เสียงเรียกของเถ้าแก่เนี๊ยของร้านช่วยฉุดรั้งเธอออกจากภาพฝันในอนาคต จางซิ่วอิงเดินเข้าไปหาลูกค้ารายแรกของเธอทันทีอย่างไม่ลังเล ก่อนจะวางสินค้าตามรายการสั่งซื้อลงบนโต๊ะตรงหน้าให้คุณป้าฟางอิงได้ตรวจสอบ
“ดี ๆ ของดีทั้งนั้น นี่ค่าของนับดูก่อนสิ!”หลังจากตรวจนับของที่สั่งไปจนครบถ้วนแล้ว หญิงวัยกลางคนจึงกล่าวขึ้นอย่างพึงพอใจ ในมือนั้นถือขาหมูที่แพ็คมาอย่างดีดูสะอาดน่าทำอาหารมากกว่าหลายร้านที่ซื้อมาก่อนหน้าเป็นอย่างมาก พลันยื่นถุงเงินใบเล็กที่มีเงินอัดแน่นอยู่ในนั้นให้กับหญิงสาวตรงหน้า
จางซิ่วอิงรับถุงเงินใบเล็กมา ก่อนจะโยนไว้ในกระเป๋าผ้าคู่กายอย่างไม่คิดมาก แล้วตอบคุณป้าไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้าว่าเท่าไหร่ก็ตามนั้น”
“เธอนี่นะ ไม่กลัวฉันโกงหรืออย่างไร?”แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่แววตาที่มองหญิงสาวคราวลูกก็อ่อนลงไม่น้อย พลันเกิดความรู้สึกเอ็นดูอยู่เล็ก ๆ หลังจากได้เห็นรอยยิ้มใสซื่อนั่น
แม้จะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่มีคาดว่าคงมาจากชนบทคนนี้จะมีเส้นสายมากพอที่จะหาของเหล่านี้มาขายให้เธอได้ ด้วยการแต่งกายก็นับได้ว่าธรรมดา ใบหน้าแม้จะดีมีเสน่ห์ไม่หยอก แต่ทว่าเส้นผมและผิวพรรณกลับดูคล้ายกับไม่ได้รับการดูแลมานาน ในใจของหญิงวัยกลางคนแอบเกิดความสงสัยขึ้นมาแต่เพียงไม่นานก็ปัดทิ้งไป แล้วหันมาสนใจคำพูดฉะฉานและรอยยิ้มใสซื่อของหญิงสาวแทน
“ไม่กลัวค่ะ ว่าแต่คุณป้าคะ หนูมีของแถมให้คุณป้าด้วย ลองทานดูนะคะ ถ้าชอบครั้งหน้าค่อยสั่งซื้อกับหนูก็ได้”จางซิ่วอิงยิ้มกว้างทำท่าทางราวกับพึ่งนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ พลางทำเป็นหยิบของออกจากกระเป๋าผ้า ทั้งที่จริงแล้วเธอเรียกมันออกมาจากมิติต่างหาก
มือเรียววางหมูแผ่น หมูฝอย และหมูหยองอย่างละสองแพ็คไว้ข้างกันกับของสดที่นำมาก่อนหน้า ก่อนจะผายมืออธิบายชื่อและรสชาติของแต่ละอย่างรวมถึงวิธีการกินด้วยน้ำเสียงฉะฉาน คำพูดคำจาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแตกต่างจากหญิงสาวการศึกษาน้อยจากชนบทโดยสิ้นเชิง
“ขอบใจนะ ”หลี่ฟางอิงยิ้มรับพลางกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงใจดี แววตาที่มองจางซิ่วอิงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม
เธอเองเป็นแม่ค้ามาเกือบทั้งชีวิต ตระกูลเธอนั้นค้าขายมาหลายชั่วอายุ แต่ละรุ่นนั้นผ่านคำพูดดูถูกเหยียดหยามมาตั้งเท่าไหร่ จนกระทั่งแต่งออกมาครอบครัวสามีก็มีกิจการค้าขายเช่นกัน
ในยุคนี้การค้าขายก็ยังถือเป็นเรื่องน่าอายสำหรับคนส่วนมากอยู่ดี หายากนักที่ใครจะออกมาทำการค้าโดยไม่มีท่าทางเอียงอาย แต่ดูเด็กคนนี้ทำสิ แทนที่จะอายกลับพูดจากับคนที่เจอหน้ากันครั้งแรกได้อย่างลื่นไหล การเจรจาค้าขายเต็มไปด้วยความมั่นใจ แถมรอยยิ้มจริงใจของหล่อน เธอคิดว่าอนาคตเด็กคนนี้คงเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตได้ไม่ยาก
จางซิ่วอิงพูดคุยกับเถ้าแก่เนี๊ยของร้านตระกูลเฉิงต่ออีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไป ตอนนี้ก็เย็นย่ำแล้วหากช้ากว่านี้เธอคงไม่ทันขึ้นเกวียนรอบสุดท้ายอย่างแน่นอน
ตลอดการเดินทางกลับบรรยากาศระหว่างทางก็ไม่ได้ต่างจากตอนมานัก มนุษย์ป้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ป้าเช่นเดิม เรื่องคนอื่นนี่รู้ดีเหลือเกิน ติฉินนินทาคนอื่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยสินะ พลันจางซิ่วอิงเพียงแค่มองออกไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ เพียงไม่นานเกวียนก็หยุดลง เธอจ่ายเงินค่าเกวียนก่อนจะเดินตรงกลับบ้านโดยไม่สนใจสายตาที่มองตามหลังมาแม้แต่น้อย
