาริกาจะยังไม่หายโกรธ เธอผละออกจากอกมองสามีตาเขียวพร้อมประทุษร้ายได้ทุกเมื่อจนพสุธาค่อยๆ ถอยหลังออกห่าง
“แล้วทำไมไม่บอกดีๆ เล่นบ้าอะไรของนาย ถ้าเธอฉันกลัวจนช็อกตายจะทำยังไง ไอ้บ้าทำไมชอบเล่นอะไรพิเรนทร์” ใส่ไม่ยั้งมาพร้อมมือที่ทุบบนอกคนตัวสูงอีกตากลมโตยังมีน้ำใสคลออยู่เต็มก่อนเธอจะใช้หลังมือปาดออก
“ขอโทษ ฉันคิดน้อยไปเอง ไม่โกรธนะ ตลอดสองอาทิตย์รีบเคลียร์งานเพื่อการนี้โดยเฉพาะเราอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ” จับมือบางเอาไว้แล้วยกมาจุมพิต ดวงตาของเขาแสดงถึงความจริงใจชัดเจนจนต้องหลบตาเพราะหัวใจที่สั่นแรงในขณะนี้ แววตาทำลายล้างจริงๆ
“พอเลย” ดึงมือตนเองออกมาแล้วก้มหน้าซ่อนความเขินอายไว้ ดีที่ไม่มีแสงส่องมาที่หน้าเธอไม่อย่างนั้นคงทำตัวไม่ถูกมากกว่านี้
“เอาล่ะ ขอต้อนรับสู่การฮันนีมูน เจ็ดวันเจ็ดคืนของเรานะที่รัก” เคลียร์กันเสร็จพสุธาก็ได้ฤกษ์กล่าวต้อนรับผู้มาใหม่ที่รีบเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าฮันนีมูนเจ็ดวัน
“จะบ้าหรือ! เจ็ดวันเสียรายได้ไปตั้งเท่าไหร่ ฉันจะกลับ” ดาริกาผู้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่โวยวายขึ้นมาลืมความเขินอายไปเสียสิ้นแต่เอวบางก็ถูกสามีกอดเอาไว้เสียก่อน
“ฉันลาให้แล้ว ลาไปเลยหนึ่งสัปดาห์ เจ้านายเธอเข้าใจเพราะเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามันแถมยังอวยพรให้มีเจ้าตัวน้อยเร็วๆ ด้วย” ได้อย่างไรกัน อีกคนไปลาให้เธอตอนไหนทำไมไม่รู้เรื่องเลย แสดงว่าทุกคนปิดเงียบไม่มีหลุดรอดมาให้ผิดสังเกตเลย นี่ทำเป็นขบวนการเลยสินะ
“ไม่ต้องมองตาขวางเลยครับ เราแต่งงานกันแล้วก็ต้องมาทำทุกอย่างให้สมบูรณ์สิ” กอดเธอแน่นขึ้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากชิดกัน
“รู้ไหมว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหน เธอจะมาบ่ายเบี่ยงแบบนี้ไม่ได้” ลมหายใจใกล้จนสัมผัสได้ แม้จะจูบกันบ่อยแต่ก็ยังไม่ชินเสียทียิ่งครั้งนี้ที่เขาค่อยๆ เคลื่อนหน้ามาไม่ได้จู่โจมรวดเร็วก็ยิ่งทำให้เธอเขินมากขึ้น
“ฉันขออะไรอย่างได้ไหม” ถามในขณะที่ริมฝีปากห่างกันเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นในความรู้สึกของเธอ
“อะไร” พยายามขยับปากให้น้อยที่สุดเพราะกลัวไปโดนริมฝีปากหนาเข้า
“ดาวจ๋า...” เรียกเสียงหวานจนรู้สึกมวนท้องไปหมดแล้ว “หิวข้าวมากเลยทำอะไรให้กินหน่อยสิ” นั่นปะไร เขาผละออกจากเธอยิ้มหวานอย่างประจบ ความรู้สึกสีชมพูเมื่อครู่หายวับไปทันที พสุธาคือชายผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ไม่มีความโรแมนติกเลยสักนิด! ถึงแม้เธอจะทำเหมือนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เสียหน่อย ความโรแมนติกที่สร้างขึ้นพังทลายเพียงเพราะความหิวของสามีเธอเอง แล้วภรรยาอย่างเธอจะทำอะไรได้นอกจาก
...เดินเข้าครัวทำอาหารค่ำกินกับเขาสองคน
