ก้องกิจที่กลับบ้านมาก็เจอภรรยากำลังนั่งไขว่ห้างจิบไวน์อยู่ที่โซฟาแววตาที่จ้องมองมาไม่เป็นมิตรเขาเห็นแต่ไม่อยากจะทักและก็เป็นอย่างที่ก้องกิจคิดในใจเมื่อรูปถ่ายระหว่างเขากับวินตราปลิวว่อนอยู่ที่พื้นเป็นภาพถ่ายที่ยืนคุยกันสองต่อสองที่ดาดฟ้าเมื่อครู่‘สมกับเป็นเจ้าพ่อสื่อ’
“แล้ว?” ก้องกิจไม่ได้หยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดูแต่กลับถามด้วยเสียงเย็นไม่เหมือนกับตอนที่คุยกับวินตราสีหน้าและแววตาอ่อนโยนแบบนั้นดารากรไม่เคยได้รับมันมาก่อนอีกฝ่ายเป็นใครมีดีอะไรถึงได้รับสิ่งเหล่านี้จากสามีเขา
“พี่ก้อง” ดารากรตวาดเสียงดังลั่นห้องรับแขกพลางวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะอย่างแรงลุกขึ้นเดินมาเผชิญหน้า
“เรื่องหย่าฝันไปเถอะถ้ากรไม่สมหวังอย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะสมหวังเลย”
“อ้อ”
“พี่ก้องตลอดเวลาที่แต่งงานกันมาพี่เคยรักกรบ้างหรือเปล่า” ดารากรตวาดเริ่มฟูมฟายน้ำเสียงอ้อแอ้อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงใส่เขาจนหน้าดำหน้าแดงก้องกิจและดารากรถูกเลี้ยงดูมาต่างกันการตะคอกก่นด่าแบบนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นในรั้วสลาลินและเกียรติคณาและเป็นสิ่งที่ก้องกิจเกลียดมากที่สุด
“อย่าตะคอกใส่พี่” ก้องกิจเอ่ยเสียงเรียบพลางเบนสายตาไปที่อื่น
“ทำไมกรผิดอะไรวินตราอะไรนั่นมีดีอะไรพี่ถึงได้รักได้หลงมันขนาดนี้” ดารากรโวยวายพลางทุบตีหน้าอกสามีตัวเองอย่างเดือดดาล
“หยุด…ได้รูปถ่ายมาพี่ไม่เชื่อว่าเราจะไม่รู้ว่าพี่กับวินตราเป็นเพียงพี่น้องที่หวังดีต่อกันก็เท่านั้น” ดารากรน้ำตาไหลอาบสองแก้มแล้วไงแต่พี่ก้องก็ยังมีเยื่อใยให้มันจริงๆดารากรกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
ก้องกิจรวบมือทั้งสองข้างของดารากรแล้วพูดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า
“แล้วเราเคยทำตัวให้พี่รักหรือเปล่า” ดารากรอึ้งที่ผ่านมาสามีของเขาแทบจะไม่เคยพูดกับเขาด้วยสีหน้าและท่าทางแบบนี้มาก่อนอีกฝ่ายมักตีหน้านิ่งคล้ายไม่แยแสอะไรแต่พอมาวันนี้สายตามันบ่งบอกได้ว่าไม่เหลือแม้แต่เยื่อใยให้กันแม้แต่น้อย
“ที่ผ่านมาพี่อดทนมาตลอดไหนๆกรถามพี่แล้วพี่จะตอบว่ากรผิดอะไรตลอดเวลาสามปีที่แต่งงานกันมากรรู้หรือเปล่าว่าพี่ชอบกินอะไรไม่ชอบอะไรงานอดิเรกคืออะไรกรอยู่ติดบ้านกี่วันพี่ไม่เคยขอให้กรต้องเป็นแม่ศรีเรือนต้องรอรับสามีอยู่บ้านทุกวันแต่ไม่ใช่เที่ยวจนเมาคาผับกลับบ้านตอนรุ่งสางอยู่เนืองๆแบบนี้แหวนแต่งงานที่สวมใส่กับการกระทำมันสวนทางอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้ว่าเราไปคั่วกับเด็กที่ไหนมาบ้างตอนพี่ไม่สบายป่วยไข้นอนโรงพยาบาลกรเคยไปเฝ้าพี่หรือเปล่า”
“กร” ดารากรริมฝีปากสั่นระริก
“พี่เคยคิดว่าอยู่ๆกันไปก็จะรักกันได้เองสักวันแต่เปล่าเลยกรไม่เคยทำให้พี่เห็นเลยสักครั้งว่าชีวิตคู่คืออะไร”
ดารากรพยายามจะโอบกอดสามีของตัวเอง “พี่ก้อง” ก้องกิจแกะมือออกเป็นพัลวัน “ต่อให้ไม่มีวินตราคิดว่าจะมีสามีที่ไหนทนชีวิตคู่ห่วยๆแบบนี้ได้” พูดเสร็จก็เดินขึ้นชั้นสองไปดารากรน้ำตาไหลอาบแก้มกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายที่พื้น “พี่ก้อง พี่ก้อง”
ก้องกิจหลับตาเพื่อระงับอารมณ์
“หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับวินตรา…อย่าหาว่าพี่ใจร้าย” ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านโดยไม่สนใจเสียงเรียกปานจะขาดใจของดารากรอีก
‘ในเมื่ออีกฝ่ายชอบปาร์ตี้เข้าสังคมเขาก็จะคืนอิสระนั้นให้..ไม่ดีอีกหรือไรจะเอาอะไรอีก’
