Share

บทที่ 3

Author: หัวใจดวงน้อย
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
เสิ่นจ้านเปิดประตูรถ ค่อยประคองให้โจวหว่านอวิ๋นเข้าไปนั่งแล้วตัวเองจึงเข้าตาม

ความใส่ใจถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยได้รับมาก่อน

......

ฉันไม่ได้โง่ถึงขั้นนั่งรอในร้านให้เขากลับมารับอีก

ฉันเรียกรถกลับไปเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องง้อเขาเลย

ฉันเรียกแกร๊บมารอที่หน้าร้าน และบอกให้คนขับช่วยกางร่มมารับหน่อย เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเปียกฝน

อายุปูนนี้แล้ว หากไม่ดูแลตัวเองก็จะล้มป่วยได้ง่าย

ฉันรักตัวเองเสมอ

เสิ่นจ้านตามมาถึงบ้านหลังฉันเกือบสองชั่วโมงกว่า

ทันทีที่เข้ามา เขาตะโกนใส่ฉันด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “อวี๋โม่ ฉันบอกให้รออยู่ที่ร้านไง รู้ไหมว่าเพื่อจะกลับไปรับเธอ ฉันแทบเปียกฝนทั้งตัวน่ะ”

ฉันวางถ้วยน้ำอุ่นในมือลงพร้อมถามกลับ

“อยู่ไกลมากหรือไงถึงต้องให้ฉันรอตั้งสองชั่วโมงกว่าน่ะ”

เขาหลบตาเหมือนกับจะร้อนตัว ไม่กล้าโต้เถียงเรื่องนี้กับฉันอีก

“เอาเสื้อผ้าฉันไปซัก แล้วเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยนด้วย”

ฉันเพิ่งสังเกตเห็นสภาพเขาที่โดนฝนมาทั้งตัว แม้แต่ผมก็เปียกปอนจนมีน้ำไหลลงมาข้างแก้ม

เสิ่นจ้านถอดเสื้อออกแล้วโยนมาให้ฉัน

ที่ผ่านมาการถูกเรียกใช้เหมือนแม่บ้านคนหนึ่ง ฉันมักจะนิ่งเงียบและยอมรับ คิดว่าเขาอยู่ข้างนอกทำงานเหนื่อย ฉันเป็นภรรยาทำงานบ้านก็เป็นหน้าที่อยู่แล้ว

และพอนานวันเข้า ก็กลายเป็นความเคยชินที่จะคอยรับใช้เขา

แต่พอมาถึงวันนี้ จู่ๆ ฉันก็นึกเบื่อการใช้ชีวิตแบบนี้กับเขา

ฉันไม่สนใจเสื้อผ้าเปียกที่กองอยู่แทบเท้า หันไปหยิบอัลบั้มนั่นออกมา

“ทีนี้จะอธิบายได้หรือยัง?”

เขาคงไม่นึกว่าปกติฉันเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม วันนี้กลับกัดติดเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย จึงได้ขมวดคิ้วมุ่น แสดงสีหน้าอาจารย์เมื่อเจอหน้าลูกศิษย์เกเร มีความไม่พอใจอย่างมาก

“สมัยก่อนที่เลิกกับเขาเพราะความจำเป็น ตอนหลังเขากลับมาหาฉันอีก ฉันคิดว่าไหนๆ เราก็มีลูกกันแล้ว บ้านเราต้องพึ่งพาเธอหลายอย่างเลยไม่ได้เอ่ยปากขอหย่า จนกระทั่งผ่านไปหลายปี ฉันแค่อยากเติมเต็มความฝันในอดีตเท่านั้น แก่ปูนนี้แล้วเธอจะถือสาอะไรอีก”

ฉันก้มหน้าฟังคำ ‘แก้ตัว’ อย่างไร้เหตุผลของเขา

ผ่านไปหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกำลังพิจารณาชีวิตคู่ของเราอย่างจริงจัง

เสิ่นจ้านบอกว่าไม่อยากหย่า เพียงเพราะหลายอย่างในบ้านขาดฉันไม่ได้

ก็ถูก อาหารการกินของเขา เสื้อผ้าที่สวมใส่ ความสะอาดภายในบ้าน เด็กๆ ไปโรงเรียนคอยรับคอยส่ง...

เรื่องจุกจิกเหล่านี้ ทั้งงานใหญ่งานเล็กในบ้าน ล้วนทำให้หญิงสาวคนหนึ่งกลายเป็นยายเพิ้ง จากยายเพิ้งก็กลายเป็นยายแก่

ฉันถอนหายใจยาว จู่ๆ รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น หมดแรงที่จะโต้เถียงกับเขาอีก

“เสื้อผ้าคุณเอาไปซักเอง ฉันรู้สึกเพลีย ขอตัวไปนอนก่อน”

......

ท่าทีของฉันทำให้เสิ่นจ้านยิ่งเดือดดาลมากขึ้น

เขาได้แต่กล่าวสบถเบาๆ “บ้าบอสิ้นดี” พร้อมก้มตัวไปเก็บเสื้อผ้าไปยังห้องซักล้าง

แต่เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ที่เพิ่งซื้อมา เขาไม่เคยใช้สักครั้ง ดูไปดูมากดโน่นกดนี่ก็ยังไม่กระดิก กลับทำให้ตัวเองหนาวจนจามออกมาสองที สุดท้ายก็ต้องหน้าบูดบึ้งมาถามฉันว่าจะเปิดใช้ยังไง

ฉันนอนอยู่บนเตียงไม่ตอบเขา

ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ห้องซักล้างจึงมีเสียงเครื่องซักผ้าทำงานดังลอดออกมา

เสิ่นจ้านเดินหน้าบึ้งกลับมาอีก พร้อมรื้อค้นในตู้เสื้อผ้า

“เสื้อหนาวสีฟ้าของฉันตัวนั้นล่ะ เธอเอาไปเก็บไว้ไหน?”

