บทที่สอง
…กะทันหันไปหมด
ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำนอกจากร่างสูงจะนั่งฮัมเพลงราวกับมีความสุขนักหนา ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พสุธาหวงชีวิตโสดดูได้จากการที่เขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนเลยนอกจาก...น้องเล็ก เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ข้างบ้านเธอ
“แกไปส่งฉันที่คอนโดก็ได้” ดาริกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมุ่งตรงไปยังบ้านของเธอ
“ไปอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามด้วยความสงสัยเพราะปกติ ตลอดช่วงเวลาในการเรียนเธอก็อยู่ที่บ้านตลอดทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้านอีกด้วย ไม่นับรวมเวลาต้องมาสอนการบ้านหรือทำงานกลุ่มที่บ้านของเขาก็มักจะเห็นหญิงสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
“ตั้งแต่กลับไทย บ้านไกลจากที่ทำงาน” แล้วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งโดยที่ดาริกาก็ไม่ได้ชวนคุยแต่อย่างใด
สี่ปีที่ห่างกันทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนดูห่างออกไปเช่นเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกเหมือนพสุธาเป็นคนแปลกหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีความเงียบระหว่างกัน อาจจะเป็นพสุธาที่ชวนคุยหรือเธอที่เอ่ยถามว่าตลอดสี่ปีเขาทำอะไรบ้าง
รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เพราะการจราจรที่ติดขัดแม้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม ทั้งสองติดอยู่บนถนนกว่าสองชั่วโมงโดยที่ดาริกาหลับไปด้วยความเหนื่อยตื่นมาอีกทีเมื่อรถจอดตรงลานจอดรถใต้คอนโดสูงแล้ว
“เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ที่จอดรถใต้คอนโดฉัน” บริเวณโดยรอบถูกทาด้วยสีเขียวแต่ชั้นจอดรถคอนโดเธอเป็นสีขาว
“อ๋อ คอนโดฉันเอง” พสุธาตอบหน้าตาย
“ฉันจะกลับคอนโดฉันแล้วแกพามาคอนโดแกทำไม”
“ก็แกหลับฉันไม่รู้ทางก็พามาห้องฉันก่อนไง” คำตอบและแววตาทะเล้นทำให้เธอต้องหายใจเข้าออกแรงๆ หลายที พยายามระงับโทสะที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ มือบางกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้แล้วเปิดประตูรถออกไปอย่างจำยอม พสุธาเดินตามหลังเธอมาก่อนจะคว้ามือบางมาจับ
“ปล่อยนะ มาจับทำไม”
“เดี๋ยวเดินหลง แกไม่เคยมาคอนโดฉันไม่ใช่เหรอ” ถึงแม้ว่าพสุธาจะออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่เคยมาห้องเขาเลยสักครั้งเพราะกลัวคำครหา
“ก็เดินนำไปสิ จะมาจับทำไมฉันไม่ใช่เด็กที่จะเดินหลงทางซะหน่อย” ดาริกาพยายามดึงมือตนเองออกจากการเกาะกุมแต่ยากเหลือเกินมือเหนียวอย่างกับตุ๊กแกจับไม่ปล่อย
“จับไว้เพิ่มความอบอุ่นไง” ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาหาเธอใกล้ๆ ดาริกาจึงหันหน้าหลบแล้วเดินนำเขาไป โดยมือทั้งสองยังจับกันอยู่ เสียงหัวเราะดังมาจากคนตัวสูงก่อนที่จะเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มสแกนบัตรแล้วกดไปยังชั้นที่พักของตนเอง คอนโดแห่งนี้หรูหราพอสมควรดูได้จากลิฟต์ที่กว้างขวางและทำจากอุปกรณ์ชั้นดีค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ไปกันเถอะ” มือหนาปล่อยเธอให้เป็นอิสระได้เพียงครู่ก็เปลี่ยนมาโอบไหล่เอาไว้แทน
“มองทำไม ก็กลัวแกหลง” พสุธาเอ่ยขึ้นทำเอาหญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก กลับมาได้เพียงเดือนเดียวชีวิตที่เคยสงบสุขก็เปลี่ยนเพียงแค่เจอกัน ทั้งสองหยุดหน้าห้อง 4204 พสุธาแตะคีย์การ์ดและใส่รหัสผ่านที่ประตูก่อนเสียงจะดังติ๊ดและประตูถูกเปิด
ภายในห้องด้านขวาเป็นประตูสีขาวพอเปิดเข้าไปเป็นห้องรองเท้าขนาดกลางที่มีตู้ใส่หลายใบร่างสูงเอารองเท้าวางไว้แล้วเดินตรงไปก่อนจะเจอทางเลี้ยวสองทาง เดินเลี้ยวขวาพบห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่เพดานสูงมีโคมไฟระย้าห้อยลงมา ข้างกันนั้นมีบันไดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องครัวและโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัว ร่างสูงเปิดเพลงคลาสสิคที่เขาชอบฟังแล้วพาเธอเดินไปทางซ้ายก็พบห้องอีกสองห้อง
“เข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เสื้อผ้าก็ใส่ของฉันไปก่อน” ร่างบางมองคนตัวสูงที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก แค่พาเธอไปห้องของตนเองก็จบแล้วไม่ต้องมายืมเสื้อผ้ากันให้วุ่นวาย
