“ตอนนี้เรารู้แหล่งกบด่านของเป้าหมายแล้ว พวกมันยังมีพรรคพวกไม่มาก แต่อย่าชะล่าใจไปเพราะเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”
“พวกมันเหมือนรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเพิ่งเริ่ม...” ซานออกความเห็น
“จริง ๆ เรื่องนี้มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกของมันส่วนใหญ่ถูกยัดเข้าคุกกันหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอดเลยสักคน ที่แน่ ๆ ตอนนี้แกนนำของพวกมันบางส่วนกลับมาแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือหาหลักฐานให้เพียงพอเพื่อยัดพวกมันกลับเข้าคุกอีกครั้ง”
“หัวหน้าครับ ผมได้เวลาไปทำหน้าที่แล้ว” เซนพูดขึ้นแทรก เขาสวมใส่ชุดนักเรียนชายมัธยมปลาย เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนในชุมชน เพราะเตชินเชื่อว่าต้องมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกันในโรงเรียน ที่น่าจะรู้เรื่องราวแวดวงใน แม้มันอาจจะเป็นงานน่าเบื่อไปหน่อยแต่เซนก็ทำทุกอย่างเพื่อทีม
“อย่าทำตัวฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันล่ะ”
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก หัวหน้าไว้ใจได้”
เตชินพยักหน้าให้กับเด็กฝึก บ่งบอกว่าเขาไว้ใจและมั่นใจในการทำงานของเซน
“แต่งตัวหล่อเชียว ชุดนักเรียนเหมาะกับเซนมากเลย ลาออกจากองค์กรแล้วไปเรียนต่อก็ใช้ได้อยู่นะ”
“ยัยเคส!” เตชินปรามเพื่อนที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนจะส่งสัญญาณให้เซนออกไปทำหน้าที่ของตัวเองได้ “เพราะนิสัยชอบแหกกฎแบบแกไม่ใช่เหรอ ถึงทำให้แกเป็นได้แค่ลูกน้องของฉัน”
“ฮึ...ไม่เจ็บสักนิด คนที่ไม่เคยทำผิดกฎองค์กรแบบแกไม่รู้หรอก ว่าการที่ได้ทำอะไรนอกกรอบมันสนุกและตื่นเต้นแค่ไหน ใช่ไหมวิน”
ซานกับนาวินแอบยิ้มเจื่อน ถึงแม้ว่าคาริสาจะเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเตชิน แต่ทั้งคู่ก็เคารพเธอราวกับว่าเป็นหัวหน้าองค์กรคนหนึ่งเช่นกัน
“ครั้งเดียวก็เกินพอครับพี่เคส” นาวินเคยทำผิดกฎเพราะต้องการทำเรื่องท้าทายแบบรุ่นพี่ ทว่าบทลงโทษขององค์กรก็ทำเอาเขาจำไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้
“ไม่ต้องมาปั่นหัวเด็กฝึกของฉัน ถ้าว่างมากเดี๋ยวจะหางานให้ทำ”
“ใครมาทำงาน ฉันมาเที่ยว”
“ช่วยไปสืบเรื่องของคนที่อยู่ในรายชื่อนี้หน่อย ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับนายดำรง” เตชินพูดพร้อมยื่นไดร์ฟข้อมูลให้กับคาริสา
“ไม่ทำ!”
“ถ้าไม่ทำก็กลับบ้านไป”
“ก็บอกว่าฉันมาเที่ยวไง”
“ไอ้เต! จะกลั่นแกล้งอะไรยัยเคสอีก” เรติกาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานเห็นว่าเตชินบังคับให้คาริสาทำงานโดยที่ไม่เต็มใจ เธอจึงปรี่เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนสาว
“พอเลย อย่าให้ท้ายเมียจนไม่ลืมหูลืมตา ถ้าจะมาป่วนก็กลับบ้านไป ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยทำงาน ถ้าไม่ช่วยฉันจะยื่นเอกสารรายงานบิ๊กบอสว่าพวกแกขัดขวางการทำงานของฉัน”
“เต...”
“ฉันไม่เกี่ยวนะ สายแล้วมีนัดวิดีโอคอลกับกรณ์น้อย” เรติกาวิ่งหายไปจากห้องทำงานทันที ปล่อยให้คาริสาต้องรับงานมาทำอย่างไม่เต็มใจนัก
“วินไปทำงานกับพี่ไหม”
“วินกับซานมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว ส่วนหน้าที่ของแกก็ไปเตรียมตัวทำงานซะ” เตชินยื่นไดร์ฟข้อมูลให้คาริสาอีกครั้ง เขารู้ว่าคาริสามาเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่การมีคาริสามาร่วมทำงานด้วย หลายอย่างที่คิดว่ายากก็อาจจะง่ายขึ้น
“จะหนีไปไหน!”
