แสงแดดสว่างแยงทะลุม่านตาที่กะพริบ ไล่ความแสบร้อนที่เปลือกตา อะไรกันเมื่อคืนรู้สึกเหมือนเพิ่งขับรถกลับบ้าน ทำไมวันนี้ถึงตื่นสายได้ขนาดนี้นี่นอนไปนานขนาดนั้นเลยหรือ เฮ้ย ขยับตัวเบาๆ เปิดปากหาวเปิดเปลือกตา
“จูเจี่ยแอบมานอน หลับใหลที่นี่อีกแล้วงานในไร่รอเจ้าอยู่ แล้วยังมานอนสบาย”ใครวะมาเสียงดังข้างหู
“ตื่นได้แล้วจูเจี่ย”ลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ
“ฮาวววว”บิดขี้เกียจไปรอบตัว
“จูเจี่ย วันนี้ต้องส่งผักเข้าวังหลวง ยังไม่ได้ตามที่กำหนดเจ้ายังกล้ามานอน”เถียงนาน้อย เอ้ย ...ไม่ใช่ ที่นี่มันที่ไหน สวนผักกว้างใหญ่ แล้วยังมีเพิง ไม่สิแถวบ้านเรียกเถียงนา เคยสงสัยไหมไปเถียงทำไมนา
“เจ้านี่แย่จริงๆ นอนจนน้ำลายไหลแล้วยังหลับสนิทจนงุนงง”
“เอ่อๆๆ คือๆๆๆ ”
“ไปโกยขี้หมูใส่ผักเดี๋ยวนี้เลย” หญิงวัยกลางคนมองอย่างไงอย่างไงก็น่าจะเป็นคนที่มีพาวเวอร์ที่สุดในที่นี้ ชี้มือไปที่กองขี้หมูกองมหึมาข้างเถียงนา
“ต้องไปใช่ไหม”
“หญิงบ้านป่าเกียจคร้านเช่นเจ้า ใครกันจะรับเป็นภรรยา ไร้คนสู่ขอข้ามิต้องเลี้ยงเจ้าจนตายหรือไร” ร่างอ้วนตุ๊ต๊ะของแป๋ม ขยับตัวอืดอาด วันๆเคยทำอะไรกันนอกจากนั่งกดแป้นพิมพ์พิมพ์นิยายกับขนมและของว่างข้างโต๊ะคอม แล้วนี่ฉันมาที่นี่ได้อย่างไรกัน
“จูเจี่ย อย่าลืมยกผักพวกนั้นไปรวมกันไว้ด้วย เจ้าแข็งแรงที่สุดในบ้าน”แป๋มเหลือบตามองคนสามคน ที่มีชายวัยกลางคนหญิงกลางคนและเด็กชายตัวกระเปี๊ยกนั่งลงช่วยกันขุดมันในร่อง
“ข้ามภพ ข้ามภพแน่นๆ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ในเมื่อเมื่อคืนขับรถมาจากห้างสรรพสินค้าเพื่อหอบเสบียงกลับบ้าน ช่วงนี้เกิดโรคระบาดการออกมาจับจ่ายจึงค่อนข้างลำบาก แล้วจะนั่งกินก็ต้องกดแอลกอฮอลล์ที่มีกลิ่นน้ำหอม ทำเอารสชาติอาหาร
ด้อยลงไปเพราะฉะนั้นทำกินเองดีที่สุด สะอาดปลอดภัยว่าแต่ย้อนอดีตมาทำไมกลางไร่ผักแบบนี้ แล้วนี่เขาพูดภาษาจีนกัน ตายล่ะย้อนมาเสียไกลเลย แล้วมาเป็นชาวไร่ชาวสวนนี่นะ จะบ้าเหรอฉันจะทำอะไรเป็น ยายป้านั่นก็คงรู้ว่าแป๋มทำอะไรไม่เป็นเลยใช้ให้ไปโกยขี้หมูใส่แปลงผัก
แล้วจะกลับอย่างไรวะนั่นจะโวยวายก็ใช่ที่ ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วยังมาปลูกผักอิหยังวะ เป็นเรื่องแน่คราวนี้ จะอยู่อย่างไรกันต้องมีสตอรี่แน่ต่อจากนี้ กลิ่นขี้หมูเหม็นจนจะอ้วก เบ้ปากมองมือตัวเอง
“ยี้”
“จูเจี่ย อย่าอ้อยอิ่ง ข้าหิวข้าวแล้วเสร็จจากใส่ปุ๋ยจะได้มากินข้าวกัน”เจ้าเด็กชายตัวกระเปี๊ยกส่งเสียงมาจากข้างหลัง
“เรียกพี่..ได้ยินไหมเจ้าตัวกระเปี๊ยก”เบ้ปากใบหน้าเชิดหยิ่ง
“จูเจี่ย จูเจี่ย จูเจี่ย”วิ่งหันหน้าหันหลัง
“นี่เจ้า เจ้า “วิ่งไล่เด็กชายตัวน้อยอายุคงไม่เกินหกขวบจนหอบแฮ่กๆ ก็ไม่เคยออกกำลังกาย
“จูเจี่ย โตแล้วยังทำตัวเหมือนเด็ก ใส่ปุ๋ยเสร็จหรือยัง”เจ้าน้องชายแลบลิ้นใส่ก่อจะวิ่งไปหามารดา
“ท่านแม่พี่สาวจูเจี่ยรังแกข้า”ฟ้องฟ้อง เจ้าบ้า!
