ห้องเครื่องในวังหลวง
“ฮองเฮาและองค์หญิงล้วนนิยมเสวยอาหารที่ทำจากเมนูผักหลากชนิด ว่ากันว่าเสวยผักไปเพียงไม่นาน ผิวพรรณสดใสใบหน้ากลับเต่งตึงไร้รอยหมอง”
“ผักส่วนมากรับมาจากบ้านเฉิน ที่ไร่ของท่านเฉินที่นั่นล้วนมีผักมากมาย กลายเป็นไร่แห่งเดียวที่ส่งผักที่ดีเข้ามาในวังหลวง”
“ฮะแฮ่ม รีบเตรียมเครื่องเสวยมัวแต่พูดคุย จะไม่ทันเวลาเสวยตอนดึก”
ตำหนักใหญ่ฮ่องเต้
“ปีนี้ข้าวปลาอาหารขาดแคลนชาวบ้านลำเข็ญ ทว่า มีไร่แห่งหนึ่งปลูกผักได้ดี จึงส่งเข้าวังหลวงเสียหมด ชาวบ้านล้วนอดอยาก เช่นไรจึงจะเรียนรู้วิธีปลูกผักของพวกเขา เพื่อชาวบ้านจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับปัญหาขาดแคลนอาหาร”
“ฝ่าบาท ไท่จือเสด็จออกเที่ยวเล่น เดิมหม่อมฉันตั้งใจให้ไท่จือลงไปจัดการเรื่องเหล่านี้ชาวบ้านจะได้อุ่นใจ”
“หลายวันมานี้ไท่จือไม่มาที่ท้องพระโรงคงออกไปเล่นสนุกเหมือนเคย งานในราชสำนักยังไม่เคยแตะต้อง เจ้าคิดว่าจะให้เขาไปสนใจเรื่องการปลุกผักเห็นที่จะไม่ได้ผล”
“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาจะดีไหม ลูกคนนี้แม้จะให้ทำยังไม่อยากทำ บางเรื่องไม่พูดแต่กลับเร่งรีบที่จะทำมันยากจะเข้าใจ ฝ่าบาทมีพระบัญชาลงไปคาดว่าไม่น่าจะกล้าขัดบัญชาฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
“องค์หญิงแคว้นใต้ เร่งเดินทางมาที่แคว้นฉินของเรา องครักษ์ตามตัวไท่จือมาพบข้าเดี๋ยวนี้”ส
“ฝ่าบาทพระอาญาไม่พ้นเกล้าไท่จือหนีออกไปนอกวังหลวงอีกแล้ว”
“หนี หนีอีกแล้วหรือลูกคนนี้ช่างไร้สำนึกเที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ ไม่ทำเรื่องใดให้ได้สบายใจ”ทรุดกายลงจนฮองเฮาและสนมสองสามคนต้องเข้ามาพยุง
“สั่งให้องครักษ์ค้นหาจนทั่วพบตัวจับกลับมาอย่าให้เที่ยวเล่นสนุกสนานอีกเป็นอันขาด ข้าจะบ้าตายอีกไม่กี่วันองค์หญิงแคว้นใต้ก็จะเดินทางมาถึงยังทำตัวเหมือนเด็กเที่ยวเล่นไม่สนใจราชสำนัก”
“ฝ่าบาท ถนอมพระวรกายด้วย ไท่จืออาจไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายตามประสาบุรุษอีกไม่นานก็คงกลับมา”ฮองเฮาพูดปลอบใจในแบบที่ไม่แน่ใจว่าซงหยวนจะกลับมาเมื่อไหร่