“แม่...”
“มานี่เลยมาเอาไม้เรียวก่อน มันน่านักนังลูกคนนี้ บอกว่าอย่าไปมีเรื่องกับใคร”
มะปรางวิ่งหนีไม้เรียวที่สั่นดิ๊ก ๆ อยู่ในมือของคนเป็นแม่ ใครจะไปยอมโดนตีกันเล่า อายุก็เข้าหลักสองแล้วยังโดนแม่ไล่ตีเหมือนเด็ก ๆ
“แม่...ปรางไม่ผิดนะแม่”
“ไม่ผิดแล้วทำไมถึงโดนไล่ออก พี่ก้อยบอกว่าแกไปมีเรื่องกับลูกค้าของเขา”
“มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวนะแม่ ไอ้ลูกค้าพวกนั้นมันลวนลามเพื่อนปรางก่อน”
“ว่าไงนะ” เมื่อลูกสาวให้เหตุผลมาอย่างนั้น มะลิผู้เป็นแม่ที่เกลียดผู้ชายพรรค์นี้ที่สุดมีหรือจะอยู่เฉย
“เพื่อนปรางเผลอเอาปากกาไปทิ่มมือของมันจนได้รับบาดเจ็บ พวกมันเลยโวยวาย ปรางก็เลยเข้าไปช่วย”
“แล้วพวกมันทำอะไรปรางหรือเปล่า แล้วเพื่อนปรางล่ะเป็นยังไง”
“มะปรางลูกสาวแม่มะลิซะอย่าง ไม่มีใครหน้าไหนมารังแกได้ง่าย ๆ หรอก ปรางใช้วิธีหมัดมวยกระทืบพวกมัน เอาไม้เรียวลงก่อนนะแม่นะ” มะปรางเดินเข้ามากอดคนเป็นแม่ เมื่อเห็นว่าท่านเริ่มใจเย็นขึ้นมาบ้าง เธอแอบดึงไม้เรียวเจ้ากรรมออกห่างจากมือของแม่มะลิอย่างถือวิสาสะ
“ไอ้พวกหน้าตัวเมียอยู่ไปก็รกแผ่นดินจริง ๆ อย่าให้เจอนะ”
“เห็นไหม ถ้าแม่อยู่ตรงนั้นแม่ก็ทำแบบเดียวกับปราง ส่วนเพื่อนของปรางเขาโอเคขึ้นแล้ว แต่ปรางนี่สิ”
“ไล่ออกก็ไล่ออกสิ พี่ก้อยก็คงเห็นแก่เงินแก่หน้าตามากกว่าคนกันเองเหมือนเดิม”
“ไม่เครียดนะแม่นะ เดี๋ยวความดันขึ้น” มะปรางเดินเข้าไปกอดแล้วโยกตัวคนเป็นแม่ไปมา หวังจะให้คลายอารมณ์คุกรุ่นลง
“ถ้าไม่มีงานทำแล้วก็ไปช่วยแม่ขายของที่โรงเรียน สายแล้วด้วยเดี๋ยวเตรียมของไม่ทันพักเที่ยง”
“รับทราบครับ! เดี๋ยวปรางไปยกของขึ้นซาเล้งให้นะ”
“ให้เร็วเลย”
“รู้แล้ว ๆ ใช้งานลูกอย่างกะใช้แรงงานทาส”
สองชั่วโมงผ่านไป
“เรียบร้อย” มะปรางช่วยคนเป็นแม่จัดระเบียบอาหารกลางวันสำหรับค้าขายเสร็จสรรพ เธอเดินไปนวดไหล่ให้คนเป็นแม่อย่างชำนาญ ขณะที่แม่มะลิก็สะบัดพัดคลายความร้อนให้กับตัวเองอย่างอารมณ์ดี “อารมณ์ดีขึ้นแล้ว แม่จ๋า...ปรางขอกลับบ้านก่อนนะ ปรางรู้สึกปวดท้อง”
“เป็นอะไร ปวดตรงไหนมาให้แม่ดู” แม่มะลิพูดถามพร้อมคลำไปที่บริเวณหน้าท้องของลูกสาว
“ปรางปวดท้องน้อย สงสัยเมนส์จะมา” มะปรางกระซิบพูด
“เอ้า ปวดมากไหม ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านไปพักผ่อนก่อน”
“จ้ะแม่ ปรางกลับก่อนนะ”
มะปรางหอมแก้มแม่มะลิแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องบ่า ก่อนจะเดินแยกออกไปในทันที ส่วนคนเป็นแม่ก็หันไปเม้าท์มอยกับคนที่มาขายของด้วยการตามประสา
“พี่ปราง”
“อ้าวเติร์ด แอบหนีเรียนมาเหรอ กลับไปเรียนเลยนะ”
“ช่วงเปลี่ยนคาบ ยังพอมีเวลาพี่ปราง” เติร์ดเดินเข้าไปใกล้มะปรางพร้อมกระซิบกระซาบบอกในสิ่งที่รู้มา “เห็นว่าหลังสนามเด็กเล่นมีอุโมงค์ใต้ดิน แถมยังมีคนเข้าออกในตอนกลางคืนด้วย ต้องเป็นพวกเอเยนต์ค้ายาแน่ ๆ เราอาจจะมีช่องทางค้าขายเหล้าเถื่อน เป็นไงพี่ปรางติดต่อทำธุรกิจด้วยไหม”
“ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นนะ ห้ามยุ่งเด็ดขาด”
“ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว แล้วให้ตามตระเวนสืบทำไม”
“รู้ไว้ใช่ว่า...”
“…ใส่บ่าแบกหาม” เติร์ดต่อประโยคสำนวนของมะปรางด้วยความเข้าใจในความหมาย “รู้ไว้ไม่เสียหาย แต่เสี่ยงตายเลยนะพี่ปราง”
“เอาน๊า ถึงเราจะทำผิดไปบ้าง แต่ก็ใช้ว่าจะโลภจนไม่ลืมหูลืมตา ไปเรียนได้แล้ว แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ เดี๋ยวอายุสั้น”
