เพื่อนบ้านชื่อเจ๊ฟางอายุไล่เลี่ยกับฉันเปิดประตูออกมา พูดจาเสียงดังฟังชัด“พูดอะไรน่ะ อายุหกสิบก็แค่แก่ไม่ได้จะตายซักหน่อย อยู่อีกยี่สิบปีก็ยังสบายๆ แต่ใครจะทนกับคนอย่างพวกเธอไหว แค่ปีเดียวก็จะตายแล้ว”“ยังกล้ามาต่อว่าแม่ตัวเองอีก ฉันล่ะอายแทนจริงๆ”พลังด่าของเจ๊ฟางช่างดุเดือดนัก ลูกชายฉันเหมือนมีอะไรจุกในลำคอ อยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก ได้แต่เดินหนีไปเงียบๆ......เวลาสามสิบวันพริบตาก็ผ่าน ฉันกับเสิ่นจ้านไปรับหนังสือหย่าร้างมาเรียบร้อยทันทีที่ได้ใบหย่ามา ฉันรู้สึกถึงความโปร่งโล่งอย่างบอกไม่ถูกแบกภาระหนักอึ้งมาครึ่งค่อนชีวิต ไม่นึกว่าวันนี้ ฉันจะสามารถปลดมันทิ้งได้หมดเสิ่นจ้านกลับไม่รู้สึกดีใจเหมือนฉันสีหน้าเขาดูเคร่งขรึม แววตามีความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิดในมือเขากำหนังสือหย่าไว้แน่น มองหน้าฉันคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง“อาจ้าน”มีคนเรียกเขาอยู่ไกลๆนั่นคือโจวหว่านอวิ๋นเหมือนกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมารับหนังสือหย่า เธอจึงมารอแต่เช้าเมื่อเห็นเราต่างมีหนังสืออยู่ในมือ ดวงตาเธอก็เป็นประกายขึ้นเธอค่อยๆ เดินมาทางฉัน ยื่นมือให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ฉันชื่อโจวหว่านอวิ๋น เป
วันนั้นอยู่หน้าศูนย์บริหารราชการฝ่ายพลเรือน ฉันกับโจวหว่านอวิ่นและเสิ่นจ้านไม่รู้ถูกใครถ่ายคลิปแล้วไปโพสต์ลงในโลกโซเชี่ยลฉันถูกเบลอหน้าไว้ แต่สองคนนั้นถูกเปิดหน้าให้เห็นชัดเจน[นี่น่ะหรือรักกันจนแก่เฒ่า เป็นการรวมหัวของชายโฉดหญิงชั่วต่างหาก][วันก่อนใครๆ ก็เห็นกับตา ตาแก่ขอหย่ากับเมียหลวง นังเมียน้อยยังกล้ามาเสนอหน้ารออยู่ข้างนอก ช่างไม่รู้จักอายจริงๆ แก่ปูนนี้ยังไม่มีหัวคิดอีก]เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกออนไลน์ จนแม้แต่ร้านเช่าชุดแต่งงานยังถูกกล่าวหาว่ายกย่องความรักของมือที่สาม จนต้องออกมาปฏิเสธทันควันบอกว่าพวกเขาแค่มีหน้าที่ในการถ่ายรูปเท่านั้น และเสิ่นจ้านกับโจวหว่านอวิ๋นก็ใช้บริการมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยขาดหาย ใครจะนึกว่าเบื้องหลังยังมีเมียหลวงอีกคนทำเอาชาวเน็ตยิ่งเดือดดาลมากขึ้น[ตาแก่คนนี้เมื่อก่อนเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฉันเอง ทำงานก็ดีหรอก แต่ไม่นึกว่าลับหลังจะเป็นคนประเภทนี้][นอกใจเมียยังพอว่า ไม่นึกว่ายังแอบกินมาตั้งหลายปี][ฉันว่าตอนหนุ่มๆ ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่]......โจวหว่านอวิ๋นก็ไม่นึกว่าเรื่องราวจะบานปลายจนถึงขั้นนี้และไม่รู้ว่าใครเป็น
