แชร์

บทที่สอง …กะทันหันไปหมด

บทที่สอง

…กะทันหันไปหมด

           

            ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำนอกจากร่างสูงจะนั่งฮัมเพลงราวกับมีความสุขนักหนา ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พสุธาหวงชีวิตโสดดูได้จากการที่เขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนเลยนอกจาก...น้องเล็ก เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ข้างบ้านเธอ

            “แกไปส่งฉันที่คอนโดก็ได้” ดาริกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมุ่งตรงไปยังบ้านของเธอ

            “ไปอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามด้วยความสงสัยเพราะปกติ ตลอดช่วงเวลาในการเรียนเธอก็อยู่ที่บ้านตลอดทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้านอีกด้วย ไม่นับรวมเวลาต้องมาสอนการบ้านหรือทำงานกลุ่มที่บ้านของเขาก็มักจะเห็นหญิงสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน

            “ตั้งแต่กลับไทย บ้านไกลจากที่ทำงาน” แล้วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งโดยที่ดาริกาก็ไม่ได้ชวนคุยแต่อย่างใด

            สี่ปีที่ห่างกันทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนดูห่างออกไปเช่นเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกเหมือนพสุธาเป็นคนแปลกหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีความเงียบระหว่างกัน อาจจะเป็นพสุธาที่ชวนคุยหรือเธอที่เอ่ยถามว่าตลอดสี่ปีเขาทำอะไรบ้าง

            รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เพราะการจราจรที่ติดขัดแม้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม ทั้งสองติดอยู่บนถนนกว่าสองชั่วโมงโดยที่ดาริกาหลับไปด้วยความเหนื่อยตื่นมาอีกทีเมื่อรถจอดตรงลานจอดรถใต้คอนโดสูงแล้ว

            “เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ที่จอดรถใต้คอนโดฉัน” บริเวณโดยรอบถูกทาด้วยสีเขียวแต่ชั้นจอดรถคอนโดเธอเป็นสีขาว

            “อ๋อ คอนโดฉันเอง” พสุธาตอบหน้าตาย

            “ฉันจะกลับคอนโดฉันแล้วแกพามาคอนโดแกทำไม”

            “ก็แกหลับฉันไม่รู้ทางก็พามาห้องฉันก่อนไง” คำตอบและแววตาทะเล้นทำให้เธอต้องหายใจเข้าออกแรงๆ หลายที พยายามระงับโทสะที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ มือบางกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้แล้วเปิดประตูรถออกไปอย่างจำยอม พสุธาเดินตามหลังเธอมาก่อนจะคว้ามือบางมาจับ

            “ปล่อยนะ มาจับทำไม”

            “เดี๋ยวเดินหลง แกไม่เคยมาคอนโดฉันไม่ใช่เหรอ” ถึงแม้ว่าพสุธาจะออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่เคยมาห้องเขาเลยสักครั้งเพราะกลัวคำครหา

            “ก็เดินนำไปสิ จะมาจับทำไมฉันไม่ใช่เด็กที่จะเดินหลงทางซะหน่อย” ดาริกาพยายามดึงมือตนเองออกจากการเกาะกุมแต่ยากเหลือเกินมือเหนียวอย่างกับตุ๊กแกจับไม่ปล่อย

            “จับไว้เพิ่มความอบอุ่นไง” ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาหาเธอใกล้ๆ   ดาริกาจึงหันหน้าหลบแล้วเดินนำเขาไป โดยมือทั้งสองยังจับกันอยู่ เสียงหัวเราะดังมาจากคนตัวสูงก่อนที่จะเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มสแกนบัตรแล้วกดไปยังชั้นที่พักของตนเอง คอนโดแห่งนี้หรูหราพอสมควรดูได้จากลิฟต์ที่กว้างขวางและทำจากอุปกรณ์ชั้นดีค่อนข้างเป็นส่วนตัว

            “ไปกันเถอะ” มือหนาปล่อยเธอให้เป็นอิสระได้เพียงครู่ก็เปลี่ยนมาโอบไหล่เอาไว้แทน

            “มองทำไม ก็กลัวแกหลง” พสุธาเอ่ยขึ้นทำเอาหญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก กลับมาได้เพียงเดือนเดียวชีวิตที่เคยสงบสุขก็เปลี่ยนเพียงแค่เจอกัน ทั้งสองหยุดหน้าห้อง 4204 พสุธาแตะคีย์การ์ดและใส่รหัสผ่านที่ประตูก่อนเสียงจะดังติ๊ดและประตูถูกเปิด

