บทที่เจ็ด
...ร้อนระอุ
ในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด
“ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม
“ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น
“เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี
“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว
“เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่นานทุกอย่างก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ พสุธาอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงเลและแน่นอนเขายังไม่อาบน้ำตั้งแต่เช้าเรียกได้ว่าสกปรกทั้งวัน
“โอ้โฮ น่ากินทั้งนั้นเลย” เห็นอาหารระดับภัตตาคารแล้วก็ตาโต ท้องประท้วงด้วยความหิวเพราะไปทำกิจกรรมที่เหนื่อยมาทั้งวันต้องหาอะไรมาเติมพลังเพื่อจะได้มีแรงสำหรับกิจกรรมคืนนี้ คิดพลางก้มหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มคนเดียว
“จะกินไหม” ดาริกาถามเสียงเข้ม
“กินครับผม” รีบเงยหน้ามาตอบแล้วลงมือทานอาหารเย็นทันที เพียงกินคำแรกก็ร้องโอ้โฮตาโตก่อนจะตักคำต่อไปเรื่อยๆ ดาริกาได้แต่อมยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงเอร็ดอร่อยกับอาหารที่เธอทำ
“ต่อไปนี้นายห้ามเข้าครัว ฉันกลัวครัวพัง” ห้ามทันทีซึ่งพสุธาก็ไม่ได้มีท่าทีอิดออดกลับรีบพยักหน้ารัวเร็วกลืนข้าวลงคอรีบตอบ
“ไม่เข้าแน่นอน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอไปเลย ไม่ยุ่งแล้ว แต่จริงๆ เธออาจจะยังไม่รู้ว่าฉันก็พอมีฝีมือทำอาหารบ้าง อย่างสเต๊กก็ปรุงรสได้ดี” คำโอ้อวดที่กล่าวอ้างดูจะไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยเมื่อเหตุการณ์ที่เห็นเขาเข้าครัวย้อนมา
“อย่างนั้นหรือ แต่เท่าที่ฉันจำได้นายเกือบเผาครัวตัวเองเพราะทำสเต๊กนะ” เถียงไม่ออกเลยได้แต่ส่งยิ้มแหยให้เธอ
“ตอนนั้นมันผิดพลาดเล็กน้อย คราวหน้าไม่มีทางพลาด เชื่อฉัน” ดาริกาส่ายหน้า “ไม่มีคราวหน้าแน่นอน ครัวคือสถานที่ต้องห้ามสำหรับนาย ถ้าเข้าไปฉันจะไม่ทำอาหารเผื่อให้ไปหากินเอาเอง” เจอประโยคเด็ดขาดเข้าไปพสุธาก็เงียบกริบ
“ตกลงครับ ไม่เข้าไม่ยุ่งเลย แต่ถ้าหิวน้ำล่ะ” ไม่วายถามกวน
“อันนั้นเข้าได้” หลังตกลงกันได้ก็ทานข้าวไปเรื่อย บรรยากาศเย็นสบายลมพัดเอื่อยๆ ฟังเสียงคลื่นดูพระอาทิตย์ตกดินแสนสุขจน ดาริกาเริ่มไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตวุ่นวายลืมไปเลยว่าเคยเอ่ยไม่อยากมา รับประทานเสร็จชายหนุ่มเป็นคนจัดการเก็บจานและเก็บครัวปล่อยดาริกาเดินเข้าห้องเพื่ออาบน้ำ
ท้องฟ้าถูกทาด้วยสีเข้มพระอาทิตย์ลับไปแล้วแทนที่ด้วยพระจันทร์ที่วันนี้มีเพียงเสี้ยวเดียวแต่ก็สวยในแบบที่เป็น
ภายในห้องน้ำมีฝักบัวและเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยทั้งโถยังเป็นแบบชักโครกไม่ใช่ส้วมซึม ร่างบางจัดการชำระร่างกายและเปลี่ยนเป็นชุดนอนกระโปรงสีขาวยาวกรอมเท้ามีระบายลูกไม้ที่คอเสื้อดูน่ารักและอ่อนหวาน
“อ้าว อาบน้ำเร็วจังเพิ่งหกโมงครึ่งเอง” เข้าห้องนอนมาก็เห็นพสุธาที่เหลือเพียงกางเกงเลเอ่ยถาม เธอหลบตาเพราะไม่อยากมองหุ่นที่ละลายใจสาว
“ร้อนเลยรีบอาบ” พยักหน้าเข้าใจ
“นายก็ไปอาบได้แล้วอยู่ได้ยังไงไม่อาบน้ำทั้งวัน เหนียวตัวแย่สกปรกมากเลย” ไม่วายจะบ่นเขาอีกพสุธาเลยยิ้มประจบ
“จะไปอาบเดี๋ยวแหละจ้ะเมียจ๋า” คร้านจะเถียงบอกกี่ครั้งว่าไม่ให้เรียกแบบนี้อีก ร่างสูงก็ยังจะพูดจนเธอชินกับมันไปเสียแล้ว พสุธาเดินไปห้องน้ำส่วนเธอก็ไปเก็บผ้าห่มและผ้าปูที่ซักไว้ เชื่อเถอะว่าแดดแรงจริงเพราะแม้ตากไว้ตอนบ่ายโดยไม่ใช้เครื่องซักผ้าปั่นแห้งทั้งผ้าปูที่นอนและผ้าห่มก็แห้งสนิทแถมหอมมากอีกด้วย
จัดการปูที่นอนคนเดียวจนกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว เสร็จแล้วเธอก็ยืนชื่นชมผ้าปูเรียบตึงและผ้าห่มที่คลุมไว้อย่างสวยงามราวกับเรียนการโรงแรมด้วยความภาคภูมิใจ “อุ้ย” จะหันไปมองก็ไม่กล้าเพราะหน้าคมอยู่ใกล้ พสุธาชอบมาเงียบๆ แล้วกอดเธอจากข้างหลังเป็นประจำ
“หอมไปถึงข้างนอกเลย ทั้งที่นอนทั้ง...” เว้นเอาไว้แล้วยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเธอ
“เมีย” หลังจบคำพูดหน้าเธอก็ร้อนเห่อเหมือนไฟมาสุม ร่างสูงปล่อยเธอแล้วเดินผิวปากไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพราะตอนนี้ร่างสูงมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันเอวเอาไว้ ดาริกาไม่อาจสู้หน้าเขาได้เพราะเห็นแผ่นหลังกว้างมีรอยข่วนเต็มไปหมด ทั้งที่หน้าอกก็มีรอยจูบด้วยไม่ต่างจากเธอเลย..
ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าแดงก่ำ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนร้อนแรงได้ขนาดนี้ ยิ่งเสียงที่ร้องออกมาก็ทำเอาอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามีความสุขมากจริงๆ
“ที่รัก เหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าเราจะง่วงนอน” มือหนารัดเอวบางมาชิดตนเองแล้วคลอเคลียแก้มเนียนนุ่ม ตอนนี้ราวกับร่างกายของเธอเป็นของเขาไปเสียแล้ว
“ฉันง่วงแล้ว” ดาริดาตัดบทจะเข้าห้องเพื่อหาทางเลี่ยงอ้อมกอดแสนหวาน
“ไม่เอาสิ ยังไม่ง่วงสักหน่อย”
“รู้ได้ไงว่าฉันไม่ง่วง เนี่ยตาจะปิดแล้ว หาว” แสดงสมบทบาทด้วยการปิดปากหาวแต่พสุธากลับหัวเราะออกมากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วหอมแก้มเธอหนักๆ หนึ่งที
“อย่าโกหกเลย ตาเธอมันฟ้องว่าอยากอยู่กับฉันจะตาย” ผละจากเอวบางมายืนตรงหน้าเธอแล้วจับใบหน้าหวานเงยขึ้นก่อนจะบรรจงจูบอย่างแสนหวาน แม้ว่าจะไม่ทันตั้งตัวแต่ดาริกาก็เริ่มมีประสบการณ์จึงโต้ตอบกลับแบบเงอะงะสร้างความสุขใจให้พสุธา เขาจูบเธอจนแทบหมดลมหายใจก่อนจะปล่อยร่างบางให้ได้เอาอากาศเข้าปอดแล้วก้มลงงับปากล่างอย่างหยอกเอิน
“พอแล้ว” มือเล็กผลักออกแล้วก้มหน้างุดข่มอารมณ์ที่ตีขึ้นมา เคยได้ยินว่าหากได้ลองสักครั้งจะติดใจเธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองเพราะแค่โดนจูบเธอก็เตลิดเห็นภาพเมื่อคืนและแปลกที่โหยหาความใกล้ชิดที่มากกว่านี้จึงต้องผลักอีกคนออก
“ไปพายเรือกันไหม” เปลี่ยนอารมณ์ฉับพลันทำให้เธอตามไม่ทัน “ไปนอนดูดาวบนเรือกัน” ไม่รู้ว่าโฆษณาชวนเชื่อหรือเปล่าแต่ดาริกาก็เดินตามไป ร่างสูงจูงมือเธอไปยังเรือซึ่งถูกผูกไว้กับตอไม้อยู่ใกล้ระเบียงนั่งเล่นมีบันไดลงซึ่งเมื่อคืนเธอไม่เห็น
“ลงมาเลย” ยื่นมือมาให้เธอจับในขณะที่เขานั่งบนเรือแล้ว ดาริกาจับมือหนาแล้วขึ้นไปบนเรือรีบนั่งลงกลัวตก เรือทำด้วยไม้สักอย่างดีพื้นเรียบมีเสื่อปูเหมือนเตรียมการมา เธอนั่งข้างหน้าปล่อยให้พสุธาพายเรือออกไป ยามค่ำคืนที่มีเพียงแสงจากดวงจันทร์และตะเกียงตั้งอยู่หัวเรือให้แสงสว่าง พยายามซึมซับบรรยากาศแบบนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มาอีก
“สวยไหม” เห็นเธอเงยหน้ามองดวงจันทร์ก็ถามขึ้น ดวงหน้าคมยิ้มดีใจที่เธอชอบ
“สวยมาก” สาวชาวกรุงไม่เคยพบจึงดื่มด่ำกับสิ่งรอบกายไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้พสุธาหยุดพายเรือเพราะมากลางน้ำแล้วทั้งยังค่อยๆ เขยิบมานั่งข้างเธออีกด้วย ดีที่เรือกว้างพอจะให้นั่งข้างกันโดยไม่รู้สึกโคลงเคลง
“แต่รู้ไหมว่าเธอสวยที่สุด ยิ่งตอนนี้ยิ่งสวย” ไม่ได้เอ่ยชมเกินจริง ร่างบางในชุดขาวผมดำแผ่สยายเต็มแผ่นหลังมองแล้วคล้ายเทพธิดาลงมาเล่นน้ำเมืองมนุษย์ด้วยซ้ำ ดาริกาหันมามองเขาก็หน้าแดงรีบหลบแสร้งมองผืนน้ำที่กระเพื่อม
“มานั่งตอนไหน”
“นานแล้ว เธอไม่เห็นเอง” บรรยากาศที่เงียบทำให้แม้พูดเบาแค่ไหนก็ได้ยิน และได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็ว