ฉันหันหลังให้ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

บรรยากาศในห้องดูตึงเครียด คล้ายภูเขาไฟที่รอการปะทุอยู่

ในที่สุด เสิ่นจ้านก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน

เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาหลายตัวแล้วโยนลงที่เตียง น้ำเสียงแหบแห้ง ฟังดูคล้ายโอดครวญเพราะหมดสิ้นหนทาง

“ฉันก็อธิบายไปหมดแล้ว เธอยังจะงอนอะไรอีก เราจะอยู่เหมือนเดิมไม่ได้หรือไง”

มีเสื้อตัวหนึ่งติดกระดุมเม็ดใหญ่ มากระแทกถูกแผลที่หน้าผากฉันที่ยังไม่ได้ทายา

ฉันเจ็บจนร้อง ‘อูย’ ออกมา

เสิ่นจ้านตกตะลึง เขารีบวิ่งมาดูและทำอะไรไม่ถูก

“เธอบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ทันสังเกต...”

ตั้งแต่ที่เขากลับมา ความสนใจก็ไปอยู่ที่อัลบั้มสุดหวงนั่นหมด จะมองเห็นบาดแผลของฉันได้ยังไง

ฉันประเมินผู้ชายคนนี้อยู่นาน

ตอนสาวๆ ชอบเขาก็เพียงแค่หน้าตาดี จึงยอมแต่งงานง่ายๆ

แต่ชีวิตคู่ที่จืดชืด แทบไม่มีความหมายอะไร

ฉันรู้สึกถึงความเบื่อหน่ายและหดหู่ใจ แต่น้ำเสียงกลับราบเรียบ

“ถ้าอยู่กันไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่อีก”

เมื่อพูดออกไป ฉันแทบสัมผัสได้ว่า ความรักความผูกพันที่เคยมีต่อเขา จู่ๆ ก็ถูกปล่อยวางลงจนหมดสิ้น

Related chapters

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 4

    เสิ่นจ้านไม่เห็นด้วยที่ฉันจะขอหย่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธเขาไม่ยอมเจรจาใดๆ กับฉันทั้งสิ้น เราสองคนเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นอาจเพราะวันนั้นโดนฝนแล้วไม่ได้รีบกินยา บวกกับคนอายุมากแล้ว ภูมิต้านทานร่างกายไม่เหมือนวัยหนุ่มสาว รุ่งขึ้นจึงทำให้เขามีไข้ต่ำเล็กน้อยและฉันก็ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ พอเห็นเขาไม่สบายเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ จนแทบอยากป่วยแทนเขามากกว่าฉันทำอาหารพอให้ตัวเองกินคนเดียว กินเสร็จก็ไปออกกำลังในสวน นัดเพื่อนฝูงไปเดินเที่ยวบ้างบางวันก็แวะไปดูบ้านเช่า เผื่อว่าอีกวันสองวันจะย้ายออกไปการที่ไม่ต้องวุ่นวายกับงานบ้าน ก็ทำให้เราเบาตัวขึ้นไม่น้อยเรื่องที่ฉันจะขอหย่า ไม่นานก็ไปถึงหูลูกชายเข้าเขายังอยู่เมืองนอก แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าพ่อกับแม่ทะเลาะสักพัก เดี๋ยวก็คืนดีกันจนกระทั่งเสิ่นจ้านมีไข้ขึ้นสูงแล้วเพื่อนบ้านโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวไป ส่วนฉันก็ยังรำมวยไทเก๊กอยู่ ทุกคนถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ ‘การทะเลาะ’ ธรรมดาลูกชายพาสะใภ้และหลานสาวรีบกลับจากเมืองนอกทันทีลูกสะใภ้อยู่โรงพยาบาลดูแลเสิ่นจ้าน ลูกชายกลับมาบ้านเพื่อจะเอาเรื่องฉัน“แม่ครับ แม่จะงอนถึงเมื่อไหร่กัน