“ไม่ต้องมาด่าทางสายตา ไปเลย” มือหนาของพสุธาดันหลังหญิงสาวให้เข้าไปห้องใหญ่ พอเข้ามาเธอก็พบห้องนอนขนาดกว้างกว่าคอนโดมิเนียมปกติอยู่มากคิดว่าราคาคงไม่ใช่น้อยๆ กลางห้องมีเตียงขนาดหกฟุตถูกปูทับด้วยผ้าสีคราม หน้าต่างบานยาวถูกปิดด้วยผ้าม่านทึบจนเธอต้องรูดม่านออกเพื่อให้เห็นวิวของเมืองหลวงยามเก้าโมงเช้าเช่นนี้ มีระเบียงออกไปด้านนอกแล้วก็พบโซฟาสีขาวและโต๊ะกลมตัวเล็กวางอยู่ เขาจัดห้องได้น่าอยู่ทีเดียว ดาริกาเดินเข้ามาภายในห้องแล้วไปยังประตูบานเลื่อนพบกับห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ที่เป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อินจัดอย่างเป็นระเบียบและมีสไตล์ ดาริกาเปิดตู้เพื่อเลือกเสื้อผ้ามาใส่ก็ได้เสื้อยืดกับกางเกงยางยืดขาสามส่วน หยิบผ้าขนหนูก่อนเดินเข้าห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำมีฝักบัวและอ่างอาบน้ำที่เพียงเปิดม่านก็เห็นวิวทั่วกรุง เหมาะที่จะนำไวน์มาจิบยามค่ำคืนมองดูแสงไฟเหลือเกิน ยอมรับว่าพสุธาเลือกคอนโดได้ดีและคงจะแพงจนเธอไม่กล้าควักเงินจ่ายแน่นอน ยิ่งอยู่ในย่านที่ดินตารางเมตรละสี่แสนด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงราคาห้องนี้เลย
อาบน้ำเสร็จก็ใช้ครีมของเขาล้างหน้า แม้เครื่องสำอางจะออกไม่หมดก็ดีกว่าจัดเต็มเหมือนเมื่อครู่ เธอใส่ชั้นในตัวเก่าแล้วสวมชุดใหม่ทับส่วนชุดเก่าของตนเองก็ใส่ถุงเปล่าที่หาเจอในห้องของพสุธา จัดการตนเองเรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอกเดินไปยังห้องรับแขกก่อนจะได้กลิ่นไหม้
“ทำอะไรน่ะ” เห็นควันขึ้นเธอก็รีบขึ้นบันไดไปที่ครัวพบกับเนื้อที่ไหม้เกรียมบนกระทะ
“จะทำสเต๊กแต่ดูแล้ว..คงกินไม่ได้”
การทำอาหารของพสุธาติดลบจนไม่ควรให้เข้าห้องครัวด้วยซ้ำ
“ถอยไปเลย” หากให้ทำต่อคงไม่พ้นห้องไฟไหม้ดาริกาจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแล้วทำอาหารเช้าให้ทั้งเขาและตัวเองกินด้วยเมนูข้าวผัดหมู
“ให้ช่วยไหม” ชายหนุ่มผู้ไม่เข็ดกับการเข้าครัวเสนอตัวเอง
“ไปล้างผักก็พอ” ห้องครัวที่นี่มีอุปกรณ์ครบแม้เจ้าของห้องจะไม่ได้ใช้ก็ตาม “ทำไมห้องแกเครื่องครัวครบทุกอย่างเลย”
“แม่หามาให้ บางทีแม่ก็มาทำกับข้าวให้กินไม่ก็ส่งแม่บ้านเอาอาหารมาให้เลยมีของครบแบบนี้แหละ”
ไม่แปลกเพราะอานิทห่วงลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอยังสงสัยที่อนุญาตให้พสุธามาอยู่คอนโดคนเดียวแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
“นั่นแกจะทำอะไร”
“หุงข้าวไง จะทำข้าวผัดแกจะให้ฉันทำดิบๆ เหรอ” เหมือนบรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมาทั้งสองต่างปล่อยวางเรื่องราวไม่ดีเอาไว้
“ไม่ครับผม เชิญครับที่รัก” คำเรียกที่ไม่เคยได้ยินทำให้ร่างบางหันไปมองชายหนุ่มซึ่งกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้น บางทีพสุธาก็ทำให้หัวใจเธอทำงานหนักโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจมากเลย
“เสร็จแล้วหั่นด้วย”
สองหนุ่มสาวช่วยกันทำอาหารแม้ร่างสูงจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็เป็นกำลังใจที่ดีให้กับเธอ พอเสร็จหน้าที่ตนเองก็ผละไปทำความสะอาดร่างกาย ปล่อยหน้าที่ครัวให้เป็นของดาริกา หญิงสาวหั่นเนื้อหมูเสร็จก็เตรียมของทุกอย่างไว้ ระหว่างรอข้าวสุกก็แอบเดินลงมาสำรวจห้องนี้ไปพลาง มีเพียงห้องเดียวที่เธอไม่ได้สำรวจคือข้างห้องนอนจะมีประตูอีกห้องอาจจะเป็นห้องรับแขก ดาริกาละความสนใจเดินดูรูปที่ติดข้างผนัง อดยอมรับไม่ได้ว่าพสุธาเป็นคนถ่ายรูปสวยมาก เขามาถูกทางแล้ว
ติ๊ง
เสียงเตือนของหม้อหุงข้าวทำให้เธอผละจากการสำรวจห้องไปทำอาหารง่ายๆ ที่ทุกครัวเรือนก็ทำด้วยเมนูข้าวผัด ทำไม่นานก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟเธอจึงนำไปไว้ที่โต๊ะอาหารซึ่งมีเก้าอี้สี่ตัวและผละออกมาทำน้ำซุปไว้ซดกินให้ลื่นคอ
“หอมจัง” แรงกอดรัดที่เอวทำเอามือของดาริกาที่ถือทัพพีอยู่ยกขึ้นสูงด้วยความตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็เกิดความกระอักกระอวนขึ้นทันที ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเธอและพสุธามาก่อนเลย
“เล่นอะไรของแก” ว่าแล้วก็พยายามขยับตัวบอกด้วยภาษากายให้ปล่อยแต่อีกฝ่ายกลับตีเนียนยื่นหน้าเข้ามาดูว่าเธอกำลังทำอะไร
“ก็จะได้ชินไง แกทำซุปด้วยเหรอ น่ากินมาเลย”