            ภายในห้องด้านขวาเป็นประตูสีขาวพอเปิดเข้าไปเป็นห้องรองเท้าขนาดกลางที่มีตู้ใส่หลายใบร่างสูงเอารองเท้าวางไว้แล้วเดินตรงไปก่อนจะเจอทางเลี้ยวสองทาง เดินเลี้ยวขวาพบห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่เพดานสูงมีโคมไฟระย้าห้อยลงมา ข้างกันนั้นมีบันไดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องครัวและโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัว ร่างสูงเปิดเพลงคลาสสิคที่เขาชอบฟังแล้วพาเธอเดินไปทางซ้ายก็พบห้องอีกสองห้อง

            “เข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เสื้อผ้าก็ใส่ของฉันไปก่อน” ร่างบางมองคนตัวสูงที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก แค่พาเธอไปห้องของตนเองก็จบแล้วไม่ต้องมายืมเสื้อผ้ากันให้วุ่นวาย

            “ไม่ต้องมาด่าทางสายตา ไปเลย” มือหนาของพสุธาดันหลังหญิงสาวให้เข้าไปห้องใหญ่ พอเข้ามาเธอก็พบห้องนอนขนาดกว้างกว่าคอนโดมิเนียมปกติอยู่มากคิดว่าราคาคงไม่ใช่น้อยๆ กลางห้องมีเตียงขนาดหกฟุตถูกปูทับด้วยผ้าสีคราม หน้าต่างบานยาวถูกปิดด้วยผ้าม่านทึบจนเธอต้องรูดม่านออกเพื่อให้เห็นวิวของเมืองหลวงยามเก้าโมงเช้าเช่นนี้ มีระเบียงออกไปด้านนอกแล้วก็พบโซฟาสีขาวและโต๊ะกลมตัวเล็กวางอยู่ เขาจัดห้องได้น่าอยู่ทีเดียว ดาริกาเดินเข้ามาภายในห้องแล้วไปยังประตูบานเลื่อนพบกับห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ที่เป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อินจัดอย่างเป็นระเบียบและมีสไตล์ ดาริกาเปิดตู้เพื่อเลือกเสื้อผ้ามาใส่ก็ได้เสื้อยืดกับกางเกงยางยืดขาสามส่วน หยิบผ้าขนหนูก่อนเดินเข้าห้องน้ำ

            ภายในห้องน้ำมีฝักบัวและอ่างอาบน้ำที่เพียงเปิดม่านก็เห็นวิวทั่วกรุง เหมาะที่จะนำไวน์มาจิบยามค่ำคืนมองดูแสงไฟเหลือเกิน ยอมรับว่าพสุธาเลือกคอนโดได้ดีและคงจะแพงจนเธอไม่กล้าควักเงินจ่ายแน่นอน ยิ่งอยู่ในย่านที่ดินตารางเมตรละสี่แสนด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงราคาห้องนี้เลย

            อาบน้ำเสร็จก็ใช้ครีมของเขาล้างหน้า แม้เครื่องสำอางจะออกไม่หมดก็ดีกว่าจัดเต็มเหมือนเมื่อครู่ เธอใส่ชั้นในตัวเก่าแล้วสวมชุดใหม่ทับส่วนชุดเก่าของตนเองก็ใส่ถุงเปล่าที่หาเจอในห้องของพสุธา จัดการตนเองเรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอกเดินไปยังห้องรับแขกก่อนจะได้กลิ่นไหม้

            “ทำอะไรน่ะ” เห็นควันขึ้นเธอก็รีบขึ้นบันไดไปที่ครัวพบกับเนื้อที่ไหม้เกรียมบนกระทะ

            “จะทำสเต๊กแต่ดูแล้ว..คงกินไม่ได้”

            การทำอาหารของพสุธาติดลบจนไม่ควรให้เข้าห้องครัวด้วยซ้ำ

“ถอยไปเลย” หากให้ทำต่อคงไม่พ้นห้องไฟไหม้ดาริกาจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแล้วทำอาหารเช้าให้ทั้งเขาและตัวเองกินด้วยเมนูข้าวผัดหมู

            “ให้ช่วยไหม” ชายหนุ่มผู้ไม่เข็ดกับการเข้าครัวเสนอตัวเอง

            “ไปล้างผักก็พอ” ห้องครัวที่นี่มีอุปกรณ์ครบแม้เจ้าของห้องจะไม่ได้ใช้ก็ตาม “ทำไมห้องแกเครื่องครัวครบทุกอย่างเลย”