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 5

    กระทั่งถึงเวลากลางคืน ครอบครัวลูกชายจึงพาเสิ่นจ้านที่หายไข้กลับมาบ้านเสิ่นจ้านป่วยรอบนี้ ทำให้หน้าตาทรุดโทรมลงไปมาก จนแทบไม่มีกำลังวังชาใดๆลูกชายยังโกรธที่ฉันตบหน้าเขา จึงยังบึ้งตึ้งไม่ยอมพูดจาด้วยมีแต่สะใภ้ที่มาทักทายฉัน หลานสาวก็วิ่งมาออดอ้อน“คุณย่าขา อย่าทิ้งคุณปู่ไปเลยนะคะ หรูหรูอยากให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าน่ะค่ะ”ฉันไม่นึกว่าพวกเขาจะเอาเรื่องวุ่นวายของผู้ใหญ่ไปเล่าให้เด็กฟัง จับแก้มยุ้ยของหลานสาวตัวน้อยเบาๆ ฉันตอบกลับยิ้มๆ“ถึงแยกทางกับคุณปู่ ย่าก็จะมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ นะจ๊ะ”ลูกชายอยู่ข้างๆ ทำเสียงฟึดฟัดเสิ่นจ้านทนไม่ไหวที่จะกัดฟันถาม “เธอต้องการอย่างงี้ให้ได้ใช่ไหม?”สะใภ้เห็นบรรยากาศไม่สู้ดี จึงอุ้มลูกเข้าห้องไปก่อนเมื่อเด็กไปแล้ว ฉันก็พูดได้โดยไม่ต้องแคร์อะไรอีก“ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้า ก็มาหารือเรื่องหย่าร้างกันเถอะ”เสิ่นจ้านยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น เหมือนคิดไม่ตกว่าทำไมฉันยังเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้นัก เพราะในความคิดของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยลูกชายมากล่าวโทษฉันอีก “แม่ครับ พ่อเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา แม่เห็นใจหน่อยได้ไหม เราก็เหมือนเป็นญาติสนิทหนึ่งเดียวของ

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 6

    เพื่อนบ้านชื่อเจ๊ฟางอายุไล่เลี่ยกับฉันเปิดประตูออกมา พูดจาเสียงดังฟังชัด“พูดอะไรน่ะ อายุหกสิบก็แค่แก่ไม่ได้จะตายซักหน่อย อยู่อีกยี่สิบปีก็ยังสบายๆ แต่ใครจะทนกับคนอย่างพวกเธอไหว แค่ปีเดียวก็จะตายแล้ว”“ยังกล้ามาต่อว่าแม่ตัวเองอีก ฉันล่ะอายแทนจริงๆ”พลังด่าของเจ๊ฟางช่างดุเดือดนัก ลูกชายฉันเหมือนมีอะไรจุกในลำคอ อยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก ได้แต่เดินหนีไปเงียบๆ......เวลาสามสิบวันพริบตาก็ผ่าน ฉันกับเสิ่นจ้านไปรับหนังสือหย่าร้างมาเรียบร้อยทันทีที่ได้ใบหย่ามา ฉันรู้สึกถึงความโปร่งโล่งอย่างบอกไม่ถูกแบกภาระหนักอึ้งมาครึ่งค่อนชีวิต ไม่นึกว่าวันนี้ ฉันจะสามารถปลดมันทิ้งได้หมดเสิ่นจ้านกลับไม่รู้สึกดีใจเหมือนฉันสีหน้าเขาดูเคร่งขรึม แววตามีความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิดในมือเขากำหนังสือหย่าไว้แน่น มองหน้าฉันคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง“อาจ้าน”มีคนเรียกเขาอยู่ไกลๆนั่นคือโจวหว่านอวิ๋นเหมือนกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมารับหนังสือหย่า เธอจึงมารอแต่เช้าเมื่อเห็นเราต่างมีหนังสืออยู่ในมือ ดวงตาเธอก็เป็นประกายขึ้นเธอค่อยๆ เดินมาทางฉัน ยื่นมือให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ฉันชื่อโจวหว่านอวิ๋น เป

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 7

    วันนั้นอยู่หน้าศูนย์บริหารราชการฝ่ายพลเรือน ฉันกับโจวหว่านอวิ่นและเสิ่นจ้านไม่รู้ถูกใครถ่ายคลิปแล้วไปโพสต์ลงในโลกโซเชี่ยลฉันถูกเบลอหน้าไว้ แต่สองคนนั้นถูกเปิดหน้าให้เห็นชัดเจน[นี่น่ะหรือรักกันจนแก่เฒ่า เป็นการรวมหัวของชายโฉดหญิงชั่วต่างหาก][วันก่อนใครๆ ก็เห็นกับตา ตาแก่ขอหย่ากับเมียหลวง นังเมียน้อยยังกล้ามาเสนอหน้ารออยู่ข้างนอก ช่างไม่รู้จักอายจริงๆ แก่ปูนนี้ยังไม่มีหัวคิดอีก]เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกออนไลน์ จนแม้แต่ร้านเช่าชุดแต่งงานยังถูกกล่าวหาว่ายกย่องความรักของมือที่สาม จนต้องออกมาปฏิเสธทันควันบอกว่าพวกเขาแค่มีหน้าที่ในการถ่ายรูปเท่านั้น และเสิ่นจ้านกับโจวหว่านอวิ๋นก็ใช้บริการมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยขาดหาย ใครจะนึกว่าเบื้องหลังยังมีเมียหลวงอีกคนทำเอาชาวเน็ตยิ่งเดือดดาลมากขึ้น[ตาแก่คนนี้เมื่อก่อนเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฉันเอง ทำงานก็ดีหรอก แต่ไม่นึกว่าลับหลังจะเป็นคนประเภทนี้][นอกใจเมียยังพอว่า ไม่นึกว่ายังแอบกินมาตั้งหลายปี][ฉันว่าตอนหนุ่มๆ ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่]......โจวหว่านอวิ๋นก็ไม่นึกว่าเรื่องราวจะบานปลายจนถึงขั้นนี้และไม่รู้ว่าใครเป็น