“เจ้าบ้า”
“จูเจี่ย น้องยังเด็กห้ามพูดจาหยาบคาย”หานี่ยังเด็กเหรอ บอกตามตรงดิฉันไม่ชอบเด็กค่ะ โดยเฉพาะเด็กนรก
“ไม่ต้องแล้วบ่ายค่อยไปโกย มากินข้าวก่อน”เสียงชายกลางคนที่ไม่มีปากเสียงคงเป็นพ่อ อ๋อนี่คือครอบครัวใหม่เหมือนกับมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เลยมีพ่อแม่แล้วก็น้องนรก พาร่างตุ๊ต๊ะตุ้มตุ๊ยเดินกลับไปยังเถียงนา
หิวตาลาย แต่เมื่อขยับตัวเข้าไปบนเถียงนา สิ่งที่เห็น ผัดผัก ผักต้ม ผักดองผักสด
“ไม่กิน”
“บ้านเจ้าคิดว่าเลือกได้หรือไร หลายวันมานี้บ่นแต่เรื่องกินทั้งที่ตัวเองอ้วนจนจะกลิ้งลงจากเขาเหลี่ยงซานได้อยู่แล้ว”เจ็บจี๊ด ยัยป้าพูดแทงใจดำ
“ไม่หิว”
“เช่นนั้นก็ไปโกยขี้หมูต่อได้แล้ว พ่อเจ้าจะได้ไปต้องลำบากเพียงลำพัง แต่เดิม จูเจี่ยก็มักจะแอบขโมยไก่ในเล้าไปย่างกินอยู่แล้วนี่คงแอบกินไปแล้วจึงไม่หิว ไก่ในเล้ากลับไป นี่ข้าต้องไปนับว่าหายไปหรือไม่”ขโมยไก่เลยหรือจูเจี่ย เฮ้อร้ายกาจเสียจริง
“ท่านเจ้าบ้านวันนี้ข้านำ คนงานใหม่มาให้ท่านใช้งานฟรี เขาเป็นคนจรที่ข้าพบเขาระหว่างทาง แค่อาศัยได้ข้าวกินในแต่ละวันเขาก็พอใจแล้ว” แป๋มเหลือบตามองคนอะไรแค่ขอข้าวกิน มองเลยผ่านไปยัง ร่างสูงทว่าผอมบางใบหน้าขะมุกขะมอม หากเป็นสมัยใหม่ก็คงเป็นนายแบบได้สบายๆ แต่เป็นสมัยนี้
“ผอมขนาดนี้ ข้าจะกล้าใช้งานเขาหรือ นายท่าน”นายท่านที่ว่าเป็นพ่อค้าคนกลางที่ส่งผักเข้าไปขายในวังหลวง หัวเราะจนพุงกระเพื่อม“น่า นึกว่าเอาบุญ ใช้งานหนักงานเบาได้ทั้งหมด ทีแรกข้าตั้งใจจะให้เขาทำงานกับข้า แต่ท่านเจ้าบ้านโปรดเห็นใจ ที่พักอาหารข้าก็มีจำกัดท่านพ่อบ้านมีไร่กว้างขวางโรงเก็บพืชพันธุ์มากมาย ให้เขาได้อาศัยหลบหนาวยามค่ำคืน ผักหญ้าท่านก็เยอะแยะพอได้เป็นอาหาร นึกว่าเอาบุญ” พ่อในโลกนี้ของแป๋มยิ้มอย่างคนที่ใจดี พยักหน้าน้อยๆ แต่ยายป้านี่สิ“โอ๊ย มาอยู่น่ะมาอยู่ได้ แต่ต้องช่วยกันทำงานให้มาก ข้าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงใครฟรีๆ หรอกนะ”“ขอรับนายหญิง จะใช้งานข้าล้วนทำได้ทุกอย่าง”แป๋มเบ้ปาก ตัวผอมบางหุ่นสะโอดสะอง แป๋มตัวใหญ่เหมือนช้างน้ำยังไม่อยากทำเลยงาน“จูเจี่ย มายืนยิ้มทำไม ไม่กินก็ไปโกยขี้หมูได้แล้ว”ท้องร้องจ๊อกๆ กระโดดขึ้นไปบนกระท่อมหรือเถียงนาน้อย ตักข้าวใส่ถ้วยใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวกับผักใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ“เสี่ยวซง อยู่ที่นี่ก็ตั้งใจทำงาน”“ขอรับนายท่าน”นายท่านพ่อค้าผักหันไปเจรจากับท่านพ่อ ไม่สนใจเสี่ยวซงผู้นั้นอีกต่อไป เขาเดินไปที่กองขี้หมู โกยมันใส่ตะกร้าสาน แบกไว้บนหลังก้าวเดินไปยังแปลงผัก