            “แม่หามาให้ บางทีแม่ก็มาทำกับข้าวให้กินไม่ก็ส่งแม่บ้านเอาอาหารมาให้เลยมีของครบแบบนี้แหละ”

            ไม่แปลกเพราะอานิทห่วงลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอยังสงสัยที่อนุญาตให้พสุธามาอยู่คอนโดคนเดียวแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย

            “นั่นแกจะทำอะไร”

            “หุงข้าวไง จะทำข้าวผัดแกจะให้ฉันทำดิบๆ เหรอ” เหมือนบรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมาทั้งสองต่างปล่อยวางเรื่องราวไม่ดีเอาไว้

            “ไม่ครับผม เชิญครับที่รัก” คำเรียกที่ไม่เคยได้ยินทำให้ร่างบางหันไปมองชายหนุ่มซึ่งกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้น บางทีพสุธาก็ทำให้หัวใจเธอทำงานหนักโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจมากเลย

            “เสร็จแล้วหั่นด้วย”

            สองหนุ่มสาวช่วยกันทำอาหารแม้ร่างสูงจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็เป็นกำลังใจที่ดีให้กับเธอ พอเสร็จหน้าที่ตนเองก็ผละไปทำความสะอาดร่างกาย ปล่อยหน้าที่ครัวให้เป็นของดาริกา หญิงสาวหั่นเนื้อหมูเสร็จก็เตรียมของทุกอย่างไว้ ระหว่างรอข้าวสุกก็แอบเดินลงมาสำรวจห้องนี้ไปพลาง มีเพียงห้องเดียวที่เธอไม่ได้สำรวจคือข้างห้องนอนจะมีประตูอีกห้องอาจจะเป็นห้องรับแขก ดาริกาละความสนใจเดินดูรูปที่ติดข้างผนัง อดยอมรับไม่ได้ว่าพสุธาเป็นคนถ่ายรูปสวยมาก เขามาถูกทางแล้ว

            ติ๊ง

            เสียงเตือนของหม้อหุงข้าวทำให้เธอผละจากการสำรวจห้องไปทำอาหารง่ายๆ ที่ทุกครัวเรือนก็ทำด้วยเมนูข้าวผัด ทำไม่นานก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟเธอจึงนำไปไว้ที่โต๊ะอาหารซึ่งมีเก้าอี้สี่ตัวและผละออกมาทำน้ำซุปไว้ซดกินให้ลื่นคอ

            “หอมจัง” แรงกอดรัดที่เอวทำเอามือของดาริกาที่ถือทัพพีอยู่ยกขึ้นสูงด้วยความตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็เกิดความกระอักกระอวนขึ้นทันที ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเธอและพสุธามาก่อนเลย

            “เล่นอะไรของแก” ว่าแล้วก็พยายามขยับตัวบอกด้วยภาษากายให้ปล่อยแต่อีกฝ่ายกลับตีเนียนยื่นหน้าเข้ามาดูว่าเธอกำลังทำอะไร

            “ก็จะได้ชินไง แกทำซุปด้วยเหรอ น่ากินมาเลย”

            น่ากินนั้นเธอรู้แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องมากระซิบข้างหูเสียงแผ่วแบบนั้นด้วย มันไม่ปกติมากสำหรับคนที่เป็นเพื่อนมาตลอด ดาริการู้สึกอึดอัดเพราะเขินจากกระทำของอีกฝ่าย

            “ปล่อยได้แล้ว จะตักใส่ถ้วย” แทบจะไม่กล้าหันหน้าไปหาอีกฝ่ายเพราะรู้สึกได้ว่าอยู่ใกล้กันเกินไป จนกลัวว่าจมูกอีกฝ่ายจะมาโดนแก้มเธอ

            “ก็จะช่วยตัก”

            “มันจะตักได้ยังไงกอดเอาไว้แบบนี้”

            ในที่สุดร่างสูงก็หัวเราะออกมาแล้วยอมปล่อยเธอในที่สุด พสุธาเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวยิ้มหน้าเป็นหยิบแตงกวาในจานข้าวผัดมากินเล่นระหว่างรอว่าที่ภรรยายกน้ำซุปมาเสิร์ฟ

            “พูดจริงๆ นะดาว ตอนนี้เราก็เป็นผัวเมียกันแล้ว”

