มะปรางถูกจับตัวแยกออกมาเพื่อไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของผู้กองเตชิน
“นั่งก่อนสิ”
ทันทีที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เตชินก็ผ่ายมือข้างหนึ่งพร้อมกล่าวให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามของโต๊ะทำงาน เด็กสาวมองคนตรงหน้านิ่ง ๆ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ซึ่งเตชินก็รับรู้ถึงความคิดของเธอผ่านดวงตาคู่สวยคู่นั้น
“มานั่งนี่” เขาพูดอีกครั้งพร้อมตบหน้าตักของตัวเอง
“ชิ!” เด็กสาวยืนกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เธอแสดงท่าทีกะบึงกะบอนใส่ชายหนุ่มอย่างตั้งใจ เรื่องราวในอดีตทำให้เธอแสดงท่าทีออกมาอย่างนั้น
“มานั่งนี่เร็ว เด็กดีของเฮีย” มะปรางมองซ้ายมองขวาก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ อออมาที่มุมปาก เธอเดินตรงไปนั่งบนตักของชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี เมื่อเขาแทนตัวเองว่าเฮียกับเธอเหมือนเมื่อหลายปีก่อน มะปรางสวมกอดเตชินด้วยความคิดถึง ทั้งที่ในใจยังโกรธเคืองเขาอยู่
“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณเป็นตำรวจ” จากคนที่ดูเหมือนจะร่าเริงเมื่อครู่ตอนนี้สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยคำถาม มะปรางกอดอกพร้อมหรี่ตามองเตชินอย่างจับผิด
“หึ” เตชินเค้นเสียงหัวเราะในลำคอหนาพร้อมรั้งศีรษะของเด็กสาวมาแนบอก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืนเพียงแต่ทุบที่ท่อนแขนแกร่งด้วยความรู้สึกที่ยังเคืองโกรธเขาไม่หาย
“คุณจะมาอยู่ที่นี่กี่เดือน แล้วจะหายไปอีกกี่ปี” มะปรางถามประชดประชันพร้อมผละตัวออกจากตำรวจหนุ่มเล็กน้อย เธอกอดอกและจ้องมองใบหน้าคมคายนิ่ง ๆ ที่มะปรางต้องเอ่ยออกมาอย่างนั้น เพราะเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นเตชินอายุยี่สิบปีย่างเข้าสู่ยี่สิบเอ็ดปี เขาได้รับภารกิจให้มาเป็นเด็กฝึกงานอยู่ในองค์การบริหารส่วนตำบลท้องถิ่นที่มะปรางอาศัยอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเพียงตัวตนจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาบังหน้า เพื่อเป็นเหตุผลในการมาอยู่ที่นี่ และสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสะดวก
ในตอนนั้นมะปรางอายุเพียงสิบห้าปี เธอทำงานในบ่อนใต้ดินเป็นอาชีพเสริม เธอจึงมักโดดเรียนเพื่อไปทำงานบ่อยครั้งและทุกครั้งที่ถูกเรียกตัวไปใช้งาน
มะปรางเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูก้าวร้าวเกเร และดูจะไม่มีอนาคตในสายตาของคนในชุมชน เธอจึงมีความคิดที่จะเลิกทำอาชีพผิดกฎหมายนี้เพราะมีเงินมากพอตามที่ต้องการแล้ว
แต่วงการมืดนี้เข้าแล้วมันดันออกไม่ได้
ออกเท่ากับตายหรือไม่ก็พิการ
ขณะที่เธอกำลังคิดหาทางออกให้กับตัวเอง ผู้ชายที่ไร้ตัวตนในสายตาของมะปรางและคนในชุมชนอย่างเตชินก็ปรากฏตัวขึ้น เขายื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเธอ เพราะภารกิจของเตชินคือทลายบ่อนใต้ดินนั้นทิ้งซะ หาหลักฐานและจัดการกับทุกคนที่อยู่เบื้องหลังของธุรกิจผิดกฎหมายนี้
ในสายตาคนอื่นมะปรางอาจจะดูเป็นเด็กไม่เอาไหนและไม่มีอนาคต แต่สำหรับเตชินเธอเป็นเด็กฉลาดและเอาตัวรอดเก่งมาก ๆ เตชินต้องการให้มะปรางมาเป็นคู่หูของเขา คนที่ไม่มีทางเลือกอย่างมะปรางจึงต้องยอมตอบตกลงแต่โดยดี
ในช่วงเวลาที่ทำงานร่วมกันความรู้สึกดี ๆ มันก็เริ่มก่อตัวไปด้วย มะปรางเคยพยายามถามหาตัวตนที่แท้จริงของเตชิน แต่ชายหนุ่มก็บอกเพียงว่าเขาคือคนที่มีชะตากรรมแบบเดียวกับเธอ
แต่แล้ววันหนึ่งมะปรางก็รู้ความจริงว่าเตชินคือคนที่สามารถสร้างตัวตนให้ตัวเองเป็นใครก็ได้ เขาถูกส่งตัวมาจากองค์กรหนึ่ง ซึ่งมะปรางก็ไม่รู้ว่าเป็นองค์กรอะไร แต่ที่แน่ ๆ องค์กรนั้นใช้สัญลักษณ์เพชรดำสำหรับแทนตัวตน เธอทำงานกับเตชินและตามสืบเรื่องของเขาเวลาเดียวกัน