“เรื่องนี้พี่ปรางรู้แค่คนเดียว ก่อนไปเรียนขอเงินกินข้าวหน่อย” เติร์ดแบมือขอเงินกับมะปรางตามนิสัย มะปรางจึงหยิบธนบัตรใบสีแดงสองใบจากกระเป๋าสะพายให้กับเติร์ดอย่างไม่เรื่องมาก
“ใช้ประหยัด ๆ ล่ะ เรื่องคืบหน้ายังไงก็มาบอกด้วย”
“จัดไปพี่ปราง”
“เดี๋ยวก่อน เด็กผู้ชายใส่แว่นที่ยืนรออยู่ตรงนั้นใครอ่ะ เพื่อนเหรอ?”
“นั่นไอ้เซนเด็กใหม่ มันดูฉลาดดีก็เลยคบเอาไว้ให้มันช่วยทำการบ้าน”
“หัวหมอนักนะ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
เติร์ดพยักหน้าให้มะปรางก่อนจะหันหลังเดินไปหาเซนที่ยืนรออยู่ มะปรางหยิบโทรศัพท์มือถือต่อสายหาเตชินทันที เพราะต้องการบอกเบาะแสเพิ่มเติมกับเขา
“รู้ก่อนหนูอีกแล้ว คงไม่ต้องมีหนูร่วมทีมก็ได้มั้ง” มะปรางทำสีหน้าบูดบึ้งเมื่อเตชินรู้เรื่องอุโมงค์หลังสนามเด็กเล่น ก่อนเธอไปตั้งหนึ่งวัน
“ทำไมต้องทำหน้างอนแบบนั้นด้วยล่ะ เฮียต้องการหนูมาร่วมทีมนะ มานั่งนี่มา”
เตชินปรับเบาะที่นั่งเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือไปดึงมะปรางที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ ให้ขึ้นมานั่งบนตักแกร่งของเขาแทน เขาจูบขมับคนตัวเล็กเบา ๆ เมื่อเห็นเธอยังชักสีหน้าบูดบึ้งอยู่
“อื้อ! ถึงหนูจะรู้จักกับพี่โสหลายคนแต่หนูก็ไม่ใช่เด็กโสนะ”
“เด็กโสอะไรกัน หนูเป็นเด็กเฮียต่างหาก”
“ชอบปั่นหัวให้คนอื่นใจอ่อนอยู่เรื่อย ทะ...ทำอะไร” มะปรางอุทานด้วยความตกใจเมื่อเตชินเลื่อนนาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสีขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยสักขนาดเล็กที่อยู่ตรงบริเวณข้อมือข้างซ้ายของเธอ
รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเขา
ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองอยู่นานว่าทำไมมะปรางถึงสามารถเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่มันต้องสแกนรหัสผ่าน ซึ่งเป็นตัวตนของเขาเท่านั้นประตูถึงจะเปิดออก
“เด็กแสบ! สักไว้นานแค่ไหนแล้ว” เขาตำหนิเด็กสาวเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยถาม
“...” ไร้ซึ่งการตอบกลับของมะปราง เธอหันหน้าหนีเขาไปทางอื่นพลางทำหน้ามุ่ยกลบเกลื่อน ก่อนจะดึงเครื่องประดับลงมาปกปิดรอยสักเอาไว้
“ถ้าเฮียเปลี่ยนรหัสตัวตน หนูจะลบรอยสักนี้ออกไหม”
“คุณไม่สามารถเปลี่ยนได้หรอก เพราะรหัสนี้มันจะติดตัวคุณไปจนตายนั่นแหละ”
“รู้ดี”
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวกลับก่อน”
“จะรีบไปไหน”
“หนูจะกลับบ้าน”
“เดี๋ยวเฮียไปส่ง”
“ไม่เอา คุณแฝงตัวเป็นตำรวจอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของคุณเถอะเดี๋ยวคนอื่นก็สงสัยเอาหรอก”
“เดี๋ยวก่อน” เตชินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนตอนที่มะปรางกำลังจะลุกออกไป เขารั้งใบหน้าสวยเข้ามาจูบแนบชิด
ริมฝีปากอวบอิ่มอ้ารับเรียวลิ้นที่พยายามสอดเข้ามาหยอกล้อในโพรงปาก รสจูบละเมียดละไมแปรเปลี่ยนมาดูดดื่มเร่าร้อนจนมะปรางหายใจแทบไม่ทัน เธอผละจูบออกแล้วโกยอากาศหายใจเข้าปอด เตชินดึงดันจะจูบต่อแต่มะปรางห้ามเอาไว้ได้ก่อน
“อย่าค่ะ”
“เฮียคิดถึงหนู” เขาพูดเสียงออดเสียงอ้อน
“อย่ามาอ่อยนะ เดี๋ยวรถโยก”
“เคยทำเหรอ”
“ไม่เคย แต่มั่นใจว่าทำเป็น”
“อยากลองจัง” เขาพูดจาทะเล้นใส่ มือหนาวางข้างพวงแก้มพลางเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาเบา ๆ