ในไร่ที่แสนจะอบอุ่นแสงแดดสีส้ม แม้จะส่องสว่างแต่ไม่ทำให้รู้สึกร้อน วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว“จูเจี่ย เก็บไข่เป็ดกับไข่ไก่ในเล้าให้แม่ด้วย”แป๋มยังไม่ทันจะขยับตัว จูจิ้นวิ่งไปหยิบตะกร้าออกไปก่อนแป๋มเสียอีกเสี่ยวซงมองสองคนพี่น้อง ทำท่าจะขยับตัวตามไปช่วย“เสี่ยวซง มาช่วยข้าหอบฟืนมาเก็บไว้ใกล้เตาผิง อากาศค่อนข้างหนาวไม่แน่คืนนี้อาจมีหิมะแรก ดีที่เราเก็บผักบางส่วนส่งวังหลวงเสียเกือบหมด หิมะตกได้ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่”เจ้าบ้านเฉินเดินนำเสี่ยวซงที่ช่วยหอบฟืนมาเก็บไว้ในห้องครัว ใกล้เตาผิงและเตาทำกับข้าวข้างเล้าไก่ แป๋มนึกภาพขี้ไก่และความสกปรกทว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ยายป้ากวาดทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง พื้นแห้งสะอาดตา มีเศษหางจากข้าวสาลีกองบนพื้นเป็นกระจุกบ้างก็ปุไปบนพื้นเล้าไก่ ไข่ไก่วางเรี่ยราดเหมือนถูกนำมาวางไว้ แป๋มเลิกคิ้วเมื่อจูจิ้นเก็บไข่ไก่ใส่ไปในตะกร้าหลายสิบลูกไก่ไข่ตัวอ้วนขนสีน้ำตาลแดง ไม่ได้ตื่นตกใจแต่กลับเดินเข้าหาย่อตัวลงนอนหมอบเหมือนอยากจะออกไข่อยู่ตลอดเวลา แป๋มยิ้ม“จูเจี่ยไข่วันนี้เยอะกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะเมื่อวานท่านพ่อเก็บเศษผักในสวนมาให้มันจิกกินเป็นอาหารว่าง”“ไก่
ห้องเครื่องในวังหลวง“ฮองเฮาและองค์หญิงล้วนนิยมเสวยอาหารที่ทำจากเมนูผักหลากชนิด ว่ากันว่าเสวยผักไปเพียงไม่นาน ผิวพรรณสดใสใบหน้ากลับเต่งตึงไร้รอยหมอง”“ผักส่วนมากรับมาจากบ้านเฉิน ที่ไร่ของท่านเฉินที่นั่นล้วนมีผักมากมาย กลายเป็นไร่แห่งเดียวที่ส่งผักที่ดีเข้ามาในวังหลวง”“ฮะแฮ่ม รีบเตรียมเครื่องเสวยมัวแต่พูดคุย จะไม่ทันเวลาเสวยตอนดึก”ตำหนักใหญ่ฮ่องเต้“ปีนี้ข้าวปลาอาหารขาดแคลนชาวบ้านลำเข็ญ ทว่า มีไร่แห่งหนึ่งปลูกผักได้ดี จึงส่งเข้าวังหลวงเสียหมด ชาวบ้านล้วนอดอยาก เช่นไรจึงจะเรียนรู้วิธีปลูกผักของพวกเขา เพื่อชาวบ้านจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับปัญหาขาดแคลนอาหาร”“ฝ่าบาท