บทที่หก...หวานไปทั้งตัว แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้ “แล้วจะหั่นมาทำไม” “ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ “ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก “แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
บทที่เจ็ด...ร้อนระอุในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด “ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม “ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น “เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว “เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ
บทที่สิบ...เจ็บปวดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทีมงานผ่านไปหนึ่งเดือนโดยไม่มีเรื่องต้องให้ทะเลาะกัน จะมีก็แต่สามีหนุ่มขอทำการบ้านเสียทุกคืนจนดาริกาตื่นไปทำงานสาย บอกหลายรอบว่าไม่ให้ทำรอยที่คอแต่เวลาเผลอทีไรพสุธามักจะปากรอยสีกุหลาบไว้ให้เสมอจนเธอยื่นคำขาดว่าถ้าทำรอยอีกจะอดตามจำนวนรอยดังนั้นพสุธาจึงละจากลำคอไปที่หน้าอกแทน ลายพร้อยจนกลัวตนเองเป็นโรค “ดาวจ๋า อีกสามวันฉันต้องไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่นะ” อาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมแล้วตากล้องสุดหล่อเดินมาจากห้องพร้อมเสื้อหนังสุดเท่ห์นั่งลงที่ประจำของตนเอง “ไปกี่วัน” ดาริกายกข้าวต้มร้อนๆ มาเสิร์ฟกลิ่นหอมฉุยจนท้องร้อง “สามวันสองคืนครับผม” ตอบอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนได้บรรเลงเพลงรักจนร่างกายกระปรี้กระเปร่าจะห่วงก็แต่ภรรยาที่ดูจะมีเวลานอนน้อยกว่าปกติ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์หรือ” นับไปอีกสามวันก็ตรงกับวันหยุดพอดี ร่างบางนั่งลงทานข้าวเช้ากับเขาแล้วจะออกไปทำงานพร้อมกัน เดี๋ยวนี้พสุธาเริ่มรับงานเป็นปกติไม่รับทุกอย่างเหมือนเดิมที่ผ่านมา “ใช่ ไปด้วยไหม” เอ่ยชวนแววตามีความหวัง อาจจะมีการฮันนีมูนรอบสองอีกก็เป็นได
บทที่สิบเอ็ด...เขาคือคนในใจแล้วฉันคืออะไร“พี่ดินมากับพี่ดาวหรือคะ” อยู่ดีๆ บรรยากาศระหว่างพวกเราก็เงียบเสียอย่างนั้น ดาริกาหันไปมองสามีที่ยังคงยิ้มให้สาวน้อยหน้าใสราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ หัวใจเจ็บปวดทั้งที่เคยคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเธอคงไม่เจ็บเท่าไหร่แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เธอเจ็บแต่ก็ต้องแสร้งยิ้ม “ใช่ เล็กไม่รู้หรือว่าพวกพี่แต่งงานกันแล้ว” คำบอกเล่าของพสุธาสร้างความตกใจให้ลักษณ์นาราจนต้องมองทั้งสองสลับกันไปมา “โอ้โฮ ไม่น่าเชื่อเลยแต่เล็กยินดีด้วยนะคะพี่สองคนเหมาะสมกันมาก” แววตากลมโตฉายความจริงใจจนดาริกาใจชื้นขึ้น บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด “มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เจอนานสวยขึ้นนะเรา” “ตามกาลเวลาค่ะพี่ดิน มาเที่ยวหรือมาฮันนีมูนคะเนี่ย เสียดายเล็กไม่ได้ไปงานแต่งเพิ่งกลับมาจากอิตาลีก็ต้องมาทำงานพี่ใหญ่บ่นจะแย่” ไม่คิดว่าน้องสาวจะสนิทกับพสุธาเพราะเธอเอาแต่จ้อไม่หยุดสามีเธอเองก็ตอบโต้อย่างอารมณ์ดี “พี่มาทำงานเลยชวนดาวมาด้วย จริงๆ พวกพี่ไปฮันนีมูนที่ทะเลมาแล้วล่ะ” “หวานน่าดู ถ้ามาเชียงให