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 8

    ที่แท้หลานสาวถูกโจวหว่านอวิ๋นล้างสมองด้วยตรรกะความรักที่ผิดเพี้ยน ไม่เพียงเห็นดีเห็นงามกับการเป็นมือที่สาม ยังริอ่านคุยกับผู้ชายทางออนไลน์อีกลูกสะใภ้หัวเราะหยัน คืนนั้นจึงโทรหาลูกชายบอกอให้เขารีบกลับบ้าน“ดูลูกสาวคุณซิว่าถูกเสี้ยมสอนจนกลายเป็นคนแบบไหนแล้ว”เธอเอาแชทข้อความของลูกให้สามีดูลูกชายฉันยกมือถือขึ้นมาดู จนคิ้วยิ่งขมวดมุ่นหลังจากดูจบ เขายกมือขึ้นคิดจะตีลูกสาวเด็กร้องไห้โวยวาย “เพราะคุณย่าโจวสอนหนูเอง ไหนพ่อบอกว่าคุณย่าโจวเป็นคนมีการศึกษา ให้เชื่อฟังเขาเหมือนคุณครูไม่ใช่หรือคะ”ลูกชายหยุดชะงัก พลางหันไปมองโจวหว่านอวิ๋น“น้าโจว เพราะเราไว้ใจน้าถึงให้ช่วยดูแลลูก เมื่อก่อนแม่ผมเลี้ยงหลานได้ดีมาก”โจวหว่านอวิ๋นรู้สึกละอายใจ พร้อมคำแก้ตัวต่างๆ นานาเสิ่นจ้านเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง ตวาดเสียงดัง“พอที แค่นี้ยังอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ”ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่พอใจ และต่างมีความคิดไปคนละอย่างต่อมาสะใภ้จึงพาลูกออกจากบ้านไป ส่วนลูกชายฉันก็ไม่อยากข้องแวะกับโจวหว่านอวิ๋นอีกเสิ่นจ้านยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่องเหล่านี้สะใภ้เป็นคนมาบอกฉันเองหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เธอกับลูกชายก็

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 9

    สีหน้าเขาซีดลงในทันใด ปากก็พูดไม่ออก แววตาเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดลูกชายสุดจะทนดูสภาพสิ้นหวังของเสิ้นจ้าน จึงเรียกเสียงเบาๆ “แม่ครับ”ฉันไม่ได้ตอบ แต่ปิดประตูลงเงียบๆ เท่ากับขวางกั้นให้พวกเขาอยู่นอกโลกของฉันกว่าจะได้ข่าวเสิ้นจ้านอีกครั้ง ก็อีกสามเดือนต่อมาในตอนนั้นฉันเรียนภาษาอังกฤษจนพอได้ระดับพื้นฐาน สามารถพูดคุยตอบโต้ได้บ้างจู่ๆ ลูกชายก็โทรมาหาฉัน บอกว่าเสิ่นจ้านเข้าโรงพยาบาลเพราะสูดดมแก๊สหุงต้มเข้าไปมากเห็นว่าสาเหตุเพราะโจวหว่านอวิ๋นกำลังทำอาหารอยู่ แล้วสองคนเกิดทะเลาะกันขึ้นมา สุดท้ายก็ลืมปิดเตาแก๊สดีที่ตอนนั้นนิติบุคคลกำลังซ่อมสายไฟอยู่ จึงช่วยทั้งสองคนออกมาทันเวลาโจวหว่านอวิ๋นสูดดมแก๊สเข้าไปไม่มาก พักผ่อนไม่นานก็เริ่มรู้สึกตัวแต่พอฟื้นมาแล้ว เขาเหมือนตายใจจากเสิ่นจ้านโดยสิ้นเชิง ไม่พูดไม่จากลับไปเก็บข้าวของแล้วออกจากบ้านไปก่อนไปได้ขอช่องทางติดต่อกับฉัน และสงข้อความมา[คุณชนะแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษชีวิตจริงที่โหดร้าย ทำให้ฉันต้องพ่ายแพ้]ฉันไม่เคยคิดแข่งขันกับผู้หญิงคนนี้เลย และไม่แคร์ด้วยว่าท้ายสุดแล้วเสิ่นจ้านจะรักใครมากกว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่คนวัยอย่างฉัน

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 1

    วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของฉันกับสามีเสิ่นจ้าน แต่เขามักออกจากบ้านในเวลานี้เสมอแต่งงานมาสี่สิบกว่าปี ไม่ว่าวันสำคัญไหนๆ เขาก็ไม่เคยอยู่ฉลองกับฉันหลังจากกินอาหารเช้าตามลำพังเสร็จแล้ว ฉันถูพื้นจนผ่านห้องหนังสือ เหลียวไปเห็นชั้นวางที่มีข้าวของระเกะระกะอยู่ฉันถอนหายใจ ทิ้งม็อบถูพื้นแล้วเข้าไปจัดเก็บไปจนถึงบนสุดของชั้นวาง จู่ๆ มีหนังสือตกมาเล่มหนึ่ง ความสวยและหนาของรูปเล่มกระแทกโดนหน้าผากของฉันเข้าชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ฉันถึงเห็นชัดว่านั่นไม่ใช่หนังสือ หากแต่เป็นอัลบั้มภาพถ่ายแต่งงานต่างหากเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งต่างสวมชุดวิวาห์ในหลากหลายรูปแบบ แนบชิดสนิทสนม สีหน้าเปี่ยมด้วยความสุขฝ่ายชายเป็นคนที่ฉันคุ้ยเคยที่สุด คือเสิ่นจ้านแต่ฝ่ายหญิงกลับไม่ใช่ฉันฉันยืนกุมบาดแผล รู้สึกเกิดอาการมึนหัว และแยกไม่ออกว่านั่นคือความปวดใจหรือปวดตรงไหนกันแน่และรูปใหม่ล่าสุด คือทั้งคู่เพิ่งไปถ่ายในวันนี้ของปีที่แล้ว แม้จะเริ่มมีผมขาวโพลน แต่ก็ยังรักกันหวานชื่นเหมือนคู่รักหนุ่มสาวด้านหลังภาพถ่ายยังมีลายมือของเสิ่นจ้านเขียนกำกับไว้แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนเขียนอย่างบรรจง แสดงถึงความตั้งใจจร