และแล้วเวลาผ่านไปไม่ถึงหกเดือนทุกอย่างคลี่คลายและจบลงด้วยดี มะปรางได้รับอิสระอีกครั้ง เธอมีความคิดว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว เพราะที่โรงเรียนดูเหมือนจะไม่ใช่ที่สำหรับเธอ ส่วนเตชินเมื่อภารกิจจบลงเขาก็ต้องกลับไปยังที่ของเขา ก่อนจะจากไปเตชินขอให้มะปรางเรียนต่อให้จบในชั้นมัธยมปลาย ซึ่งเธอก็ยอมทำตามที่ชายหนุ่มขอ เพราะคิดว่าเขาจะกลับมาหาเธอในวันที่เธอเรียนจบ แต่รอจนแล้วจนเล่า เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลย
มันน่าน้อยใจและผิดหวังชะมัด
มะปรางไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เพราะฐานะทางการเงินที่ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ อีกทั้งเธอไม่อยากจากบ้านจากแม่มะลิไปไหน เธอจึงวนลูปกลับมาทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้เป็นลูกจ้างของใคร เธอเป็นนายของตัวเองและมีลูกสมุนอย่างเติร์ด ซึ่งเธอก็เป็นที่หมายหัวของตำรวจทั้งโรงพัก
“ว่าไงคะ คุณจะมาอยู่กี่เดือน แล้วจะหายไปอีกกี่ปี” มะปรางเอ่ยถามชายหนุ่มอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ก่อนจะทุบไปที่ท่อนแขนของชายหนุ่มอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งเธอจะแสดงอาการงอแงแบบนี้ก็ต่อเมื่ออยู่กับเตชินตามลำพังเท่านั้น เตชินถอนหายใจพร้อมลูบศีรษะเด็กสาวเบา ๆ
“จนกว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้นอีกล่ะมั้ง”
“แล้วคุณเป็นตำรวจ...อ๊ะส์”
พรึ่บ!
“บอกมาว่าซ่อนเหล้าสาโทไว้ที่ไหน!” มะปรางยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเตชินก็จับล็อกแขนของเธอไพล่หลัง พร้อมดันใบหน้าสวยลงแนบกับโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะเค้นถามหาเหล้าสาโทจากเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดุดัน มะปรางงุนงงกับการกระทำของเขา แต่เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็เข้าใจ เนื่องจากว่ามีผู้หมวดคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของเตชินอย่างถือวิสาสะ มะปรางจึงแสร้งเล่นไปตามน้ำ
“ไม่มีโว้ย! อย่ามากล่าวหากันลอย ๆ นะ”
“เชื่อก็โง่แล้ว จะยอมสารภาพดี ๆ ไหม”
“ช่วยด้วยค่าาา ตำรวจรังแกประชาชน” มะปรางตะโกนออกไปเสียงดังลั่น ทำให้ผู้หมวดรีบปิดประตูแล้วเดินมาห้ามปรามผู้กองเตชินที่ปฏิบัติกับมะปรางเกินเหตุ
“ผมว่าเค้นมันไปก็ไม่ได้ความอะไรหรอกครับ ไอ้ปรางมันปากแข็ง ทางที่ดีจับมันขังไว้ที่นี่หนึ่งคืนแล้วไปเค้นหาความจริงจากลูกสมุนมันดีกว่า”
เตชินยอมปล่อยมะปรางออกจากพันธนาการ แต่ในจังหวะเดียวกันเขาก็แอบสอดกระดาษเล็ก ๆ ไว้ในมือของเธอ ผู้หมวดที่พูดเมื่อครู่ให้คนมาคุมตัวมะปรางไปเข้าห้องขัง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้กองคนใหม่อย่างประหม่า
“โหดเหมือนกันนะครับเนี่ย”
“หมวดบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าคนอย่างมะปรางใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล”
“ครับ ว่าแต่ไอ้ปรางมันมีเหล้าสาโทไว้ในครอบครองจริง ๆ เหรอครับ คืนนี้ได้หาของกลางกันครึกครื้นแน่”
“หมายความว่าไง”
“จะจับไอ้ปรางแต่ละทีไม่มีคำว่าราบรื่น ว่าแต่เราลุยงานกันเลยไหมครับ” คำพูดของผู้หมวดทำให้เตชินแทบหลุดขำ เด็กดีของเขาทำเรื่องแสบเอาไว้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
“จริง ๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามะปรางมีเหล้าสาโทไว้ในครอบครองหรือเปล่า ฉันก็แค่ลองเค้นถามดูเผื่อเธอจะเผลอหลุดปากออกมา วันนี้ไม่มีอะไรแล้วฉันขอกลับก่อนนะ อ้อ แล้วก็คราวหลังหากจะเข้ามาห้องนี้อีกก็เคาะประตูด้วยล่ะ”
เตชินพูดพร้อมเก็บสัมภาระแล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน โดยมีผู้หมวดยืนทำความเคารพก่อนจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างงุนงง