ก้องกิจเคยคิดว่าเขากับดารากรเข้ากันได้ดีอีกฝ่ายมาในตอนที่เขากำลังห่างๆกับวินตราพอดีเพราะทุนที่วินตราได้รับอาจต้องร่ำเรียนถึง 5 ปีเต็มตอนนั้นเขาโลเลเองอีกทั้งท่าทีใสซื่อพูดจาน่ารักของดารากรในครั้งนั้นก็ทำให้ก้องกิจประทับใจในตัวของอีกฝ่ายไม่ยากแต่ไม่รู้ว่าดารากรคนนั้นที่ก้องกิจชอบ…หายไปไหนแล้วหายไปเมื่อไหร่คงจะเป็นตอนที่แต่งงานกันได้สามเดือนและเขาก็ไม่เคยแตะต้องอีกฝ่ายหลังจากที่แต่งงานกันเพราะว่าเขาถูกมัดมือชกให้ก้มหน้าแต่งงานอย่างจำยอมคืนนั้นดารากรเมาหนักจนทรงตัวไม่อยู่เขาที่เข้าไปโอบเพื่อพยุงกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งสองกำลังกอดจูบกันอยู่ที่ลานจอดรถอีกฝ่ายใช้สื่อในมือมากดดันเขาทั้งที่สามารถแก้ต่างได้แต่ไม่ทำภาพลักษณ์ในใจของดารากรที่เคยมีกลับดำดิ่งในใจของเขาเรื่อยมา
ยิ่งเรื่องแต่งงานไม่ต้องพูดถึง…แม้ว่าจะกำลังดูใจกันแต่ใช่ว่าจะแต่งงานกันพรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่
ดูใจคือดูว่าพวกเขาสองคนจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้ไหมมองเห็นอนาคตร่วมกันหรือไม่นิสัยใจคอภาพลักษณ์ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเขานั้นแตกยับเยินไม่เหลือชิ้นดีเป็นเมียที่ดีไม่ได้จะเป็นแม่ที่ดีได้อย่างไรความประทับใจแรกเป็นเพียงภาพลวงตาพอใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดารากรกลับมีสิ่งที่ก้องกิจไม่ชอบเต็มไปหมด
เพราะฉะนั้นการดูใจถึงสำคัญยังไงล่ะ…และดารากรก็เป็นฝ่ายทำให้ชีวิตคู่ดำเนินมาจนถึงวันนี้วันที่ก้องกิจตัดสินใจหย่าร้างไม่ใช่เพราะจะกลับไปหาวินตราแต่เพราะเขาโหยหาชีวิตอิสระและไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนชีวิตคู่ที่ต่างคนต่างอยู่ไม่ไยดีซึ่งกันและกันอยู่กันเพราะผลประโยชน์ของทั้งสองตระกูล
ดารากรเป็นลูกเจ้าพ่อสื่อที่มีอิทธิพลในวงการสื่อของไทยเขาเติบโตมากับบรรดาพี่เลี้ยงเพราะว่าแม่เสียตั้งแต่ยังเล็กเอกภพใช้เงินเลี้ยงลูกเติมเต็มความปรารถนานั้นด้วยเงินและคิดว่าเงินทำให้ลูกเข้าใจและรักเขามากขึ้นแต่เปล่าเลยดารากรเติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เอาแต่ใจอยากได้อะไรต้องได้…ก้องกิจก็เหมือนกันและคิดว่าเงินที่ตนมีสามารถซื้อได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งมิตรภาพจอมปลอมดารากรก็ไม่สนเขาเติบโตขึ้นมาโดยการโหยหาความรักความอบอุ่นเพียงวันแรกที่ออกเดตดูใจกับก้องกิจเขาก็ประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากและดารากรก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องทำทุกวิถีทางให้แต่งงานกับผู้ชายที่อบอุ่นคนนี้ให้ได้
แต่สามปีที่ผ่านมาเขาคงคาดหวังมากเกินไปจริงอยู่ที่เขาออกไปสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงคั่วเด็กหนุ่มพวกนั้นบ้างเพราะอยากให้สามีออกอาการหึงหวงเขาบ้างแยแสเขาสักนิดก็ยังดีนานวันเข้ากลายเป็นห่างเหินส่วนวินตราก็เป็นชิ้นส่วนสุดท้าย…ที่ทำให้พี่ก้องออกปากเรื่องหย่าร้างกับเขาออกมาจนได้
ถ้าเขาไม่ได้ไม่สมหวังอย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะมีความสุข
ดารากรเช็ดน้ำตาบนหน้าลวกๆก่อนจะต่อสายไปยังอีกบุคคลหนึ่ง
“หาประวัติให้ฉันแล้วเล่นงานมันซะชื่อและรูปภาพจะส่งไปให้ทีหลังอย่าให้ถูกจับได้ล่ะ” ดารากรเอนตัวนอนที่พื้นเล็บยาวที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีกรีดลงใบหน้าของคนในรูปช้าๆพลางแสยะยิ้ม
“แกกล้าดียังไงถึงกล้ามาแย่งของๆฉัน”
“แกกล้าดียังไง!” ดารากรกรี้ดลั่นก่อนจะขยำรูปพวกนั้นทิ้งบ้างปาลงพื้นก่อนจะลุกขึ้นมากระทืบๆรูปแต่ละใบอย่างแรงพลางมองขึ้นไปยังชั้นสองด้วยสายตามาดร้าย
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!!”