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 2

    จู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้น สีหน้าซึ่งเคร่งขรึมมาโดยตลอดผุดรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาฉันมองตามสายตาเขาไปมีสาวแก่อีกคนในชุดเจ้าสาวแบบจีนยืนอยู่หน้าห้องลองชุด ผมสีดอกเลาตกแต่งสวยงาม ด้านข้างขมับประดับด้วยปิ่นดอกไม้เธอก็คือตัวเอกอีกคนในอัลบั้มรูปนั้นทั้งคู่เดินมาจับมือแล้วยืนขึ้น ต่างมองตากันด้วยความรักโครม...ในที่สุดท้องฟ้ามืดครึ้มก็คำรามเสียงดัง และตามด้วยฝนตกฉันไม่ได้พกร่มมาด้วย ได้แต่ยืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อจะหลบฝนมีพนักงานเดินออกมาเก็บป้ายโฆษณา พอเห็นฉันเข้าก็รีบมาดึงตัวเพื่อให้เข้าไปหลบฝนด้านใน“เฮ้ คุณยายคะ ฝนตกหนักขนาดนี้แล้ว รีบมาหลบฝนในร้านก่อนเถอะ อย่าให้เปียกปอนเลย”ขณะชักชวนก็ไม่ลืมหาลูกค้าไปในตัว“จะได้เข้ามาดูภาพแต่งงานของเราแล้วไปชวนสามีมาถ่ายด้วยกันนะคะ ฉันจะบอกให้ ร้านเรามีสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ทุกปี เพราะสมัยก่อนไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ ตอนนี้เลยอยากชดเชย น่ารักมากเลยค่ะ...”ฉันก้าวเดินช้าๆ ตามหลังพนักงานเข้าไปในร้าน ในใจเกิดความรู้สึกตึงเครียดความทรงจำผุดขึ้นในสมอง สมัยก่อนฉันกับเสิ่นจ้านรู้จักกันโดยผ่านแม่สื่อ ตอนนั้นเขามุ่งมั่นที่จะสอบ

Latest chapter

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 9

    สีหน้าเขาซีดลงในทันใด ปากก็พูดไม่ออก แววตาเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดลูกชายสุดจะทนดูสภาพสิ้นหวังของเสิ้นจ้าน จึงเรียกเสียงเบาๆ “แม่ครับ”ฉันไม่ได้ตอบ แต่ปิดประตูลงเงียบๆ เท่ากับขวางกั้นให้พวกเขาอยู่นอกโลกของฉันกว่าจะได้ข่าวเสิ้นจ้านอีกครั้ง ก็อีกสามเดือนต่อมาในตอนนั้นฉันเรียนภาษาอังกฤษจนพอได้ระดับพื้นฐาน สามารถพูดคุยตอบโต้ได้บ้างจู่ๆ ลูกชายก็โทรมาหาฉัน บอกว่าเสิ่นจ้านเข้าโรงพยาบาลเพราะสูดดมแก๊สหุงต้มเข้าไปมากเห็นว่าสาเหตุเพราะโจวหว่านอวิ๋นกำลังทำอาหารอยู่ แล้วสองคนเกิดทะเลาะกันขึ้นมา สุดท้ายก็ลืมปิดเตาแก๊สดีที่ตอนนั้นนิติบุคคลกำลังซ่อมสายไฟอยู่ จึงช่วยทั้งสองคนออกมาทันเวลาโจวหว่านอวิ๋นสูดดมแก๊สเข้าไปไม่มาก พักผ่อนไม่นานก็เริ่มรู้สึกตัวแต่พอฟื้นมาแล้ว เขาเหมือนตายใจจากเสิ่นจ้านโดยสิ้นเชิง ไม่พูดไม่จากลับไปเก็บข้าวของแล้วออกจากบ้านไปก่อนไปได้ขอช่องทางติดต่อกับฉัน และสงข้อความมา[คุณชนะแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษชีวิตจริงที่โหดร้าย ทำให้ฉันต้องพ่ายแพ้]ฉันไม่เคยคิดแข่งขันกับผู้หญิงคนนี้เลย และไม่แคร์ด้วยว่าท้ายสุดแล้วเสิ่นจ้านจะรักใครมากกว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่คนวัยอย่างฉัน