เช้าสดใสแม้เมื่อคืนท้องจะร้องไปบ้าง แต่ทว่าวันนี้แป๋มกลับรู้สึกสดชื่นอย่างที่สุด แต่..... ตายล่ะปวดท้องสงสัยจะกินอโวคาโด้ไปเมื่อคืนนำผึ้งป่าเป็นยาระบาย ห้องน้ำห้องน้ำอยู่ไหนเดินหนีบไปมาจูจิ้นขยี้ตามองมาที่แป๋มพอดี
“น้องร้ากกกก บอกพี่มาห้องน้ำอยู่ไหนกัน”
“ปวดอึหรืออย่างไร”
“อืมมม”พยักหน้าอย่างอดกลั้นเต็มที่ จูจิ้นส่ายหน้าไปมา ทำท่าทีเบื่อหน่าย
“แสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยอึเลยสิท่า” ระบบขับถ่ายแปรปวน อันนี้แป๋มรู้ดีบางที่ไม่เข้าห้องน้ำสามวันติดๆ
“รีบๆ บอกมาเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านาย”ปวดจนแทบจะทนไม่ไหว
“ นั่นจอบ แล้วนั่นจูเจี่ยก็เลือกเอาเลยว่าจะตรงไหน ขุดนั่งแล้วก็ปลดทุกข์”ชี้มือไปที่ป่าละเมาะข้างหน้า แป๋มเลิกคิ้วสูงอ้าปากค้างแต่ ข้าศึกกำลังบุกทะลวงประตูหลังแป๋มคว้าจอบวิ่ง เข้าป่าไปเพียงครู่เดียว เสี่ยวซงออกมาข้างนอกบิดขี้เกียจไปมา
“ที่ปลดทุกข์อยู่ไหน”จูจิ้นเกาหัวแกรกๆ
“พวกพี่นี่ ทำเหมือนไม่เคยปลดทุกข์กันมาก่อน บอกแล้วให้กินผักเยอะๆ ” เสี่ยวซงเดินไปในทิศทางเดียวกับแป๋ม จูจิ้นตะโกนดังๆ
“จูเจี่ยพี่ชายเสี่ยวซงกำลังจะเข้าไปปลดทุกข์” แป๋มอ้าปากค้างทั้งๆ ที่กำลัง ลงมือต้องรีบลนลาน เสี่ยวซงชะงักเท้าไว้แค่น้้น ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ
แป๋มซาบซึ้งเสียจริงเอาน่าบอกว่าซาบซึ้งก็ซาบซึ้งดิ
“จัดการธุระเสร็จต้องหาใบไม้แห้งมาคุลมไว้ ทำสมรภูมิให้เนียนที่สุดเพื่อคนอื่นจะได้ไม่มีใครรู้ว่ามาปลดทุกข์ตรงนี้ อายเสี่ยวซงเป็นบ้า เสี่ยวซงกลับเดินหลบไปเสียอีกทาง แป๋มรีบจ้ำกลับไปที่บ้าน จูจิ้นนั่งมองแป๋มยิ้มๆ เจ้าเด็กบ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ฉลาดเป็นกรด
“จูเจี่ย เฝ้าหม้อข้าวต้มให้แม่ด้วยแม่จะไปที่โรงนา เอาหัวไช้เท้าดองเค็มมากินกับข้าวต้ม”แป๋มได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องจ๊อกๆ หิวอีกแล้ว ชะโงกหน้าไปในหม้อข้าวต้ม มีทั้งถั่วแดงและถั่วเขียวในหม้อรวมกันกับข้าวสีน้ำตาลแดงไม่ใช่ข้าวขัดสีจนขาวเหมือนที่เคยกิน
“สีสวยจัง จูจิ้นทำไมเขาต้มข้าวใส่ถั่ว”