ร่างบางเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านหลังเก่าทรุดโทรม ก่อนจะเริ่มทำอาหารมื้อเย็นสองอย่างพร้อมกับหุงข้าวขาวไว้ จากนั้นจึงต้มน้ำไว้สำหรับอาบ ตอนนี้อากาศเย็นลงมากแล้วเพราะใกล้ฤดูหนาว ในยุคที่เครื่องทำน้ำอุ่นไม่มี ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงพื้นที่ชนบท เห็นทีคงต้องต้มน้ำอาบทุกวัน เพราะเธอเคยชินกับการอาบน้ำวันละสองครั้งจากโลกก่อนไปแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จน้ำสำหรับอาบก็เดือดพอดี จางซิ่วอิงนำไปผสมอาบในเวลาต่อมา น้ำอุ่นกำลังดีช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ยาสระผมและครีมนวดผมยี่ห้อที่เคยใช้เป็นประจำในชีวิตก่อนถูกนำมาใช้บำรุงผมแห้งกรอบให้นุ่มลื่นยิ่งขึ้น โดยที่ผิวหยาบกร้านก็ถูกสบู่เหลวกลิ่นหอมฟอกจนสะอาดหมดจดทุกอณูเช่นกัน
ทันทีที่จัดการตัวเองเรียบร้อยร่างบางจึงเดินสำรวจตรวจตราประตูหน้าต่างจนเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้เดินเข้าห้องไป พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้นับเงินจากการค้าในวันนี้ จึงหยิบออกมานับซึ่งกระเป๋าเงินใบน้อยของคุณป้าก็เรียกรอยยิ้มเต็มใบหน้าให้กับหญิงสาวในทันทีที่นับเสร็จ
การค้าครั้งแรกของเธอในโลกนี้เธอได้รับเงินมาจำนวนสองร้อยสิบห้าหยวน ซึ่งมากกว่าคนที่ทำงานในแปลงนาทั้งปี หรือคนที่ทำโรงงานในยุคนี้ก็ยังไม่ได้เท่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันยังไม่มากพอที่จะซื้อบ้านสำหรับครอบครัวในอนาคตของเธอ
จางซิ่วอิงเลือกสมุดบัญชีเล่มใหญ่ ไม้บรรทัด ปากกาออกมาจากมิติ ก่อนจะลงมือทำบัญชีที่อ้างอิงรูปแบบจากโลกที่เธอจากมา จากนั้นจึงนำเงินที่ขายได้เก็บเข้ามิติไปพร้อมกับสมุดบัญชีที่ลงรายละเอียดของวันนี้เรียบร้อยแล้ว
ร่างบอบบางล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มหอมสะอาด ก่อนจะหลับตาพริ้มด้วยความสุขใจ อย่างน้อยชีวิตในโลกนี้ก็ไม่ได้แย่นัก แม้จะแร้นแค้นไปบ้างแต่เธอยังมีมิติอยู่กับตัว และที่สำคัญชีวิตนี้เธอเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องความรักนั้นจะสมหวังหรือไม่คงต้องรอสามีกลับมาแล้วพยายามกันดูอีกสักตั้ง หากเข้ากันได้ก็ไปต่อ แต่หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกย้าย และเมื่อปัญหาที่รบกวนจิตใจถูกปลดเปลื้อง สุดท้ายแล้วความง่วงงุนก็เข้าแทนที่ทุกสิ่ง ร่างบางบนเตียงเก่านั้นหลับสนิทเป็นที่เรียบร้อย
เช้าวันต่อมาหลังจากจัดการตัวเองและทานอาหารเช้าเรียบร้อย จางซิ่วอิงตั้งใจจะไปขายของที่ตลาดมืดสักหน่อย ก่อนกลับจะได้สอบถามราคาบ้านระแวกนั้น และสุดท้ายเธอว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองและสามีสักสองสามชุด เพราะชุดที่มีอยู่นั้นทั้งเก่าและบาง แถมรอยปะก็มีไม่น้อยแล้ว ครั้นจะเอาออกมาจากมิติเสื้อผ้าในนั้นก็ออกจะทันสมัยเกินไป เห็นทีจะเป็นที่สนใจเกินไปหากสวมใส่
จางซิ่วอิงเดินทางด้วยเกวียนเช่นเดิม แต่เป็นรอบเช้าของวันที่มีคนค่อนข้างน้อยกว่ารอบบ่าย หญิงสาวยังคงเชิดหน้าเดินด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมโดยไม่สนสายตาของคนที่มองเธอด้วยสายตาดูแคลน