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 8

    ที่แท้หลานสาวถูกโจวหว่านอวิ๋นล้างสมองด้วยตรรกะความรักที่ผิดเพี้ยน ไม่เพียงเห็นดีเห็นงามกับการเป็นมือที่สาม ยังริอ่านคุยกับผู้ชายทางออนไลน์อีกลูกสะใภ้หัวเราะหยัน คืนนั้นจึงโทรหาลูกชายบอกอให้เขารีบกลับบ้าน“ดูลูกสาวคุณซิว่าถูกเสี้ยมสอนจนกลายเป็นคนแบบไหนแล้ว”เธอเอาแชทข้อความของลูกให้สามีดูลูกชายฉันยกมือถือขึ้นมาดู จนคิ้วยิ่งขมวดมุ่นหลังจากดูจบ เขายกมือขึ้นคิดจะตีลูกสาวเด็กร้องไห้โวยวาย “เพราะคุณย่าโจวสอนหนูเอง ไหนพ่อบอกว่าคุณย่าโจวเป็นคนมีการศึกษา ให้เชื่อฟังเขาเหมือนคุณครูไม่ใช่หรือคะ”ลูกชายหยุดชะงัก พลางหันไปมองโจวหว่านอวิ๋น“น้าโจว เพราะเราไว้ใจน้าถึงให้ช่วยดูแลลูก เมื่อก่อนแม่ผมเลี้ยงหลานได้ดีมาก”โจวหว่านอวิ๋นรู้สึกละอายใจ พร้อมคำแก้ตัวต่างๆ นานาเสิ่นจ้านเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง ตวาดเสียงดัง“พอที แค่นี้ยังอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ”ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่พอใจ และต่างมีความคิดไปคนละอย่างต่อมาสะใภ้จึงพาลูกออกจากบ้านไป ส่วนลูกชายฉันก็ไม่อยากข้องแวะกับโจวหว่านอวิ๋นอีกเสิ่นจ้านยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่องเหล่านี้สะใภ้เป็นคนมาบอกฉันเองหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เธอกับลูกชายก็

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 7

    วันนั้นอยู่หน้าศูนย์บริหารราชการฝ่ายพลเรือน ฉันกับโจวหว่านอวิ่นและเสิ่นจ้านไม่รู้ถูกใครถ่ายคลิปแล้วไปโพสต์ลงในโลกโซเชี่ยลฉันถูกเบลอหน้าไว้ แต่สองคนนั้นถูกเปิดหน้าให้เห็นชัดเจน[นี่น่ะหรือรักกันจนแก่เฒ่า เป็นการรวมหัวของชายโฉดหญิงชั่วต่างหาก][วันก่อนใครๆ ก็เห็นกับตา ตาแก่ขอหย่ากับเมียหลวง นังเมียน้อยยังกล้ามาเสนอหน้ารออยู่ข้างนอก ช่างไม่รู้จักอายจริงๆ แก่ปูนนี้ยังไม่มีหัวคิดอีก]เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกออนไลน์ จนแม้แต่ร้านเช่าชุดแต่งงานยังถูกกล่าวหาว่ายกย่องความรักของมือที่สาม จนต้องออกมาปฏิเสธทันควันบอกว่าพวกเขาแค่มีหน้าที่ในการถ่ายรูปเท่านั้น และเสิ่นจ้านกับโจวหว่านอวิ๋นก็ใช้บริการมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยขาดหาย ใครจะนึกว่าเบื้องหลังยังมีเมียหลวงอีกคนทำเอาชาวเน็ตยิ่งเดือดดาลมากขึ้น[ตาแก่คนนี้เมื่อก่อนเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฉันเอง ทำงานก็ดีหรอก แต่ไม่นึกว่าลับหลังจะเป็นคนประเภทนี้][นอกใจเมียยังพอว่า ไม่นึกว่ายังแอบกินมาตั้งหลายปี][ฉันว่าตอนหนุ่มๆ ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่]......โจวหว่านอวิ๋นก็ไม่นึกว่าเรื่องราวจะบานปลายจนถึงขั้นนี้และไม่รู้ว่าใครเป็น

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 6

    เพื่อนบ้านชื่อเจ๊ฟางอายุไล่เลี่ยกับฉันเปิดประตูออกมา พูดจาเสียงดังฟังชัด“พูดอะไรน่ะ อายุหกสิบก็แค่แก่ไม่ได้จะตายซักหน่อย อยู่อีกยี่สิบปีก็ยังสบายๆ แต่ใครจะทนกับคนอย่างพวกเธอไหว แค่ปีเดียวก็จะตายแล้ว”“ยังกล้ามาต่อว่าแม่ตัวเองอีก ฉันล่ะอายแทนจริงๆ”พลังด่าของเจ๊ฟางช่างดุเดือดนัก ลูกชายฉันเหมือนมีอะไรจุกในลำคอ อยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก ได้แต่เดินหนีไปเงียบๆ......เวลาสามสิบวันพริบตาก็ผ่าน ฉันกับเสิ่นจ้านไปรับหนังสือหย่าร้างมาเรียบร้อยทันทีที่ได้ใบหย่ามา ฉันรู้สึกถึงความโปร่งโล่งอย่างบอกไม่ถูกแบกภาระหนักอึ้งมาครึ่งค่อนชีวิต ไม่นึกว่าวันนี้ ฉันจะสามารถปลดมันทิ้งได้หมดเสิ่นจ้านกลับไม่รู้สึกดีใจเหมือนฉันสีหน้าเขาดูเคร่งขรึม แววตามีความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิดในมือเขากำหนังสือหย่าไว้แน่น มองหน้าฉันคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง“อาจ้าน”มีคนเรียกเขาอยู่ไกลๆนั่นคือโจวหว่านอวิ๋นเหมือนกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมารับหนังสือหย่า เธอจึงมารอแต่เช้าเมื่อเห็นเราต่างมีหนังสืออยู่ในมือ ดวงตาเธอก็เป็นประกายขึ้นเธอค่อยๆ เดินมาทางฉัน ยื่นมือให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ฉันชื่อโจวหว่านอวิ๋น เป