“จูเจี่ยนี่ถามแปลกๆ ปีนี้ข้าวปลาอาหารขาดแคลน ท่านพ่อแบ่งข้าวแลกหมูเค็มกับ เนื้อวัวตากแห้งมาเก็บไว้ บ้านเราแม้จะได้ข้าวเยอะ แต่คนอื่นเขาได้ผลผลิตน้อยท่านพ่อก็เลยสงสารคนอื่นยอมเอาข้าวไปแลก พวกเนื้อกับหมูมาคนอื่นเขาจะได้มีข้าวกิน”แป๋มคิดถึงข้าวที่เหลือที่บ้านของแป๋มส่วนมากถูกทิ้งลงถังขยะ
“แล้วมันจะอร่อยไหม”จูจิ้นยิ้ม
บนโต๊ะอาการเช้า เจ้าบ้านเฉินคีบเอา หัวใช้เท้าดองเค็มใส่ในถ้วยข้าวต้มให้แป๋ม
“อร่อยที่สุดมันเป็นสูตรลับของตระกูลเฉิน”แป๋มยิ้ม ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวต้มกับหัวไช้เท้าดองเค็มใส่ปากแม้จะบอกว่าดองเค็มแต่กลับมีรสหวาน เจือมาด้วยทำให้ข้าวต้มปนกับเมล็ดธัญพืช อร่อยจนต้องเผลอหลับตาลิ้มรสของมันทำไมมันอร่อยลงตัวแบบนี้เม็ดถั่วแดงกับถั่วเขียวเปื่อยนุ่ม เหยาะเกลือลงไปเล็กน้อยพอให้กร่อยๆ แป๋มมองหมูเค้มกับเนื้อแดดเดียวเขม็ง ฮูหยินเฉินยิ้ม
“ท่านพ่อปรึกษากับข้าว่าเจ้าสมควรจะลดน้ำหนักตัวเสียบ้าง ด้วยความเป็นข้ากับพ่อของเจ้า เราสองคนหน้าตาดีส่งผลมาถึงเจ้าใบหน้างดงามทว่า….อ้วนไปเพียงนิด”หานี่ยังบอกว่าเพียงนิด ช่างสร้างแรงจูงใจเสียจริง
“ไม่นาน หากกินตามที่ข้าแนะนำ จูเจี่ยของเราจะต้องกลายเป็นหญิงงาม”แป๋มเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อเสี่ยวซงอมยิ้ม มองๆไปเสี่ยวซงเวลาอมยิ้มก็หล่อเป็นบ้าเลย“จูเจี่ยจะเขินทำไม”จูจิ้นน้องนรกสมองอัจฉริยะ พูดขึ้นดังๆ“ดีแล้ว พักนี้ทำตัวสมกับเป็นหญิงสาวไม่กระโดกกระเดก เหมือนเมื่อก่อนอย่างนี้ มีหวัง ได้ออกเรือนแน่555”เจ้าบ้านเฉินพูดไปหัวเราะไปด้วยความเอ็นดูแป๋ม“ท่านพ่อว่าแต่สูตรหัวใช้เท้าดองเค็ม...”แป๋มเปลี่ยนเรื่องคุยแก้เขิน”“ดอกเกลือ น้ำผึ้ง น้ำสะอาดนั่นล่ะคือสิ่งที่ต้องใส่ลงไปในหัวไช้เท้าที่เก็บสดๆ หัวไช้เท้าจึงแสนอร่อยแบบนี้ สูตรนี้พ่อเจ้าคิดขึ้นมาเอง หลายปีมานี้กินของบ้านไหนก็ไม่อร่อยเท่า” เสี่ยวซงวางถ้วยข้าว ประสานมือตรงหน้า“ขอบคุณท่านลุงที่ ไม่หวงวิชา”“เสี่ยวซง ถึงจะบอกว่าสูตรลับแต่เจ้าบัดนี้ก็เป็นคนในครอบครัวกินข้าวหม้อเดียวกับเราแล้วยังช่วยเราทำงาน ข้าจึงไม่จำเป็นต้องหวงสูตรในเมื่อเป็นของดี ล้วนยิ่งต้องแบ่งปัน”แป๋มอึ้งกับความคิดและคำพูดของเจ้าบ้านเฉินคนอะไรจะดีขนาดนั้นหากเป็นสมัยนี้ต้องลงทุนซื้อสูตรในราคาหลายบาท แม้จะมีให้ดูในอินเทอร์เน็ต แต่มักจะไม่บอกสูตรลับเฉพาะ“ท่านพ่อใจดีจัง”