ไท่จือเสด็จออกเที่ยวเล่น เดิมหม่อมฉันตั้งใจให้ไท่จือลงไปจัดการเรื่องเหล่านี้ชาวบ้านจะได้อุ่นใจ”“หลายวันมานี้ไท่จือไม่มาที่ท้องพระโรงคงออกไปเล่นสนุกเหมือนเคย งานในราชสำนักยังไม่เคยแตะต้อง เจ้าคิดว่าจะให้เขาไปสนใจเรื่องการปลุกผักเห็นที่จะไม่ได้ผล”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาจะดีไหม ลูกคนนี้แม้จะให้ทำยังไม่อยากทำ บางเรื่องไม่พูดแต่กลับเร่งรีบที่จะทำมันยากจะเข้าใจ ฝ่าบาทมีพระบัญชาลงไปคาดว่าไม่น่าจะกล้าขัดบัญชาฝ่าบาทอย่างแน่นอน”“องค์หญิงแ
“ไม่นาน หากกินตามที่ข้าแนะนำ จูเจี่ยของเราจะต้องกลายเป็นหญิงงาม”แป๋มเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อเสี่ยวซงอมยิ้ม มองๆไปเสี่ยวซงเวลาอมยิ้มก็หล่อเป็นบ้าเลย“จูเจี่ยจะเขินทำไม”จูจิ้นน้องนรกสมองอัจฉริยะ พูดขึ้นดังๆ“ดีแล้ว พักนี้ทำตัวสมกับเป็นหญิงสาวไม่กระโดกกระเดก เหมือนเมื่อก่อนอย่างนี้ มีหวัง ได้ออกเรือนแน่555”เจ้าบ้านเฉินพูดไปหัวเราะไปด้วยความเอ็นดูแป๋ม“ท่านพ่อว่าแต่สูตรหัวใช้เท้าดองเค็ม...”แป๋มเปลี่ยนเรื่องคุยแก้เขิน”“ดอกเกลือ น้ำผึ้ง น้ำสะอาดนั่นล่ะคือสิ่งที่ต้องใส่ลงไปในหัวไช้เท้าที่เก็บสดๆ หัวไช้เท้าจึงแสนอร่อยแบบนี้ สูตรนี้พ่อเจ้าคิดขึ้นมาเอง หลายปีมานี้กินของบ้านไหนก็ไม่อร่อยเท่า” เสี่ยวซงวางถ้วยข้าว ประสานมือตรงหน้า“ขอบคุณท่านลุงที่ ไม่หวงวิชา”“เสี่ยวซง ถึงจะบอกว่าสูตรลับแต่เจ้าบัดนี้ก็เป็นคนในครอบครัวกินข้าวหม้อเดียวกับเราแล้วยังช่วยเราทำงาน ข้าจึงไม่จำเป็นต้องหวงสูตรในเมื่อเป็นของดี ล้วนยิ่งต้องแบ่งปัน”แป๋มอึ้งกับความคิดและคำพูดของเจ้าบ้านเฉินคนอะไรจะดีขนาดนั้นหากเป็นสมัยนี้ต้องลงทุนซื้อสูตรในราคาหลายบาท แม้จะมีให้ดูในอินเทอร์เน็ต แต่มักจะไม่บอกสูตรลับเฉพาะ“ท่านพ่อใจดีจัง”
“จูเจี่ย คราวหลังห้ามถามที่ปลดทุกข์กับข้า ถ้าจะพูดเช่นนี้ข้าจะปล่อยให้ท่านจุกตายไปเสีย”“เจ้าเด็กบ้า มาให้เขกหัวเสียทีหนึ่ง”กระโดดเข้าใส่ จูจิ้นที่ดึงมือเสี่ยวซงให้วิ่งตามพร้อมกับหัวเราะเสียงใส วิ่งวนรอบตัวเสี่ยวซงที่สูงชะลูดไปมา แป๋มลืมตัวลืมตาย วิ่งวนรอบตัวเสี่ยวซงเช่นกันเจ้าจูจิ้น หลบอยู่ด้านหลังชะโงกหน้ามาแลบลิ้น แป๋มถลาเข้าด้านหน้าเสี่ยวซง เอื้อมมือหมายจะฟาดไปที่เจ้าเด็กบ้านั่นแต่ทว่ากลับเสียหลัก ชนเข้ากับเสี่ยวซง