น่ากินนั้นเธอรู้แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องมากระซิบข้างหูเสียงแผ่วแบบนั้นด้วย มันไม่ปกติมากสำหรับคนที่เป็นเพื่อนมาตลอด ดาริการู้สึกอึดอัดเพราะเขินจากกระทำของอีกฝ่าย
“ปล่อยได้แล้ว จะตักใส่ถ้วย” แทบจะไม่กล้าหันหน้าไปหาอีกฝ่ายเพราะรู้สึกได้ว่าอยู่ใกล้กันเกินไป จนกลัวว่าจมูกอีกฝ่ายจะมาโดนแก้มเธอ
“ก็จะช่วยตัก”
“มันจะตักได้ยังไงกอดเอาไว้แบบนี้”
ในที่สุดร่างสูงก็หัวเราะออกมาแล้วยอมปล่อยเธอในที่สุด พสุธาเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวยิ้มหน้าเป็นหยิบแตงกวาในจานข้าวผัดมากินเล่นระหว่างรอว่าที่ภรรยายกน้ำซุปมาเสิร์ฟ
“พูดจริงๆ นะดาว ตอนนี้เราก็เป็นผัวเมียกันแล้ว”
การพูดจาขวานผ่าซากของเขาแม้จะติดจนเรียกว่าเป็นนิสัยไปแล้วเธอก็ยังไม่ชินเสียที
“ยังไม่เป็น!” ปฏิเสธเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว
“ทำไมจะไม่เป็น เมื่อคืนเรายังสนุกด้วยกันอยู่เลย” ในขณะที่กินข้าวพสุธาก็พยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำเมื่อคืนที่เธอจำไม่ได้แม้แต่เหตุการณ์เดียว รับรู้เพียงแค่ตื่นขึ้นมาก็ได้สามีเสียอย่างนั้น
“ฉันจำไม่ได้ แกเลิกพูดแล้วกินอย่างเดียวได้ไหม” ร่างสูงยักไหล่เลิกพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วกินข้าวไปด้วยความอร่อย ดาริกาเองก็เงียบพยายามไม่คิดเรื่องเมื่อคืนแต่กลับเครียดแทน ต่อจากนี้ไปชีวิตเธอจะยุ่งขนาดไหน แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักแต่เขาไม่ได้รักเธอ ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รักและคิดกับเขาแค่เพื่อน เพียงเรียบเรียงความรู้สึกก็ปวดหัวขึ้นมาเสียแล้ว
“อร่อยเหมือนไปกินร้าน” พสุธาชอบอาหารที่เธอทำเสมอจะกินหมดจานแล้วนั่งรอเธอที่กินไม่ถึงครึ่งก็รู้สึกอิ่ม
“กินให้หมด” เมื่อเห็นหญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มทั้งที่ข้าวยังเหลือครึ่งจานชายหนุ่มก็พูดเสียงแข็งทันที
“อิ่มแล้ว” เธอมักจะกินข้าวได้น้อยแต่ถ้าเป็นซูชิกลับกินได้มากซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ
“กินหรือดมกันแน่ เอามาเดี๋ยวกินให้” จานข้าวของเธอถูกเลื่อนไปตรงหน้าพสุธาโดยอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจที่จะกินต่อจากเธอเลย หญิงสาวลุกขึ้นเก็บจานไว้ที่ซิงก์ล้างจาน แล้วหันมาเก็บครัวรอกระทั่งอีกฝ่ายกินข้าวอิ่มเอาจานมาวางไว้
“เดี๋ยวฉันล้างเอง” ร่างสูงเสนอ
“ไม่เป็นไร”
“แกทำแล้ว หน้าที่ล้างก็เป็นของฉันสิ ช่วยกัน” รอยยิ้มของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนสถานะเป็นว่าที่สามีทำให้ดาริกาพยักหน้าจำยอม
“ไปนั่งดูทีวีรอเลย”
เธอไม่สามารถขัดได้จึงเดินไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นเปิดทีวีดูรายการโทรทัศน์ ดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่อย่างนั้นคงได้ลางานแน่นอน ดาริกาลอบมอบแผ่นหลังหนาที่กำลังล้างจานอย่างขยันขันแข็ง เขาเป็นคนมีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ทุกคนต่างหลงเสน่ห์ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลงจนเมื่อสี่ปีก่อนได้รู้ว่าร่างสูงไม่ได้รักเธอที่จูบก็เพราะเมา สำหรับพสุธาจะเป็นใครก็ได้สินะ...
แต่คงมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในใจ น้องเล็ก..สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่เคยคบกับพสุธาไม่นานตามข่าวลือที่เธอได้ยิน อาจจะก่อนเขาจบมอหกหลังจากนั้นก็ห่างกันและพสุธาก็ไม่ได้ติดต่อน้องเล็กอีกเลยซึ่งเธอโล่งใจมาก ไม่เคยเลยสักครั้งที่อยากจะล่วงรู้เรื่องความรักของพสุธาเพราะรู้ไปคนที่เจ็บก็มีเพียงเธอเท่านั้น
“เสร็จแล้ว” แรงยวบข้างกายพร้อมมือหนาที่พาดบนไหล่เธอทำให้ดาริกาตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง
“เหม่ออยู่นั่น คิดเรื่องอะไร” ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเพราะเรื่องที่เธอคิดมีแต่เขาล้วนๆ
“ดาว ฉันว่าเรามาเปลี่ยนสรรพนามเรียกกันดีไหม ฉัน แก เนี่ยไม่เอาแล้วมันดูเพื่อนเกินไป ในเมื่อเราจะเป็นสามีภรรยากันก็เรียก..เบ๊บดีไหม” ร่างสูงดูกระตือรืนร้นเหลือเกินในการคิดสรรพนามใหม่
“เบ๊บกินข้าวไหมจ๊ะ เฮ้เบ๊บ” ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตีเบาๆ ตรงหน้าผากได้รูปของชายหนุ่ม
“ประสาท ใครจะไปเรียกลง”
“เพราะจะตาย ถ้าอย่างนั้น ที่รัก ฮันนีสวีตฮาร์ตหรือแบบไทยๆ หมูอ้วน ตัวเอง”