วินตราที่ขับรถไปส่งท่านประธานก็ขับรถกลับคอนโดตัวเองอีกอย่างเขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ไม่ถึงสองเดือนแต่ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าไม่แน่อาจต้องย้ายอีกแล้วก็จริง…เพราะเขาสังเกตเห็นคนอีโคคาร์คันหนึ่งขับตามมาตลอดแม้ว่าคอนโดที่นี่จะมีความปลอดภัยสูงในระดับหนึ่งรถเข้าออกจะต้องมีใบอนุญาตอีกอย่างเขาแจ้งทางนิติฯและรีเซฟชันแล้วว่าขอเป็นแบบพิเศษแบบกระดาษเพราะว่าเนื่องจากเปลี่ยนรถบ่อยแม้ว่ารถคันนั้นจะเข้ามาจอดในลานจอดรถไม่ได้แต่ก็รู้แล้วว่าเขาพักที่ไหน
วินตรามองกระจกหลังเป็นระยะด้วยความเคยชิน แล้วก็เห็นรถคันดังกล่าวขับตามมาตั้งแต่ตอนร้านอาหารจนถึงที่พักของเขา อีกอย่างเขาอยู่ในที่สว่างและวินตราก็เหนื่อยที่จะต้องหลบๆซ่อนและทำได้เพียงแค่หนีแบบนี้อีกต่อไปแล้วเขากำพวงมาลัยอย่างแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆจอดรถแล้วรีบเดินขึ้นห้องของตัวเองไปอีกอย่างคอนโดที่นี่ก็หนึ่งในเครือของศศิภักดีความปลอดภัยแม้จะดีในระดับหนึ่งแต่หากพวกนั้นไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ไม่มีทางเลิกราโดยเฉพาะไอ้ชั่วนั่น วินตราแตะบัตรเข้าห้องของตัวเองด้วยอารมณ์ดิ่งอีกครั้งแล้วเขาก็ไม่ชอบใจนักที่ตัวเองเป็นอย่างนี้ถุงขยะหลายถุงกองสุมกันอยู่ที่ทางเข้าประตูตอนนี้เขาเหนื่อยล้าจนไม่อยากจะทำอะไรวันเสาร์วันอาทิตย์ก็แทบไม่ได้พักดีที่ว่าเสื้อผ้าส่งซักไม่งั้นเขาคงใส่เสื้อผ้าซ้ำๆสภาพจิตใจที่บอบช้ำมาอย่างหนักไม่มีทางจะหายดีในเร็ววันข้อนั้นเขารู้ดีเพียงแต่…แค่อยากจะยิ้มให้กับเรื่องง่ายๆแต่เขากลับทำไม่ได้เวลาร่างกายตึงเครียดมากที่สุดกลับกลายเป็นว่าต่อมน้ำตาของเขาเหมือนถูกปิดตายไม่ยอมทำงานเสียดื้อๆร่างกายเครียดจนไม่สามารถร้องไห้เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจออกมาผ่านหยดน้ำตาได้อารมณ์ของเขามันดำดิ
วินตราที่ติดต่อเลขาพ่อเลี้ยงดนัย รู้ว่าช่วงนี้พ่อเลี้ยงมาดูแลสาขาอุดรธานีก็จองตั๋วเครื่องบินทันที “นายไปคนเดียวก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ” เดนีสถามเมื่อนั่งอยู่บนเครื่องบินหน้าตาบูดบึ้งเพราะเมื่อวานกว่าจะได้นอนปาไปค่อนคืนวันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่วิ่งสับตีนแตกมาขึ้นเครื่องไฟลท์ตอนเจ็ดโมงครึ่งอีกเดนีสบ่นกระปอดกระแปดรองเท้าที่สวมใส่หากไม่ใช่หนังแท้อย่างดีป่านนี้คงสึกหรอไปหมดแล้วชีพจรลงเท้าแทบไม่ได้นั่งอยู่ติดที่วันนี้เองก็เช่นกันวินตราถอนหายใจ“เป็นการแสดงความขอโทษอย่างจริงใจยังไงล่ะครับท่านเจ้าสัวเองก็ให้ความสำคัญกับพ่อเลี้ยงขนาดไหนคุณคงจะทราบดี”“แล้ว?” วินตราหันหน้าไปมองด้วยสีหน้าเอือมระอาอีกฝ่ายน่าจะคุ้นชินการพบปะเข้าสังคมมากกว่าเขาและเข้าใจสังคมใส่หน้ากากพวกนี้ดีกว่าเด็กบ้านนอกอย่างเขาแต่ที่ไหนได้“ท่านประธานไม่เคยตามท่านเจ้าสัวไปออกงานเหรอครับ”“เคย…ทำไม? แต่ฉันไม่ชอบสังคมใส่หน้ากากจีบปากจีบคอเยินยอกันไปมาแบบนั้นหรอก” เดนีสไหวไหล่วินตราหางตากระตุก“การที่ท่านประธานไปครั้งนี้คือแสดงความจริงใจว่าคุณเป็นฝ่ายผิด”“เฮ้—” เดนีสที่อ้าปากจะแย้งหุบปากฉับ“สามร้อยล้านถ้าไม่เสียดายงั้นก็จองต
แล้วท่านประธานก็โดนบอร์ดบริหารโขกสับเละเป็นโจ๊กในที่ประชุม แถมท่านเจ้าสัวยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะ เดนีสหน้าหดเหลือสองนิ้ว พอถึงจังหวะที่โดนจี้เข้ามาก ๆ กำลังจะอ้าปากเถียงวินตราก็สอดกระดาษโพสอิสใบเล็ก ๆ วางไว้ที่หน้าเอกสาร เดนีสก้มหน้าลงตามเดิม ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยการบริหารที่ผิดพลาดและจะชดใช้โดยการไม่รับเงินเดือนประจำตำแหน่ง 6 เดือน รวมไปถึงปันผลประจำปี ไตรมาสละ 2 ครั้ง สมทบเพื่อเป็นโบนัสและขวัญกำลังใจพนักงานต่อไปห้องประชุมที่กำลังสาดน้ำลายกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านถึงได้เย็นลงมาบ้าง เดนีสหน้าตึงแต่ก็เก็บอารมณ์เป็นอย่างดี