ทันทีที่เกวียนจอดหญิงสาวเดินตรงเข้าไปในตลาดมืดทันที เธอเลือกปูผ้าสีเหลี่ยมเพื่อวางของข้างแผงของคุณยายท่านหนึ่งซึ่งกำลังขายผักอยู่ หลังจากได้ที่ขายแล้วจึงทำทีเป็นเดินไปขนของ
ร่างบางเดินไปในซอกตึกที่ลับตาคนก่อนจะเรียกเอาของในมิติออกมา วันนี้เธอเลือกแอปเปิ้ลลูกโตสีสันน่ากินออกมาสองลัง นมวัวห้าแกลลอน เนื้ออีกหลายสิบแพ็คออกมาวางขาย
ซึ่งหลังจากวางสินค้าได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็มีลูกค้ารายแรกมาถามซื้อ เธอก็แจ้งราคาที่คิดไว้ไป จนกระทั่งตกลงซื้อขายและลูกค้าคนแรกนั้นเดินออกจากแผงเธอไปพร้อมกับของในมือ หลังจากนั้นเพียงไม่นานแผงของเธอก็เต็มไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา ผ่านไปราว ๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงแผงของจางซิ่วอิงจึงเหลือเพียงแค่ผ้าปูผืนบางเท่านั้น
โดยลูกค้าหลายคนถามคล้าย ๆ กันว่าเธอจะมาขายอีกวันใดบ้าง ซึ่งเธอก็ตอบไปตามตรงว่าจะมาขายทุกวัน สินค้าอาจสลับสับเปลี่ยนกันไป
ที่ต้องมาขายทุกวันอย่าได้มองว่าเธอขยันเชียว เพราะที่ทำไปเธอแค่ร้อนเงินเท่านั้น เธออยากเก็บเงินซื้อบ้านใหม่ให้เร็วที่สุด จะได้ตัดขาดจากครอบครัวสามีสักที แต่หากสามีเธอไม่เห็นด้วยเธอก็พร้อมจะตัดขาดสามีและหย่าขาดเช่นกัน
หลังจากสินค้าถูกขายหมดเกลี้ยงแผงภายในเวลาอันรวดเร็ว จางซิ่วอิงจึงพับเก็บผ้าปูไว้ในกระเป๋าผ้าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินดูสินค้าอื่นที่ขายอยู่ภายในตลาดมืดแห่งนี้สักเล็กน้อยแล้วเดินออกมาร่างบางเดินตรงไปยังร้านขายผ้าที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ เสื้อผ้าสำเร็จรูปรวมถึงผ้าม้วนมากมายวางเรียงรายละลานตาเต็มไปหมด“สวัสดีค่ะ ฉันมาดูชุดสำเร็จรูปสักสองชุด พอจะแนะนำให้ได้หรือไม่คะ?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เปล่งออกไปไม่ดังไม่เบา ทั้งใบหน้าของหญิงสาวยังค่อนข้างเป็นมิตรไม่ต่างจากตอนขายของในตลาดมืด ไม่มีคำไหนที่เธอพูดไม่ดีกับพนักงานคนนี้ด้วยซ้ำ เธอมั่นใจแต่ทว่าคำตอบที่ได้รับจากพนักงานของร้านและท่าทางเหยียดหยามของพนักงานที่มีต่อเธอนั้นทำให้จางซิ่วอิงกรุ่นโกรธจนแทบพ่นไฟออกมาเผาหญิงร่างใหญ่ตรงหน้าให้มอดไหม้“นั่นน่ะ! ดูเอาสิ!!!”พนักงานร่างท้วมตอบค่อนข้างห้วน ขณะนิ้วเรียวชี้มั่ว ๆ ไปยังกองผ
จางซิ่วอิงกลับมาถึงบ้านก็ใกล้เวลาอาหารเย็นเต็มที หญิงสาวเลยเลือกทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้จากในมิติมาต้มใส่ผักและเนื้อง่าย ๆ เพื่อเพิ่มสารอาหาร ก่อนจะทานจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาทีร่างบอบบางอาบน้ำชำระร่างกายด้วยด้วยของใช้ที่นำมาจากในมิติ ซึ่งทำให้ห้องน้ำนั้นหอมฟุ้งไม่ต่างจากกลิ่นกายก่อนนอนไม่ลืมตรวจตราความเรียบร้อยรอบบ้านเช่นเคย ก่อนจะนำเงินที่ขายสินค้าในวันนี้ออกมานับ ซึ่งจำนวนที่ได้ในวันนี้ก็นับว่าเป็นที่น่าพอใจนัก อย่างนี้ความฝันเรื่องบ้านหลังใหม่คงอีกไม่ไกลแล้วในคืนนี้จึงเป็นอีกคืนที่สาวสองในร่างของจางซิ่วอิงหลับไปด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ แม้จะเหนื่อยยากลำบากไปสักหน่อยกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ด้วยหนึ่งสมองและสองมือนี้ลมหนาวจะทำให้ชีวิตของจางซิ่วอิงดีขึ้นให้ได้ ในหัวนั้นวาดฝันอนาคตไปพลาง กระทั่งปิดเปลือกตาลงมุมปากยังคงมีรอยยิ้มเบาบางเช้าวันต่อมาจางซิ่วอิงยังคงทำอาหารง่าย ๆ ทาน ก่อนจะออกจากบ้า