บทที่สิบสอง...เมื่อเธอจะไปมีใจรักใครอีกคน ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีปัญหาหรือการทะเลาะของเขาและภรรยาแต่อย่างใดจนเบาใจว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะราบรื่นชีวิตแต่งงานของเขาคงเข้าที่เข้าทางแล้ว ร่างสูงผิวปากเดินลงจากรถพร้อมภรรยาหลังเลิกงานก็ไปรับเธอจากที่ทำงานมุ่งตรงมาบ้านของบิดามารดาเนื่องจากนัดทานข้าวด้วยกันในวันศุกร์ “สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่” เข้ามาภายในบ้านที่อยู่ตั้งแต่เด็กก่อนจะขอออกไปอยู่ที่คอนโดตอนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยอยากใช้ชีวิตคนเดียว “มาเร็วอย่างนี้แสดงว่ารถไม่ติด” มองมารดาที่วางนิตติ้งบนตักลงโต๊ะกลางตัวเล็กพลางลุกขึ้นเดินมาหาลูกสะใภ้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มส่วนบิดาเขาเองก็โอบบ่าลูกชายอย่างสนิทสนมชวนไปห้องรับประทานอาหารเพราะเย็นมากแล้ว “ติดสิพ่อแต่ผมเลิกงานเร็วมาหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะเลยนะครับ” ติดนิสัยอ้อนตั้งแต่เด็กจนโตแม้จะมีคนล้อแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากเห็นว่าคนในครอบครัวชอบทำไมจะต้องไปเอาความคิดคนอื่นมาเปลี่ยนการกระทำของตนเองด้วย “หิวกันรึยัง แม่เขาลงครัวเองเลยนะทำแต่ของชอบหนูดาว” เพราะลูกสะใภ้คนโปรดจะมาเลยแ
บทที่สิบสาม...ถ้าเขามาฉันคงต้องไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วเพราะจิตใจของเธอเหม่อลอยเกินกว่าจะมองนาฬิกานับเวลาได้ ดวงตากลมโตจ้องมองเพียงประตูคิดว่าคนข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่เพราะเขาเงียบไปได้สักพักไม่มีคำขอร้องหรืออ้อนวอนให้ได้ยิน หรือจะกลับไปแล้ว... คิดเท่านั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะไม่พร้อมจะพบกับพสุธาในเวลานี้ ไม่อยากบอกว่าเธอรู้เรื่องเมื่อคืนหมดแล้วที่เขาไปโรงแรมกับลักษณ์นาราแล้วโกหกว่าไปบ้านเพื่อน รู้หมดทุกอย่างจนหัวใจของเธอแตกสลายอีกครั้งเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นมากเท่าไหร่ เธอค่อยๆ เดินไปที่ประตูแนบหูฟังเสียงข้างนอกก็ไม่ได้ยินอะไรจึงถอนหายใจโล่งอกก่อนจะแง้มประตูเปิดอย่างช้าๆ มองลอดออกไปข้างนอกไม่พบแม้แต่เงาของพสุธาคิดว่าคงกลับไปแล้วไม่มาเสียเวลานั่งรอเธอนานขนาดนี้หรอก “ดาว!” เสียงของเขาพร้อมแรงที่จับประตูให้เปิดยิ่งสร้างความตกใจ ดาริการีบปิดประตูแต่ก็ไม่อาจสู้แรงอีกคนได้เขาเปิดเข้ามาภายห้องคว้าร่างบางมากอดเอาไว้แนบอกจนหายใจแทบไม่ออก “ปล่อยนะ