“จูเจี่ย คราวหลังห้ามถามที่ปลดทุกข์กับข้า ถ้าจะพูดเช่นนี้ข้าจะปล่อยให้ท่านจุกตายไปเสีย”“เจ้าเด็กบ้า มาให้เขกหัวเสียทีหนึ่ง”กระโดดเข้าใส่ จูจิ้นที่ดึงมือเสี่ยวซงให้วิ่งตามพร้อมกับหัวเราะเสียงใส วิ่งวนรอบตัวเสี่ยวซงที่สูงชะลูดไปมา แป๋มลืมตัวลืมตาย วิ่งวนรอบตัวเสี่ยวซงเช่นกันเจ้าจูจิ้น หลบอยู่ด้านหลังชะโงกหน้ามาแลบลิ้น แป๋มถลาเข้าด้านหน้าเสี่ยวซง เอื้อมมือหมายจะฟาดไปที่เจ้าเด็กบ้านั่นแต่ทว่ากลับเสียหลัก ชนเข้ากับเสี่ยวซง ร่างผอมบางอย่างไรจะทานน้ำหนักตัว เกือบแปดสิบกิโลของแป๋มไหว ร่างอ้วนเตี้ยของแป๋มล้มลงไปทับเสี่ยวซงเต็มตัวใบหน้าซุกอยู่กับอกอุ่นของเขา เสี่ยวซง ยกมือขึ้นกอดรวบแป๋มไว้ทันทีกลัวว่าแป๋มจะเจ็บตัวไปกว่าที่อยู่บนอกเขา จูจิ้นปิดตา ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือหัวเราะร่วน“จูจิ้นดึงพี่เขาขึ้นมา เสี่ยวซงคงจะเจ็บตัวแน่ๆ พี่สาวเจ้าน้ำหนักตัวเยอะเพียงนั้น”หานี่ท่านพ่อผู้ใจดีก็หยิกกัดเป็นเหมือนเจ้าน้องจูจิ้นด้วยหรือ ไม่น่าแปลกใจว่าเจ้าจูจิ้นได้นิสัยใครมาคงบวกๆ กันระหว่างพ่อกับแม่ เสี่ยวซงเห็นตัวผอมบางทว่ากับ แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะเขินจนหน้าแดงเขากลับจับเอวหนาของแป๋มดันตัวแป๋มลุกขึ้น อย่า
“ก้อนหินก้อนใหญ่แบบนี้บางทีก็สามสีตัว อยู่ที่ว่ามีโพรงใต้หิน พวกกุ้งมักจะ ทำโพรงไว้ เพื่อซุกตัวอยู่นนั้นหากลูบไปใต้พื้นหินแล้วรู้สึกว่ามีโพรงนั่นล่ะที่อยู่ของพวกมัน เสี่ยวซงเจ้ามาลองช่วยลุง งมกุ้งกัน”แป๋มนึกสนุก เดินลงไปรวมกลุ่ม จูจิ้น เดินกลับขึ้นมาเอากุ้งมาเก็บโดยเอาถังใส่น้ำแล้วปล่อยกุ้งที่จับได้ลงไปนอนแช่น้ำเพื่อความสดไม่ให้มันตายเสี่ยวซงกับเจ้าบ้านเฉิน ล้วงมือเข้าไป จับกุ้งมาง่ายดาย คนละตัวสองตัว แป๋มอยากลองบ้าง จึงเข้าไปช่วยต้อนกุ้งในโพรงหิน ล้วงมือเข้าไปรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดิ้นตุบตับ ชนเอามือทั้งสองข้าง“ท่านพ่อ.. ท่านพ่อ..