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องขัง มะปรางก็รีบมาหาเตชินตามที่นัดหมาย ซึ่งกระดาษที่เตชินให้กับเธอเมื่อคืนมีข้อความสั้น ๆ ระบุสถานที่อยู่ลับของเขา ตัวอักษรที่ไม่มีใครอ่านออก มีเพียงมะปรางคนเดียวเท่านั้นที่แกะรหัสตัวอักษรพวกนั้นได้เด็กสาวสแกนรหัสผ่านประตูห้องลับด้วยรอยสักบาร์โค้ดขนาดเล็กที่อยู่บริเวณข้อมือข้างซ้าย รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเตชินซึ่งเธอแอบสักไว้เมื่อหลายปีก่อน เธอปกปิดรอยสักนี้ไว้ภายใต้นาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสีเตชินที่กำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ เขารับรู้ถึงการมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มือหนาเอื้อมไปปิดฝักบัวก่อนจะดึงชุดคลุมอาบน้ำมาสวมใส่ เขาเดินไปหยิบแท็บเล็ตแล้วเข้าไปเช็กดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในเซฟเฮาส์ จึงได้รู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคือมะปรางเขาบิดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงสามารถเข้าไปในห้องลับของเขาได้ ห้องนั้นมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่สามารถยืนยันตัวตนและเข้าไปได้ หรือว่า...“คุณไม่ใช่ตำรวจจริง ๆ ด้วย คุณปลอมตัวมาอีกแล้ว” มะปรางพูดขึ้นเมื่อเห็นเตชินปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เธอนั่งอ่านข้อมูลส่ว
“ใครเหรอครับหัวหน้า เด็กฝึกคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ” เซนเอ่ยถามทันทีที่เตชินเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน หลังจากที่เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงโทนสีเดียวกัน“เธอเป็นคนที่นี่ พวกเราจะทำงานสะดวกขึ้นถ้าหากมีคนในท้องที่ทำงานด้วย” เตชินตอบกลับไป ขณะที่สายตาของเด็กฝึกทั้งสามคนต่างก็จ้องมองมาอย่างจับผิด “ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”คำพูดของหัวหน้าทำให้เด็กฝึกหันหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางทันที พวกเขาพากันแอบยิ้มแหยเตชินเล็กน้อย“หัวหน้าครับผมได้เบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้” ซานพูดพร้อมชี้ไปที่ภาพแผนที่ ซึ่งปักด้วยหมุดสีเขียว“ที่สนามเด็กเล่นมีอะไร”“บริเวณหลังสนามเด็กเล่นมีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน แต่ที่บริเวณตรงนี้รกชันไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง จึงยากที่มองเห็นมันในตอนแรก”พื้นที่ที่ถูกปักด้วยหมุดสีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นหมุดสีแดงด้วยฝีมือของเตชิน“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะไปสำรวจที่นั่นกัน”“ครับหัวหน้า” เซนและซานพูดขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นนาวินที่ดูกำลังจะวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง ทำให้เตชินหันไปมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก“ไอ้วิน” ไม่มีการตอบรับกลับมาแ
“แม่...ปรางไปทำงานก่อนนะ” มะปรางตะโกนพูดหลังจากที่แต่งตัวเสร็จสรรพ หากว่าเธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก แม้รายได้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นงานสุจริตเพียงหนึ่งเดียวที่เธอทำอยู่“อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาอีกล่ะ” ประโยคสุดฮิตที่แม่มะลิมักจะบอกกับลูกสาวก่อนไปทำงาน มะปรางหยิบกระเป๋ามาคล้องบ่าแล้วเดินไปสวมใส่รองเท้าผ้าใบอย่างเคยชิน“ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องปรางก่อน ปรางก็จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนะแม่นะ” พูดจบมะปรางก็เดินออกไปจากบ้านในทันที“จริง ๆ เลยลูกคนนี้ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด” คนเป็นแม่พูดตามหลัง หากว่าลูกสาวตัวดีมีหรือจะสะทกสะท้าน@ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์“ไงคะพี่เต ทายสิว่าพวกเราอยู่ที่ไหนเอ่ย” คาริสาเอ่ยทักทายเพื่อนหนุ่มอย่างยียวนกวนประสาท โดยมีเรติกาถือกล้องสำหรับวิดีโอคอล‘มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ถ้าจะมาป่วนงานของฉันก็รีบไสหัวกลับไป ก่อนที่ฉันจะโทรบอกผัวพวกแกให้มาลากคอกลับไป’“อร้ายไอ้เต อย่าพูดอะไรเป็นลางสิ” เรติกาส่งเสียงกรีดร้อง หากว่ามนุษย์ผัวคือสิ่งมีชีวิตที่เธอเกรงกลัวที่สุด ต่างจากคาริสาที่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“นี่เต...พวกเราสองคนแค่มาเที่ยวไม่เห็น