ร่างผอมบางอย่างไรจะทานน้ำหนักตัว เกือบแปดสิบกิโลของแป๋มไหว ร่างอ้วนเตี้ยของแป๋มล้มลงไปทับเสี่ยวซงเต็มตัวใบหน้าซุกอยู่กับอกอุ่นของเขา เสี่ยวซง ยกมือขึ้นกอดรวบแป๋มไว้ทันทีกลัวว่าแป๋มจะเจ็บตัวไปกว่าที่อยู่บนอกเขา จูจิ้นปิดตา ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือหัวเราะร่วน“จูจิ้นดึงพี่เขาขึ้นมา เสี่ยวซงคงจะเจ็บตัวแน่ๆ พี่สาวเจ้าน้ำหนักตัวเยอะเพียงนั้น”หานี่ท่านพ่อผู้ใจดีก็หยิกกัดเป็นเหมือนเจ้าน้องจูจิ้นด้วยหรือ ไม่น่าแปลกใจว่าเจ้าจูจิ้นได้นิสัยใครมาคงบวกๆ กันระหว่างพ่อกับแม่ เสี่ยวซงเห็นตัวผอมบางทว่ากับ แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะเขินจนหน้าแดงเขากลับจับเอวหนาของแป๋มดันตัวแป๋มลุกขึ้น อย่า
“ก้อนหินก้อนใหญ่แบบนี้บางทีก็สามสีตัว อยู่ที่ว่ามีโพรงใต้หิน พวกกุ้งมักจะ ทำโพรงไว้ เพื่อซุกตัวอยู่นนั้นหากลูบไปใต้พื้นหินแล้วรู้สึกว่ามีโพรงนั่นล่ะที่อยู่ของพวกมัน เสี่ยวซงเจ้ามาลองช่วยลุง งมกุ้งกัน”แป๋มนึกสนุก เดินลงไปรวมกลุ่ม จูจิ้น เดินกลับขึ้นมาเอากุ้งมาเก็บโดยเอาถังใส่น้ำแล้วปล่อยกุ้งที่จับได้ลงไปนอนแช่น้ำเพื่อความสดไม่ให้มันตายเสี่ยวซงกับเจ้าบ้านเฉิน ล้วงมือเข้าไป จับกุ้งมาง่ายดาย คนละตัวสองตัว แป๋มอยากลองบ้าง จึงเข้าไปช่วยต้อนกุ้งในโพรงหิน ล้วงมือเข้าไปรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดิ้นตุบตับ ชนเอามือทั้งสองข้าง“ท่านพ่อ.. ท่านพ่อ..มันอยู่ตรงนี้”เสี่ยวซงลาเข้ารวบกุ้งตัวโตที่ชนมือของแป่มไปมาใบหน้าหล่อเหลาเกือบจะโดนแก้มอวบของแป๋ม เสี่ยวซง ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่แป๋มกับอายม้วน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ฉับ”กุ้งตัวใหญ่ที่ถูกต้อนจนมุมใช้กล้ามใหญ่หนีบฉับเข้าที่นิ้วนางของแป๋มระดับความเจ็บประมาณ ลูกหมาฟันคมงับมือ“อืออออออเจ็บ”ส่ายหน้าไปมาหลับตาพริ้ม ดึงตัวกุ้งที่ไม่ยอมปล่อยกล้ามขึ้นมาด้วยมืออีกข้างคว้าตัวกุ้งไว้แน่นเสี่ยวซงกับจูจิ้นหัวเราะ ขำกับท่าทีของแป๋ม“เห็นไหมเล่า ในที่สุดแกก็เสร็จฉัน กุ้งนี่จับไ