            การพูดจาขวานผ่าซากของเขาแม้จะติดจนเรียกว่าเป็นนิสัยไปแล้วเธอก็ยังไม่ชินเสียที

            “ยังไม่เป็น!” ปฏิเสธเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว

            “ทำไมจะไม่เป็น เมื่อคืนเรายังสนุกด้วยกันอยู่เลย” ในขณะที่กินข้าวพสุธาก็พยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำเมื่อคืนที่เธอจำไม่ได้แม้แต่เหตุการณ์เดียว รับรู้เพียงแค่ตื่นขึ้นมาก็ได้สามีเสียอย่างนั้น

            “ฉันจำไม่ได้ แกเลิกพูดแล้วกินอย่างเดียวได้ไหม” ร่างสูงยักไหล่เลิกพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วกินข้าวไปด้วยความอร่อย ดาริกาเองก็เงียบพยายามไม่คิดเรื่องเมื่อคืนแต่กลับเครียดแทน ต่อจากนี้ไปชีวิตเธอจะยุ่งขนาดไหน แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักแต่เขาไม่ได้รักเธอ ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รักและคิดกับเขาแค่เพื่อน เพียงเรียบเรียงความรู้สึกก็ปวดหัวขึ้นมาเสียแล้ว

            “อร่อยเหมือนไปกินร้าน” พสุธาชอบอาหารที่เธอทำเสมอจะกินหมดจานแล้วนั่งรอเธอที่กินไม่ถึงครึ่งก็รู้สึกอิ่ม

            “กินให้หมด” เมื่อเห็นหญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มทั้งที่ข้าวยังเหลือครึ่งจานชายหนุ่มก็พูดเสียงแข็งทันที

            “อิ่มแล้ว” เธอมักจะกินข้าวได้น้อยแต่ถ้าเป็นซูชิกลับกินได้มากซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ

            “กินหรือดมกันแน่ เอามาเดี๋ยวกินให้” จานข้าวของเธอถูกเลื่อนไปตรงหน้าพสุธาโดยอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจที่จะกินต่อจากเธอเลย หญิงสาวลุกขึ้นเก็บจานไว้ที่ซิงก์ล้างจาน แล้วหันมาเก็บครัวรอกระทั่งอีกฝ่ายกินข้าวอิ่มเอาจานมาวางไว้

            “เดี๋ยวฉันล้างเอง” ร่างสูงเสนอ

            “ไม่เป็นไร”

            “แกทำแล้ว หน้าที่ล้างก็เป็นของฉันสิ ช่วยกัน” รอยยิ้มของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนสถานะเป็นว่าที่สามีทำให้ดาริกาพยักหน้าจำยอม

            “ไปนั่งดูทีวีรอเลย”

            เธอไม่สามารถขัดได้จึงเดินไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นเปิดทีวีดูรายการโทรทัศน์ ดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่อย่างนั้นคงได้ลางานแน่นอน ดาริกาลอบมอบแผ่นหลังหนาที่กำลังล้างจานอย่างขยันขันแข็ง เขาเป็นคนมีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ทุกคนต่างหลงเสน่ห์ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลงจนเมื่อสี่ปีก่อนได้รู้ว่าร่างสูงไม่ได้รักเธอที่จูบก็เพราะเมา สำหรับพสุธาจะเป็นใครก็ได้สินะ...

            แต่คงมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในใจ น้องเล็ก..สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่เคยคบกับพสุธาไม่นานตามข่าวลือที่เธอได้ยิน อาจจะก่อนเขาจบมอหกหลังจากนั้นก็ห่างกันและพสุธาก็ไม่ได้ติดต่อน้องเล็กอีกเลยซึ่งเธอโล่งใจมาก ไม่เคยเลยสักครั้งที่อยากจะล่วงรู้เรื่องความรักของพสุธาเพราะรู้ไปคนที่เจ็บก็มีเพียงเธอเท่านั้น

            “เสร็จแล้ว” แรงยวบข้างกายพร้อมมือหนาที่พาดบนไหล่เธอทำให้ดาริกาตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง

            “เหม่ออยู่นั่น คิดเรื่องอะไร” ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเพราะเรื่องที่เธอคิดมีแต่เขาล้วนๆ

            “ดาว ฉันว่าเรามาเปลี่ยนสรรพนามเรียกกันดีไหม ฉัน แก เนี่ยไม่เอาแล้วมันดูเพื่อนเกินไป ในเมื่อเราจะเป็นสามีภรรยากันก็เรียก..เบ๊บดีไหม” ร่างสูงดูกระตือรืนร้นเหลือเกินในการคิดสรรพนามใหม่