“น่าเสียดายที่วันนี้เมนส์หนูมา ไม่อย่างนั้นจะทำให้ร้องไม่ออก”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ยิ่งกว่านั้นแน่นอนค่ะ” เด็กสาวจอมแก่นพูดอวดโอ้สรรพคุณตัวเองขนาดนี้ใครจะไม่อยากลิ้มลอง
กับคนอื่นมะปรางด่าเรียบ แต่กับเตชินเธอมีแต่คำหวาน ๆ หยอดใส่ หลายปีที่ต้องจากกันไป เธอตั้งปฏิญาณไว้แล้วว่าถ้าเขากลับมาอีกครั้ง เธอจะจีบเขาให้ได้
“เฮียจะรอนะ” เขาพูดแล้วดึงหน้าผากมนมาจูบอีกครั้ง
มะปรางแอบอมยิ้มไม่หุบขณะที่ขยับตัวลงจากตักแกร่ง เธอก้าวขาลงไปจากรถยนต์โดยมีเตชินยิ้มและมองตามอย่างไม่ละสายตา เขามองเธอเดินจากไปเงียบ ๆ อยู่ภายในรถ นานนับนาทีกว่าเขาจะยอมสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องออกไปยังที่ทำงาน
ในค่ำคืนที่แสนอลวนวุ่นวาย ทุกปีจะมีเทศกาลงานวัดจัดขึ้นเพื่อพัฒนาชุมชนเล็ก ๆ ที่ทั้งแออัด ทุรกันดาร และห่างไกลความเจริญผู้ใหญ่ผินถือโอกาสนี้เปิดตัวหลานชาย เตชิน สกุลเกียรติ ในฐานะร้อยตำรวจเอกหรือผู้กองหนุ่มไฟแรง ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนาริน สกุลเกียรติ พี่สาวของผู้ใหญ่ผินด้วยใบหน้าหล่อคมทรงเสน่ห์ของผู้กองหนุ่มทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ที่มาร่วมเทศกาลงานวัดต่างฮือฮากันทั้งชุมชนเทศกาลงานวัดประกอบไปด้วยชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน ปาลูกโป่ง สาวน้อยตกน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย หากแต่ว่าการละเล่นต่าง ๆ ภายในงานก็ยังหนีไม่พ้นการพนันขันต่อเหมือนอย่างทุกปีพนันมวยที่ท้าดวลระหว่าง มะปราง ลูกสาวคนเดียวของแม่มะลิ กับ กวิน ลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่ผินที่ทำทรงเป็นนักเลงประจำหมู่บ้านรอบสังเวียนมวยอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายที่ต่างแห่มาดูศึกดวลครั้งนี้ โดยมีแม่มะลิตั้งตัวเป็นเจ้ามือคอยรับแทงพนันกันอย่างลับ ๆแน่นอนว่าคนที่ไม่มีศิลปะมวยไทยอย่างมะปรางจะต้องใช้แผนซ้อนแผน เพื่อจัดการกับกวินที่เป็นคู่ปรับของเธอตั้งแต่สมัยอนุบาล กวินต้องการที่จะเอาชนะมะปรางสักครั้ง จึงท้าดวลกับมะปรางในเรื่
หลังจากนับเงินจากการแทงพนันเสร็จสรรพแม่มะลิก็ด่วนกลับบ้านไปก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าทำอาหารไปขายที่โรงเรียน ส่วนมะปรางกับเติร์ดก็เดินเที่ยวชมการละเล่นในงานวัดกันต่อเห็นผู้กองหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินมาแต่ไกล เติร์ดจึงรีบกระซิบบอกมะปรางทันทีว่าผู้ชายคนนี้เป็นตำรวจที่เพิ่งย้ายมาประจำการใหม่ที่ชุมชน เตชินมองมะปรางเหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูดด้วย เนื่องจากว่าทั้งคู่รู้จักและสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี“มองหน้าฉันแบบนี้ มีอะไรคะผู้กอง” มะปรางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างตามนิสัยแก่นแก้วของเธอ“ฉันแค่เดินสำรวจความเรียบร้อย เผอิญเก็บยานอนหลับได้ด้วยนะ”“ใครอยากรู้?” มะปรางพูดทั้งที่สายตาล่อกแล่กไปมา“ฉันก็แค่สงสัยว่ากวินต่อยเธอจนแทบกระอักเลือดแต่เธอกลับไม่เป็นอะไรเลย ต่างจากเธอที่ต่อยกวินไปแค่หมัดสองหมัด ซึ่งไม่น่าจะทำให้เขาน็อกได้ ฉันคิดว่าเขาอาจจะแค่หลับเพราะฤทธิ์ยานี่หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำนะครับ แถมยังทิ้งหลักฐานเอาไว้อีกต่างหาก” เตชินพูดพร้อมมองไปที่เติร์ดแล้วหันมาสบตากับมะปรางอย่างยิ้มเยาะ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่มองค้อนกลับไปอย่างไม่พอใจนัก ตามศักดิ์แล้ว
มะปรางถูกจับตัวแยกออกมาเพื่อไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของผู้กองเตชิน“นั่งก่อนสิ”ทันทีที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เตชินก็ผ่ายมือข้างหนึ่งพร้อมกล่าวให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามของโต๊ะทำงาน เด็กสาวมองคนตรงหน้านิ่ง ๆ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ซึ่งเตชินก็รับรู้ถึงความคิดของเธอผ่านดวงตาคู่สวยคู่นั้น“มานั่งนี่” เขาพูดอีกครั้งพร้อมตบหน้าตักของตัวเอง“ชิ!” เด็กสาวยืนกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เธอแสดงท่าทีกะบึงกะบอนใส่ชายหนุ่มอย่างตั้งใจ เรื่องราวในอดีตทำให้เธอแสดงท่าทีออกมาอย่างนั้น“มานั่งนี่เร็ว เด็กดีของเฮีย” มะปรางมองซ้ายมองขวาก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ อออมาที่มุมปาก เธอเดินตรงไปนั่งบนตักของชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี เมื่อเขาแทนตัวเองว่าเฮียกับเธอเหมือนเมื่อหลายปีก่อน มะปรางสวมกอดเตชินด้วยความคิดถึง ทั้งที่ในใจยังโกรธเคืองเขาอยู่“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณเป็นตำรวจ” จากคนที่ดูเหมือนจะร่าเริงเมื่อครู่ตอนนี้สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยคำถาม มะปรางกอดอกพร้อมหรี่ตามองเตชินอย่างจับผิด“หึ” เตชินเค้นเสียงหัวเราะในลำคอหนาพร้อมรั้งศีรษะของเด็กสาวมาแนบอก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืนเพีย
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องขัง มะปรางก็รีบมาหาเตชินตามที่นัดหมาย ซึ่งกระดาษที่เตชินให้กับเธอเมื่อคืนมีข้อความสั้น ๆ ระบุสถานที่อยู่ลับของเขา ตัวอักษรที่ไม่มีใครอ่านออก มีเพียงมะปรางคนเดียวเท่านั้นที่แกะรหัสตัวอักษรพวกนั้นได้เด็กสาวสแกนรหัสผ่านประตูห้องลับด้วยรอยสักบาร์โค้ดขนาดเล็กที่อยู่บริเวณข้อมือข้างซ้าย รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเตชินซึ่งเธอแอบสักไว้เมื่อหลายปีก่อน เธอปกปิดรอยสักนี้ไว้ภายใต้นาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสีเตชินที่กำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ เขารับรู้ถึงการมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มือหนาเอื้อมไปปิดฝักบัวก่อนจะดึงชุดคลุมอาบน้ำมาสวมใส่ เขาเดินไปหยิบแท็บเล็ตแล้วเข้าไปเช็กดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในเซฟเฮาส์ จึงได้รู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคือมะปรางเขาบิดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงสามารถเข้าไปในห้องลับของเขาได้ ห้องนั้นมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่สามารถยืนยันตัวตนและเข้าไปได้ หรือว่า...“คุณไม่ใช่ตำรวจจริง ๆ ด้วย คุณปลอมตัวมาอีกแล้ว” มะปรางพูดขึ้นเมื่อเห็นเตชินปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เธอนั่งอ่านข้อมูลส่ว