“เราแต่งงานกันมาได้หนึ่งเดือนแล้ว เธอ..รู้สึกยังไงบ้าง” ไม่คิดว่าพสุธาจะถามขึ้นมา ดาริกาเม้มปากพลางคิดคำตอบที่ชัดเจนในใจของเธอ หนึ่งเดือนมานี้เธอมีความสุขมาก สุขที่ได้อยู่ใกล้เขา คอยดูแลแม้จะมีบ้างที่บ่นหรือทะเลาะกันแต่พสุธาก็ยอมอ่อนให้จนบางครั้งเธอก็ได้ใจ ติดเขาจนไม่อยากคิด หากวันหนึ่งพสุธามีใครอื่นเธอจะเป็นเช่นไร ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็แค่เรื่องผิดพลาดไม่ใช่ความรัก
“ก็ดี” ตอบสั้นจนร่างสูงขมวดคิ้วไม่พอใจ
“เดือนหนึ่งมีสามสิบวัน หรือสามสิบเอ็ดวัน เวลาพวกนั้นมันทำให้เธอตอบฉันแค่ก็ดีอย่างนั้นหรือ” เสียงเข้มแบบนี้จะได้ยินเฉพาะตอนที่ไม่ได้ดั่งใจซึ่งน้อยครั้งเขาจะไม่พอใจ
“แล้วจะให้ตอบยาวแค่ไหนให้พูดคำขวัญจังหวัดเลยไหม”
“ดาวอย่าเฉไฉ ฉันถามความรู้สึกเธอจะมาพูดคำขวัญจังหวัดบ้าบออะไรกัน” หากไม่กลัวว่าเรือจะล่มคงได้จับเด็กปากแข็งตีก้นสักทีสองที
“ก็ตอบแล้วไง จะถามอะไรกันนักหนา” คนปากแข็งยังคงมองออกไปเรื่อยไม่กล้าสบตาคมกล้าที่มีแววโกรธกรุ่น
“แล้วถ้าฉันถามว่าทำไมคืนนั้นเธอหนีไปจะบอกว่ายังไง ทำไมวันต่อมาฉันไปหาที่บ้านเธอถึงไปอเมริกาแล้ว ทำไมต้องบล็อกเบอร์ ต้องตัดขาดการติดต่อจากฉัน ตอบฉันได้ไหมดาวว่าทำไม” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยระคนน้อยใจ ดาริกาไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ จึงก้มหน้าลงแต่อีกฝ่ายก็เอามือมาเชยคางเธอขึ้น
“ตอบสิ” เพราะไม่มีคำตอบความเงียบจึงปกคลุมไปทั่ว จากบรรยากาศอบอวลด้วยความอบอุ่นกลับเริ่มร้อนระอุเพราะดวงตาคมราวกับมีไฟอยู่ในนั้น
“แค่ตอบฉันว่าทำไมมันยากมากนักหรอ เธอทิ้งฉันไปทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราจูบกันเนี่ยนะ” ถามเสียงดังอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ดาริกาเองก็ปัดมือเขาทิ้งอยากจะตะโกนเหลือเกินแล้วหลังจากนั้นผู้ชายหน้าไหนไปเอากับผู้หญิงอื่นต่อแต่ก็เก็บเอาไว้ไม่อาจพูดออกไปให้รู้ว่าเธอหึงเขา
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด” ข่มเสียงให้ตอบแบบนิ่งๆ พสุธาถอนหายใจออกมาก้มหน้าลงราวกับต้องการซ่อนความเจ็บปวด
“บางทีฉันก็เหมือนรู้จักเธอ แต่บางทีเธอก็เหมือนเป็นอีกคนที่ฉันไม่รู้จัก ขอร้องดาริกาช่วยพูดอะไรให้มันตรงกับใจได้ไหม” เรียกด้วยชื่อจริงที่นานครั้งจะเอ่ยแบบนี้ หญิงสาวยังคงหนักแน่นที่จะไม่พูดออกไป ความเงียบจึงเป็นคำตอบที่พสุธาได้รับ
“กลับเข้าฝั่งเถอะ” หากอยู่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้เสียบรรยากาศไปมากกว่านี้เธอจึงชวนกลับ
“ไม่ ถ้าไม่ตอบก็นอนมันตรงนี้แหละ” ได้ทีก็ดื้อดึงบ้าง
“ดิน พายเรือกลับเดี๋ยวนี้” สั่งเสียงเข้มแต่ชายหนุ่มไม่มีทีท่าจะทำตาม หากเธอพายเรือเป็นก็คงจับไม้พายไปแล้ว แต่เธอพายไม่เป็น
“อยากกลับก็ว่ายน้ำกลับไปเองแล้วกัน” ทั้งสองไม่มองหน้ากันต่างพากันหันไปคนละทางทั้งที่นั่งข้างกัน ดาริกามองผืนน้ำก่อนจะเหลียวมองสามีหนุ่มก่อนตัดสินใจกระโดดลงไปในทะเล
ตูม!