            “เบ๊บกินข้าวไหมจ๊ะ เฮ้เบ๊บ” ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตีเบาๆ ตรงหน้าผากได้รูปของชายหนุ่ม

            “ประสาท ใครจะไปเรียกลง”

            “เพราะจะตาย ถ้าอย่างนั้น ที่รัก ฮันนีสวีตฮาร์ตหรือแบบไทยๆ หมูอ้วน ตัวเอง”

            ได้ยินแค่นั้นหญิงสาวก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธคอแทบเคล็ด เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมการมีแฟนแล้วต้องเรียกด้วยคำหวานชวนอาเจียนตลอดเวลาขนาดนี้ เธอคนหนึ่งละขอบายฟังแล้วขนลุก

            “ไม่เอา ถ้าแกเรียกฉันแบบนั้นฉันอัดแกแน่”

            พสุธาหัวเราะออกมาเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ชอบเรื่องแบบนี้ มือหนาเกี่ยวผมยาวสลวยเล่นด้วยความเพลิดเพลิน

            “รู้แล้ว แต่คำว่าแกไม่เอาได้ไหม เอาเป็นเธอ ฉัน นายก็ได้ ดูดีกว่า ไม่งั้นเรียกคุณก็ได้นะครับคุณดาว”

            ทั้งสองไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันเพียงใดเพราะเพลิดเพลินกับการพูดคุย

            “ก็ได้”

            “ถ้าใครหลุดออกมาต้องโดนจูบ” วิธีการทำโทษที่แปลกของร่างสูงทำให้ดาริกาหันมามองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักเพราะดูเหมือนเธอจะเสียเปรียบ

            “ไม่เอา”

            “เอา ตกลงตามนี้ ขอมัดจำไว้ก่อน” ไม่ทันให้ตั้งตัวอีกฝ่ายก็โน้มหน้ามาจูบเธอทันทีก่อนผละออกแล้วก้มลงจูบอีกครั้งอย่างโหยหา มือหนาจับใบหน้าหวานเอาไว้เพราะดูเธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เอียงหน้าได้องศา พสุธาดูดดึงริมฝีปากบางอย่างเอาแต่ใจ แล้วสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานตวัดลิ้นเกี่ยวกับเธอเป็นการหยอกเอิน จากที่คราแรกแค่อยากมัดจำแต่ดูเหมือนอารมณ์เขาจะพุ่งขึ้นรวดเร็ว

            “พอ พอแล้ว” มือบางยันอกหนาไว้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาอุ้มเธอมานั่งตักโดยหันหน้าเข้าหาเขา

            “ขออีก” เสียงทุ้มแหบพร่าบ่งบอกอารมณ์โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

            “พสุธา! ถ้าไม่หยุดฉันจะบีบไอ้นั้นนายนะ” เตือนเสียงเขียวทำให้เขายอมผละออกจากเธอแต่ก็ยังไม่ปล่อยร่างบางไปง่ายๆ กอดเธอเอาไว้แล้วซุกใบหน้าลงซอกคอหอมกรุ่น ไม่เคยคิดว่าเพื่อนที่เห็นมาแต่เด็กจะเย้ายวนได้ขนาดนี้

            “ปล่อยได้แล้ว ฉันต้องอยู่กับนายอีกนาน”

            “นั่นสินะ อีกนานเลย” ในที่สุดก็ปล่อยเธอ เมื่อเป็นอิสระดาริกาก็ลุกขึ้นย้ายไปนั่งอีกฝั่งให้ห่างจากร่างสูงมากที่สุดเพราะกลัวสายตาเจ้าเล่ห์นั้น เขาคือจิ้งจอกเก้าหางมีแผนในหัวเป็นร้อยไม่รู้จะโดนขย้ำตอนไหน

            “เดี๋ยวเย็นๆ จะไปส่ง เข้าไปนอนพักในห้องเถอะ” เมื่อได้ยินว่าอย่างนั้นเธอก็ไม่ขัด เดินเข้าห้องอีกฝ่ายก่อนจะล็อกเอาไว้อย่างดีแล้วขึ้นไปบนเตียงห่มผ้านอนอย่างสบายใจ ขอพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกันเรื่องอื่นค่อยว่าอีกที

           

            ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมางานแต่งถูกเตรียมไปอย่างรวดเร็วและคนที่สนใจมากที่สุดคือพสุธา เตรียมทั้งชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยติดต่อร้านคนรู้จักนัดวันลอง ช่วยเธอเลือกชุดทั้งยังให้เพื่อนที่เป็นช่างภาพมาถ่ายพรีเวดดิงให้อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่เอาไหนจะเตรียมงานได้ดีขนาดนี้ ทั้งสถานที่ชายหนุ่มก็ติดต่อกับเพื่อนได้ราคาถูกลงกว่าปกติ ว่าที่เจ้าสาวแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากต้องเข้าคอร์สเจ้าสาวที่เขาจองไว้ให้เท่านั้น

            ไม่กี่วันก่อนพสุธาก็เอารูปถ่ายมาให้เธอเลือกว่าจะเอารูปไหนไว้หน้างานบ้าง เธอเองก็เลือกไม่ได้เพราะมีแต่รูปสวยๆ จนตากล้องสุดหล่อนามดินคนดีต้องตัดสินใจในฐานะช่างภาพ พสุธาเข้ากับพ่อของเธอได้เป็นอย่างดีว่าที่เจ้าบ่าวมักจะไปมาหาสู่ช่วงเดือนที่ผ่านมา แม้เธอจะไม่อยากให้มาเท่าไหร่ก็ตาม เธอกลัวว่าร่างสูงจะเจอน้องเล็กแต่ก็โล่งอกที่ลักษณ์นาราไม่อยู่บ้านเพราะไปเที่ยวต่างประเทศ

            “เชิญขึ้นรถเลยครับคุณผู้หญิง” เช้าวันไหนที่ไม่มีงานพสุธาก็มักจะมารับเธอไปส่งที่ทำงานทุกครั้งแม้จะเพียรบอกว่าทางมันไกลจากที่ทำงานอีกฝ่ายก็ดื้อจะมาให้ได้จนเหนื่อยจะเถียงต้องเลยตามน้ำไป

            “กินข้าวเช้ามาหรือยัง” อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้า

            “ตื่นก็อาบน้ำมาเลย หิวม้ากมาก” ทำหน้าตาน่าสงสารให้หญิงสาวเห็นใจดาริกาก็ส่ายหัวให้กับลูกอ้อนของเขา        

            “วันนี้ทำข้าวเที่ยงมาให้ด้วย อยู่ในถุงฉันเอาไว้เบาะหลังนะ” พสุธามองถุงสีฟ้าที่เธอเอาไปวางไว้เบาะหลังก็ได้แต่อมยิ้ม

            “ยิ้มอะไร”

            “ก็..เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันเลย” คำพูดนั้นก็ทำเอาเธอไปไม่เป็นเหมือนกันจึงแสร้งทำหน้าขรึม

            “ออกรถได้แล้วมัวโอ้เอ้อยู่ได้ วันนี้ฉันจะถึงออฟฟิศไหม”

            “ครับคุณนาย ไปเดี๋ยวนี้เลยครับผม” รถยนต์ยี่ห้อหรูเคลื่อนตัวไปตามถนนด้วยความเร็วพอประมาณ ปกติพสุธามักจะชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์เพราะไปถึงเร็วกว่า สามารถซอกแซกได้พอต้องรับส่งดาริกาก็ต้องเปลี่ยนเพราะไม่อยากให้รองผู้จัดการต้องเข้างานสาย

            “เดี๋ยวตอนเย็นมารับ” ส่งถึงที่เขาก็ไม่ลืมย้ำเพราะกลัวเธอกลับก่อนเหมือนครั้งแรกที่มาส่งพอจะมารับดันกลับแล้วซะอย่างนั้นพสุธาเลยมาเสียเที่ยว

            “รู้แล้ว นายย้ำฉันทุกวันจนเบื่อแล้ว”

            “ก็กลัวหนีกลับก่อน”

            “ไม่หนีแล้ว ไปละ” โบกมือลาก่อนลงจากรถโดยที่ร่างสูงทำเพียงมองตามหลังเธอไปก่อนยกยิ้ม ร่างสูงกลับคอนโดเพื่อไปดูการตกแต่งห้องใหม่และต้องจัดใหม่ทั้งหมดระหว่างรอสร้างเรือนหอ เขาไม่ได้บอกดาริกาเรื่องเรือนหอบอกเพียงว่าหลังแต่งงานให้ย้ายมาอยู่ที่คอนโดของตนเพราะใกล้ที่ทำงานมากกว่าเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงตอบรับคำอย่างง่ายดาย