“ใครเหรอครับหัวหน้า เด็กฝึกคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ” เซนเอ่ยถามทันทีที่เตชินเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน หลังจากที่เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงโทนสีเดียวกัน“เธอเป็นคนที่นี่ พวกเราจะทำงานสะดวกขึ้นถ้าหากมีคนในท้องที่ทำงานด้วย” เตชินตอบกลับไป ขณะที่สายตาของเด็กฝึกทั้งสามคนต่างก็จ้องมองมาอย่างจับผิด “ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”คำพูดของหัวหน้าทำให้เด็กฝึกหันหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางทันที พวกเขาพากันแอบยิ้มแหยเตชินเล็กน้อย“หัวหน้าครับผมได้เบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้” ซานพูดพร้อมชี้ไปที่ภาพแผนที่ ซึ่งปักด้วยหมุดสีเขียว“ที่สนามเด็กเล่นมีอะไร”“บริเวณหลังสนามเด็กเล่นมีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน แต่ที่บริเวณตรงนี้รกชันไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง จึงยากที่มองเห็นมันในตอนแรก”พื้นที่ที่ถูกปักด้วยหมุดสีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นหมุดสีแดงด้วยฝีมือของเตชิน“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะไปสำรวจที่นั่นกัน”“ครับหัวหน้า” เซนและซานพูดขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นนาวินที่ดูกำลังจะวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง ทำให้เตชินหันไปมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก“ไอ้วิน” ไม่มีการตอบรับกลับมาแ
“แม่...ปรางไปทำงานก่อนนะ” มะปรางตะโกนพูดหลังจากที่แต่งตัวเสร็จสรรพ หากว่าเธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก แม้รายได้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นงานสุจริตเพียงหนึ่งเดียวที่เธอทำอยู่“อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาอีกล่ะ” ประโยคสุดฮิตที่แม่มะลิมักจะบอกกับลูกสาวก่อนไปทำงาน มะปรางหยิบกระเป๋ามาคล้องบ่าแล้วเดินไปสวมใส่รองเท้าผ้าใบอย่างเคยชิน“ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องปรางก่อน ปรางก็จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนะแม่นะ” พูดจบมะปรางก็เดินออกไปจากบ้านในทันที“จริง ๆ เลยลูกคนนี้ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด” คนเป็นแม่พูดตามหลัง หากว่าลูกสาวตัวดีมีหรือจะสะทกสะท้าน@ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์“ไงคะพี่เต ทายสิว่าพวกเราอยู่ที่ไหนเอ่ย” คาริสาเอ่ยทักทายเพื่อนหนุ่มอย่างยียวนกวนประสาท โดยมีเรติกาถือกล้องสำหรับวิดีโอคอล‘มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ถ้าจะมาป่วนงานของฉันก็รีบไสหัวกลับไป ก่อนที่ฉันจะโทรบอกผัวพวกแกให้มาลากคอกลับไป’“อร้ายไอ้เต อย่าพูดอะไรเป็นลางสิ” เรติกาส่งเสียงกรีดร้อง หากว่ามนุษย์ผัวคือสิ่งมีชีวิตที่เธอเกรงกลัวที่สุด ต่างจากคาริสาที่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“นี่เต...พวกเราสองคนแค่มาเที่ยวไม่เห็น
“ตอนนี้เรารู้แหล่งกบด่านของเป้าหมายแล้ว พวกมันยังมีพรรคพวกไม่มาก แต่อย่าชะล่าใจไปเพราะเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”“พวกมันเหมือนรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเพิ่งเริ่ม...” ซานออกความเห็น“จริง ๆ เรื่องนี้มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกของมันส่วนใหญ่ถูกยัดเข้าคุกกันหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอดเลยสักคน ที่แน่ ๆ ตอนนี้แกนนำของพวกมันบางส่วนกลับมาแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือหาหลักฐานให้เพียงพอเพื่อยัดพวกมันกลับเข้าคุกอีกครั้ง”“หัวหน้าครับ ผมได้เวลาไปทำหน้าที่แล้ว” เซนพูดขึ้นแทรก เขาสวมใส่ชุดนักเรียนชายมัธยมปลาย เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนในชุมชน เพราะเตชินเชื่อว่าต้องมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกันในโรงเรียน ที่น่าจะรู้เรื่องราวแวดวงใน แม้มันอาจจะเป็นงานน่าเบื่อไปหน่อยแต่เซนก็ทำทุกอย่างเพื่อทีม“อย่าทำตัวฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันล่ะ”“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก หัวหน้าไว้ใจได้”เตชินพยักหน้าให้กับเด็กฝึก บ่งบอกว่าเขาไว้ใจและมั่นใจในการทำงานของเซน“แต่งตัวหล่อเชียว ชุดนักเรียนเหมาะกับเซนมากเลย ลาออกจากองค์กรแล้วไปเรียนต่อก็ใช้ได้อยู่นะ”“ยัยเคส!” เตช
“แม่...ปรางไปทำงานก่อนนะ” มะปรางตะโกนพูดหลังจากที่แต่งตัวเสร็จสรรพ หากว่าเธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก แม้รายได้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นงานสุจริตเพียงหนึ่งเดียวที่เธอทำอยู่“อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาอีกล่ะ” ประโยคสุดฮิตที่แม่มะลิมักจะบอกกับลูกสาวก่อนไปทำงาน มะปรางหยิบกระเป๋ามาคล้องบ่าแล้วเดินไปสวมใส่รองเท้าผ้าใบอย่างเคยชิน“ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องปรางก่อน ปรางก็จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนะแม่นะ” พูดจบมะปรางก็เดินออกไปจากบ้านในทันที“จริง ๆ เลยลูกคนนี้ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด” คนเป็นแม่พูดตามหลัง หากว่าลูกสาวตัวดีมีหรือจะสะทกสะท้าน@ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์“ไงคะพี่เต ทายสิว่าพวกเราอยู่ที่ไหนเอ่ย” คาริสาเอ่ยทักทายเพื่อนหนุ่มอย่างยียวนกวนประสาท โดยมีเรติกาถือกล้องสำหรับวิดีโอคอล‘มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ถ้าจะมาป่วนงานของฉันก็รีบไสหัวกลับไป ก่อนที่ฉันจะโทรบอกผัวพวกแกให้มาลากคอกลับไป’“อร้ายไอ้เต อย่าพูดอะไรเป็นลางสิ” เรติกาส่งเสียงกรีดร้อง หากว่ามนุษย์ผัวคือสิ่งมีชีวิตที่เธอเกรงกลัวที่สุด ต่างจากคาริสาที่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“นี่เต...พวกเราสองคนแค่มาเที่ยวไม่เห็น
“ใครเหรอครับหัวหน้า เด็กฝึกคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ” เซนเอ่ยถามทันทีที่เตชินเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน หลังจากที่เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงโทนสีเดียวกัน“เธอเป็นคนที่นี่ พวกเราจะทำงานสะดวกขึ้นถ้าหากมีคนในท้องที่ทำงานด้วย” เตชินตอบกลับไป ขณะที่สายตาของเด็กฝึกทั้งสามคนต่างก็จ้องมองมาอย่างจับผิด “ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”คำพูดของหัวหน้าทำให้เด็กฝึกหันหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางทันที พวกเขาพากันแอบยิ้มแหยเตชินเล็กน้อย“หัวหน้าครับผมได้เบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้” ซานพูดพร้อมชี้ไปที่ภาพแผนที่ ซึ่งปักด้วยหมุดสีเขียว“ที่สนามเด็กเล่นมีอะไร”“บริเวณหลังสนามเด็กเล่นมีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน แต่ที่บริเวณตรงนี้รกชันไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง จึงยากที่มองเห็นมันในตอนแรก”พื้นที่ที่ถูกปักด้วยหมุดสีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นหมุดสีแดงด้วยฝีมือของเตชิน“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะไปสำรวจที่นั่นกัน”“ครับหัวหน้า” เซนและซานพูดขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นนาวินที่ดูกำลังจะวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง ทำให้เตชินหันไปมองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก“ไอ้วิน” ไม่มีการตอบรับกลับมาแ