ไม่ได้เถียงข้าง ๆ คู ๆ แถมยังยืนก้มหัวโค้งคำนับรับความผิดพลาด แต่ความเป็นจริงวินตราหยิกสีข้างของท่านประธานไม่รู้กี่สิบรอบท่านเจ้าสัวมองลูกชายตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจการบริหารมันก็มีผิดพลาดกันได้ผิดพลาดเพื่อเติบโตและพอเห็นท่าทีของลูกชายที่สงบเสงี่ยมขึ้นก็เบาใจแต่เพราะอยู่ในที่ประชุมท่านเจ้าสัวจึงต้องตีหน้านิ่งไม่อาจส่งสายตาปลาบปลื้มให้เจ้าลูกชายได้อย่างออกนอกหน้า แล้วอีกอย่างปัญหานี้ก็แก้ได้อย่างถูกวิธีและทันเวลาพอดีท่านเจ้าสัวมองเลยไปยังวินตราไม่ถึงหนึ่งปีล
เดนีสออกจากบริษัทตั้งแต่สี่โมงครึ่งเขาผิวปากพาดสูทที่แขนหันไปมองคุณเลขาที่ดูรายงานในไอแพด“วินตราวันนี้นายกลับไปพักได้”“ขอบคุณครับ” วินตรารับคำอย่างว่าง่ายตั้งแต่ทำงานเกือบปีนับครั้งได้ที่เขากลับเร็วพระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแบบนี้วินตราเดินตามออกไปเดนีสที่นานๆจะเอ่ยถามไถ่ปรียานุชทำเอาหญิงสาวเก้ๆกังๆที่จะพูดคุยด้วย“คุณนุช”“คะคะ” ปรียานุชกุลีกุจอลุกสายตาละจากหน้าจอจดจ้องท่านประธานที่ดูอารมณ์ดี“ไม่ต้องลุกหรอกผมแค่จะบอกว่าวันนี้เลิกงานเร็วหน่อยก็ได้” ปรียานุชปรายตามองนาฬิกาบนโต๊ะก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความดีใจ“ค่ะขอบคุณมากค่ะท่านประธาน” ปรียานุชค้อมหัวให้ด้วยความเคารพก่อนจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จเพื่อที่จะได้ไปรับลูกสาวเร็วๆสักวันสัปดาห์ละครั้งก็ยังดีเดนีสเดินแกว่งกุญแจรถออกไปสีหน้าที่ยิ้มแย้มทำเอาพนักงานอย่างปรียานุชอดที่จะยิ้มตามไม่ได้“มีเรื่องอะไรดีๆเหรอคะคุณวินตรา”“หลังเคลียร์ปัญหาไปได้เห็นเบื้องบนคุยกันไว้ว่าจะเพิ่มโบนัสให้อย่าบอกใครนะครับ” วินตราขยิบตาให้ลับหลังวินตราปรียานุชก็ยิ้มหน้าบานรีบเก็บของลุกตามไปอีกคนบรรยากาศระหว่างคนสามคนที่ทำงานร่วมกันพลันดีและสดใสขึ้นไม่เพียงท่านประธานแม้แต
เสียงเคาะประตูหน้าห้องรวมไปถึงร่างที่ก้าวเท้าเข้ามาสีหน้าและท่าทางเหมือนมีความกดดันอะไรบางอย่างใต้ตาที่ดำคล้ำสภาพเหมือนคนไม่ได้นอนของคุณเลขาทำเอาเดนีสขมวดคิ้วมุ่น“วันนี้มีงานอื่นอีกไหม”“ไม่มีครับ”“นายโอเคนะ” เดนีสเลียบเคียงถามแพขนตาที่หลุบลงไหนจะฝ่ามือที่เหมือนจะสั่นน้อยๆเวลาจับไอแพดทำเอาเดนีสอดเป็นห่วงไม่ได้“ครับ” แถมวันนี้ยังพูดน้อยไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีกบรรยากาศเย็นยะเยือกที่ปล่อยออกมานั้นเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าแอร์ที่จ่อตรงหัวซะอีก “ถ้าไม่สบายพักก็ได้นะงานตอนบ่ายฉัน—”“ไม่เป็นไรจริงๆครับ” บทสนทนาความห่วงใยระหว่างลูกน้องกับเจ้านายจบลงแค่นั้นเมื่อปรียานุชเคาะประตูแล้วนำเครื่องดื่มเข้ามาให้เดนีสถอดแมสออกหลังจากเหลือเพียงสองคน “ซี้ด” มุมปากที่มีเลือดซิบโหนกแก้มที่ฟกช้ำวินตราเงยหน้าขึ้นมาจากไอแพดเมื่อได้ยินเสียงสูดปากเขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปอีกฝ่ายก็ละล่ำละลักบอกมาเอง“เมื่อวานมีปัญหานิดหน่อย” “แล้วจะนัดทานข้าวกับคุณอัคนีได้ยังไงครับความจริงเป็นนัดที่สามารถเลื่อนได้เลื่อนไปก่อนดีกว่าไหมครับ” “ไม่เป็นไร” เดนีสโบกมือ “ปกติฝ่ายนั้นไม่ได้อะไรอยู่แล้วกาแฟไม่พร่องก็ลุกออกไปแล้ว”“ค
เดนีสกำลังก้มหน้าดูลิสต์รายการอาหารในมือ “นายจะเอาอะไรอีกหรือเปล่า” เพราะความเครียดจู่โจมกระเพาะเหมือนจะไม่ทำงานพอได้กลิ่นไก่ย่างหอม ๆ แบบนี้ก็ชวนน้ำลายสอ อีกอย่างเข้าแต่ร้านภัตตาคารพวกนั้นก็เลี่ยนเหมือนกัน ได้กลับมากินของที่คุ้นลิ้นก็ดีเหมือนกัน “ตำหมูยอแคบหมูอีกสองห่อก็พอละครับ” เห็นได้ชัดเลยว่าสีหน้าของคุณเลขาดีขึ้นแต่เขาไม่ทักหรอกแต่ใบหน้าที่ฟกช้ำนั้นก็ดูตลกมากกว่าจะดูน่าสงสารวินตราเท้าคางปิดปากเสไปมองทางอื่น“อยากจะหัวเราะเยาะฉันก็หัวเราะออกมาเถอะ” วินตราหันหน้ามามองไม่พูดอะไรแต่สายตาดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อยไม่รู้สิเพราะทำงานด้วยกันมานานและอีกฝ่ายก็เป็นคนเก่งจริงๆที่เขาให้การยอมรับจากใจและก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอ่อนข้อให้คนตรงหน้าตั้งเมื่อไหร่ไม่รู้เมื่อไหร่อีกเหมือนกันว่าที่เขาคอยจับสังเกตสีหน้าและแววตาของคุณเลขาอยากจะรู้จักให้มากขึ้น…อาจจะเป็นผลดีในเรื่องงานน่ะนะฝีปากยกยิ้มน้อยๆ “ทำไมถึงมาทานที่นี่ล่ะครับ”“กินก่อนแล้วฉันจะบอก” ท่านประธานยักคิ้วกวนๆให้สองสามทีวินตราถอนหายใจกับสีหน้าแพรวพราวของท่านประธานที่เหมือนหลอกเด็กน้อยได้แต่ก็ช่างเถอะ…วันนี้เขาเหนื่อยล้าจะยอม
วินตราที่เมื่อก่อนในตอนพักเที่ยง หรือตอนที่ท่านประธานคุยกับคู่ค้าเพียงลำพัง เขาและเลขาของอีกบริษัทต่างก็หาที่หลบมุม บ้างก็นั่งคุยกันอยู่ใกล้ ๆ แต่พักหลัง ๆ วินตราที่นาน ๆ ครั้งจะสูบบุหรี่ที ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาอัดนิโคตินเข้าปอดแทบจะทุก 3 ชั่วโมงที่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ แม้จะเลือกยี่ห้อที่ไม่ฉุน รวมไปถึงน้ำหอมและน้ำยาดับกลิ่นปากแล้ว เดนีสก็ยังได้กลิ่นควันบุหรี่ตามเนื้อตามตัวของคุณเลขา เขาย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ คุณเลขาพักหลัง ๆ ทำตัวแปลก ๆ สายตาล่อกแล่กเหมือนระแวงบางสิ่ง บางสิ่งที่เดนีสเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไรถ้าอีกฝ่ายไม่คิดปริปากบอกกันเขาก็หาทางช่วยไม่ได้หรืออีกฝ่ายอาจคิดว่าเขาไม่น่าจะช่วยอะไรได้? วินตราเป็นคนทำงานเก่งไม่ใช่คนขี้เม้าแล้วไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใครง่ายๆไม่น่าจะเป็นคนในที่ทำงานเดนีสวิเคราะห์เชี่ย! หรือว่าจะเป็นแฟนเก่าเมื่อกลับจากพบปะลูกค้าตามตารางงานเดนีสก็อดที่จะถามคุณเลขาข้างกายไม่ได้สงบปากสงบคำผิดปกติมาสองสามวันแล้วปกติถ้าไม่ด่าต้องใช้สายตานิ่งๆดุๆนั้นปราบเขาบ้างนี่อะไรไม่หือไม่อือกับพฤติกรรมของเขาเลยสักนิดยอมไม่ได้!“นายทำตัวลับๆล่อๆทำไมมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“ซี้ด” วินตราจิกเล็บจนต้นคออีกฝ่ายเลือดซิบ คนร้ายหัวเราะในคอเบา ๆ “ชอบรุนแรงก็ไม่บอก” สองมือพยายามแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างรีบเร่งบ้างก็รีบปลดเข็มขัดจนมีจังหวะให้วินตราตีเข่าจังๆตรงกลางลำตัววินตราล็อกคอตีเข่าจนร่างกายอีกฝ่ายกระเด็นกระดอนกระอักเลือดออกมา“แม่มึงกล้าแตะต้องกู” ก่อนจะตะโกนร้องสุดเสียง“ช่วยด้วยช่วยด้วย” เดนีสที่หัวเสียเมื่อไม่เห็นคุณเลขาที่รถพลันได้ยินเสียงร้องจากมุมหนึ่งของตึกสองเท้ารีบสับตีนแตกไปยังที่มาของเสียงพร้อมร้องเรียกรปภ.ไปด้วย “เชี่ย” เดนีสรีบวิ่งสุดฝีเท้าก่อนจะเห็นคนร้ายที่กำลังตะเกียกตะกายจากพื้นขึ้นมาจิกผมวินตราจากทางข้างหลังก่อนจะพลิกตัวคุณเลขามาชกที่ท้องแรงๆหลายครั้งวินตราที่เพลี่ยงพล้ำล้มไปกองที่พื้นกำลังจะถูกคนร้ายกระทืบซ้ำเดนีสที่ตกใจกับภาพเบื้องหน้าที่เห็นถลากระโดดถีบจนอีกฝ่ายปลิวไปชนรถคันที่จอดอยู่เสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้นพร้อมกับรปภ.ของห้างที่กรูกันเข้ามาหมวกแก๊ปสีดำตกลงพื้นเดนีสจึงตามไปสาวหมัดใส่ไม่ยั้ง“ไอ้ห่ามึงตายมึงตายเชี่ย” เดนีสสาวหมัดใส่อีกฝ่ายจนสันกระดูกมือมีแผลแตกเลือดซิบไม่รู้เลือดของใครเป็นของใครเขาชกจนคนร้ายคอพับไปแล้วเลยปล่อยร่างที่
“ถอยไปเลยไป” “ด่าฉันด้วยสายตาอีกแล้ว” วินตรารีบคลุมสาบเสื้อชุดคลุมของตัวเองรัดสายคาดเอวอย่างแน่นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคืองในกระจกเดนีสก็หอมกระหม่อมคุณเขาซ้ำๆอยู่นั่นไม่สนใจสายตาที่อยากจะสับเขาเป็นชิ้นๆของคุณเลขาในกระจกสักนิดวินตราหวานไปทั้งตัวเหมือนช็อกโกแลตที่ข้างนอกแข็งขึ้นเป็นรูปต่างๆได้แต่พอวางอยู่ในอุ้งมือหรือในโพรงปากก็ละลายออกมาหวานละมุนกลิ่นโกโก้ชั้นดีตีขึ้นในโพรงจมูกจนอยากจะอมไว้ในปากทั้งวันไม่อยากให้ใครได้เห็นได้กลิ่นวินตราเป็นของเขาของเขาคนเดียวเท่านั้นสภาพท่านประธานในตอนนี้เหมือนอยากจะอมหัวเขาเหมือนหมาโกลเด้นที่ออดอ้อนออเซาะเจ้าของไม่รู้จักเบื่อนี่นะเหรอ…ข้าวใหม่ปลามันที่หลายคนพูดถึงแต่วินตราก็ยังเป็นวินตราคนเดิมเขาเป็นคนแสดงออกไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายคนในกระจกเป็นคนแรกและคนเดียวที่วินตราค่อยๆแง้มประตูที่ปิดตายเอาไว้ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงความไม่สมประดีของตัวเองแผลใจไหนจะขยะที่ซุกซ่อนไว้ในใจรวมไปถึงในห้องคอนโดของตัวเองผู้ชายคนนี้ได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวจนมันแผ่มาถึงคนนอกอย่างเขาได้ง่ายๆวินตราคิดว่าการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่เพราะเขากลัวว่า
“รเร็วกว่านี้” เดนีสยันแขนแต่เอวก็เคลื่อนไหวเนิบช้าแต่ออกสุดตอกจนสุดเช่นกันวินตราแหงนหน้าเมื่อส่วนล่างถูกบดขยี้บี้ซ้ำๆจนสุดโคนจนรู้สึกถึงเส้นขนหยาบแข็งๆกระทบแก้มก้น“เรียกที่รักก่อนสิ” เดนีสซุกที่ซอกคอวินตราพร้อมกับขมเม้มเบาๆก่อนจะงับติ่งหูขาวนั้นดูดดึงจนวินตราครางไม่เป็นภาษาจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เดนีสยกยิ้มมุมปาก ‘ติ่งหู’ เป็นอีกจุดที่ไวต่อสัมผัสของคุณเลขาคนสวยวินตราเม้มปากแน่นจนเอื้อมมือไปกำผมของไอ้ประธานเฮงซวยที่ทำตัวขบถแม้กระทั่งจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างนี้“อึก” เดนีสหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงกระชาก“แม่งนี่นายเล่นกระชากหัวผัวตัวเองเลยเหรอฉันก็ปรนเปรออยู่นี่ไงที่รัก…อย่าใจร้อน” แถมยังแลบเลียริมฝีปากอย่างมาดร้ายเขาสะบัดหัวจากการกอบกุมจัดท่าขาสองข้างพาดบ่าวินตราตอนนี้ตัวจะม้วนกลับหลังอยู่แล้ว “เอาล่ะทำใจดีๆฉันจะแทงไปจนถึงแกนโลกเลยล่ะ” “อะไอ้!” เดนีสเหมือนนั่งยองแทงซ้ำๆดั่งปากว่าจุดกระสันถูกแทงซ้ำๆอย่างนั้นวินตรากัดปากตัวเองอย่างแรงความเสียวตีรื้นขึ้นมาอีกระลอก “มะไม่ไหว” วินตราส่ายหน้าสะบัดไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมดจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นส่งทั้งตัวเองและวินตราไปถึงฝั่งฝันอย่างรวดเร็
หรือไม่…อาจไม่เคยเดินสวนทางกันด้วยซ้ำไปเมื่อเห็นวินตราไม่ตอบเดนีสเลยพูดต่ออีกอย่างเขาไม่เชื่อคำสัญญาของวินตราสักเท่าไหร่คุณเลขาของเขาน่ะใจร้ายได้เสมอ“สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไปจนกว่าจะแก่เฒ่า”“นายเอาจริง?” วินตราถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อถืออีกฝ่ายสักเท่าไหร่ตลอดกาลมีจริงๆเหรอแต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก “อือฉันเอาจริงและจริงจังถ้านายกล้าทิ้งฉัน…ฉันจะออกตามหานายสุดล่าฟ้าเขียวจะทิ้งทุกสิ่งไปตามหานายไหนๆฉันก็เป็นคุณชายหัวขบถอยู่แล้ว” วินตราดึงแก้มเขาอย่างแรง“ท่านประธานเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”“แล้วรักหรือเปล่าล่ะ” วินตราไม่ตอบได้แต่จ้องมองไปยังนัยน์ตานั้นมองภาพใบหน้าตัวเองที่ฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาสองคู่นี้“ต้องคิดด้วยเหรอ” เดนีสเย้าแหย่ วินตรายกหัวจุมพิตข้างริมฝีปากนั้นเบาๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าความรักเป็นยังไงแต่…กับนายมันพิเศษกว่าคนอื่นและสองมือนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดมันทั้งอบอุ่นและปลอดภัยอ้อมอกนี้ก็เช่นกัน” เดนีสมองวินตราอึ้งๆก่อนจะยิ้มโค้งจนตาหยี“นายรักฉันแหละฉันดูออกมาตั้งนานแล้ว” ริมฝีปากประกบกันอีกครั้งครั้งนี้วินตราโอนอ่อนผ่อนตามเปิดเปลือยให้อีกฝ่ายได้ชักนำแ