มันอยู่ตรงนี้”เสี่ยวซงลาเข้ารวบกุ้งตัวโตที่ชนมือของแป่มไปมาใบหน้าหล่อเหลาเกือบจะโดนแก้มอวบของแป๋ม เสี่ยวซง ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่แป๋มกับอายม้วน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ฉับ”กุ้งตัวใหญ่ที่ถูกต้อนจนมุมใช้กล้ามใหญ่หนีบฉับเข้าที่นิ้วนางของแป๋มระดับความเจ็บประมาณ ลูกหมาฟันคมงับมือ“อืออออออเจ็บ”ส่ายหน้าไปมาหลับตาพริ้ม ดึงตัวกุ้งที่ไม่ยอมปล่อยกล้ามขึ้นมาด้วยมืออีกข้างคว้าตัวกุ้งไว้แน่นเสี่ยวซงกับจูจิ้นหัวเราะ ขำกับท่าทีของแป๋ม“เห็นไหมเล่า ในที่สุดแกก็เสร็จฉัน กุ้งนี่จับไ
“จูเจี่ย ท่านคงอยากจะสวยอวดพี่เสี่ยวซงแน่เลย”เจ้าเด็กบ้านี่เอาอีกแล้ว“ข้าอยากจะพัฒนาตัวเองสียบ้าง”“อาหารที่แม่เจ้าปรุงสองสามวันมานี้ ล้วนแต่เป็นของที่กินแล้วไม่อ้วนเจ้าพูดเองว่าอยากจะผอมข้าคุยกับแม่ของเจ้าแล้วว่าเราจะปรุงแต่อาหารที่จูเจี่ยกินแล้วไม่อ้วน เพียงแต่เจ้าไม่ปฏิเสธมันรับรองเห็นผลอย่างแน่นอน”แป๋มยิ้มซาบซึ้งน้ำใจอย่างที่สุดย้อนเวลามาไม่เสียที อย่างน้อยก็มีคนใส่ใจจูจิ้นกับจูเจี่ยนั่งย่างกุ้งบนเตา ดิน เสี่ยวซงยกเอาหินลาวาที่มีเก็บไว้หลายขนาดมาวางบนเตาดินกองไฟด้านล่างเอากุ้งตัวใหญ่ขึ้นไปวาง แป๋มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฮูหยินเฉินมาดึงสายรัดเอวให้เพราะแป๋มทำอยู่นานก็ไม่เป็นผลไม่เหมือนอย่างที่เขาภทำกัน“เจ้าผอมลงไปจริงๆ รู้สึกตัวบ้างไหม”แป่มพยักหน้าผอมลงไปจริงๆ มีองค์มีเอวกับเขาด้วยคงลงไปไม่ต่ำสามกิโลหากเป็นที่บ้านคงลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เสี่ยวซงมองอาภรณ์สีพื้นๆ ของแป๋มที่สวมใส่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบเสีย จูจิ้นนั่งอยู่บนตักของเสี่ยวซง พลิกกุ้งไปมาเอามืออังเตาไฟไล่ความหนาวเหน็บลมแรงกรรโชก ท่านเฉิน ขยับเข้าใกล้เตาดินอีกคน“พรุ่งนี้หิมะคงตกแน่ๆ หากอากาศจะหนาวลงเรื่อยๆแบ
“ทำไม องครักษ์ไม่ได้ตามตัวไท่จือไปอยู่แล้วหรือ”“ไท่จือนิยมไปไหนเพียงลำพัง”“ทำไมนิยมไปไหนเพียงลำพังแบบนั้น ไม่เรียกว่าหนีไปหรือไร”ซงยี่ถอนหายใจ(“หนีก็ได้ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจนมุมแล้วไท่จือชอบหนีไปเที่ยว”) ความคิด“ไม่เรียกว่าหนีไหนเมื่ออีกไม่นานไท่จือจะกลับมาอย่างแน่นอน”ใจคิดอีกอย่างแต่ ปากกลับพูดไปอีกอย่างที่ถอนหายใจเพราะเบื่อระอากับความเสแสร้งของตัวเอง“เช่นนั้นอิงเผย