จางซิ่วอิงเดินออกมาจากร้านขายผ้าด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ภายในกระเป๋าผ้ามีสัญญาการค้าที่พึ่งเซ็นไป โดยหลังจากนี้เธอจำต้องนำกิ๊บติดผมในมิติออกมารอไว้ทุกวัน เพื่อรวบรวมส่งให้กับพี่สาวเยว่ทุกเจ็ดวันระหว่างทางเดินไปขึ้นเกวียนหญิงสาวเดินผ่านสำนักงานขายที่ดินพอดีพอคำนวนเวลาที่เหลือแล้วคิดว่าพอมีเวลาอยู่นิดหน่อยกว่าเกวียนรอบหน้าจะออก จึงตัดสินใจเข้าไปติดต่อสอบถามเพื่อจะได้รู้ว่าหากต้องการบ้านดี ๆ สักหลังเธอจำต้องทำงานเก็บเงินอีกเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการซื้อที่ดิน บ้าน หรือร้านค้าคะ?”พนักงานสาวที่ยืนรอต้อนรับอยู่ประตูเอ่ยทักทันทีที่จางซิ่วอิงเดินเข้ามา โดยไม่ลืมสอบถามความต้องการของลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ฉันต้องการดูราคาบ้านพร้อมที่ดินค่ะ ขอสอบถามราคาก่อนได้ไหมคะ?”เธอตั้งใจบอกเจตนาของการมาในครั้งนี้ให้กับพนักงานได้ทราบต้งแต่เนิ่น ๆ เพราะวันนี้เธอยังไม่พร้อมจะซื้อจริง ๆ เพียงแค่ต้องการสอบถามราคาไว้ก่อนเพื่อประกอบการตัด
หยางซีห่าวมองภรรยาที่ทรุดกายร่ำไห้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ก่อนนี้เขาตัดสินใจเข้ากรมเพื่อเป็นทหารก็เพราะอยากให้ภรรยาอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องไปทนลำบากทำงานตากแดดในแปลงนาแต่ดูสภาพเขาตอนนี้สิ แม้หมอที่ค่ายจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเขาจะพิการเสียทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม จางซิ่วอิงคงเสียใจมากที่สุดท้ายแล้วสามีอย่างเขาก็ไม่อาจทำให้ชีวิตของเธอนั้นสุขสบายได้ตลอด แถมยังเจ็บหนักเข้าขั้นพิการกลับมาให้เธอดูแลต่อ สามีเช่นเขานี่มันไร้ประโยชน์เสียจริงเสียงเอะอะโวยวายและถ้อยคำด่าทอรุนแรงของย่าสามีนั้นเรียกสติในตัวเธอให้กลับมาได้ทันเวลา มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มออก พลางตวัดตามองย่าของสามีด้วยความไม่พอใจ“ซีห่าว!! แก!! แกมันตัวไร้ประโยชน์!”เหยียนเพ่ยแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดตีอกชกหัวทันทีที่ได้เห็นสภาพหลานชายที่เคยเป็นคนหาเงินเข้าบ้านมากที่สุด ตอนนี้หยางซีห่าวไม่ใช่ว่าคนไร้ประโยชน์ไปแล้วหรือ
น้ำเสียงตวาดกร้าวของผู้เป็นย่าเรียกร้องให้ตัดขาดจากหลานชายดังขึ้นจนทุกคนที่ยืนห้อมล้อมเหตุการณ์อยู่ได้ยินและรับรู้ถึงความใจดำของย่าที่มีต่อหลานชายได้อย่างชัดเจนจางซิ่วอิงเหยียดยิ้มเมื่อสิ่งที่เธอต้องการนั้นได้หลุดออกมาจากปากของหญิงชราเห็นแก่ตัวอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปสบตากับสามีอีกครั้งหยางซีห่าวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างอดกลั้น สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้กำลังตอกย้ำความสำคัญของเขาที่มีต่อครอบครัวนี้หรอกหรือ เมื่อหาเงินเขาบ้านไม่ได้แล้ว หลานชังอย่างเขานับเป็นตัวอะไรกัน“จัดการตามที่ย่าว่าเถอะครับ ผมรบกวนด้วย”เสียงทุ้มกล่าวกับผู้นำหมู่บ้านในทันที ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว เท่านี้ก็ชัดเจนมากพอแล้วโจวเหวินมองชายหนุ่มที่เขาเห็นมาแต่เด็กด้วยแววตาเวทนาสงสาร เขาค่อนข้างสนิทกับพ่อของซีห่าว ฉะนั้นลูกของสหายก็ไม่ต่างจากลูกหลานที่เขาจะต้องให้ความช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้