“เฮ้ยดาว!” ตกใจไม่คิดว่าเธอจะกระโดดลงน้ำ ดาริกาว่ายน้ำไม่แข็งเขาจึงเชื่อว่าเธอจะต้องยอมตอบคำถามเขาแต่ลืมไปว่าเธอใจหินแค่ไหน “โธ่เอ๊ย” สบถด้วยไม่พอใจแล้วโดดลงน้ำตามเธอไป
“เธอโดดลงมาทำไม” ด้วยความเป็นแชมป์นักว่ายน้ำเก่าจึงกระโดดลงแล้วว่ายน้ำไม่ถึงนาทีก็จับตัวเธอไว้ได้แล้ว
“ก็นายไม่พาฉันกลับ แล้วยังบอกอีกว่าถ้าจะกลับก็ให้ว่ายไปเองฉันก็ทำแล้วไง” ยอกย้อนจนอยากคว้ามาตีก้นเสียให้เข็ด รู้ทั้งรู้ว่าว่ายน้ำไม่แข็งก็ยังจะดึงดันลงมาอีก เขาหัวเสียเป็นอย่างมากจับมือเธอให้เกาะไหล่หนาเอาไว้
“ว่ายน้ำไม่แข็งยังอวดเก่งอีก มานี่เลย” จะพาขึ้นเรือแต่ดาริกาไม่ยอมขืนตัวเอาไว้
“ไม่ไป จะว่ายไปเอง” ระยะทางที่เขาออกมาดูเหมือนไม่ไกลแต่หากว่ายไปเองก็ไม่ใกล้เลย สำหรับคนที่ว่ายน้ำแข็งยังดูท่าจะไม่รอดแล้วเธอที่แค่นี้ก็เริ่มหอบจะรอดหรือ
“อย่าดื้อ ขึ้นเรือ” เริ่มสลับบทบาทกันแล้วหลังจากพสุธาโดนกดขี่มานาน ครั้งนี้สั่งเธอบ้างด้วยความเป็นห่วงแต่ดูเหมือนภรรยาจะไม่เข้าใจ
“จะขึ้นหรือไม่ขึ้น” ดาริกาส่ายหน้าเป็นพัลวัน ผมยาวเปียกลู่แนบไปกับใบหน้าชุดนอนสีขาวก็แนบลำตัวเห็นไปถึงไหนต่อให้ยิ่งเธอไม่ใส่ชั้นในด้วยแล้วเขาก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ ข่มความอยากที่พุ่งขึ้นมาเร็วจนคาดไม่ถึง
“ไม่ขึ้น” ในเมื่อเธอเลือกแล้วเขาก็เลือกเช่นกัน พสุธาดึงดาริกาเข้ามาบดจูบอย่างเร่าร้อนทั้งที่น้ำทะเลเย็นฉ่ำ ร่างสูงใช้ความช่ำชองดึงให้ดาริกาตามเกมที่เขาวางเอาไว้ มือที่จับไหล่เปลี่ยนเป็นคล้องคอเอาไว้แทนก่อนบดเบียดร่างกายเข้าหาไออุ่นจากสามีหนุ่ม ริมฝีปากยังคงไม่ละจากเธอแต่ก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางของตนเองออก
“เธอเลือกในน้ำเองนะ” ตอบกลับเสียงเจ้าเล่ห์มองแววตาหวานที่ฉายความปรารถนาล้นปรี่ ร่างสูงอมยิ้มสมใจแล้วถอดชุดนอนสีขาวที่ตอนนี้แทบไม่ปกปิดอะไรออกจากตัวเธอ
“ฉันไม่ได้เลือก อื้อ” แหงนใบหน้าขึ้นมองพระจันทร์เมื่ออีกคนใช้มือประคองอกอวบก่อนแตะเบาๆที่ปลายถันจนมันชูชันรับมือหนา
“จับไหล่ฉันไว้นะ” ดาริกากอดคอหนาไว้เพราะกลัวจมเนื่องจากตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะตีขาใต้น้ำ ใบหน้าคมอมยิ้มแล้วดึงเธอลงไปใต้ทะเลอย่างไม่ทันตั้งตัว ดาริกาตกใจจนหัวใจเต้นเร็วดังกลองรัวพยายามฝืนขึ้นเหนือน้ำแต่เขาประคองใบหน้าหวานแล้วจูบเพื่อถ่ายเทอากาศจากตนไปให้เธอ น้ำทะเลว่าเค็มแปลกที่เธอรู้สึกว่ามันหวาน แม้จะไม่ดีเหมือนสูดอากาศเองแต่ก็เร่งเร้าอารมณ์จนต้องเบียดกายเข้าหาสามีมากกว่าเดิมจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
“อื้อ” ดันเธอให้ขึ้นไปเหนือน้ำเมื่อจูบใต้น้ำจนพอใจ ดาริกาสูดอากาศเข้าปอดแล้วพอพสุธาโผล่มาเธอก็ตีอีกฝ่าย “เล่นอะไรเนี่ย”
“ลองใต้น้ำบ้าง สนุกดีไหม” เป็นคำถามที่ปฏิเสธได้ไม่เต็มคำเพราะลึกๆ ก็รู้สึกดี เมื่อเธอไม่ตอบเขาก็เหมาไปเองว่าเธอชอบร่างหนาจึงเคลื่อนเข้าหาภรรยาจับเธอหันหลังโดยมีร่างหนาโอบกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง
“แสงจันทร์สวยไหม” ถามเสียงนุ่มข้างหู ดวงตากลมโตมองดวงจันทร์ในน้ำที่เกิดจากการสะท้อนของแสงก็พยักหน้า
“ฉันดีใจที่เธอชอบ” กอดเธอเอาไว้โดยที่มือก็ทำหน้าที่ได้ดีกอบกุมบัวงามพลางเคล้นคลึงด้วยต้องการสร้างอารมณ์ให้เธอซึ่งได้ผลเพราะมันคือจุดอ่อนของเธอที่ตนเองเพิ่งรู้เมื่อวาน กางเกงเลถูกถอดออกแล้วหายไปแล้วโดยร่างสูงไม่ใส่ใจที่จะหา
“คืนนี้ยังอีกยาวไกลที่รัก” เธอรับรู้ได้ถึงความแข็งขืนที่จ่อด้านหลังตนเอง ใบหน้าหวานแดงซ่านแต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามได้เพราะใจก็ยอมรับว่ารอช่วงเวลานี้อย่างน่าอาย มือข้างซ้ายที่เคล้นอกสวยมืออีกข้างก็ค่อยๆ ไล่ระดับลงมาจับกลีบดอกแสนงามแหวกออกก่อนดันตัวตนแข็งขืนเข้าไป แม้ในน้ำจะบังคับยากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของตากล้องหนุ่มหล่อ