ได้ยินแค่นั้นหญิงสาวก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธคอแทบเคล็ด เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมการมีแฟนแล้วต้องเรียกด้วยคำหวานชวนอาเจียนตลอดเวลาขนาดนี้ เธอคนหนึ่งละขอบายฟังแล้วขนลุก
“ไม่เอา ถ้าแกเรียกฉันแบบนั้นฉันอัดแกแน่”
พสุธาหัวเราะออกมาเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ชอบเรื่องแบบนี้ มือหนาเกี่ยวผมยาวสลวยเล่นด้วยความเพลิดเพลิน
“รู้แล้ว แต่คำว่าแกไม่เอาได้ไหม เอาเป็นเธอ ฉัน นายก็ได้ ดูดีกว่า ไม่งั้นเรียกคุณก็ได้นะครับคุณดาว”
ทั้งสองไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันเพียงใดเพราะเพลิดเพลินกับการพูดคุย
“ก็ได้”
“ถ้าใครหลุดออกมาต้องโดนจูบ” วิธีการทำโทษที่แปลกของร่างสูงทำให้ดาริกาหันมามองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักเพราะดูเหมือนเธอจะเสียเปรียบ
“ไม่เอา”
“เอา ตกลงตามนี้ ขอมัดจำไว้ก่อน” ไม่ทันให้ตั้งตัวอีกฝ่ายก็โน้มหน้ามาจูบเธอทันทีก่อนผละออกแล้วก้มลงจูบอีกครั้งอย่างโหยหา มือหนาจับใบหน้าหวานเอาไว้เพราะดูเธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เอียงหน้าได้องศา พสุธาดูดดึงริมฝีปากบางอย่างเอาแต่ใจ แล้วสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานตวัดลิ้นเกี่ยวกับเธอเป็นการหยอกเอิน จากที่คราแรกแค่อยากมัดจำแต่ดูเหมือนอารมณ์เขาจะพุ่งขึ้นรวดเร็ว
“พอ พอแล้ว” มือบางยันอกหนาไว้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาอุ้มเธอมานั่งตักโดยหันหน้าเข้าหาเขา
“ขออีก” เสียงทุ้มแหบพร่าบ่งบอกอารมณ์โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“พสุธา! ถ้าไม่หยุดฉันจะบีบไอ้นั้นนายนะ” เตือนเสียงเขียวทำให้เขายอมผละออกจากเธอแต่ก็ยังไม่ปล่อยร่างบางไปง่ายๆ กอดเธอเอาไว้แล้วซุกใบหน้าลงซอกคอหอมกรุ่น ไม่เคยคิดว่าเพื่อนที่เห็นมาแต่เด็กจะเย้ายวนได้ขนาดนี้
“ปล่อยได้แล้ว ฉันต้องอยู่กับนายอีกนาน”
“นั่นสินะ อีกนานเลย” ในที่สุดก็ปล่อยเธอ เมื่อเป็นอิสระดาริกาก็ลุกขึ้นย้ายไปนั่งอีกฝั่งให้ห่างจากร่างสูงมากที่สุดเพราะกลัวสายตาเจ้าเล่ห์นั้น เขาคือจิ้งจอกเก้าหางมีแผนในหัวเป็นร้อยไม่รู้จะโดนขย้ำตอนไหน
“เดี๋ยวเย็นๆ จะไปส่ง เข้าไปนอนพักในห้องเถอะ” เมื่อได้ยินว่าอย่างนั้นเธอก็ไม่ขัด เดินเข้าห้องอีกฝ่ายก่อนจะล็อกเอาไว้อย่างดีแล้วขึ้นไปบนเตียงห่มผ้านอนอย่างสบายใจ ขอพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกันเรื่องอื่นค่อยว่าอีกที
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมางานแต่งถูกเตรียมไปอย่างรวดเร็วและคนที่สนใจมากที่สุดคือพสุธา เตรียมทั้งชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยติดต่อร้านคนรู้จักนัดวันลอง ช่วยเธอเลือกชุดทั้งยังให้เพื่อนที่เป็นช่างภาพมาถ่ายพรีเวดดิงให้อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่เอาไหนจะเตรียมงานได้ดีขนาดนี้ ทั้งสถานที่ชายหนุ่มก็ติดต่อกับเพื่อนได้ราคาถูกลงกว่าปกติ ว่าที่เจ้าสาวแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากต้องเข้าคอร์สเจ้าสาวที่เขาจองไว้ให้เท่านั้น
ไม่กี่วันก่อนพสุธาก็เอารูปถ่ายมาให้เธอเลือกว่าจะเอารูปไหนไว้หน้างานบ้าง เธอเองก็เลือกไม่ได้เพราะมีแต่รูปสวยๆ จนตากล้องสุดหล่อนามดินคนดีต้องตัดสินใจในฐานะช่างภาพ พสุธาเข้ากับพ่อของเธอได้เป็นอย่างดีว่าที่เจ้าบ่าวมักจะไปมาหาสู่ช่วงเดือนที่ผ่านมา แม้เธอจะไม่อยากให้มาเท่าไหร่ก็ตาม เธอกลัวว่าร่างสูงจะเจอน้องเล็กแต่ก็โล่งอกที่ลักษณ์นาราไม่อยู่บ้านเพราะไปเที่ยวต่างประเทศ
“เชิญขึ้นรถเลยครับคุณผู้หญิง” เช้าวันไหนที่ไม่มีงานพสุธาก็มักจะมารับเธอไปส่งที่ทำงานทุกครั้งแม้จะเพียรบอกว่าทางมันไกลจากที่ทำงานอีกฝ่ายก็ดื้อจะมาให้ได้จนเหนื่อยจะเถียงต้องเลยตามน้ำไป
“กินข้าวเช้ามาหรือยัง” อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้า
“ตื่นก็อาบน้ำมาเลย หิวม้ากมาก” ทำหน้าตาน่าสงสารให้หญิงสาวเห็นใจดาริกาก็ส่ายหัวให้กับลูกอ้อนของเขา
“วันนี้ทำข้าวเที่ยงมาให้ด้วย อยู่ในถุงฉันเอาไว้เบาะหลังนะ” พสุธามองถุงสีฟ้าที่เธอเอาไปวางไว้เบาะหลังก็ได้แต่อมยิ้ม
“ยิ้มอะไร”
“ก็..เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันเลย” คำพูดนั้นก็ทำเอาเธอไปไม่เป็นเหมือนกันจึงแสร้งทำหน้าขรึม
“ออกรถได้แล้วมัวโอ้เอ้อยู่ได้ วันนี้ฉันจะถึงออฟฟิศไหม”