“ฉันปวดไหล่” “นายจ่ายไหวเหรอฉันคิดค่าบริการแพงนะ”“จะเท่าไหร่กันเชียวอย่าลืมฉันถือแบล็กการ์ด”“ฮ่าๆ” เดนีสหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมจุมพิตที่แผ่นหลังขาวเนียนนั้นหนึ่งทีเบาๆ “แสบจริงๆใครไม่รู้คงคิดว่านายเป็นเมียฉัน” “ฝันไปเถอะ” “ใจร้าย” นิ้วมือลงน้ำหนักนวดโดยผ่อนแรงลากขึ้นลงเดนีสชอบนวดสปาน้ำมันเขาจึงรู้วิธีการนวดมาบ้าง วินตรานอนใบหน้าข้างหนึ่งแนบที่ท่อนแขนจ้องมองเงาในกระจกที่คุณชายหัวขบถตั้งใจนวดแผ่นหลังให้เขาอย่างมุ่งมั่นวินตรายกยิ้มที่มุมปากบางครั้งท่านประธานของเขาก็ซื่อบื้อของแท้…“สบายหรือเปล่า”“อือ” “ฉันจะบอกให้ไม่มีใครกล้าใช้ฉันนอกจากนาย…วินตราเพราะฉะนั้นเป็นแฟนฉันได้แล้ว”“ไม่”“นี่ฉันจริงจังนะ”“ไม่” เดนีสพลิกร่างวินตราให้นอนหงายโดยที่เขาคร่อมทับเค้นเอาคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตายหัวคิ้วขมวดจนเป็นปม“ทำไมเป็นแฟนฉันไม่ดีตรงไหน”“ทุกตรง” “หา…อย่างฉันเนี่ยนะไม่ดีฉันดีมากเลยขอบอก” โอ้อวดตัวเองเก่งเป็นที่หนึ่ง“แล้ว” เดนีสก้มหน้าต่ำกระซิบเสียงแหบต่ำข้างหูคุณเลขา“ฉันก็รักนายอย่างสุดหัวใจ” พร้อมจุมพิตไหล่เปลือยเปล่านั้นแผ่วเบา เดนีสพยายามจ้องหน้าคุณเลขาไม่หลุบตามองต่ำไปมากกว่าน
“นี่ลองชิมดูเป็นไวน์ตัวใหม่ของ ONLY U แอลฯเพียง 6% น้องชายฉันคิดค้นและปรับปรุงมาตลอดจนได้ไวน์รสชาตินี้ออกมาดื่มง่ายลองสิ” วินตรารับไวน์มาจิบอย่างว่าง่ายตอนนี้เขาไม่ได้กินยารักษาสภาพจิตใจแล้วพร้อมกับเข้าตรวจร่างกายชุดใหญ่ตามคำสั่งของท่านประธานวินตราเป็น (New Male) ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็จริงแต่เพราะปัญหาทางใจที่รุมเร้ามาตลอดเขาเลยมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนเรียกได้ว่าฮอร์โมนทำงานได้ไม่เต็มที่มดลูกเลยไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่เหมือนคนเป็นหมันแต่ในอนาคตก็ไม่แน่เรื่องราวภายในของคนเรานั้นซับซ้อนวินตราและเดนีสต่างก็นั่งฟังหมออธิบายรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเดนีสเองก็เข้าตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีด้วยเช่นกัน แม้จะมีแอลกอฮอล์ผสมเพียง 6% แต่ดื่มเองไปเกือบขวดวินตราเองก็มึนๆเหมือนกันนานเท่าไหร่แล้วที่เขาทำตัวอยู่ในกรอบไม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้แตะต้องของพวกนี้อีกทั้งยังกินยาต่อเนื่องมาหลายปีทำให้ไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ได้บางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องการรสชาติที่หลากหลายการพบเจอผู้คนเดิมๆงานเดิมๆก็ทำให้ชีวิตซ้ำซากจำเจอยู่เหมือนกัน โลกของเขาที่คับแคบก็เริ่มเปิดกว้างขึ้นมาเมื่อได้เจอกับเดนีสเด
“นายโกหก” น้ำเสียงแผ่วเบาจนสัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆที่หยดตรงลาดไหล่ของตัวเองเพราะเดนีสรู้จักวินตราเกินไปต่างหากหากเขายอมปล่อยมือตอนนี้อีกฝ่ายคงหลุดลอยไปไกลอาจไกลเสียจนเขาไม่มีทางตามอีกฝ่ายพบวินตรายังคงเป็นวินตราที่เข้มแข็งโดดเดี่ยวจนถึงขั้นใจดำที่จะหันหลังให้เขาอย่างเลือดเย็นแต่ทว่าเดนีสเองไม่สามารถปล่อยวินตราไปได้ แล้วเขาก็เป็นลูกคนรวยหัวกรวยหัวขบถที่อยากได้อะไรต้องได้ยังไงต้องมีคุณเลขามือทองคนนี้คอยกำราบ! สองแขนของวินตรายกโอบกอดกลับไปเช่นกัน ต่างคนต่างร้องไห้เงียบ ๆ ลูบหลังปลอบประโลมกันอยู่อย่างนั้น“ไปกับฉันที่หนึ่งสิ” เดนีสพูดพลางสูดจมูกไปด้วยเขาไม่อายเลยสักนิดที่จะร้องไห้ออดอ้อนต่อหน้าวินตราวินตราไม่ตอบแต่พยักหน้าเป็นอันว่าตกลงเดนีสยกยิ้มมาดร้ายที่มุมปากคิดจะหนีไปจากเขางั้นเหรอ…ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกวินตรา!เดนีนสบถอย่างหัวเสียเมื่อคุณนิติพลรายงานเรื่องประธานตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ขอลาต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ตอนนี้ที่บริษัทก็ผ่านช่วงวิกฤตมาได้พร้อมกับกำจัดเห็บไรไปได้หลายตัวแถมยังดำเนินการภายใต้แฝดน้องอย่างเดนีนที่แสร้งตีหน้าขรึมเป็นเดนีสแฝดพี่เพราะความเป็นแฝดที่เหมือนกันจนแทบจะโคลนกัน