“จูบหน่อย” ละจากดอกบัวงามมาจับใบหน้าหวานให้หันมารับจูบจากเขา กายสาวแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาเข้ามาภายในแต่พสุธาก็รู้ดีจึงใช้จูบแสนหวานดับความเจ็บปวดเพราะยังไม่ชินกับขนาดของเขาแทน เสียงร่างกระทบกันดังก้องในความรู้สึก
“อื้ออ่าโอ้ย แรงอีก” ร่างสูงยิ้มสมใจเมื่อลูกศิษย์ที่พร่ำสอนเริ่มเรียนรู้บทเรียนที่ให้ไป
“ย่อมได้ ที่รัก” เพิ่มความแรงจนร่างบางเด้งรับไม่ทัน นักเรียนคนเก่งพยายามจำที่สามีสอนและทำตามอารมณ์ปรารถนาเบื้องลึกที่เก็บซ่อนไว้จนในที่สุดปลายเท้าก็แตะจุดสูงสุดแห่งอารมณ์หมาย เขาถอนกายออกแล้วจับเธอหมุนมาซบไหล่
“แค่นี้เหนื่อยได้ไง” ว่ากันว่าอารมณ์ชายย่อมไม่มีวันสิ้นสุด พสุธาเริ่มอีกครั้งโดยที่เธอไม่สามารถประท้วงอะไรได้เลยนอกจากปล่อยตามเลยแม้จะกลัวว่าตนเองจะล่วงลงน้ำแต่เชื่อมั่นในร่างสูงว่าจะไม่ปล่อยเธอจมแน่นอนอีกอย่างคือไม่สามารถห้ามอารมณ์ต่ำในกายที่เริ่มปะทุขึ้นมาอีกรอบได้
ท่ามกลางแสงจันทร์หมู่ดาวสองหนุ่มสาวดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันจนหมดแรงในน้ำ
“ขอบนเรืออีกนะ” ร้องขออีกรอบ อีกรอบและอีกรอบจนร่างบางแทบรับไม่ไหว เธอหมดแรงในอ้อมกอดเขาบนเรือ ร่างกายเปล่าเปลือยนอนกอดกัน “ลองออนท็อปดูไหม” ร่างบางยังคงหอบเหนื่อยแต่กลับคิดวาดภาพว่าหากเธออยู่ด้านบนร่างเขาจะรู้สึกอย่างไร
“ไม่ไหวแล้วนะ” บอกเสียงแหบหลังจากปล่อยให้เธอครางแสนนาน
“ลองสักหน่อย มาที่รักเดี๋ยวช่วยเอง” ดึงร่างบางที่นอนกอดให้ขึ้นคร่อมตนเอง ให้ตายพสุธาตาพร่าไปหมดแล้วร่างกายขาวนวลราวกับมีแสงรอบตัว ผมยาวสยายที่เปียกน้ำแนบลู่ไปกับลำตัวปิดบังบัวคู่งามเอาไว้จนต้องปัดออกเพื่อบดขยี้ยอดบัวสีสวย เสียงครางดังไปทั่วก่อนเขาจะจับลูกชายที่แข็งตัวจ่อเข้าไปในกายสาว
“ค่อยๆ ขยับ” แม้จะเป็นครั้งแรกที่ลองให้เธอทำท่านี้แต่หญิงสาวก็เรียนรู้ได้เร็ว เธอทำราวกับเขาเป็นม้าให้เธอควบ มือหนายังบีบเคล้นอกคู่สวยเปล่งเสียงตามอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา
“อื้อ ดีมากที่รัก เร็วอีก” สั่งเธอซึ่งอีกฝ่ายก็หัวไวเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้นราวกับทะยานขึ้นบนฟ้าจนในที่สุดก็ถึงเส้นชัย “อื้อ” ร้องพร้อมกันก่อนที่เธอจะซบลงที่ไหล่เขาอีกครั้ง เหนื่อยจนหมดแรงหากเขาต้องการอีกเธอคงไม่ไหวแล้ว
“ดาวจ๋า”
“ไม่ไหวแล้ว ฉันหมดแรงแล้วนะดิน” กลัวอีกฝ่ายจะขออีกเธอจึงพูดขึ้นแม้ตายังคงหลับอยู่ไม่สนใจว่าเขาจะจับส่วนไหนของร่างกายเธอเพราะเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะห้ามปราม พสุธาอมยิ้มมองร่างบางที่นอนอยู่บนร่างตนค่อยๆ ดึงลูกชายออกจากกายเธอ
“รู้แล้ว นอนเถอะ” ลูบหลังเนียนกล่อมให้เธอหลับแล้วหาชุดนอนของเธอที่ถอดออกมาสวมให้กลัวไม่สบายส่วนตนเองก็ใส่เพียงเสื้อเท่านั้นเพราะกางเกงเขาหายไปแล้ว ค่อยๆ กระเถิบไปเอาไม้พายแล้วนั่งขัดสมาธิโดยมีดาริกานอนบนตัก เขายิ้มอย่างมีความสุขก้มลงจุมพิตหน้าผากมน
“ฝันดีนะ ที่รัก” เธออาจจะคิดว่าเขาพูดลอยๆ หรือแกล้งกวนประสาทแต่ที่จริงแล้วทุกครั้งที่เรียกเธอว่าที่รักเขารู้สึกและหมายความตามนั้นจริง พายเรือเข้าฝั่งก่อนพสุธาจะอุ้มภรรยาเข้าไปภายในบ้าน ดีที่เป็นเกาะส่วนตัวจึงไม่มีใครเห็นของดีที่ร่างสูงโชว์ไม่อย่างนั้นคงได้ขึ้นหน้าหนึ่งเป็นแน่
แม้จะเช้าแล้วแต่ร่างบางก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย พสุธาที่ตื่นก่อนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เป็นห่วงเดินมาจับแขนเธอก็ต้องร้องตกใจเพราะภรรยาตัวร้อนเป็นไฟ รีบวิ่งไปยังอีกฝากของเกาะก็พบบ้านปูนสีขาวสองชั้นขนาดกลางมีต้นไม้ปลูกล้อมรอบดูร่มรื่นน่าอยู่
“ป้าสมัยครับ ป้าสมัย” ตะโกนเรียกจนคนข้างในรีบเดินออกมา ป้าสมัยหญิงวัยหกสิบปีรูปร่างท้วมส่วนเสื้อม่อฮ่อมกับผ้าถุงเดินถือตะหลิวออกมาหน้าตื่น