“ครับคุณนาย ไปเดี๋ยวนี้เลยครับผม” รถยนต์ยี่ห้อหรูเคลื่อนตัวไปตามถนนด้วยความเร็วพอประมาณ ปกติพสุธามักจะชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์เพราะไปถึงเร็วกว่า สามารถซอกแซกได้พอต้องรับส่งดาริกาก็ต้องเปลี่ยนเพราะไม่อยากให้รองผู้จัดการต้องเข้างานสาย
“เดี๋ยวตอนเย็นมารับ” ส่งถึงที่เขาก็ไม่ลืมย้ำเพราะกลัวเธอกลับก่อนเหมือนครั้งแรกที่มาส่งพอจะมารับดันกลับแล้วซะอย่างนั้นพสุธาเลยมาเสียเที่ยว
“รู้แล้ว นายย้ำฉันทุกวันจนเบื่อแล้ว”
“ก็กลัวหนีกลับก่อน”
“ไม่หนีแล้ว ไปละ” โบกมือลาก่อนลงจากรถโดยที่ร่างสูงทำเพียงมองตามหลังเธอไปก่อนยกยิ้ม ร่างสูงกลับคอนโดเพื่อไปดูการตกแต่งห้องใหม่และต้องจัดใหม่ทั้งหมดระหว่างรอสร้างเรือนหอ เขาไม่ได้บอกดาริกาเรื่องเรือนหอบอกเพียงว่าหลังแต่งงานให้ย้ายมาอยู่ที่คอนโดของตนเพราะใกล้ที่ทำงานมากกว่าเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงตอบรับคำอย่างง่ายดาย
“พี่ตาคะ นี่บัตรเชิญงานแต่งดาวค่ะ” ช่วงบ่ายที่ไม่ค่อยมีงานแล้วดาริกาเห็นว่าทางสะดวกจึงเข้าไปหาหัวหน้าแผนกที่เธอเคารพ พร้อมกับยื่นซองสีเงินกลิ่นหอมให้จนหัวหน้าตกใจ
“อะไรกัน ตอนผมสัมภาษณ์บอกโสด เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนดันจะแต่งงานซะอย่างนั้น” พี่ตาหรือคุณหิรัญหัวหน้าแผนกโฆษณาเป็นหนุ่มร่างท้วมชอบความเฮฮาและสังสรรค์แถมแจกโบนัสไม่อั้นทำให้เป็นที่รักของลูกน้องทั้งหลาย
“พอดีกะทันหันค่ะ” ไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไร เธอเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าโสดมาเป็นสิบปีพอจะมีแฟนดันข้ามขั้นไปแต่งงานเฉยเลย
“ยังไงก็ยินดีด้วยนะ พาแฟนมาแนะนำกับทุกคนด้วยล่ะ” กฎของแผนกนี้คือทุกคนเหมือนพี่น้องไม่ว่าจะแฟนหรือญาติต่างก็รู้จักกันดี เธอทำเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ไม่ค่อยอยากจะพาเขามาเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายมนุษย์สัมพันธ์ดีเกินไปเกิดพูดเรื่องไม่ควรขึ้นมาเธอจะทำอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นดาวขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
“เชิญๆ” เมื่อแจกซองให้หัวหน้าแล้วจึงมาแจกซองเพื่อนร่วมงานทำเอาหนุ่มๆ ต่างโอดครวญที่เธอสละโสดเร็วขนาดนี้ แต่ละคนก็อยากเห็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอว่าจะหล่อสักแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ตอบเพียงไม่ค่อยหล่อหรอกค่ะ
การทำงานช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งมีคนมาขอพบเธอ“พี่ดาวขา มีคนมาขอพบหน้าตาหล๊อหล่อไม่ทราบว่าเป็นคุณเจ้าบ่าวหรือเปล่าคะ” เด็กฝึกงานที่สนิทด้วยเข้ามาบอกเธอถึงโต๊ะทำงานยิ่งสร้างความสงสัย ไม่คิดว่าพสุธาจะมารับเร็วขนาดนี้ งานอีกฝ่ายเลิกไม่เป็นเวลาเท่าไหร่
“พี่ว่าไม่น่าใช่ แต่ยังไงก็ขอบใจที่มาบอกนะ” ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปยังห้องรับแขกของแผนก พอเธอเดินไปทุกคนต่างก็กรูไปยังประตูอย่างรวดเร็วเพื่อดูหน้าว่าที่เจ้าบ่าวที่ทุกคนปักใจเชื่อไปแล้ว
“หล่อจริงด้วย”
“ท่าทางจะรวยน่าดู” เสียงซุบซิบดังไปทั่วออฟฟิศโดยคนโดนนินทาไม่รู้ตัวสักนิด ดาริกาเดินออกมาก็พบกับชายหนุ่มที่ยืนยิ้มให้เธอพร้อมถุงขนมต่างๆ
“อ้าวพี่รุต สวัสดีค่ะ” เขารับไหว้แทบไม่ทันก่อนเธอจะเชิญอีกฝ่ายนั่ง
“ขอโทษที่วันนั้นดาวหนีไปนอนก่อนนะคะเลยไม่ค่อยได้คุยกันเลย” รู้สึกผิดที่ปล่อยให้รุ่นพี่ต้องอยู่กับคนที่ไม่สนิทด้วยแต่ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ”
“แล้วพี่รุตมาทำอะไรแถวนี้หรือคะ ติดต่อธุระหรือเปล่า” ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยมองหน้าหล่อที่ทำเพียงยิ้มเจื่อนเท่านั้น
“พี่ผ่านมาเลยแวะมาหาดาวน่ะ แล้วก็เอาขนมมาฝากด้วย” ถุงขนมหลากหลายยี่ห้อถูกยื่นให้ดาริกาที่มีท่าทางเกรงอกเกรงใจเหลือเกิน
“ลำบากแย่เลย ซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ”
“พี่ไปทำงานเดือนที่แล้วไปเป็นเดือนเลยมีของเยอะหน่อย นี่ก็แบ่งให้คนอื่นไปเยอะแล้วนะ” ขนาดแบ่งคนอื่นแล้วขนมที่ให้เธอยังมีหลายถุงจนคิดว่าจะกินยังไงให้หมด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเอาของให้เขาเธอจึงรีบบอก