จางซิ่วอิงหายไปในครัวไม่นานอย่างที่เธอว่าไว้ ก่อนจะกลับมาพร้อมข้าวขาวเรียงเม็ดสวยร้อน ๆ สองจาน กับอาหารจานผัดหนึ่งจาน และต้มอีกหนึ่ง วันนี้เธออยากกินหมูสามชั้นต้มพร้อมน้ำจิ้มแซ่บซี๊ดเหมือนโลกก่อนจึงทำเพิ่มขึ้นมาอีกจาน เมื่ออาหารพร้อมสรรพบนโต๊ะแล้ว ร่างบางจึงเดินไปเข็นรถให้สามีที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงให้มาทานข้าวด้วยกันกลิ่นอาหารลอยคลุ้งเต็มบ้านจนกระทบเข้ากับจมูกของหยางซีห่าว กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี“ฉันมีเวลาทำอาหารไม่มาก เลยมีแต่อาหารง่าย ๆ คุณลองทานดูนะคะ ว่าถูกปากหรือเปล่า?”เสียงใสกล่าวกับสามีขณะที่พาเขาไปยังโต๊ะอาหารแม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปบ้างเพราะต้องออกแรงมาก รถเข็นในยุคนี้ไม่ได้สะดวกหรือเข็นเองได้เหมือนยุคที่เธอจากมา การเคลื่อนย้ายจึงต้องออกแรงมากหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะเธอเต็มใจ สำหรับสาวสองที่ตายมาแล้วชาติหนึ่ง การได้อยู่ร่วมบ้าน ได้ดูแลคนรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอเต็มใจทำ
“เชื่อสิครับ ก็คุณคือภรรยาคนเดียวของผม”และตอนนี้ชีวิตชายพิการเช่นเขาก็มีเพียงเธอเท่านั้น ซ้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อเขาอย่างชัดเจนแม้เธอไม่เคยพูดออกมาว่ารักสามีอย่างเขาหรือไม่ แต่ไหล่เล็กที่พยายามปกป้องเขาในตอนนั้น รวมถึงท่าทีเอาเรื่องกับคนคิดร้ายต่อสามีของเธอก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีที่มีภรรยาเช่นจางซิ่วอิง“แล้วเคยคิดจะหย่ากับภรรยาขี้โรคแบบฉันหรือเปล่าคะ?”เธอถามออกไปตามตรง ในขณะที่มือยังคงแกะผ้าพันแผลของเขาออกอย่างตั้งใจหยางซีห่าวอายุเพียงยี่สิบปี หากเขาสามารถรักษาแผลที่ขาหายและเดินได้ปกติ เมื่อกลับเข้ากรมอนาคตของเขาคงไปได้อีกไกล และสามารถเลือกผู้หญิงมาอยู่เคียงข้างที่ดีกว่าหญิงสาวหน้าตาขลาดเขลา แถมยังดูอมโรคแบบเธอได้“ไม่เคย! และไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”หยางซีห่าวปฎิเสธขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องคิด แม้จะแต่งงานกันโดยไร้รัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเห
เสียงไก่ขันในยามรุ่งสางปลุกหญิงสาวให้ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างบอบบางขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกถึงบางสิ่งหนักอึ้งที่โอบรัดรอบเอวคอด เมื่อคลำดูจึงได้รู้ว่าเป็นท่อนแขนของสามี ใบหน้าของเขาก็กำลังซุกซบอยู่บริเวณลาดไหล่ของเธอ และเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของเขามานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พลันใบหน้างามรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พาดผ่านแก้มทั้งสองข้างไปจนถึงใบหูขาวและลำคอระหง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอนอนหลับในท่านี้ตลอดทั้งคืนลมหายใจอุ่นเป่ารดลำคอระหงอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหยางซีห่าวกำลังหลับสบาย คนเป็นภรรยาจึงค่อย ๆ คลายอ้อมแขนของเขาออกและลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนเป็นสามีตลอดเวลาที่เขาออกไปปฎิบัติหน้าที่คาดว่าคงไม่ได้กินอิ่มนอนอุ่นได้บ่อยนักในระหว่างรักษาแผลที่ขา เธอคิดว่าควรให้เขาพักมากหน่อย และตั้งใจจะทำอาหารดี ๆ เพื่อบำรุงเขาด้วยร่างบอบบางเดินออกมาจากห้องนอน เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกตัวบ้าน ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะลวก ๆ และปั