รอได้คงต้องรอจนกว่าไท่จือจะกลับมา”แม้จะกระหน่ำกินกุ้งย่างจิ้มน้ำจิ้มชวงเจียจนอิ่มแปล้แต่ทว่ากลิ่นหอม ของแกงมันเทศกับกุ้งสีสดในน้ำแกงสีเหลืองที่ลอยอบอวล มันเทศหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำที่เปื่อยนุ่ม สีม่วงตัดกันกับกุ้งสีส้มขาว ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วโต๊ะกับข้าว ฮูหยินตักข้าวให้ทุกคนยกเว้นจูเจี่ย“เจ้าจะต้องมีความหักห้ามใจ แม่ให้เจ้าตักข้าวเองจะได้รู้ว่า ความพยายามของเจ้ามีมากเพียงใด หากอยากจะผอมให้เร็วก็ตักแต่น้อยแต่ถ้าอยากจะผอมให้ช้าก็ตักให้มาก หรือจะไม่อยากผอมก็ตักเท่าๆ กับคนอื่น”แป๋มสุดลมหายใจเข้าลึกๆ คว้าทัพพีไม้ไผ่มาตักขาวสวยร้อนๆ เพียงทัพพีเดียว“ท่านแม่จูเจียกินกับเล่นไม่อ้วนหรือไร”“มันเทศกินเข้าไปก็อิ่ม ส่วนกุ้งไ
“องค์ชายซงยี่ท่านจะตามข้าทำไมให้มากความข้าอยากเดินเพียงลำพัง”องค์หญิงแคว้นใต้อิงเผย กว่าคำพูดที่ทิ่มแทงจิตใจของคนฟัง“ข้าก็แค่ทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท ให้คอยดูแลเจ้าแทนพี่ใหญ่ไท่จือ”“ทำไมเขายังไม่มาจงใจหลบหน้าข้า หรือเปล่า” ทอดเสียงเศร้าสร้อย ซงยี่ถอนหายใจนึกสงสารอิงเผยเหมือนกัน ซงหยวนใครกันจะบังคับเขาได้แต่ไหนแต่ไรเป็นเขาที่โดเด่ยนด้านความคิดแล้วอุปนิสัยที่เป้นตัวของตัวเองถึงกระนั้นก็เป้นพี่ใหญ่เป้นไท่จือซงยี่คิดว่าไม่มีใครเหมาะที่จะรั้งตำแหน่งไท่จือเท่าซงหยวนหากไม่ใช่ซงหยวนจะเป็นใครเได้ซงลหลี่แม้จะอ่อนน้อมชอบช่วยงานราชสำนักแบ่งเบาภาระฝ่าบาททว่าภายในจิตใจยากยั่งถึง เขามักจะชอบเรียกเหล่าขุนนางเข้ามา สรวลเสเฮฮาในวังหลวงเป้นประจำนิสัยเช่นนี้ไม่น่า คบหา เลี้ยงคนพันวันใช้งานวันเดียว“เขาไม่ได้จงใจหลบหน้าเจ้าเพียงแต่ไท่จือยังไม่แน่ว่าจะรู้ว่าเจ้ามาก็เลยยังไม่กลับ แต่ข้าเชื่อเหลือเกินว่าถ้าไท่จือเขารู้ว่าองค์หญิงมารอที่นี่เขาจะต้องรีบมาแน่”แปลกใจตัวเองทำไมต้องปลอบใจนาง“จริงๆนะ ข้าอยากพบเขาเหลือเกินแล้ว ข้ารอที่นี่สามราตรีแล้ว ยังไม่เห็นเขากลับ มา เรื่องล่าสัตว์ประภาสป่ามันดีกว่าการที่พบข้