“ดาวก็มีของจะให้พี่รุตเหมือนกัน รอสักครู่นะคะ” พูดจบร่างบางก็รีบเดินเข้าไปในห้องทำงานทำให้คนที่เกาะกลุ่มกันรีบสลายตัวอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย ดาริกาไม่ได้สงสัยอะไรรีบเดินไปหยิบของที่ว่าก่อนออกจากห้องไปหาแขกที่นั่งรออยู่
“นี่ค่ะ” ซองกระดาษสีเงินพิมพ์ลายถูกยื่นมาตรงหน้า หัวใจของนักธุรกิจหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มือหนาสั่นขณะที่รับมาจากเธอ กลิ่นหอมจากกระดาษโชยมาในขณะที่ค่อยๆ เปิดออกเพื่ออ่านข้อความข้างใจ ภาวนาว่าให้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิทเธอสักคน
ดาริกา พสุธา
เพียงแค่เปิดหัวใจของเขาก็เหมือนลอยออกมาก่อนจะแตกเป็นฝุ่นผงลงที่เท้าไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่คิดจะรักก็อกหักแม้ยังไม่ทันเริ่ม มองใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มก็สร้างความช้ำให้ตนเป็นเท่าทวีคูณ
“พี่ไม่รู้มาก่อนว่าดาวมีคนรัก” อย่าว่าแต่เขาเลยเธอเองก็เพิ่งจะรู้เช่นเดียวกัน
“ค่ะ พอดีไม่ค่อยบอกใคร” หรือพูดง่ายๆ ไม่มีใครรู้จะถูกกว่า ตอนนี้การ์ดแต่งงานของเธอและพสุธาก็ทยอยส่งให้เพื่อน ทุกคนต่างก็สงสัยทั้งนั้นเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าพสุธาและเธอจะลงเอยกัน มีแต่ตั้งข้อสังเกตว่าเธออาจจะท้องซึ่งก็กลัวจะจริงเหลือเกินจึงไปตรวจก็ทราบว่าเธอปกติดีไม่ได้ตั้งครรภ์แต่อย่างใดก็โล่งใจ
“พี่ยินดีด้วยนะครับ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่แววตากลับแสดงความเจ็บปวดออกมาก่อนจะรีบขอตัวกลับเพราะต้องไปทำงานต่อ
ดาริกาลุกขึ้นไหว้ขอบคุณอีกครั้งแล้วกลับเข้ามาภายในห้อง ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องความรู้สึกของมารุตที่มีต่อเธอ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อความรู้สึกที่ให้คนตรงหน้าคือพี่น้องเท่านั้น แม้ไม่มีพสุธาความรู้สึกของเธอก็ไม่พัฒนาไปมากกว่านี้แน่นอน
มองนาฬิกาก่อนจะรีบทำงานเพราะอีกไม่นานว่าที่สามีคงมารับกลับบ้าน เธอแทบไม่ได้อยู่คอนโดตัวเองเพราะพสุธาเห็นว่าใกล้แต่งงานแล้วจึงอยากให้เธออยู่กับบิดาเรียนรู้งานบ้านงานเรือนมากกว่าแม้จะรู้สึกตงิดในใจ หากไม่ได้ทักท้วงให้มากกว่าจึงปล่อยเลยตาม อะไรที่ทำให้ได้ก็ทำไปไม่ได้ลำบากตนเองแต่อย่างใด
เมื่อถึงเวลาห้าโมงครึ่งโทรศัพท์ดังเธอก็เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนจะลาคนที่เหลือแล้วลงไปข้างล่างก็เจอรถยนต์ที่คุ้นตาจอดอยู่ เปิดประตูข้างคนขับขึ้นมานั่งพร้อมรับน้ำที่เขามักจะซื้อมาฝากไม่ซ้ำกันมาดื่มอย่างสดชื่น รถเคลื่อนตัวออกไปส่งกลับบ้านอย่างสวัสดิภาพ
บทที่สาม...เราจะตีป้อม ในที่สุดงานแต่งก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ง่ายๆ ที่บ้านของเจ้าสาว เชิญเพียงญาติและคนสนิทมาเท่านั้น ขบวนขันหมากเจ้าบ่าวแห่มาโดยมีเจ้าสาวแอบดูอยู่บนบ้าน วันนี้ดาริกาอยู่ในชุดไทยสีทองสง่างามขับผิวขาวให้ดูเนียนตา ผมยาวถูกรวบขึ้นมัดอย่างสวยงามพร้อมเสียบปิ่นปักผมไว้ด้วย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขโดยมีเพื่อนยืนอยู่ด้วย “หน้าบานเลยนะ” กีรติผู้รู้ใจเพื่อนเอ่ยแซว หากไม่ท้องเธอคงได้ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวด้วย แต่เมื่อมีลูกจึงเป็นเพียงแขกมาร่วมงาน “อะไรกัน เราไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วปิดม่านลงเพราะกลัวโดนเพื่อนล้ออีก ในห้องนอนมีเพียงเจ้าสาวและกีรติสองคนเพราะคนที่เหลือลงไปรอกั้นประตูเงินประตูทองที่ด้านล่าง ช่างแต่งหน้าเดินมาสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายจึงลากลับ “ยินดีด้วยจริงๆ นะ ไม่คิดว่าจะเป็นเธอกับดิน” สมัยมัธยมแม้มีคนแซวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะพสุธาควงหญิงได้ไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ประตูดิน รถไฟชนกันก็บ่อยใครจะคิดว่าจะได้แต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิททั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ในวัยเจริญพันธ์เลย