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณดิน” เธอเป็นแม่บ้านดูแลบ้านมานานหลายปี ได้ยินว่าเจ้านายจะมาฮันนีมูนก็จัดบ้านไว้อย่างดีแต่อีกฝ่ายดันจะไปอยู่กะท่อมกลางทะเลเสียอย่างนั้นแถมกำชับไม่ให้ใครไปยุ่งด้วยอีก มีแค่ลุงสมสามีของป้าเท่านั้นที่กล้าไปชวนหาปลาเมื่อวาน
“เมียผมป่วยครับป้า ตัวร้อนมากเลยทำยังไงดี” บอกเสียงกังวลด้วยสีหน้าร้อนรน คนเป็นป้าก็กระวีกระวาดเข้าไปในบ้านหาหยูกยาและนำข้าวต้มที่ทำเพิ่งเสร็จใส่ปิ่นโตพร้อมแนะนำวิธีดูแลคนป่วยให้เสร็จสรรพ
“มาแล้วดาว” วิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบ เขาเริ่มเช็ดตัวเธอและเอาแผ่นเจลแปะหน้าผากมนไล่ความร้อนออก พสุธานั่งเช็ดตัวให้เธอจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว
“ดาวเป็นยังไงบ้าง” ถามเสียงตื่นเต้นแล้วพยุงเธอให้ลุกขึ้นนั่งใช้หมอนรองด้านหลังให้ดาริกาพิงเตียง
“หิวน้ำ” ได้ยินเธอบอกแบบนั้นก็รีบรินน้ำยื่นให้เธอทันที หลังดื่มน้ำจนหมดค่อยให้เธอทานข้าวต้มของป้าสมัยก่อนจะกินยา
“ขอโทษที่ทำให้ป่วยนะ” จับมือเธอแล้วมองตาขอโทษอย่างรู้สึกผิด เมื่อวานเขาเรียกร้องจากเธอมากเกินไป ในน้ำหลายรอบทั้งยังมาบนเรืออีกไม่แปลกที่หญิงสาวจะเป็นไข้ ดาริกาหน้าแดงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เธอกล้าทำแบบนั้น
“ง่วงแล้ว” ทั้งที่เพิ่งตื่นเธอก็บอกว่าง่วงทำทีเอนตัวลงนอนห่มผ้าไปกว่าครึ่งหน้าแล้วหลับตาลง ใบหน้าหวานแดงซ่านด้วยไม่รู้เพราะพิษไข้หรือเขินอายกันแน่ พสุธาเก็บถ้วยข้าวต้มและถ้วยเล็กสำหรับใส่ยาออกไปล้าง
ลับหลังร่างสูงเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อายกับเหตุการณ์เมื่อคืนเหลือเกินที่ยอมทำตามใจเขาทุกอย่างทั้งยังร้องจนเสียงแหบ เปิดผ้าห่มดูตนเองก็เบาใจที่มีชุดนอนอีกตัวบนร่างกายคงเป็นเขาที่ใส่ให้เธอ รอยแดงเต็มตัวไปหมดทั้งรอยเก่ารอยใหม่อายจนต้องรีบห่มผ้าไม่ให้คิดถึงสาเหตุของรอยพวกนี้
“นอนได้แล้วดาว นอน” กล่อมตัวเองสักพักก็หลับเพราะฤทธิ์ยา พสุธาเข้ามาดูภรรยาเห็นเธอหลับก็เดินออกไปข้างนอก พสุธาเห็นต้นมะพร้าวมีลูกอยู่เยอะจึงคิดจะปีนขึ้นไปเก็บ เรื่องปีนต้นไม้นี่ขอให้บอกหัดมาตั้งแต่เด็กไม่มีพลาด
“ว้าย คุณดินทำไมไปปีนต้นมะพร้าวแบบนั้นคะ” ป้าสมัยเดินมาพร้อมปิ่นโตอาหารเที่ยงเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังเก็บมะพร้าวโยนลงมาข้างล่างก็หัวใจ จะวาย
“เก็บมะพร้าวให้เมียครับป้า เมียผมชอบดื่มน้ำมะพร้าว” จำได้ไม่เคยลืมเรื่องของเธอ
“ได้แล้วก็ลงมาเถอะค่ะ ป้าละกลัวแข้งขาจะหักเอา” มองแล้วก็รู้สึกหวาดเสียวเพราะความสูงของต้นมะพร้าว พสุธาหัวเราะแล้วค่อยๆ ไต่ลงมาจนถึงพื้น
“ป้าเอาไปสักลูกสองลูกสิครับ” มะพร้าวที่เขาปีนขึ้นไปเอาตกเกลื่อนพื้นถึงสี่ห้าลูกจึงแบ่งให้ป้าสมัยเอาไปกินกับสามี
“ขอบคุณนะคะ นี่ป้าก็ทำอาหารมาให้เมียคุณดินหลายอย่างเลยค่ะ” รับปิ่นโตมาแล้วขอบคุณป้าที่อุตส่าห์เอามาให้เพราะหากให้ทำเองกลัวเหลือเกินว่าครัวจะพังก่อนได้กิน ชายหนุ่มถือมะพร้าวและปิ่นโตเข้าไปในบ้าน คงต้องรอเธอตื่นก่อนค่อยทานข้าวระหว่างนี้เขาใช้เวลาในการปอกมะพร้าวเอาน้ำใส่ขันสเตนเลสไว้สำหรับดาริกาโดยเฉพาะ
“เก่งเหมือนกันนะเรา” ชมตัวเองเมื่อมองสิ่งที่ทำเสร็จ ทั้งน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวซึ่งเขาขูดเอาไว้ให้เธอใส่จานอย่างเรียบร้อย ตื่นมาดาริกาต้องภูมิใจในตัวสามีแสนดีคนนี้แน่นอน ฮันนีมูนครั้งนี้จะต้องไม่ล่มเขาเหลืออีกตั้งหลายบทเรียนจะสอนให้เธอได้รู้ ต้องรีบให้นักเรียนคนเก่งหายจะได้ขึ้นบทเรียนต่อไปโดยไม่ถามความสมัครใจเธอสักนิด
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ
บทที่สิบ...เจ็บปวดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทีมงานผ่านไปหนึ่งเดือนโดยไม่มีเรื่องต้องให้ทะเลาะกัน จะมีก็แต่สามีหนุ่มขอทำการบ้านเสียทุกคืนจนดาริกาตื่นไปทำงานสาย บอกหลายรอบว่าไม่ให้ทำรอยที่คอแต่เวลาเผลอทีไรพสุธามักจะปากรอยสีกุหลาบไว้ให้เสมอจนเธอยื่นคำขาดว่าถ้าทำรอยอีกจะอดตามจำนวนรอยดังนั้นพสุธาจึงละจากลำคอไปที่หน้าอกแทน ลายพร้อยจนกลัวตนเองเป็นโรค “ดาวจ๋า อีกสามวันฉันต้องไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่นะ” อาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมแล้วตากล้องสุดหล่อเดินมาจากห้องพร้อมเสื้อหนังสุดเท่ห์นั่งลงที่ประจำของตนเอง “ไปกี่วัน” ดาริกายกข้าวต้มร้อนๆ มาเสิร์ฟกลิ่นหอมฉุยจนท้องร้อง “สามวันสองคืนครับผม” ตอบอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนได้บรรเลงเพลงรักจนร่างกายกระปรี้กระเปร่าจะห่วงก็แต่ภรรยาที่ดูจะมีเวลานอนน้อยกว่าปกติ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์หรือ” นับไปอีกสามวันก็ตรงกับวันหยุดพอดี ร่างบางนั่งลงทานข้าวเช้ากับเขาแล้วจะออกไปทำงานพร้อมกัน เดี๋ยวนี้พสุธาเริ่มรับงานเป็นปกติไม่รับทุกอย่างเหมือนเดิมที่ผ่านมา “ใช่ ไปด้วยไหม” เอ่ยชวนแววตามีความหวัง อาจจะมีการฮันนีมูนรอบสองอีกก็เป็นได
บทที่สิบเอ็ด...เขาคือคนในใจแล้วฉันคืออะไร“พี่ดินมากับพี่ดาวหรือคะ” อยู่ดีๆ บรรยากาศระหว่างพวกเราก็เงียบเสียอย่างนั้น ดาริกาหันไปมองสามีที่ยังคงยิ้มให้สาวน้อยหน้าใสราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ หัวใจเจ็บปวดทั้งที่เคยคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเธอคงไม่เจ็บเท่าไหร่แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เธอเจ็บแต่ก็ต้องแสร้งยิ้ม “ใช่ เล็กไม่รู้หรือว่าพวกพี่แต่งงานกันแล้ว” คำบอกเล่าของพสุธาสร้างความตกใจให้ลักษณ์นาราจนต้องมองทั้งสองสลับกันไปมา “โอ้โฮ ไม่น่าเชื่อเลยแต่เล็กยินดีด้วยนะคะพี่สองคนเหมาะสมกันมาก” แววตากลมโตฉายความจริงใจจนดาริกาใจชื้นขึ้น บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด “มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เจอนานสวยขึ้นนะเรา” “ตามกาลเวลาค่ะพี่ดิน มาเที่ยวหรือมาฮันนีมูนคะเนี่ย เสียดายเล็กไม่ได้ไปงานแต่งเพิ่งกลับมาจากอิตาลีก็ต้องมาทำงานพี่ใหญ่บ่นจะแย่” ไม่คิดว่าน้องสาวจะสนิทกับพสุธาเพราะเธอเอาแต่จ้อไม่หยุดสามีเธอเองก็ตอบโต้อย่างอารมณ์ดี “พี่มาทำงานเลยชวนดาวมาด้วย จริงๆ พวกพี่ไปฮันนีมูนที่ทะเลมาแล้วล่ะ” “หวานน่าดู ถ้ามาเชียงให
บทที่สิบสอง...เมื่อเธอจะไปมีใจรักใครอีกคน ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีปัญหาหรือการทะเลาะของเขาและภรรยาแต่อย่างใดจนเบาใจว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะราบรื่นชีวิตแต่งงานของเขาคงเข้าที่เข้าทางแล้ว ร่างสูงผิวปากเดินลงจากรถพร้อมภรรยาหลังเลิกงานก็ไปรับเธอจากที่ทำงานมุ่งตรงมาบ้านของบิดามารดาเนื่องจากนัดทานข้าวด้วยกันในวันศุกร์ “สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่” เข้ามาภายในบ้านที่อยู่ตั้งแต่เด็กก่อนจะขอออกไปอยู่ที่คอนโดตอนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยอยากใช้ชีวิตคนเดียว “มาเร็วอย่างนี้แสดงว่ารถไม่ติด” มองมารดาที่วางนิตติ้งบนตักลงโต๊ะกลางตัวเล็กพลางลุกขึ้นเดินมาหาลูกสะใภ้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มส่วนบิดาเขาเองก็โอบบ่าลูกชายอย่างสนิทสนมชวนไปห้องรับประทานอาหารเพราะเย็นมากแล้ว “ติดสิพ่อแต่ผมเลิกงานเร็วมาหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะเลยนะครับ” ติดนิสัยอ้อนตั้งแต่เด็กจนโตแม้จะมีคนล้อแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากเห็นว่าคนในครอบครัวชอบทำไมจะต้องไปเอาความคิดคนอื่นมาเปลี่ยนการกระทำของตนเองด้วย “หิวกันรึยัง แม่เขาลงครัวเองเลยนะทำแต่ของชอบหนูดาว” เพราะลูกสะใภ้คนโปรดจะมาเลยแ