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 5

    กระทั่งถึงเวลากลางคืน ครอบครัวลูกชายจึงพาเสิ่นจ้านที่หายไข้กลับมาบ้านเสิ่นจ้านป่วยรอบนี้ ทำให้หน้าตาทรุดโทรมลงไปมาก จนแทบไม่มีกำลังวังชาใดๆลูกชายยังโกรธที่ฉันตบหน้าเขา จึงยังบึ้งตึ้งไม่ยอมพูดจาด้วยมีแต่สะใภ้ที่มาทักทายฉัน หลานสาวก็วิ่งมาออดอ้อน“คุณย่าขา อย่าทิ้งคุณปู่ไปเลยนะคะ หรูหรูอยากให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าน่ะค่ะ”ฉันไม่นึกว่าพวกเขาจะเอาเรื่องวุ่นวายของผู้ใหญ่ไปเล่าให้เด็กฟัง จับแก้มยุ้ยของหลานสาวตัวน้อยเบาๆ ฉันตอบกลับยิ้มๆ“ถึงแยกทางกับคุณปู่ ย่าก็จะมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ นะจ๊ะ”ลูกชายอยู่ข้างๆ ทำเสียงฟึดฟัดเสิ่นจ้านทนไม่ไหวที่จะกัดฟันถาม “เธอต้องการอย่างงี้ให้ได้ใช่ไหม?”สะใภ้เห็นบรรยากาศไม่สู้ดี จึงอุ้มลูกเข้าห้องไปก่อนเมื่อเด็กไปแล้ว ฉันก็พูดได้โดยไม่ต้องแคร์อะไรอีก“ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้า ก็มาหารือเรื่องหย่าร้างกันเถอะ”เสิ่นจ้านยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น เหมือนคิดไม่ตกว่าทำไมฉันยังเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้นัก เพราะในความคิดของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยลูกชายมากล่าวโทษฉันอีก “แม่ครับ พ่อเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา แม่เห็นใจหน่อยได้ไหม เราก็เหมือนเป็นญาติสนิทหนึ่งเดียวของ

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 4

    เสิ่นจ้านไม่เห็นด้วยที่ฉันจะขอหย่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธเขาไม่ยอมเจรจาใดๆ กับฉันทั้งสิ้น เราสองคนเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นอาจเพราะวันนั้นโดนฝนแล้วไม่ได้รีบกินยา บวกกับคนอายุมากแล้ว ภูมิต้านทานร่างกายไม่เหมือนวัยหนุ่มสาว รุ่งขึ้นจึงทำให้เขามีไข้ต่ำเล็กน้อยและฉันก็ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ พอเห็นเขาไม่สบายเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ จนแทบอยากป่วยแทนเขามากกว่าฉันทำอาหารพอให้ตัวเองกินคนเดียว กินเสร็จก็ไปออกกำลังในสวน นัดเพื่อนฝูงไปเดินเที่ยวบ้างบางวันก็แวะไปดูบ้านเช่า เผื่อว่าอีกวันสองวันจะย้ายออกไปการที่ไม่ต้องวุ่นวายกับงานบ้าน ก็ทำให้เราเบาตัวขึ้นไม่น้อยเรื่องที่ฉันจะขอหย่า ไม่นานก็ไปถึงหูลูกชายเข้าเขายังอยู่เมืองนอก แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าพ่อกับแม่ทะเลาะสักพัก เดี๋ยวก็คืนดีกันจนกระทั่งเสิ่นจ้านมีไข้ขึ้นสูงแล้วเพื่อนบ้านโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวไป ส่วนฉันก็ยังรำมวยไทเก๊กอยู่ ทุกคนถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ ‘การทะเลาะ’ ธรรมดาลูกชายพาสะใภ้และหลานสาวรีบกลับจากเมืองนอกทันทีลูกสะใภ้อยู่โรงพยาบาลดูแลเสิ่นจ้าน ลูกชายกลับมาบ้านเพื่อจะเอาเรื่องฉัน“แม่ครับ แม่จะงอนถึงเมื่อไหร่กัน