จ้าวคุนยื่นมือไปรับรูปถ่ายขนาดเล็กกว่าฝ่ามือจากผู้เป็นพ่อมาดู หากมองผิวเผินรูปนี้อาจจะเป็นเพียงรูปครอบครัวทั่ว ๆ ไป ซึ่งฉากหลังของรูปถ่ายเขาจดจำได้ดีว่าตรงนั้นคือลานน้ำพุหน้าคฤหาสน์หลังนี้นี่เอง แม้การเวลาผันเปลี่ยน สวนดอกไม้อาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่เขาที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดมีหรือจะจำไม่ได้ในรูปถ่ายมีบรรดาเครือญาติทั้งสายหลักสายรองของตระกูลจ้าวนับคร่าว ๆ เกือบร้อยชีวิต เดาว่าในรูปน่าจะเป็นวันรวมญาติของตระกูลที่จัดขึ้นทุกปีมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนในรูปล้วนไม่ได้สลักสำคัญเท่าใดนักสำหรับจ้าวคุนในตอนนี้ที่กำลังไล่สายตาหาตำแหน่งที่พ่อของตนยืนอยู่รูปคุณปู่คุณย่าที่มีเด็กชายหญิงอายุราวสิบห้าปียืนซ้อนอยู่ด้านหน้า ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือพ่อของเขานั่นเอง แต่เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกันกับพ่อคือคนที่ทำให้จ้าวคุนเริ่มเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้วเด็กสาวผมเปียคนนั้นยืนจับมือเคียงข้างกับพ่อของเขา ขนาดตัวที่เล็กกว่าเด็กหนุ่มเพียงเล็กน้อย แ
เสียงรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกขับเคลื่อนเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวในช่วงเย็นย่ำ ก่อนที่คุณชายจ้าวคุนทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจะก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างอารมณ์ดีคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลจ้าวตั้งอยู่ใจกลางย่านสำคัญของปักกิ่ง ภายนอกรายล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกและไม้ยืนต้นที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีกินเนื้อที่กว่าสามไร่ ภายในคฤหาสน์ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางชิ้นไม่อาจประเมินค่าเพราะมีเพียงแค่ชิ้นเดียวบนโลกก็ว่าได้ร่างสูงโปร่งของคุณชายจ้าวเดินเข้ามาในตัวคฤหาสน์ ใบหน้าหล่อเหลาที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อแทบทุกระเบียดนิ้วนั้นประดับรอยยิ้มอย่างคุณชายเจ้าสำราญอยู่ตลอด นัยน์ตาคมทอดมองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องโถง พลางนึกไปถึงเงินจำนวนมากที่คุณพ่อจ่ายออกไปสำหรับของเหล่านี้เพื่อความสุขของคุณแม่ ครั้งนี้คุณพ่อจ่ายหนักเสียจริง…“สวัสดีครับคุ
หญิงสาวพยายามเก็บสีหน้าและรักษาท่าทีให้กลับมาสงบดังเดิม ก่อนจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ เธอสังเกตเห็นท่าทีสงสัยของผู้จัดการเผยคนนี้ ก็ไม่แปลกใจนักกับความคิดของคนในยุคนี้ยุคที่เศรษฐกิจภายในประเทศผันผวนตลอดเวลาเช่นนี้ จะมีใครใจกล้าเช่าหน้าร้านระยะยาวด้วยเงินก้อนโตอย่างเธอบ้าง หรือแม้แต่การเช่าที่ดินทำการเกษตรเธอก็เชื่อว่าคงไม่มีใครเช่าระยะยาวหลายปีเช่นที่เธอกำลังทำอยู่อย่างแน่นอนแต่สำหรับโลกก่อนการเช่าร้านใหญ่ในห้างมีใครบ้างอยากจะเช่าเพียงแค่สามเดือน ถ้าหากเธอขายดีขึ้นมาแล้วเกิดหมดสัญญาเช่าก่อน อย่างนั้นจะไม่เสียเวลาต่อสัญญาหรืออาจจะต้องหาหน้าร้านใหม่หรอกหรือ“อย่างนั้นฉันสนใจเช่าห้าปีทั้งสองร้านค่ะ ทางผู้จัดการเผยเขียนสัญญาและคำนวนค่าเช่าล่วงหน้ามาได้เลยนะคะ”น้ำเสียงจริงจังกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล แม้จะเป็นสีหน้าไม่เข้าใจของพี่สาวเยว่แต่จางซิ่วอิงกลับคิดว่าเธอได้คำนวนมาเป็นอย่างดีแล้วต่างหาก