“ตอนนี้เรารู้แหล่งกบด่านของเป้าหมายแล้ว พวกมันยังมีพรรคพวกไม่มาก แต่อย่าชะล่าใจไปเพราะเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”“พวกมันเหมือนรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเพิ่งเริ่ม...” ซานออกความเห็น“จริง ๆ เรื่องนี้มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกของมันส่วนใหญ่ถูกยัดเข้าคุกกันหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอดเลยสักคน ที่แน่ ๆ ตอนนี้แกนนำของพวกมันบางส่วนกลับมาแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือหาหลักฐานให้เพียงพอเพื่อยัดพวกมันกลับเข้าคุกอีกครั้ง”“หัวหน้าครับ ผมได้เวลาไปทำหน้าที่แล้ว” เซนพูดขึ้นแทรก เขาสวมใส่ชุดนักเรียนชายมัธยมปลาย เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนในชุมชน เพราะเตชินเชื่อว่าต้องมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกันในโรงเรียน ที่น่าจะรู้เรื่องราวแวดวงใน แม้มันอาจจะเป็นงานน่าเบื่อไปหน่อยแต่เซนก็ทำทุกอย่างเพื่อทีม“อย่าทำตัวฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันล่ะ”“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก หัวหน้าไว้ใจได้”เตชินพยักหน้าให้กับเด็กฝึก บ่งบอกว่าเขาไว้ใจและมั่นใจในการทำงานของเซน“แต่งตัวหล่อเชียว ชุดนักเรียนเหมาะกับเซนมากเลย ลาออกจากองค์กรแล้วไปเรียนต่อก็ใช้ได้อยู่นะ”“ยัยเคส!” เตช
หลายวันต่อมา...“งานอะไรก็ได้เจ๊ ฉันทำได้ทั้งนั้น” มะปรางพูดกับเจ๊แก้วผู้จัดการร้านผับที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากชุมชน หากว่าเธอตัดสินใจนั่งวินมาถึงตัวอำเภอเพื่อมาหางานทำ อีกทั้งอาจจะได้เบาะแสเพิ่มเติม“งานที่แล้วก็เพิ่งกระทืบลูกค้ามาเพราะเพื่อนโดนลวนลาม งานนี้มันหนักกว่ามากนะ แกจะไม่เอาปืนมายิงลูกค้าเจ๊เลยเหรอ”“ให้ฉันล้างถ้วยล้างจานหลังร้านก็ได้เจ๊ รับรองว่าฉันจะไม่มาเพ่นพ่านในนี้เด็ดขาด”“แกมาถึงที่นี่เพื่อที่จะมารับจ้างล้างจานจริง ๆ เหรอ มันคุ้มค่าเดินทางแกเหรออีมะปราง”“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำนี่เจ๊”“อ้าวดูสิว่าใครมา” หนึ่งในสามสาวที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยทักทายมะปรางอย่างเป็นกันเอง“หวัดดีพี่โส” มะปรางยกมือไหว้ทั้งสามคนเหนือหัวอย่างหยอกล้อ หากว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี“โอ๊ยยัยเด็กบ้านี่ เรียกพี่โสเดี๋ยวแม่ตบปากแตกเลย ฉันเจนนี่ย๊ะ”“ส่วนพี่...ชื่อโบวี่”“ส่วนพี่ก็...ชื่อหนูเล็ก มากับเจนนี่แล้วก็มากับโบวี่”“รู้แล้ว ๆ แนะนำตัวเป็นทางการตลอด แหม...วันนี้แต่งตัวสวยเชียวนะ”“อย่ามาอวยเดี๋ยวเงินหมดกระเป๋า ว่าแต่แกมาทำอะไรที่นี่อีมะปราง จะมาแย่งงานพวกฉันเหรอ” เจนนี่เท้าเอวถาม ก่อนที่หนูเล็กจะ
“เฮียเตเขาคงไม่ได้ชอบปรางหรอก เพราะถ้าเขาชอบปราง เขาคงไม่ทิ้งปรางไปตั้งหลายปี” เด็กสาวที่กำลังเมาได้ที่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ปนเสียงโศกเศร้าอย่างไม่ปิดบัง“เฮียมันเคยบอกรักมะปรางไหม” เรติกาเอ่ยถาม เมื่อมะปรางพรั่งพรูความจริงออกมาจนหมดเปลือก“ม่ายเคย แต่เฮียเขาชอบบอกว่าปรางเป็นเด็กของเฮีย”“แกนี่มันเลวจริง ๆ เลยนะไอ้เต!”“ม่ายเลว...เฮียเตเป็นคนดีแต่ปรางเป็นคนไม่ดี”“เฮียมันทำอะไรกับมะปราง ทำไมดูหลงมันจัง”“ม่ายเคยหลง ปรางแค่ใจอ่อนเวลาที่เฮียเขา... อึก! จูบตรงนี้...” มะปรางยกมือขึ้นมาชี้หน้าผากมนของตัวเอง แล้วค่อยเลื่อนนิ้วมาชี้ที่ขมับบาง “...แล้วก็จูบตรงนี้ด้วย เฮียเตชอบให้ปรางนั่งตัก แล้วชอบเรียกปรางว่า...เด็กดี”“มะปราง!” เตชินที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนเรียกชื่อของเธอเสียงดัง เพื่อห้ามปรามไม่พูดอะไรออกมา ขณะที่คาริสาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดปาก หากว่ามาทันได้ยินที่มะปรางพูดในประโยคสุดท้ายเพื่อนหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าห่วยแตกเรื่องความรัก แท้ที่จริงแล้วเล่ห์เหลี่ยมและคารมคมคายเชี่ยวชาญยิ่งกว่าผู้ชายเจ้าชู้บางคนเสียอีก“คะ...คุณมาได้ยังไง มาทำอะไรที่นี่เหรอ?” มะปรางหันไปมองเตชินด้วยสีหน้าไม่รู