            “พี่ตาคะ นี่บัตรเชิญงานแต่งดาวค่ะ” ช่วงบ่ายที่ไม่ค่อยมีงานแล้วดาริกาเห็นว่าทางสะดวกจึงเข้าไปหาหัวหน้าแผนกที่เธอเคารพ พร้อมกับยื่นซองสีเงินกลิ่นหอมให้จนหัวหน้าตกใจ

            “อะไรกัน ตอนผมสัมภาษณ์บอกโสด เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนดันจะแต่งงานซะอย่างนั้น” พี่ตาหรือคุณหิรัญหัวหน้าแผนกโฆษณาเป็นหนุ่มร่างท้วมชอบความเฮฮาและสังสรรค์แถมแจกโบนัสไม่อั้นทำให้เป็นที่รักของลูกน้องทั้งหลาย

            “พอดีกะทันหันค่ะ” ไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไร เธอเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าโสดมาเป็นสิบปีพอจะมีแฟนดันข้ามขั้นไปแต่งงานเฉยเลย

            “ยังไงก็ยินดีด้วยนะ พาแฟนมาแนะนำกับทุกคนด้วยล่ะ” กฎของแผนกนี้คือทุกคนเหมือนพี่น้องไม่ว่าจะแฟนหรือญาติต่างก็รู้จักกันดี เธอทำเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ไม่ค่อยอยากจะพาเขามาเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายมนุษย์สัมพันธ์ดีเกินไปเกิดพูดเรื่องไม่ควรขึ้นมาเธอจะทำอย่างไร

            “ถ้าอย่างนั้นดาวขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”

            “เชิญๆ” เมื่อแจกซองให้หัวหน้าแล้วจึงมาแจกซองเพื่อนร่วมงานทำเอาหนุ่มๆ ต่างโอดครวญที่เธอสละโสดเร็วขนาดนี้ แต่ละคนก็อยากเห็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอว่าจะหล่อสักแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ตอบเพียงไม่ค่อยหล่อหรอกค่ะ

            การทำงานช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งมีคนมาขอพบเธอ“พี่ดาวขา มีคนมาขอพบหน้าตาหล๊อหล่อไม่ทราบว่าเป็นคุณเจ้าบ่าวหรือเปล่าคะ” เด็กฝึกงานที่สนิทด้วยเข้ามาบอกเธอถึงโต๊ะทำงานยิ่งสร้างความสงสัย ไม่คิดว่าพสุธาจะมารับเร็วขนาดนี้ งานอีกฝ่ายเลิกไม่เป็นเวลาเท่าไหร่

            “พี่ว่าไม่น่าใช่ แต่ยังไงก็ขอบใจที่มาบอกนะ” ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปยังห้องรับแขกของแผนก พอเธอเดินไปทุกคนต่างก็กรูไปยังประตูอย่างรวดเร็วเพื่อดูหน้าว่าที่เจ้าบ่าวที่ทุกคนปักใจเชื่อไปแล้ว

            “หล่อจริงด้วย”

            “ท่าทางจะรวยน่าดู” เสียงซุบซิบดังไปทั่วออฟฟิศโดยคนโดนนินทาไม่รู้ตัวสักนิด ดาริกาเดินออกมาก็พบกับชายหนุ่มที่ยืนยิ้มให้เธอพร้อมถุงขนมต่างๆ

            “อ้าวพี่รุต สวัสดีค่ะ” เขารับไหว้แทบไม่ทันก่อนเธอจะเชิญอีกฝ่ายนั่ง

            “ขอโทษที่วันนั้นดาวหนีไปนอนก่อนนะคะเลยไม่ค่อยได้คุยกันเลย” รู้สึกผิดที่ปล่อยให้รุ่นพี่ต้องอยู่กับคนที่ไม่สนิทด้วยแต่ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

            “ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ”

            “แล้วพี่รุตมาทำอะไรแถวนี้หรือคะ ติดต่อธุระหรือเปล่า” ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยมองหน้าหล่อที่ทำเพียงยิ้มเจื่อนเท่านั้น

            “พี่ผ่านมาเลยแวะมาหาดาวน่ะ แล้วก็เอาขนมมาฝากด้วย” ถุงขนมหลากหลายยี่ห้อถูกยื่นให้ดาริกาที่มีท่าทางเกรงอกเกรงใจเหลือเกิน