เนื่องจากห้างสรรพสินค้ายังปรับปรุงไม่เสร็จดีและไม่มีพื้นที่สำหรับการต้อนรับหรือพูดคุย เยว่ผิงอันจึงตกลงนัดหมายการทำสัญญาในวันนี้ที่สำนักงานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กันกับห้างสรรพสินค้าแทนสำนักงานแห่งนี้เป็นสถานที่ดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบส่วนของงานปรับปรุงซ่อมแซมและใช้สำหรับพูดคุยเรื่องสำคัญที่ห้างสรรพสินค้าสร้างขึ้นมาแยกจากตัวห้างสำหรับใช้งานชั่วคราวระหว่างรอสำนักงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าปรับปรุงเสร็จอาคารสำนักงานแห่งนี้มีขนาดสี่สิบตารางวานับว่ากว้างขวางพอสมควร ทั้งยังตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ถือว่านายทุนของที่แห่งนี้นอกจากมีกำลังทรัพย์มหาศาลแล้วยังมีอิทธิพลค่อนข้างมากระยะทางจากบ้านของเธอมาถึงสำนักงานแห่งนี้นับว่าใกล้กันมาก จางซิ่วอิงจึงนัดหมายกับพี่สาวเยว่มาเจอกันที่นี่แทน สองสามีภรรยาเผื่อเวลาไว้พอสมควร ระหว่างทางจึงไม่ได้รีบร้อน ทั้งคู่เดินไปหยอกล้อกันไปราวกับคู่รักหนุ่มสาวที่พึ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ก็ไม่ปา
ในทันทีที่แผ่นหลังบอบบางสัมผัสกับพื้นผิวของเตียงเตาหลังกว้าง ร่างหนาของหยางซีห่าวก็ทิ้งกายลงคร่อมทับภรรยาเอาไว้ สองสายตาสบประสานกันอย่างสื่อความหมายกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาวโชยขึ้นมาเตะจมูกของคนเป็นสามีจนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกายหนา กอปรกับดวงตาคู่เรียวที่ปรือขึ้นมองเขาอย่างยั่วเย้านั้นทำเอาหยางซีห่าวแทบคลั่งพลันริมฝีปากหยักจรดลงบนแก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน ช่างขัดกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เริ่มติดขัด มือหนาทั้งบีบทั้งเคล้นไปเสียทุกส่วนโค้งเว้าใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกสัมผัสอุ่นจูบซับไปตามกรอบหน้า ริมฝีปากบางเผยออ้าราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายหนุ่มจะประกบจูบลงมาเรียวลิ้นชื้นสอดแทรกเข้าไปตักตวงความหวานในโพรงปากของภรรยา ก่อนจะถูกร่างบางจูบตอบกลับมาอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน สองแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบกอดรอบลำคอหนา พลางเอียงใบหน้าเพื่อสอดรับเรียวลิ้นได้ถนัดถนี่หยางซีห่าวค
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกราวสามสิบนาทีจางซิ่วอิงเห็นว่าใกล้เวลามื้อเย็นแล้วจึงชวนสหายรุ่นพี่ให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับซึ่งในทีแรกเยว่ผิงอันมีท่าทีปฏิเสธ แต่ทว่ากลับถูกคะยั้นคะยอจากคู่ค้าคนสำคัญ หนักเข้าจึงตกปากรับคำในเวลาต่อมาด้วยความเกรงใจในยุคนี้ข้าวปลาอาหารล้วนขาดแคลน การซื้อหานับว่าต้องใช้เงิน สินค้าบางอย่างมีการยกเลิกการใช้คูปองไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออยู่ดี การทานอาหารบ้านคนอื่นนับเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจให้มากคุณแม่เธอสอนมาอย่างนั้น จึงค่อนข้างเกรงใจสหายไม่อาจรับปากง่าย ๆ ได้จางซิ่วอิงปลีกตัวเข้ามาทำอาหารในครัว โดยปล่อยสหายให้นั่งดูแผนงานรอไปก่อน ซึ่งหยางซีห่าวสบโอกาสใกล้ชิดในทันที ร่างหนาเร่งเดินตามภรรยารักเข้ามาในครัวพร้อมกับออกปากว่าจะช่วยทำกับข้าวในวันนี้หญิงสาวนึกอยากทานไก่คั่วพริกเกลือขึ้นมาจึงเริ่มหยิบเนื้อไก่ขึ้นมาหั่นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะเตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ จากนั้นจึ