“หนูทำอะไรอยู่ ไม่รีบกลับบ้านเหรอ” เตชินเดินเข้ามาในครัว หลังจากที่สั่งงานเด็กฝึกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเพื่อนรักทั้งสองคนก็ส่งกลับบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหลือแค่มะปรางที่กว่าจะสร่างเมาจากอาการเมาค้างก็ล่วงเลยเวลามาจนเกือบเที่ยง“หนูยังปวดหัวนิดหน่อย เลยกินยาดักไว้ก่อนเผื่อไข้ขึ้น เหลืออยู่หนึ่งเม็ดพอดี” พูดจบเธอก็ป้อนยาเม็ดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามทันที“กินยา? ยาอะไร?”“ก็ยาลดไข้ไง ปวดหัวให้กินยาคุมเหรอเฮีย” เด็กสาวพูดติดตลกพร้อมยื่นกระปุกยาขนาดเล็กให้เตชินดู“ที่นี่มียาลดไข้ด้วยเหรอ” เตชินรับกระปุกยามาพิจารณาดู เขาทำสีหน้าตกใจพร้อมกับรีบไปล้วงคอเด็กสาว “มะปรางคายมันออกมา นี่มันไม่ใช่ยาลดไข้...”หากว่ามันคือตัวอย่างยาที่เขาให้เด็กฝึกขโมยมา ครั้งเมื่อไปสืบเรื่องอุโมงค์หลังสนามเด็กเล่น เขาเอาตัวยาออกมาให้คาริสานำไปตรวจสอบที่แล็ปขององค์กร แล้วยังไม่ได้เก็บมันให้เข้าที่เข้าทาง ใครจะไปนึกว่ามะปรางจะเอามากินเพราะคิดว่าเป็นยาลดไข้ แม้ลักษณะของมันจะคล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออก“อื้อ!! เฮียมันคือยาอะไร”“คายมันออกมาเร็วเข้า เฮียไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร มันอาจจะอันตรายถึงตายได้”มะปรางสำลักจนหน้าดำหน้าแดงไปหม
“อีกสิบสองชั่วโมงค่อยทานอีกหนึ่งเม็ด หนูจำได้ใช่ไหม” มะปรางพยักหน้ารับ หากว่าเตชินขับรถมาส่งถึงที่หน้าบ้านแล้วแต่เธอกลับยังไม่กล้าลงไป เด็กสาวตัวแสบของเขาในวันนี้ดูจะสูญเสียความมั่นใจเอามาก ๆ เตชินจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธอเบา ๆ “เด็กดีครับ ไม่คิดมากนะ”“หนูกลัว อึก!”“ไม่ต้องกลัวนะ เฮียจะมองหนูอยู่ตรงนี้” เตชินปลอบใจเธอแล้วหยิบซองเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทให้กับมะปราง “พี่เรย์ฝากมาให้”“...” มะปรางยกมือไหว้พร้อมรับซองเงินที่เธอควรจะได้อยู่แล้วมากอดไว้“อย่าไปทำตามยัยแสบนั่นอีก แล้วก็ห้ามกินเหล้าจนเมาไม่ได้สติกับคนแปลกหน้า”“ก็พี่เรย์ท้าหนูแก้วละพัน” เธอตอบโต้พร้อมเก็บเงินไว้ในกระเป๋าสะพายของตัวเอง เตชินมองคนข้าง ๆ พลางยิ้มละไมเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มมีอาการที่ดีขึ้น สำหรับเขาตอนนี้ สภาพจิตใจของเธอสำคัญที่สุด“มากอดหน่อย”“หืม?” มะปรางเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางทำสีหน้าเชิงคำถาม เมื่อเห็นว่าเตชินอ้าแขนออกกว้างเพื่อรอรับกอดจากเธอ“มาให้เฮียกอดหน่อยนะเด็กดี” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มะปรางยิ้มแป้นก่อนจะโถมเข้าไปสวมกอดเขาอย่างไม่ลังเล “ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า”“ยังเจ็บไปทั้งร่างเลย แต่ว่
‘ผมไม่เห็นด้วยนะกับการที่คุณเอายานรกพวกนี้ไปบริจาคให้กับชาวบ้าน’‘นี่มันเป็นฆาตกรรมไม่เลือกหน้า สังหารหมู่ชัด ๆ’‘ก็ไม่เห็นว่ามีใครตายเพราะยาของผมสักหน่อย พวกนั้นตายเพราะหันมาฆ่ากันเอง’‘แต่ถึงยังไงการที่คุณทำแบบนี้มันก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะการที่สื่อและตำรวจให้ความสนใจที่นี่มันจะทำให้พวกเราทำงานลำบาก’‘ก็นึกว่าจะห่วงชาวบ้านพวกนั้น ที่แท้ก็ห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง...’ เตชินฟังเสียงที่ได้มาจากเครื่องดักฟังวนซ้ำหลายรอบ หากว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าในคลิปเสียงนี้มีเสียงของใครบ้าง แต่ที่แน่ ๆ หนึ่งในนั้นต้องมีเสียงของนายเจษฎาและไมเคิลเตชินนั่งชั่งใจอยู่สักพักใหญ่ ๆ ก่อนจะหันไปมองเอกสารกองเท่าภูเขาบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่เขาก็ยังคงทำงานไม่ได้พักเขายังไม่ได้เบาะแสและหลักฐานที่เพียงพอที่จะสามารถสาวถึงตัวคนร้ายและคนที่อยู่เบื้องหลังเลยหากว่าเขามัวแต่เสียเวลาและวุ่นวายกับการจัดการเรื่องที่โรงพัก และเหยื่อผู้เสียหายจากเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่หน้าที่ของเขาโดยตรง แต่ในเมื่อเขาแฝงตัวมาเป็นตำรวจเขาก็จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้แนบเนียนที่สุดคนร้ายเริ่มแสด