บทที่สี่...สร้างอาณาจักรตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ร่างสูงเดินเกาพุงออกไปที่ห้องครัวเห็นฝาชีครอบไว้เลยเปิดออกมาพบอาหารเช้าเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและแซนด์วิชอดยิ้มออกมาไม่ได้ ปกติตอนเช้าส่วนมากถ้าไม่เป็นกาแฟก็ปิ้งขนมปังเท่านั้นค่อยไปกินที่บริษัทเอา “ฮัลโหลว่าไงเพื่อน” ชื่อที่โชว์หราขึ้นมาทำให้เขาทักทายเสียงใสอย่างเป็นกันเอง “กูโทรมาขัดจังหวะมึงไหม” กัดแซนด์วิชเข้าปากคำโตเคี้ยวไปทั้งยังตอบปลายสาย “ไม่กวน เมียกูไม่อยู่ไปทำงานแต่เช้าแล้วอีกสักพักคงกลับ” ตอบตามความเป็นจริงที่แสนจะเศร้า “ชีวิตมึงน่าสงสารจริงๆ” สองพี่น้องคุยกันอีกสักพักก่อนที่คนโทรมาจะเข้าเรื่อง “พรุ่งนี้เข้าบริษัทมาหน่อยนะ พ่อกูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ภราดรเข้าเรื่องที่ทำให้ต้องโทรมาหา มือหนาที่หยิบแฮมขึ้นมากินชะงักไปพลางคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน “ไปทำไม เรื่องอะไร จะให้กูไปเรียนรู้งานหรือ กูไม่ทำไงกูชอบถ่ายรูปมึงบอกลุงภมรเลยว่ากูไม่ทำ ไม่เอาหุ้นก็ได้ ไม่ชอบ” ปฏิเสธรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน พสุธาปฏิเสธที่จะทำงานบริษัทแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มไม่ชอบและบอกเสมอ
บทที่ห้า...เล่นงานลับหลัง “พี่ดาวมีคนมาหาค่ะ” ในขณะที่กำลังทำงานอยู่น้องนักศึกษาฝึกงานก็มาบอกเธอด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม มองนาฬิกาที่ตั้งไว้บนโต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วเธอทำงานจนลืมเวลาไปเลยหรือนี่ “ใครเหรอ” “สามีพี่ดาวค่ะ” บอกพร้อมกับเปิดตัวหนุ่มหล่อที่เดินเข้ามาภายในแผนกด้วยชุดแปลกตาที่ไม่ค่อยเห็น เขาใส่สูทและถือแก้วน้ำหลายใบยี่ห้อเงือกไซเรนสีเขียวที่โด่งดังในเรื่องความอร่อยและราคาของมัน “สวัสดีครับทุกคน” คนในแผนกโฆษณามีทั้งแปดคนรวมเธอและหัวหน้าแผนกด้วย ดูเหมือนแต่ละคนที่กำลังทำงานจะหยุดมองชายผู้มาใหม่เป็นตาเดียวก่อนสาวๆ จะเกาะกลุ่มกันแล้วซุบซิบพลางตอบรับคำทักทายด้วยเสียงหวาน “ผมชื่อพสุธานะครับ เรียกสั้นๆ ว่าดินก็ได้ เป็นสามีของดาวเหนือครับ” กล่าวแนะนำตัวเสร็จสรรพพร้อมรอยยิ้มกว้างที่มีให้ทุกคน ดาริกายืนแข็งเหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้กับที่เมื่อสามีเข้ามาแนะนำตัวโดยไม่บอกกล่าวเธอเลยสักคำ “ผ่านร้านน้ำเลยซื้อมาฝากทุกคน รู้มาว่ามีแปดคนรวมน้องนักศึกษาฝึกงานด้วยก็เก้า ผมไม่รู้ว่าชอบรสไหนกันเลยซื้อมาแบบให้เขาจัดให้ไม่รู้ว
บทที่หก...หวานไปทั้งตัว แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร สองสามีภรรยาช่วยกันทำอาหารมื้อดึกคือเมนูผัดมาม่าใส่ไข่ที่แสนจะเรียบง่าย “ไม่เอาผัก” แม้ว่าจะล้างผักและหั่นเองกับมือแต่พอเห็นดาริกาจะเอาลงกระทะก็อดห้ามไม่ได้ “แล้วจะหั่นมาทำไม” “ก็อยากช่วย” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความระอาแล้วใส่ผักลงไปจนเต็มกระทะ พสุธาหน้างอเดินออกไปจากครัวนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่บอกกล่าวอะไรเลยสักคำ หญิงสาวมองไล่หลังแล้วอมยิ้มในความแสนงอนของเขาแม้รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งเย้าเล่นเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมาผัดมาม่าสีสวยก็วางบนจานพร้อมเสิร์ฟ ดาริกายกมาให้ร่างสูงและตนเองนั่งกินท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องประกายลงมา ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะเอาแต่เรียนกับทำงานพอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกอิ่มเอมในใจ “ที่รักทำอะไรก็อร่อย อย่างนี้น่าจะส่งไปรายการมาสเตอร์เชฟ” พสุธาชมไม่ขาดปากจนเธอคร้านจะฟัง เขาเคี้ยวไม่หยุดดูท่าคงจะหิวมาก “แล้วแผนการบ้าๆ นี้นายคิดคนเดียวหรือ” อาจจะมีคนช่วยแต่ถ้าแผนพิเรนทร์แบบนี้คนต้นคิดคงไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากสามีเธอคนเดียว
บทที่เจ็ด...ร้อนระอุในเมื่อพสุธาบอกอยากกินปลาย่างเธอจึงให้พสุธาก่อไฟจากเตาถ่านเพราะจะได้รสสัมผัสแตกต่างจากเตาแก๊ส แต่ดูท่าอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเห็นเขาก้มๆ เงยๆ มากกว่าชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไฟลุกแต่อย่างใด “ยากจังเลยดาว เปลี่ยนไปใช้เตาแก๊สได้ไหม” พสุธาร้องขอด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยถ่าน ดาริกาหัวเราะออกมาเมื่อมองเขาแต่ก็พยายามหุบยิ้ม “ไม่เอา ฉันอยากใช้เตาถ่าน” เมื่อมีบัญชามาแบบนั้นคุณพ่อบ้านจะทำอะไรได้นอกจากก้มลงไปเป่าลมให้ไฟลุกอีก มือก็ดำไปด้วยถ่านหน้าก็เปื้อนหมดสภาพหนุ่มกรุงสุดหล่อกลายเป็นพ่อบ้านขายถ่านเสียอย่างนั้น “เร็วๆ นะ ต้มยำจะเสร็จแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นพสุธาก็เร่งเป่าไฟทั้งเอาฝาปิดหม้อมาพัดให้เกิดลมในที่สุดก็สำเร็จเพราะไฟลุกขึ้นมาสูงจนดาริกากระโดดหนี“ดาวระวังๆ” ไม่รู้ใครเอากระดาษทิชชูมาวางไว้ทำให้ติดไฟดีที่ไม่ใช่วัตถุไวไฟแค่ดับแปบเดียวก็มอดแล้ว “เกือบไปแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองพสุธาที่มีสีหน้าจ๋อยก็สงสาร “ไปรอข้างนอกเถอะเดี๋ยวที่เหลือฉันทำเอง” ร่างสูงพยักหน้าจำยอมปล่อยให้ดาริกาทำต่อ ด้วยความคล่องแคล่วเธอทำอาหารไม่