ที่แท้หลานสาวถูกโจวหว่านอวิ๋นล้างสมองด้วยตรรกะความรักที่ผิดเพี้ยน ไม่เพียงเห็นดีเห็นงามกับการเป็นมือที่สาม ยังริอ่านคุยกับผู้ชายทางออนไลน์อีกลูกสะใภ้หัวเราะหยัน คืนนั้นจึงโทรหาลูกชายบอกอให้เขารีบกลับบ้าน“ดูลูกสาวคุณซิว่าถูกเสี้ยมสอนจนกลายเป็นคนแบบไหนแล้ว”เธอเอาแชทข้อความของลูกให้สามีดูลูกชายฉันยกมือถือขึ้นมาดู จนคิ้วยิ่งขมวดมุ่นหลังจากดูจบ เขายกมือขึ้นคิดจะตีลูกสาวเด็กร้องไห้โวยวาย “เพราะคุณย่าโจวสอนหนูเอง ไหนพ่อบอกว่าคุณย่าโจวเป็นคนมีการศึกษา ให้เชื่อฟังเขาเหมือนคุณครูไม่ใช่หรือคะ”ลูกชายหยุดชะงัก พลางหันไปมองโจวหว่านอวิ๋น“น้าโจว เพราะเราไว้ใจน้าถึงให้ช่วยดูแลลูก เมื่อก่อนแม่ผมเลี้ยงหลานได้ดีมาก”โจวหว่านอวิ๋นรู้สึกละอายใจ พร้อมคำแก้ตัวต่างๆ นานาเสิ่นจ้านเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง ตวาดเสียงดัง“พอที แค่นี้ยังอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ”ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่พอใจ และต่างมีความคิดไปคนละอย่างต่อมาสะใภ้จึงพาลูกออกจากบ้านไป ส่วนลูกชายฉันก็ไม่อยากข้องแวะกับโจวหว่านอวิ๋นอีกเสิ่นจ้านยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่องเหล่านี้สะใภ้เป็นคนมาบอกฉันเองหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เธอกับลูกชายก็
สีหน้าเขาซีดลงในทันใด ปากก็พูดไม่ออก แววตาเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดลูกชายสุดจะทนดูสภาพสิ้นหวังของเสิ้นจ้าน จึงเรียกเสียงเบาๆ “แม่ครับ”ฉันไม่ได้ตอบ แต่ปิดประตูลงเงียบๆ เท่ากับขวางกั้นให้พวกเขาอยู่นอกโลกของฉันกว่าจะได้ข่าวเสิ้นจ้านอีกครั้ง ก็อีกสามเดือนต่อมาในตอนนั้นฉันเรียนภาษาอังกฤษจนพอได้ระดับพื้นฐาน สามารถพูดคุยตอบโต้ได้บ้างจู่ๆ ลูกชายก็โทรมาหาฉัน บอกว่าเสิ่นจ้านเข้าโรงพยาบาลเพราะสูดดมแก๊สหุงต้มเข้าไปมากเห็นว่าสาเหตุเพราะโจวหว่านอวิ๋นกำลังทำอาหารอยู่ แล้วสองคนเกิดทะเลาะกันขึ้นมา สุดท้ายก็ลืมปิดเตาแก๊สดีที่ตอนนั้นนิติบุคคลกำลังซ่อมสายไฟอยู่ จึงช่วยทั้งสองคนออกมาทันเวลาโจวหว่านอวิ๋นสูดดมแก๊สเข้าไปไม่มาก พักผ่อนไม่นานก็เริ่มรู้สึกตัวแต่พอฟื้นมาแล้ว เขาเหมือนตายใจจากเสิ่นจ้านโดยสิ้นเชิง ไม่พูดไม่จากลับไปเก็บข้าวของแล้วออกจากบ้านไปก่อนไปได้ขอช่องทางติดต่อกับฉัน และสงข้อความมา[คุณชนะแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษชีวิตจริงที่โหดร้าย ทำให้ฉันต้องพ่ายแพ้]ฉันไม่เคยคิดแข่งขันกับผู้หญิงคนนี้เลย และไม่แคร์ด้วยว่าท้ายสุดแล้วเสิ่นจ้านจะรักใครมากกว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่คนวัยอย่างฉัน
วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของฉันกับสามีเสิ่นจ้าน แต่เขามักออกจากบ้านในเวลานี้เสมอแต่งงานมาสี่สิบกว่าปี ไม่ว่าวันสำคัญไหนๆ เขาก็ไม่เคยอยู่ฉลองกับฉันหลังจากกินอาหารเช้าตามลำพังเสร็จแล้ว ฉันถูพื้นจนผ่านห้องหนังสือ เหลียวไปเห็นชั้นวางที่มีข้าวของระเกะระกะอยู่ฉันถอนหายใจ ทิ้งม็อบถูพื้นแล้วเข้าไปจัดเก็บไปจนถึงบนสุดของชั้นวาง จู่ๆ มีหนังสือตกมาเล่มหนึ่ง ความสวยและหนาของรูปเล่มกระแทกโดนหน้าผากของฉันเข้าชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ฉันถึงเห็นชัดว่านั่นไม่ใช่หนังสือ หากแต่เป็นอัลบั้มภาพถ่ายแต่งงานต่างหากเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งต่างสวมชุดวิวาห์ในหลากหลายรูปแบบ แนบชิดสนิทสนม สีหน้าเปี่ยมด้วยความสุขฝ่ายชายเป็นคนที่ฉันคุ้ยเคยที่สุด คือเสิ่นจ้านแต่ฝ่ายหญิงกลับไม่ใช่ฉันฉันยืนกุมบาดแผล รู้สึกเกิดอาการมึนหัว และแยกไม่ออกว่านั่นคือความปวดใจหรือปวดตรงไหนกันแน่และรูปใหม่ล่าสุด คือทั้งคู่เพิ่งไปถ่ายในวันนี้ของปีที่แล้ว แม้จะเริ่มมีผมขาวโพลน แต่ก็ยังรักกันหวานชื่นเหมือนคู่รักหนุ่มสาวด้านหลังภาพถ่ายยังมีลายมือของเสิ่นจ้านเขียนกำกับไว้แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนเขียนอย่างบรรจง แสดงถึงความตั้งใจจร
จู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้น สีหน้าซึ่งเคร่งขรึมมาโดยตลอดผุดรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาฉันมองตามสายตาเขาไปมีสาวแก่อีกคนในชุดเจ้าสาวแบบจีนยืนอยู่หน้าห้องลองชุด ผมสีดอกเลาตกแต่งสวยงาม ด้านข้างขมับประดับด้วยปิ่นดอกไม้เธอก็คือตัวเอกอีกคนในอัลบั้มรูปนั้นทั้งคู่เดินมาจับมือแล้วยืนขึ้น ต่างมองตากันด้วยความรักโครม...ในที่สุดท้องฟ้ามืดครึ้มก็คำรามเสียงดัง และตามด้วยฝนตกฉันไม่ได้พกร่มมาด้วย ได้แต่ยืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อจะหลบฝนมีพนักงานเดินออกมาเก็บป้ายโฆษณา พอเห็นฉันเข้าก็รีบมาดึงตัวเพื่อให้เข้าไปหลบฝนด้านใน“เฮ้ คุณยายคะ ฝนตกหนักขนาดนี้แล้ว รีบมาหลบฝนในร้านก่อนเถอะ อย่าให้เปียกปอนเลย”ขณะชักชวนก็ไม่ลืมหาลูกค้าไปในตัว“จะได้เข้ามาดูภาพแต่งงานของเราแล้วไปชวนสามีมาถ่ายด้วยกันนะคะ ฉันจะบอกให้ ร้านเรามีสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ทุกปี เพราะสมัยก่อนไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ ตอนนี้เลยอยากชดเชย น่ารักมากเลยค่ะ...”ฉันก้าวเดินช้าๆ ตามหลังพนักงานเข้าไปในร้าน ในใจเกิดความรู้สึกตึงเครียดความทรงจำผุดขึ้นในสมอง สมัยก่อนฉันกับเสิ่นจ้านรู้จักกันโดยผ่านแม่สื่อ ตอนนั้นเขามุ่งมั่นที่จะสอบ