‘เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ เกิดเหตุทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ในชุมชนบ้านไข่น้ำ คาดว่าสาเหตุเกิดจากยาเสพติดชนิดใหม่ที่มาในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งคนในชุมชนบ้านไข่น้ำได้รับบริจาคข้าวของเครื่องใช้และยาสามัญประจำบ้านเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ หลายคนตกเป็นเหยื่อและนำไปสู่เหตุจลาจลก่อนหน้านี้มีรายงานว่า หลังจากที่นายแดง(นามสมมุติ) ได้ทานยาแก้แพ้เข้าไปทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งไล่ทุบตีภรรยาและลูก นอกจากนี้ยังมีวัยรุ่นคว้ามีดดาบไล่ฟันชาวบ้านไม่เลือกหน้า คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุเดียวกันด้าน พล.ต.อ. อดิศร ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ มีความเชื่อมั่นว่าทีมตำรวจในพื้นที่สามารถจับผู้ก่อเหตุจลาจลครั้งนี้ได้แน่นอน ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมยังไม่สามารถเปิดเผยได้’‘ยาสามัญฯ ทำพิษชาวบ้านไข่น้ำ ปมเหตุทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ขณะนี้เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ ชาวบ้านกว่า 20 รายตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดชนิดใหม่ที่มาในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน เหตุจลาจลครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายและนำไปสู่การสูญเสียในวงกว้าง มีเหยื่อเสียชีวิตทั้งหมด 4 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 12 ราย ส่วนคนที่เหลืออยู่ในการควบคุมของ
“อีกสิบสองชั่วโมงค่อยทานอีกหนึ่งเม็ด หนูจำได้ใช่ไหม” มะปรางพยักหน้ารับ หากว่าเตชินขับรถมาส่งถึงที่หน้าบ้านแล้วแต่เธอกลับยังไม่กล้าลงไป เด็กสาวตัวแสบของเขาในวันนี้ดูจะสูญเสียความมั่นใจเอามาก ๆ เตชินจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธอเบา ๆ “เด็กดีครับ ไม่คิดมากนะ”“หนูกลัว อึก!”“ไม่ต้องกลัวนะ เฮียจะมองหนูอยู่ตรงนี้” เตชินปลอบใจเธอแล้วหยิบซองเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทให้กับมะปราง “พี่เรย์ฝากมาให้”“...” มะปรางยกมือไหว้พร้อมรับซองเงินที่เธอควรจะได้อยู่แล้วมากอดไว้“อย่าไปทำตามยัยแสบนั่นอีก แล้วก็ห้ามกินเหล้าจนเมาไม่ได้สติกับคนแปลกหน้า”“ก็พี่เรย์ท้าหนูแก้วละพัน” เธอตอบโต้พร้อมเก็บเงินไว้ในกระเป๋าสะพายของตัวเอง เตชินมองคนข้าง ๆ พลางยิ้มละไมเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มมีอาการที่ดีขึ้น สำหรับเขาตอนนี้ สภาพจิตใจของเธอสำคัญที่สุด“มากอดหน่อย”“หืม?” มะปรางเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางทำสีหน้าเชิงคำถาม เมื่อเห็นว่าเตชินอ้าแขนออกกว้างเพื่อรอรับกอดจากเธอ“มาให้เฮียกอดหน่อยนะเด็กดี” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มะปรางยิ้มแป้นก่อนจะโถมเข้าไปสวมกอดเขาอย่างไม่ลังเล “ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า”“ยังเจ็บไปทั้งร่างเลย แต่ว่