เจ้าบ้านเฉินเดินนำหน้า ตามด้วยจูจิ้น แป๋มและเสี่ยวซงตามหลัง บนเนินผักเขียวขจีตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดใสแป๋มตื่นเต้นเมื่อเห็นผักบุ้งกับ หัวผักกาดกำลังงอกขึ้นมาจากดินสีดำเป็นต้นเล็กๆ เขียวเหลืองน่ารัก“ท่านพ่อพวกมันงอกออกมาแล้ว”จิ้มมือลงไปยังใบรูปหัวใจชนกันสองใบเล็กๆ บนพื้น“นั่นล่ะรอให้มีใบจริงของพวกมันออกมาจึงนำไปลงที่แปลงใหญได้”“ทำไมต้องเอาไปปลูกที่แปลงใหญ่ปลูกในนี้ไม่ได้หรือไร”"ในนี้เขาเรียกแปลงเพาะ เราจะคัดเฉพาะต้นที่แข็งแรง ไปปลูกในแปลงใหญ่ เราว่านเมล็ดที่นี่หนาแน่นเกินไปปลูกแปลงใหญ่จึงมีพื้นที่ให้พวกมันเติบโต”“ยุ่งยากเหมือนกันแฮะ”พึมพำเบาๆ“หากเราไม่อยากยุ่งยาก จะต้องหว่านห่างหน่อยและต้องหมั่นโกยขี้หมูมาใส่พวกมัน แล้วก็คัดสรรเอาเฉพาะต้นที่แข็งแรงในแปลงเพาะไปปลูก พวกที่เหลือยังพอเก็บไว้กินได้ แม้ลำตั้นจะไม่ใหญ่โต สำหรับข้าผักที่ดีที่สุดคือผักสดเก็บสดๆ กินสดๆ ปรุงสดๆ ”แป๋มยิ้มกว้างเฮ้อโชคดีจังได้ หลุดมาในสวนผัก อย่างที่บอกผักสดๆ อร่อยจริงๆ เก็บเลยแกงเลย สุดยอดทางไปบนเขา เป็นทางเล็กๆ คดเคี้ยวเหมือนกับทางเดินเท้าทั่วไป ข้างทางข้างหน้านั่นสูงชันไปเรื่อยๆ แป๋มแบกน้ำหนักตัวที่เกินไปแม
“ปอกมันเสียหน่อยจะได้ แบกไปได้สบายไม่หนักอย่างที่ควรจะเป็น”“แล้วจะยังสดอยู่ไหมท่านพ่อ”“อันที่ปอกเปลือกข้าตั้งใจนำไปดองเค็มไว้กินยามที่ หมดฤดูหน่อไม้ แต่บางส่วนนำลงไปทั้งเปลือกส่งเข้าวังหลวงทันทีเพื่อรสชาติที่ดีของมัน”แป๋มยิ้ม“แล้วเราจะเอาไปทำอะไรอีกตั้งเยอะแยะขนาดนี้”“ให้แม่เจ้าทำพะโล้ไก่ตุ๋นหน่อไม้จีน”“หาหน่อไม้เอามาทำพะโล้ได้ด้วยหรือ”“จูเจี่ย อร่อยที่สุดท่านแม่ทำพะโล้ตุ๋นหน่อไม้จีนรสดีที่สุด”จูจิ้นออกปากเสียเองแป๋ม เริ่มรู้สึกว่าตัวเองน้ำลายสอ“ก่อนอื่น กินกลางวันกันก่อนดีกว่า”ท่านเฉินเอ่ยปากเพราะเห็นว่ากำลังจะเลยเวลากลางวันไปแล้วและทุกๆ คนต่างออกแรงและปีนเนินเขาขึ้นมาเหนื่อยล้าฮูหยินเฉิน เตรียมซาลาเปาไส้ถั่วแดงมาให้หลายลูกนำถั่วแดงที่เหลือมาทำไว้เพื่อจะได้เก็บของใหม่ในปีถัดไป ซาลาเปาที่ยังอุ่นๆ ห่อมาในผ้าฝ้ายสีน้ำตาลแดงถึงสามชั้น“ถั่วแดงของเราใกล้จะหมด พรุ่งนี้ควรจะเก็บเกี่ยวถั่วแดงมาเก็บไว้ ดีที่หิมะแรกยังไ่ม่มาไม่เช่นนั้น การทำงานในแปลงผักค่อนข้างลำบาก”พูดไปก็ส่งซาลาเปาไส้ถั่วแดงให้ก้บทุกคน สีของซาลาเปาไม่ขาวจั๊วหากแต่ออกสีน้ำตาล (สีตุ่นๆ) แป๋มรับเอามาถือไว้ทำไมมันยังอุ่