            “ลำบากแย่เลย ซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ”

            “พี่ไปทำงานเดือนที่แล้วไปเป็นเดือนเลยมีของเยอะหน่อย นี่ก็แบ่งให้คนอื่นไปเยอะแล้วนะ” ขนาดแบ่งคนอื่นแล้วขนมที่ให้เธอยังมีหลายถุงจนคิดว่าจะกินยังไงให้หมด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเอาของให้เขาเธอจึงรีบบอก

            “ดาวก็มีของจะให้พี่รุตเหมือนกัน รอสักครู่นะคะ” พูดจบร่างบางก็รีบเดินเข้าไปในห้องทำงานทำให้คนที่เกาะกลุ่มกันรีบสลายตัวอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย ดาริกาไม่ได้สงสัยอะไรรีบเดินไปหยิบของที่ว่าก่อนออกจากห้องไปหาแขกที่นั่งรออยู่

            “นี่ค่ะ” ซองกระดาษสีเงินพิมพ์ลายถูกยื่นมาตรงหน้า หัวใจของนักธุรกิจหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มือหนาสั่นขณะที่รับมาจากเธอ กลิ่นหอมจากกระดาษโชยมาในขณะที่ค่อยๆ เปิดออกเพื่ออ่านข้อความข้างใจ ภาวนาว่าให้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิทเธอสักคน

            ดาริกา       พสุธา

            เพียงแค่เปิดหัวใจของเขาก็เหมือนลอยออกมาก่อนจะแตกเป็นฝุ่นผงลงที่เท้าไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่คิดจะรักก็อกหักแม้ยังไม่ทันเริ่ม มองใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มก็สร้างความช้ำให้ตนเป็นเท่าทวีคูณ

            “พี่ไม่รู้มาก่อนว่าดาวมีคนรัก” อย่าว่าแต่เขาเลยเธอเองก็เพิ่งจะรู้เช่นเดียวกัน

            “ค่ะ พอดีไม่ค่อยบอกใคร” หรือพูดง่ายๆ ไม่มีใครรู้จะถูกกว่า ตอนนี้การ์ดแต่งงานของเธอและพสุธาก็ทยอยส่งให้เพื่อน ทุกคนต่างก็สงสัยทั้งนั้นเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าพสุธาและเธอจะลงเอยกัน มีแต่ตั้งข้อสังเกตว่าเธออาจจะท้องซึ่งก็กลัวจะจริงเหลือเกินจึงไปตรวจก็ทราบว่าเธอปกติดีไม่ได้ตั้งครรภ์แต่อย่างใดก็โล่งใจ

            “พี่ยินดีด้วยนะครับ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่แววตากลับแสดงความเจ็บปวดออกมาก่อนจะรีบขอตัวกลับเพราะต้องไปทำงานต่อ

            ดาริกาลุกขึ้นไหว้ขอบคุณอีกครั้งแล้วกลับเข้ามาภายในห้อง ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องความรู้สึกของมารุตที่มีต่อเธอ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อความรู้สึกที่ให้คนตรงหน้าคือพี่น้องเท่านั้น แม้ไม่มีพสุธาความรู้สึกของเธอก็ไม่พัฒนาไปมากกว่านี้แน่นอน

            มองนาฬิกาก่อนจะรีบทำงานเพราะอีกไม่นานว่าที่สามีคงมารับกลับบ้าน เธอแทบไม่ได้อยู่คอนโดตัวเองเพราะพสุธาเห็นว่าใกล้แต่งงานแล้วจึงอยากให้เธออยู่กับบิดาเรียนรู้งานบ้านงานเรือนมากกว่าแม้จะรู้สึกตงิดในใจ หากไม่ได้ทักท้วงให้มากกว่าจึงปล่อยเลยตาม อะไรที่ทำให้ได้ก็ทำไปไม่ได้ลำบากตนเองแต่อย่างใด

            เมื่อถึงเวลาห้าโมงครึ่งโทรศัพท์ดังเธอก็เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนจะลาคนที่เหลือแล้วลงไปข้างล่างก็เจอรถยนต์ที่คุ้นตาจอดอยู่ เปิดประตูข้างคนขับขึ้นมานั่งพร้อมรับน้ำที่เขามักจะซื้อมาฝากไม่ซ้ำกันมาดื่มอย่างสดชื่น รถเคลื่อนตัวออกไปส่งกลับบ้านอย่างสวัสดิภาพ

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status