“หนูทำอะไรอยู่ ไม่รีบกลับบ้านเหรอ” เตชินเดินเข้ามาในครัว หลังจากที่สั่งงานเด็กฝึกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเพื่อนรักทั้งสองคนก็ส่งกลับบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหลือแค่มะปรางที่กว่าจะสร่างเมาจากอาการเมาค้างก็ล่วงเลยเวลามาจนเกือบเที่ยง“หนูยังปวดหัวนิดหน่อย เลยกินยาดักไว้ก่อนเผื่อไข้ขึ้น เหลืออยู่หนึ่งเม็ดพอดี” พูดจบเธอก็ป้อนยาเม็ดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามทันที“กินยา? ยาอะไร?”“ก็ยาลดไข้ไง ปวดหัวให้กินยาคุมเหรอเฮีย” เด็กสาวพูดติดตลกพร้อมยื่นกระปุกยาขนาดเล็กให้เตชินดู“ที่นี่มียาลดไข้ด้วยเหรอ” เตชินรับกระปุกยามาพิจารณาดู เขาทำสีหน้าตกใจพร้อมกับรีบไปล้วงคอเด็กสาว “มะปรางคายมันออกมา นี่มันไม่ใช่ยาลดไข้...”หากว่ามันคือตัวอย่างยาที่เขาให้เด็กฝึกขโมยมา ครั้งเมื่อไปสืบเรื่องอุโมงค์หลังสนามเด็กเล่น เขาเอาตัวยาออกมาให้คาริสานำไปตรวจสอบที่แล็ปขององค์กร แล้วยังไม่ได้เก็บมันให้เข้าที่เข้าทาง ใครจะไปนึกว่ามะปรางจะเอามากินเพราะคิดว่าเป็นยาลดไข้ แม้ลักษณะของมันจะคล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออก“อื้อ!! เฮียมันคือยาอะไร”“คายมันออกมาเร็วเข้า เฮียไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร มันอาจจะอันตรายถึงตายได้”มะปรางสำลักจนหน้าดำหน้าแดงไปหม
“เฮียเตเขาคงไม่ได้ชอบปรางหรอก เพราะถ้าเขาชอบปราง เขาคงไม่ทิ้งปรางไปตั้งหลายปี” เด็กสาวที่กำลังเมาได้ที่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ปนเสียงโศกเศร้าอย่างไม่ปิดบัง“เฮียมันเคยบอกรักมะปรางไหม” เรติกาเอ่ยถาม เมื่อมะปรางพรั่งพรูความจริงออกมาจนหมดเปลือก“ม่ายเคย แต่เฮียเขาชอบบอกว่าปรางเป็นเด็กของเฮีย”“แกนี่มันเลวจริง ๆ เลยนะไอ้เต!”“ม่ายเลว...เฮียเตเป็นคนดีแต่ปรางเป็นคนไม่ดี”“เฮียมันทำอะไรกับมะปราง ทำไมดูหลงมันจัง”“ม่ายเคยหลง ปรางแค่ใจอ่อนเวลาที่เฮียเขา... อึก! จูบตรงนี้...” มะปรางยกมือขึ้นมาชี้หน้าผากมนของตัวเอง แล้วค่อยเลื่อนนิ้วมาชี้ที่ขมับบาง “...แล้วก็จูบตรงนี้ด้วย เฮียเตชอบให้ปรางนั่งตัก แล้วชอบเรียกปรางว่า...เด็กดี”“มะปราง!” เตชินที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนเรียกชื่อของเธอเสียงดัง เพื่อห้ามปรามไม่พูดอะไรออกมา ขณะที่คาริสาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดปาก หากว่ามาทันได้ยินที่มะปรางพูดในประโยคสุดท้ายเพื่อนหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าห่วยแตกเรื่องความรัก แท้ที่จริงแล้วเล่ห์เหลี่ยมและคารมคมคายเชี่ยวชาญยิ่งกว่าผู้ชายเจ้าชู้บางคนเสียอีก“คะ...คุณมาได้ยังไง มาทำอะไรที่นี่เหรอ?” มะปรางหันไปมองเตชินด้วยสีหน้าไม่รู
หลายวันต่อมา...“งานอะไรก็ได้เจ๊ ฉันทำได้ทั้งนั้น” มะปรางพูดกับเจ๊แก้วผู้จัดการร้านผับที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากชุมชน หากว่าเธอตัดสินใจนั่งวินมาถึงตัวอำเภอเพื่อมาหางานทำ อีกทั้งอาจจะได้เบาะแสเพิ่มเติม“งานที่แล้วก็เพิ่งกระทืบลูกค้ามาเพราะเพื่อนโดนลวนลาม งานนี้มันหนักกว่ามากนะ แกจะไม่เอาปืนมายิงลูกค้าเจ๊เลยเหรอ”“ให้ฉันล้างถ้วยล้างจานหลังร้านก็ได้เจ๊ รับรองว่าฉันจะไม่มาเพ่นพ่านในนี้เด็ดขาด”“แกมาถึงที่นี่เพื่อที่จะมารับจ้างล้างจานจริง ๆ เหรอ มันคุ้มค่าเดินทางแกเหรออีมะปราง”“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำนี่เจ๊”“อ้าวดูสิว่าใครมา” หนึ่งในสามสาวที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยทักทายมะปรางอย่างเป็นกันเอง“หวัดดีพี่โส” มะปรางยกมือไหว้ทั้งสามคนเหนือหัวอย่างหยอกล้อ หากว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี“โอ๊ยยัยเด็กบ้านี่ เรียกพี่โสเดี๋ยวแม่ตบปากแตกเลย ฉันเจนนี่ย๊ะ”“ส่วนพี่...ชื่อโบวี่”“ส่วนพี่ก็...ชื่อหนูเล็ก มากับเจนนี่แล้วก็มากับโบวี่”“รู้แล้ว ๆ แนะนำตัวเป็นทางการตลอด แหม...วันนี้แต่งตัวสวยเชียวนะ”“อย่ามาอวยเดี๋ยวเงินหมดกระเป๋า ว่าแต่แกมาทำอะไรที่นี่อีมะปราง จะมาแย่งงานพวกฉันเหรอ” เจนนี่เท้าเอวถาม ก่อนที่หนูเล็กจะ