บทที่สิบสาม...ถ้าเขามาฉันคงต้องไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วเพราะจิตใจของเธอเหม่อลอยเกินกว่าจะมองนาฬิกานับเวลาได้ ดวงตากลมโตจ้องมองเพียงประตูคิดว่าคนข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่เพราะเขาเงียบไปได้สักพักไม่มีคำขอร้องหรืออ้อนวอนให้ได้ยิน หรือจะกลับไปแล้ว... คิดเท่านั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะไม่พร้อมจะพบกับพสุธาในเวลานี้ ไม่อยากบอกว่าเธอรู้เรื่องเมื่อคืนหมดแล้วที่เขาไปโรงแรมกับลักษณ์นาราแล้วโกหกว่าไปบ้านเพื่อน รู้หมดทุกอย่างจนหัวใจของเธอแตกสลายอีกครั้งเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นมากเท่าไหร่ เธอค่อยๆ เดินไปที่ประตูแนบหูฟังเสียงข้างนอกก็ไม่ได้ยินอะไรจึงถอนหายใจโล่งอกก่อนจะแง้มประตูเปิดอย่างช้าๆ มองลอดออกไปข้างนอกไม่พบแม้แต่เงาของพสุธาคิดว่าคงกลับไปแล้วไม่มาเสียเวลานั่งรอเธอนานขนาดนี้หรอก “ดาว!” เสียงของเขาพร้อมแรงที่จับประตูให้เปิดยิ่งสร้างความตกใจ ดาริการีบปิดประตูแต่ก็ไม่อาจสู้แรงอีกคนได้เขาเปิดเข้ามาภายห้องคว้าร่างบางมากอดเอาไว้แนบอกจนหายใจแทบไม่ออก “ปล่อยนะ
บทที่สิบสี่...รักอยู่รอบตัว“พี่ดาว!” เสียงเรียกของลักษณ์นาราทำให้เธอตื่นจากภวังค์มองแก้วน้ำที่ยังวางอยู่ที่เดิมและน้ำเต็มแก้วก็รู้สึกโล่งอกที่เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดเอง “ขอโทษทีช่วงนี้พี่เหม่อบ่อย” “ไม่เป็นไรค่ะ” หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบก่อนที่น้องสาวข้างบ้านจะค่อยๆ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เล็กรู้มาว่าพี่ดาวกับพี่ดินทะเลาะกัน” ดาริกาสะดุ้งเมื่อคำขึ้นต้นเหมือนกับเมื่อครู่ที่เธอคิดมือเล็กกำเข้าหากันแน่นขึ้นกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง “จริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดเล็กผิดเองค่ะ” ลักษณ์นาราก้มหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาพี่สาวหน้าหวานที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก “คืนนั้นเล็กไปงานเลี้ยงปิดกล้องกับคุณลาภินที่ผับแถวทองหล่อ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเครียดทำให้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมไปด้วย “ก่อนหน้านั้นเล็กโทรไปคอนเฟิร์มงานวันต่อมาของคุณลาภินกับพี่ดิน” ดาริกาคิดไปถึงวันนั้นที่เธอได้ยินว่าเขาคุยโทรศัพท์กับลักษณ์นาราก็เข้าใจในวินาทีนี้เองว่าตนเองคิดมากเกินไป “แล้วพอกลับเข้าไปในงานก็มีพี่ผู้หญิงเอาน้ำมาให้เล็กดื่ม หลังจากนั้นเล
บทที่สิบห้า...เปิดเผยเรื่องราวกอดจนพอใจจึงผละออกมองใบหน้าหวานที่น้ำตาไหลลงมาช้าๆ หากแต่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเศร้าหรือเสียใจ แต่เพราะดีใจที่เขากลับมาต่างหาก“ถึงฉันจะแปลกใจที่เห็นเธอในห้องนี้แต่ก็ดีใจที่เธอกลับมา ขอบคุณที่กลับมาหาผู้ชายห่วยๆ คนนี้นะดาว” เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้ภรรยา เธอจับมือเขาไว้แล้วแนบแก้มลงบนมือสัมผัสได้ถึงความอุ่นในหัวใจ“ขอโทษนะดิน ขอโทษที่งี่เง่าเอาแต่ใจ ขอโทษที่ไม่ฟังนายเลย” สบตาคนตัวสูงเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจจนพสุธาได้แต่อมยิ้ม“ฉันก็ขอโทษที่โกหกเธอ รู้เรื่องนั้นแล้วหรือ” ถามด้วยความสงสัย“อือ น้องเล็กบอกฉันหมดทุกอย่างแล้ว น่าตีจริงๆ เลยวันนั้นทำไมไม่บอกว่าจะไปช่วยน้องถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่โกรธขนาดนี้หรอก” จับมือเขาเอาไว้แล้วถามด้วยแววตาดุจนสามีต้องกอดเอาไว้อีกรอบ“ขอโทษครับคิดน้อยไปจริงๆ ตอนแรกเกือบลืมเขียนโน้ตบอกด้วยซ้ำ แล้วก็ที่โกหกแค่ไม่อยากให้เธอไม่สบายใจ ฉันมันโง่จริงๆ เฮ่อ” โยกตัวภรรยาไปมาในอ้อมกอด มีรอยยิ้มประดับใบหน้าหลังจากที่ไร้รอยยิ้มไปนานเป็นสัปดาห์“โง่มากด้วย ต่อไปนี้มีอะไรต้องบอกกันเข้าใจไหม”“ครับผม เข็ดแล้วไม่เอาอีกแล้ว” แค่คิดว่าต้อง