“ผมว่าจะขอลาออกครับ” ท่านเจ้าสัวเอนพนักพิงเก้าอี้จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ก้มหน้าเอ่ยบอกความต้องการ“แล้วเดนีสล่ะ” วินตราเม้มปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป “วินตราฉันเห็นเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่งอดีตก็คืออดีตฉันยอมรับที่ความสามารถของเธอมากกว่าเรื่องอื่นเป็นรอง” “ผมทราบครับ”“วันไหนที่เธอเปลี่ยนใจกลับมาที่นี่ได้เสมอ” “ครับ” วินตรายกมือไหว้ท่านเจ้าสัวอย่างนอบน้อมตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านท่านเจ้าสัวตลอดตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายแล้วเขาเองก็ควรจะมีชีวิตของตัวเองสักที ตอนนั้นที่เขาหนีกบดานเอาชีวิตรอดจากสาสินก็นึกถึงท่านเจ้าสัวเป็นคนแรกตอนแรกก็กล้าๆกลัวเพราะหลักฐานที่มีนอกจากจะไม่สามารถรักษาชีวิตตัวเองได้แล้วหลักฐานพวกนี้อาจจะเป็นเถ้าถ่านในกองไฟก็เป็นได้แต่แล้ววินตราก็ไม่ผิดหวังนึกถึงคำถามนั้นที่ท่านเจ้าสัวได้ให้ไว้กับตัวเอง“ฉันรู้ว่าเธอเองก็ลำบากใจแต่วันไหนที่เธอเข้มแข็งและสามารถหยัดยืนเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ได้เมื่อไหร่ขอเพียงเธอเอ่ยปากฉันจะช่วยเธออย่างสุดความสามารถ” ตอนนั้นวินตรายังคิดไม่ตกอย่างที่เคยบอกเหตุการณ์เหล่านั้นกัดกินใจเขาจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคนวินตราเด็
การออกมาปรากฏตัวและให้สัมภาษณ์สื่อของวินตราในฐานะเหยื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมอย่างมหาศาลเด็กทุนที่ลังเลที่เคยตกเป็นเหยื่อไม่กล้าเปิดเผยตัวและผู้คนที่ถูกคุกคามทางเพศไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ทำงานสถานศึกษาต่างก็ตบเท้าเข้ามาให้ปากคำอย่างไม่ขาดสาย ต่างก็แชร์เรื่องราวของตัวเองผ่านโลกออนไลน์สร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ในสังคมเป็นอย่างมากอย่าอายจนลืมที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหนก็ไม่มีใครควรถูกคุกคามทางเพศ!วินตรายืนอยู่ตรงหน้าช่องบรรจุอัฐของวัดแห่งหนึ่งย่านปริมณฑลก่อนตายจินตะได้พูดว่าอยากจะบวชสักครั้งก่อนตายแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกวินตราจึงตัดสินใจควักเงินเก็บตัวเองก้อนใหญ่ออกมาซื้อสถานที่จัดเก็บอิฐเอาไว้ตามปรารถนาสุดท้ายของจินตะตอนนั้นวินตราเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาตรีปีหนึ่งคนหนึ่งไม่รู้เลยว่าในโลกนี้มีการจัดเก็บอัฐิไว้ 4 รูปแบบด้วยกันคือ1.) ช่องจัดเก็บอิฐตามกำแพงวัด2.) จัดเก็บตามเสาไฟของวัด3.) จัดเก็บตามอาคารศาลาหรือกุฏิซึ่งจะเตรียมช่องจัดเก็บอัฐิไว้บนขื่อหรือหน้าประตูตามความเหมาะสมของสถานที่4.) ห้องไว้สำหรับจัดเก็บอัฐิโดยเฉพาะซึ่งสถานที่จะเป็นที่จัดเก
ก้องการุณย์ลั่นไกโดยที่ไม่ต้องคิดเมื่อเจนจัดหันปลายกระบอกปืนมายังผู้บริสุทธิ์ที่ด้านล่างแม้จะเล็งที่ข้อมือข้างที่ถือปืนแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจนจัดจะถนัดยิงปืนทั้งสองข้างอีกฝ่ายตะเกียกตะกายพลิกร่างกายอย่างรวดเร็วจ่อปากกระบอกปืนที่ขมับของตัวเองคนอย่างเจนจัดไม่มีทางจนตรอกหากจะตายก็ต้องตายด้วยน้ำมือตัวเองเท่านั้น…ปัง! แต่ทว่าสวรรค์คงมีตาไม่อยากให้คนชั่วได้ตายง่ายๆแม้ว่าจะเล็งที่ขมับของตัวเองแต่ก็พลาดเฉียดไปเท่านั้นงานนี้เจนจัดได้นอนทรมานติดเตียงยาวนานพอที่จะลิ้มรสความทุกข์และบาปกรรมที่ได้ทำลงไปอย่างเต็มที่แม้อยากจะตายก็ตายไม่ได้อยู่ฟังเสียงผู้คนก่นด่าสาปแช่งและประณามจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง ศิราณีเองก็ร่ำไห้ปานจะขาดใจเธอไม่ได้ร้องไห้ให้กับไอ้สามีเฮงซวยนั้นแต่ร้องไห้ให้กับความขี้ขลาดของตัวเองหากเธอกล้ายืนหยัดและเชื่อในคำพูดของลูกชายตั้งแต่เนิ่นๆเรื่องราวคงไม่บานปลายจนมาถึงขั้นนี้ไอ้เจนจัดทำลูกคนอื่นไม่พอยังทำลูกตัวเองด้วยสารเลว! แม้จะไม่ใช่การล่วงละเมิดทางเพศแต่การลูบคลำก็ทำให้ลูกชายและลูกสาวมีแผลใจและรังเกียจพ่อตัวเองหมามันยังไม่คิดอกุศลกับลูกตัวเองศิราณีปิดหน้าร่ำไห้กับพื้นอย่าง