“จูเจี่ย ท่านคงอยากจะสวยอวดพี่เสี่ยวซงแน่เลย”เจ้าเด็กบ้านี่เอาอีกแล้ว“ข้าอยากจะพัฒนาตัวเองสียบ้าง”“อาหารที่แม่เจ้าปรุงสองสามวันมานี้ ล้วนแต่เป็นของที่กินแล้วไม่อ้วนเจ้าพูดเองว่าอยากจะผอมข้าคุยกับแม่ของเจ้าแล้วว่าเราจะปรุงแต่อาหารที่จูเจี่ยกินแล้วไม่อ้วน เพียงแต่เจ้าไม่ปฏิเสธมันรับรองเห็นผลอย่างแน่นอน”แป๋มยิ้มซาบซึ้งน้ำใจอย่างที่สุดย้อนเวลามาไม่เสียที อย่างน้อยก็มีคนใส่ใจจูจิ้นกับจูเจี่ยนั่งย่างกุ้งบนเตา ดิน เสี่ยวซงยกเอาหินลาวาที่มีเก็บไว้หลายขนาดมาวางบนเตาดินกองไฟด้านล่างเอากุ้งตัวใหญ่ขึ้นไปวาง แป๋มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฮูหยินเฉินมาดึงสายรัดเอวให้เพราะแป๋มทำอยู่นานก็ไม่เป็นผลไม่เหมือนอย่างที่เขาภทำกัน“เจ้าผอมลงไปจริงๆ รู้สึกตัวบ้างไหม”แป่มพยักหน้าผอมลงไปจริงๆ มีองค์มีเอวกับเขาด้วยคงลงไปไม่ต่ำสามกิโลหากเป็นที่บ้านคงลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เสี่ยวซงมองอาภรณ์สีพื้นๆ ของแป๋มที่สวมใส่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบเสีย จูจิ้นนั่งอยู่บนตักของเสี่ยวซง พลิกกุ้งไปมาเอามืออังเตาไฟไล่ความหนาวเหน็บลมแรงกรรโชก ท่านเฉิน ขยับเข้าใกล้เตาดินอีกคน“พรุ่งนี้หิมะคงตกแน่ๆ หากอากาศจะหนาวลงเรื่อยๆแบ
“ทำไม องครักษ์ไม่ได้ตามตัวไท่จือไปอยู่แล้วหรือ”“ไท่จือนิยมไปไหนเพียงลำพัง”“ทำไมนิยมไปไหนเพียงลำพังแบบนั้น ไม่เรียกว่าหนีไปหรือไร”ซงยี่ถอนหายใจ(“หนีก็ได้ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจนมุมแล้วไท่จือชอบหนีไปเที่ยว”) ความคิด“ไม่เรียกว่าหนีไหนเมื่ออีกไม่นานไท่จือจะกลับมาอย่างแน่นอน”ใจคิดอีกอย่างแต่ ปากกลับพูดไปอีกอย่างที่ถอนหายใจเพราะเบื่อระอากับความเสแสร้งของตัวเอง“เช่นนั้นอิงเผย รอได้คงต้องรอจนกว่าไท่จือจะกลับมา”แม้จะกระหน่ำกินกุ้งย่างจิ้มน้ำจิ้มชวงเจียจนอิ่มแปล้แต่ทว่ากลิ่นหอม ของแกงมันเทศกับกุ้งสีสดในน้ำแกงสีเหลืองที่ลอยอบอวล มันเทศหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำที่เปื่อยนุ่ม สีม่วงตัดกันกับกุ้งสีส้มขาว ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วโต๊ะกับข้าว ฮูหยินตักข้าวให้ทุกคนยกเว้นจูเจี่ย“เจ้าจะต้องมีความหักห้ามใจ แม่ให้เจ้าตักข้าวเองจะได้รู้ว่า ความพยายามของเจ้ามีมากเพียงใด หากอยากจะผอมให้เร็วก็ตักแต่น้อยแต่ถ้าอยากจะผอมให้ช้าก็ตักให้มาก หรือจะไม่อยากผอมก็ตักเท่าๆ กับคนอื่น”แป๋มสุดลมหายใจเข้าลึกๆ คว้าทัพพีไม้ไผ่มาตักขาวสวยร้อนๆ เพียงทัพพีเดียว“ท่านแม่จูเจียกินกับเล่นไม่อ้วนหรือไร”“มันเทศกินเข้าไปก็อิ่ม ส่วนกุ้งไ