เสิ่นจ้านเปิดประตูรถ ค่อยประคองให้โจวหว่านอวิ๋นเข้าไปนั่งแล้วตัวเองจึงเข้าตามความใส่ใจถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยได้รับมาก่อน......ฉันไม่ได้โง่ถึงขั้นนั่งรอในร้านให้เขากลับมารับอีกฉันเรียกรถกลับไปเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องง้อเขาเลยฉันเรียกแกร๊บมารอที่หน้าร้าน และบอกให้คนขับช่วยกางร่มมารับหน่อย เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเปียกฝนอายุปูนนี้แล้ว หากไม่ดูแลตัวเองก็จะล้มป่วยได้ง่ายฉันรักตัวเองเสมอเสิ่นจ้านตามมาถึงบ้านหลังฉันเกือบสองชั่วโมงกว่าทันทีที่เข้ามา เขาตะโกนใส่ฉันด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “อวี๋โม่ ฉันบอกให้รออยู่ที่ร้านไง รู้ไหมว่าเพื่อจะกลับไปรับเธอ ฉันแทบเปียกฝนทั้งตัวน่ะ”ฉันวางถ้วยน้ำอุ่นในมือลงพร้อมถามกลับ“อยู่ไกลมากหรือไงถึงต้องให้ฉันรอตั้งสองชั่วโมงกว่าน่ะ”เขาหลบตาเหมือนกับจะร้อนตัว ไม่กล้าโต้เถียงเรื่องนี้กับฉันอีก“เอาเสื้อผ้าฉันไปซัก แล้วเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยนด้วย”ฉันเพิ่งสังเกตเห็นสภาพเขาที่โดนฝนมาทั้งตัว แม้แต่ผมก็เปียกปอนจนมีน้ำไหลลงมาข้างแก้มเสิ่นจ้านถอดเสื้อออกแล้วโยนมาให้ฉันที่ผ่านมาการถูกเรียกใช้เหมือนแม่บ้านคนหนึ่ง ฉันมักจะนิ่งเงียบและยอมรับ คิดว่าเขาอยู่ข้างน
เสิ่นจ้านไม่เห็นด้วยที่ฉันจะขอหย่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธเขาไม่ยอมเจรจาใดๆ กับฉันทั้งสิ้น เราสองคนเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นอาจเพราะวันนั้นโดนฝนแล้วไม่ได้รีบกินยา บวกกับคนอายุมากแล้ว ภูมิต้านทานร่างกายไม่เหมือนวัยหนุ่มสาว รุ่งขึ้นจึงทำให้เขามีไข้ต่ำเล็กน้อยและฉันก็ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ พอเห็นเขาไม่สบายเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ จนแทบอยากป่วยแทนเขามากกว่าฉันทำอาหารพอให้ตัวเองกินคนเดียว กินเสร็จก็ไปออกกำลังในสวน นัดเพื่อนฝูงไปเดินเที่ยวบ้างบางวันก็แวะไปดูบ้านเช่า เผื่อว่าอีกวันสองวันจะย้ายออกไปการที่ไม่ต้องวุ่นวายกับงานบ้าน ก็ทำให้เราเบาตัวขึ้นไม่น้อยเรื่องที่ฉันจะขอหย่า ไม่นานก็ไปถึงหูลูกชายเข้าเขายังอยู่เมืองนอก แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าพ่อกับแม่ทะเลาะสักพัก เดี๋ยวก็คืนดีกันจนกระทั่งเสิ่นจ้านมีไข้ขึ้นสูงแล้วเพื่อนบ้านโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวไป ส่วนฉันก็ยังรำมวยไทเก๊กอยู่ ทุกคนถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ ‘การทะเลาะ’ ธรรมดาลูกชายพาสะใภ้และหลานสาวรีบกลับจากเมืองนอกทันทีลูกสะใภ้อยู่โรงพยาบาลดูแลเสิ่นจ้าน ลูกชายกลับมาบ้านเพื่อจะเอาเรื่องฉัน“แม่ครับ แม่จะงอนถึงเมื่อไหร่กัน