เยว่ผิงอันยิ้มกว้างเมื่อเห็นสหายรุ่นน้องและสามีกลับบ้านมาพอดีหลังจากมายืนรออยู่เกือบสิบห้านาทีเธอเคยมาที่บ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าสามีของอิงอิงนั้นเป็นทหารที่กำลังพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลับยืนเคียงข้างภรรยาอย่างมั่นคง นี่นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากไม่ใช่เหรอ“ฉันจะมาคุยเรื่องร้านใหม่ของเราน่ะสิ!”เยว่ผิงอันตอบอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลของการมาที่บ้านหลังนี้ ใบหน้าเรียวแม้จะดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อธุระสำคัญของวันนี้จางซิ่วอิงยิ้มรับพลางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหยิบลูกกุญแจขึ้นมาไขรั้วบ้านแต่ก็ถูกมือหนาของสามีแย่งไปเสียก่อน เธอจึงทำได้เพียงส่งยิ้มขอบคุณเขาและหันมาให้ความสนใจกับสหายคู่ค้าก่อนเยว่ผิงอันมามองท่าทีสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ยิ้มกริ่มขึ้นมา พลางส่งสายตาล้อเลียนไปให้สหาย จนหญิงสาวที่ถูกมองแบบนั้นถึงกับขวยเขิ
เสื้อผ้าเนื้อละเอียดสีเดียวกัน ฝีเข็มปราณีตบ่งบอกถึงราคาที่ไม่ใช่ชาวชนบททั่วไปจะจับต้องได้ ชุดคู่นี้ถูกสวมลงบนกายของทั้งคู่ หากใครเห็นไม่บอกก็พอจะรู้ได้ว่าชายหญิงคู่นี้คือคนรักกันอย่างแน่นอน หลังจากประทินโฉมเพียงเล็กน้อยจางซิ่วอิงก็ได้เวลาออกจากห้องนอน ซึ่งมีสามีมายืนรออยู่ก่อนแล้วจางซิ่วอิงนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งโดยมีสามีเลื่อนให้ ใบหน้าเรียวเล็กวาดยิ้มจนตาหยีก่อนจะกล่าวขอบคุณสามีเสียงหวานความสุขที่อัดแน่นอยู่ในอกถูกแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นนั้นราวกับความฝันที่เธอไม่อยากจะตื่น พลันหวนนึกถึงที่ที่จากมา ในตอนนั้นชีวิตคู่ของเธอกับพี่ซีห่าวก็นับได้ว่าหวานชื่นไม่แพ้ตอนนี้ แม้จะไม่ได้ตบแต่งกันเช่นชีวิตนี้ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดีในทุกวันเขาและเธอจะต่างคนต่างทำหน้าที่การงานของตนเอง อาจมีแวะเวียนมาทานมื้อกลางวันด้วยกันบ้าง ทานมื้อเย็นด้วยกันเป็นประจำ ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตจะยากเย็นสักแค่ไหน เขาไม่เคยปล่อย
รุ่งเช้าของวันใหม่ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าจนเกิดแสงสีแดงอมส้มที่ลอดผ่านเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ตามมาด้วยเสียงเคลื่อนไหวของบ้านหลังอื่น ๆ ที่อยู่รอบพื้นที่เปลือกตาสีไข่ปรือขึ้นพลางกระพริบขี้นลงถี่รัวเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงที่กระทบเข้ากับดวงตา ทันทีที่ตื่นเต็มตาเธอหันไปมองร่างหนาที่หลับสนิทอยู่ข้างกาย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขากำลังหลับสนิท ท่อนแขนแข็งแกร่งยังคงกอดรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้เช่นทุกวันแต่ที่ต่างออกไปเพราะระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เพียงแค่หลับไหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างเช่นทุกคืน…จางซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เรียวไล่สำรวจใบหน้าหล่อเหลาของสามี สันจมูกคมเด่น กรามได้รูป และลูกกระเดือกใหญ่ที่ข้างกันมีร่องรอยสีแดงจาง ๆ ติดอยู่ พลันใบหน้างามรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงที่มาของรอยนั้น ทั้งลำคอหนา ไหปลาร้า หรือแม้แต่หน้าอกแกร่ง ล้วนมีรอยที่เธอเป็นคนทำขึ้นทั้งสิ้นคล้ายว