“ตอนนี้เรารู้แหล่งกบด่านของเป้าหมายแล้ว พวกมันยังมีพรรคพวกไม่มาก แต่อย่าชะล่าใจไปเพราะเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”“พวกมันเหมือนรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเพิ่งเริ่ม...” ซานออกความเห็น“จริง ๆ เรื่องนี้มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกของมันส่วนใหญ่ถูกยัดเข้าคุกกันหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอดเลยสักคน ที่แน่ ๆ ตอนนี้แกนนำของพวกมันบางส่วนกลับมาแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือหาหลักฐานให้เพียงพอเพื่อยัดพวกมันกลับเข้าคุกอีกครั้ง”“หัวหน้าครับ ผมได้เวลาไปทำหน้าที่แล้ว” เซนพูดขึ้นแทรก เขาสวมใส่ชุดนักเรียนชายมัธยมปลาย เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนในชุมชน เพราะเตชินเชื่อว่าต้องมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกันในโรงเรียน ที่น่าจะรู้เรื่องราวแวดวงใน แม้มันอาจจะเป็นงานน่าเบื่อไปหน่อยแต่เซนก็ทำทุกอย่างเพื่อทีม“อย่าทำตัวฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันล่ะ”“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก หัวหน้าไว้ใจได้”เตชินพยักหน้าให้กับเด็กฝึก บ่งบอกว่าเขาไว้ใจและมั่นใจในการทำงานของเซน“แต่งตัวหล่อเชียว ชุดนักเรียนเหมาะกับเซนมากเลย ลาออกจากองค์กรแล้วไปเรียนต่อก็ใช้ได้อยู่นะ”“ยัยเคส!” เตช
“แม่...ปรางไปทำงานก่อนนะ” มะปรางตะโกนพูดหลังจากที่แต่งตัวเสร็จสรรพ หากว่าเธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก แม้รายได้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นงานสุจริตเพียงหนึ่งเดียวที่เธอทำอยู่“อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาอีกล่ะ” ประโยคสุดฮิตที่แม่มะลิมักจะบอกกับลูกสาวก่อนไปทำงาน มะปรางหยิบกระเป๋ามาคล้องบ่าแล้วเดินไปสวมใส่รองเท้าผ้าใบอย่างเคยชิน“ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องปรางก่อน ปรางก็จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนะแม่นะ” พูดจบมะปรางก็เดินออกไปจากบ้านในทันที“จริง ๆ เลยลูกคนนี้ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด” คนเป็นแม่พูดตามหลัง หากว่าลูกสาวตัวดีมีหรือจะสะทกสะท้าน@ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์“ไงคะพี่เต ทายสิว่าพวกเราอยู่ที่ไหนเอ่ย” คาริสาเอ่ยทักทายเพื่อนหนุ่มอย่างยียวนกวนประสาท โดยมีเรติกาถือกล้องสำหรับวิดีโอคอล‘มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ถ้าจะมาป่วนงานของฉันก็รีบไสหัวกลับไป ก่อนที่ฉันจะโทรบอกผัวพวกแกให้มาลากคอกลับไป’“อร้ายไอ้เต อย่าพูดอะไรเป็นลางสิ” เรติกาส่งเสียงกรีดร้อง หากว่ามนุษย์ผัวคือสิ่งมีชีวิตที่เธอเกรงกลัวที่สุด ต่างจากคาริสาที่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“นี่เต...พวกเราสองคนแค่มาเที่ยวไม่เห็น
“ใครเหรอครับหัวหน้า เด็กฝึกคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ” เซนเอ่ยถามทันทีที่เตชินเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน หลังจากที่เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงโทนสีเดียวกัน“เธอเป็นคนที่นี่ พวกเราจะทำงานสะดวกขึ้นถ้าหากมีคนในท้องที่ทำงานด้วย” เตชินตอบกลับไป ขณะที่สายตาของเด็กฝึกทั้งสามคนต่างก็จ้องมองมาอย่างจับผิด “ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”คำพูดของหัวหน้าทำให้เด็กฝึกหันหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางทันที พวกเขาพากันแอบยิ้มแหยเตชินเล็กน้อย“หัวหน้าครับผมได้เบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้” ซานพูดพร้อมชี้ไปที่ภาพแผนที่ ซึ่งปักด้วยหมุดสีเขียว“ที่สนามเด็กเล่นมีอะไร”“บริเวณหลังสนามเด็กเล่นมีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน แต่ที่บริเวณตรงนี้รกชันไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง จึงยากที่มองเห็นมันในตอนแรก”พื้นที่ที่ถูกปักด้วยหมุดสีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นหมุดสีแดงด้วยฝีมือของเตชิน“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะไปสำรวจที่นั่นกัน”“ครับหัวหน้า” เซนและซานพูดขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นนาวินที่ดูกำลังจะวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง ทำให้เตชินหันไปมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก“ไอ้วิน” ไม่มีการตอบรับกลับมาแ