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 3

    เสิ่นจ้านเปิดประตูรถ ค่อยประคองให้โจวหว่านอวิ๋นเข้าไปนั่งแล้วตัวเองจึงเข้าตามความใส่ใจถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยได้รับมาก่อน......ฉันไม่ได้โง่ถึงขั้นนั่งรอในร้านให้เขากลับมารับอีกฉันเรียกรถกลับไปเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องง้อเขาเลยฉันเรียกแกร๊บมารอที่หน้าร้าน และบอกให้คนขับช่วยกางร่มมารับหน่อย เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเปียกฝนอายุปูนนี้แล้ว หากไม่ดูแลตัวเองก็จะล้มป่วยได้ง่ายฉันรักตัวเองเสมอเสิ่นจ้านตามมาถึงบ้านหลังฉันเกือบสองชั่วโมงกว่าทันทีที่เข้ามา เขาตะโกนใส่ฉันด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “อวี๋โม่ ฉันบอกให้รออยู่ที่ร้านไง รู้ไหมว่าเพื่อจะกลับไปรับเธอ ฉันแทบเปียกฝนทั้งตัวน่ะ”ฉันวางถ้วยน้ำอุ่นในมือลงพร้อมถามกลับ“อยู่ไกลมากหรือไงถึงต้องให้ฉันรอตั้งสองชั่วโมงกว่าน่ะ”เขาหลบตาเหมือนกับจะร้อนตัว ไม่กล้าโต้เถียงเรื่องนี้กับฉันอีก“เอาเสื้อผ้าฉันไปซัก แล้วเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยนด้วย”ฉันเพิ่งสังเกตเห็นสภาพเขาที่โดนฝนมาทั้งตัว แม้แต่ผมก็เปียกปอนจนมีน้ำไหลลงมาข้างแก้มเสิ่นจ้านถอดเสื้อออกแล้วโยนมาให้ฉันที่ผ่านมาการถูกเรียกใช้เหมือนแม่บ้านคนหนึ่ง ฉันมักจะนิ่งเงียบและยอมรับ คิดว่าเขาอยู่ข้างน

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 2

    จู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้น สีหน้าซึ่งเคร่งขรึมมาโดยตลอดผุดรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาฉันมองตามสายตาเขาไปมีสาวแก่อีกคนในชุดเจ้าสาวแบบจีนยืนอยู่หน้าห้องลองชุด ผมสีดอกเลาตกแต่งสวยงาม ด้านข้างขมับประดับด้วยปิ่นดอกไม้เธอก็คือตัวเอกอีกคนในอัลบั้มรูปนั้นทั้งคู่เดินมาจับมือแล้วยืนขึ้น ต่างมองตากันด้วยความรักโครม...ในที่สุดท้องฟ้ามืดครึ้มก็คำรามเสียงดัง และตามด้วยฝนตกฉันไม่ได้พกร่มมาด้วย ได้แต่ยืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อจะหลบฝนมีพนักงานเดินออกมาเก็บป้ายโฆษณา พอเห็นฉันเข้าก็รีบมาดึงตัวเพื่อให้เข้าไปหลบฝนด้านใน“เฮ้ คุณยายคะ ฝนตกหนักขนาดนี้แล้ว รีบมาหลบฝนในร้านก่อนเถอะ อย่าให้เปียกปอนเลย”ขณะชักชวนก็ไม่ลืมหาลูกค้าไปในตัว“จะได้เข้ามาดูภาพแต่งงานของเราแล้วไปชวนสามีมาถ่ายด้วยกันนะคะ ฉันจะบอกให้ ร้านเรามีสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ทุกปี เพราะสมัยก่อนไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ ตอนนี้เลยอยากชดเชย น่ารักมากเลยค่ะ...”ฉันก้าวเดินช้าๆ ตามหลังพนักงานเข้าไปในร้าน ในใจเกิดความรู้สึกตึงเครียดความทรงจำผุดขึ้นในสมอง สมัยก่อนฉันกับเสิ่นจ้านรู้จักกันโดยผ่านแม่สื่อ ตอนนั้นเขามุ่งมั่นที่จะสอบ

  • เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยเลข 6   บทที่ 1

    วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของฉันกับสามีเสิ่นจ้าน แต่เขามักออกจากบ้านในเวลานี้เสมอแต่งงานมาสี่สิบกว่าปี ไม่ว่าวันสำคัญไหนๆ เขาก็ไม่เคยอยู่ฉลองกับฉันหลังจากกินอาหารเช้าตามลำพังเสร็จแล้ว ฉันถูพื้นจนผ่านห้องหนังสือ เหลียวไปเห็นชั้นวางที่มีข้าวของระเกะระกะอยู่ฉันถอนหายใจ ทิ้งม็อบถูพื้นแล้วเข้าไปจัดเก็บไปจนถึงบนสุดของชั้นวาง จู่ๆ มีหนังสือตกมาเล่มหนึ่ง ความสวยและหนาของรูปเล่มกระแทกโดนหน้าผากของฉันเข้าชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ฉันถึงเห็นชัดว่านั่นไม่ใช่หนังสือ หากแต่เป็นอัลบั้มภาพถ่ายแต่งงานต่างหากเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งต่างสวมชุดวิวาห์ในหลากหลายรูปแบบ แนบชิดสนิทสนม สีหน้าเปี่ยมด้วยความสุขฝ่ายชายเป็นคนที่ฉันคุ้ยเคยที่สุด คือเสิ่นจ้านแต่ฝ่ายหญิงกลับไม่ใช่ฉันฉันยืนกุมบาดแผล รู้สึกเกิดอาการมึนหัว และแยกไม่ออกว่านั่นคือความปวดใจหรือปวดตรงไหนกันแน่และรูปใหม่ล่าสุด คือทั้งคู่เพิ่งไปถ่ายในวันนี้ของปีที่แล้ว แม้จะเริ่มมีผมขาวโพลน แต่ก็ยังรักกันหวานชื่นเหมือนคู่รักหนุ่มสาวด้านหลังภาพถ่ายยังมีลายมือของเสิ่นจ้านเขียนกำกับไว้แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนเขียนอย่างบรรจง แสดงถึงความตั้งใจจร

DMCA.com Protection Status