บทที่แปด...เพียงแค่เราพสุธาเข้าไปในห้องนอนเห็นภรรยาหลับสนิทก็ไม่อยากกวน เขาเอาแผ่นเจลลดไข้ออกจากหน้าผากแล้วเช็ดตัวให้เธออีกรอบ เมื่อเห็นว่าตัวเริ่มเย็นแล้วก็สบายใจคราวหลังคงต้องระวังมากกว่านี้ ในน้ำไม่ได้เป็นบนบกธรรมดาแล้วกัน คิดพลางอมยิ้มเดินถือกะละมังใบเล็กออกไปเปลี่ยนน้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วดาริกาลืมตาขึ้นมามองโดยรอบก็มืดสนิทมีเพียงตะเกียงห้อยไว้ข้างฝาพอส่องสว่างให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ยันตัวลุกจากที่นอนรู้สึกดีขึ้นมากแล้วไม่ปวดหัวเหมือนเมื่อเช้า ร่างบางลงจากเตียงลุกออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องครัว “โอ๊ยร้อนๆๆ” “ทำอะไรน่ะ” ทักเสียงดังเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการเผาครัวอีกครั้ง “ลุกมาทำไมดีขึ้นแล้วหรือ” ตกใจที่เห็นภรรยาลุกจากเตียง รีบเดินออกมาจากห้องครัวมองด้วยสีหน้าตกใจแบบนี้ เดินเข้าใกล้ร่างบางก่อนจะยกมือโอบเอวเธอเข้ามาชิดตนเองแล้ววัดไข้ด้วยการเอาหน้าผากตนเองไปชิดหน้าผากเธอโดยไม่ให้ดาริกาตั้งตัวเลย “ตัวเย็นแล้ว” ผละออกแล้วยิ้มอย่างดีใจส่วนอีกคนก็เงียบด้วยรู้สึกร้อนหน้าได้แต่ภาวนาขออย่าหน้าแดงให้โดน
บทที่เก้า...งานเข้ากลับมาจากฮันนีมูนสองสามีภรรยาต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่และดูเหมือนจะหนักเสียด้วย พสุธาไปทำงานแต่เช้ากลับดึกดื่นจนเธอต้องบอกให้แยกไปไม่อยากเป็นภาระ แม้ตอนแรกพสุธาจะอิดออดแต่ก็ต้องยอมตามใจ ช่วงนี้เขารับงานเยอะจนเพื่อนพากันแซวว่าร้อนเงินหรือเปล่า ตนเองก็แค่หัวเราะตอบกวนกลับไม่ได้ต่อความอะไรอีก “ไปทำงานก่อนนะ จุ๊บ” ลืมตาขึ้นก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้องและสัมผัสที่หน้าผากจากเขา ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงพบว่าเพิ่งหกโมงเช้าทั้งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พสุธาไม่ได้หยุดงานหรอกหรือตั้งแต่ผ่านช่วงฮันนีมูนมาหนึ่งเดือนแล้วพสุธาทำงานหนักแบบนี้ตลอด “รับงานอะไรเยอะแยะ” ส่ายหน้าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่าย ตื่นแล้วคงนอนไม่หลับจึงตัดสินใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาทำอาหารเช้ากินแค่ตนเอง วันนี้คงนั่งทำงานที่บ้านอยากรีบเคลียร์ให้เสร็จไปจะได้ไม่มีงานทับถม หลังทานข้าวเสร็จก็เดินมานั่งหน้าทีวีพิมพ์งานโดยไม่ได้รับรู้เวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงกดรับ“ว่าไง” เป็นสามีที่โทรมาหาตอนเที่ยงตรง เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอราวกับเป็นนาฬิ
บทที่สิบ...เจ็บปวดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทีมงานผ่านไปหนึ่งเดือนโดยไม่มีเรื่องต้องให้ทะเลาะกัน จะมีก็แต่สามีหนุ่มขอทำการบ้านเสียทุกคืนจนดาริกาตื่นไปทำงานสาย บอกหลายรอบว่าไม่ให้ทำรอยที่คอแต่เวลาเผลอทีไรพสุธามักจะปากรอยสีกุหลาบไว้ให้เสมอจนเธอยื่นคำขาดว่าถ้าทำรอยอีกจะอดตามจำนวนรอยดังนั้นพสุธาจึงละจากลำคอไปที่หน้าอกแทน ลายพร้อยจนกลัวตนเองเป็นโรค “ดาวจ๋า อีกสามวันฉันต้องไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่นะ” อาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมแล้วตากล้องสุดหล่อเดินมาจากห้องพร้อมเสื้อหนังสุดเท่ห์นั่งลงที่ประจำของตนเอง “ไปกี่วัน” ดาริกายกข้าวต้มร้อนๆ มาเสิร์ฟกลิ่นหอมฉุยจนท้องร้อง “สามวันสองคืนครับผม” ตอบอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนได้บรรเลงเพลงรักจนร่างกายกระปรี้กระเปร่าจะห่วงก็แต่ภรรยาที่ดูจะมีเวลานอนน้อยกว่าปกติ “ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์หรือ” นับไปอีกสามวันก็ตรงกับวันหยุดพอดี ร่างบางนั่งลงทานข้าวเช้ากับเขาแล้วจะออกไปทำงานพร้อมกัน เดี๋ยวนี้พสุธาเริ่มรับงานเป็นปกติไม่รับทุกอย่างเหมือนเดิมที่ผ่านมา “ใช่ ไปด้วยไหม” เอ่ยชวนแววตามีความหวัง อาจจะมีการฮันนีมูนรอบสองอีกก็เป็นได