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องขัง มะปรางก็รีบมาหาเตชินตามที่นัดหมาย ซึ่งกระดาษที่เตชินให้กับเธอเมื่อคืนมีข้อความสั้น ๆ ระบุสถานที่อยู่ลับของเขา ตัวอักษรที่ไม่มีใครอ่านออก มีเพียงมะปรางคนเดียวเท่านั้นที่แกะรหัสตัวอักษรพวกนั้นได้เด็กสาวสแกนรหัสผ่านประตูห้องลับด้วยรอยสักบาร์โค้ดขนาดเล็กที่อยู่บริเวณข้อมือข้างซ้าย รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเตชินซึ่งเธอแอบสักไว้เมื่อหลายปีก่อน เธอปกปิดรอยสักนี้ไว้ภายใต้นาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสีเตชินที่กำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ เขารับรู้ถึงการมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มือหนาเอื้อมไปปิดฝักบัวก่อนจะดึงชุดคลุมอาบน้ำมาสวมใส่ เขาเดินไปหยิบแท็บเล็ตแล้วเข้าไปเช็กดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในเซฟเฮาส์ จึงได้รู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคือมะปรางเขาบิดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงสามารถเข้าไปในห้องลับของเขาได้ ห้องนั้นมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่สามารถยืนยันตัวตนและเข้าไปได้ หรือว่า...“คุณไม่ใช่ตำรวจจริง ๆ ด้วย คุณปลอมตัวมาอีกแล้ว” มะปรางพูดขึ้นเมื่อเห็นเตชินปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เธอนั่งอ่านข้อมูลส่ว
มะปรางถูกจับตัวแยกออกมาเพื่อไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของผู้กองเตชิน“นั่งก่อนสิ”ทันทีที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เตชินก็ผ่ายมือข้างหนึ่งพร้อมกล่าวให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามของโต๊ะทำงาน เด็กสาวมองคนตรงหน้านิ่ง ๆ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ซึ่งเตชินก็รับรู้ถึงความคิดของเธอผ่านดวงตาคู่สวยคู่นั้น“มานั่งนี่” เขาพูดอีกครั้งพร้อมตบหน้าตักของตัวเอง“ชิ!” เด็กสาวยืนกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เธอแสดงท่าทีกะบึงกะบอนใส่ชายหนุ่มอย่างตั้งใจ เรื่องราวในอดีตทำให้เธอแสดงท่าทีออกมาอย่างนั้น“มานั่งนี่เร็ว เด็กดีของเฮีย” มะปรางมองซ้ายมองขวาก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ อออมาที่มุมปาก เธอเดินตรงไปนั่งบนตักของชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี เมื่อเขาแทนตัวเองว่าเฮียกับเธอเหมือนเมื่อหลายปีก่อน มะปรางสวมกอดเตชินด้วยความคิดถึง ทั้งที่ในใจยังโกรธเคืองเขาอยู่“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณเป็นตำรวจ” จากคนที่ดูเหมือนจะร่าเริงเมื่อครู่ตอนนี้สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยคำถาม มะปรางกอดอกพร้อมหรี่ตามองเตชินอย่างจับผิด“หึ” เตชินเค้นเสียงหัวเราะในลำคอหนาพร้อมรั้งศีรษะของเด็กสาวมาแนบอก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืนเพีย
หลังจากนับเงินจากการแทงพนันเสร็จสรรพแม่มะลิก็ด่วนกลับบ้านไปก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าทำอาหารไปขายที่โรงเรียน ส่วนมะปรางกับเติร์ดก็เดินเที่ยวชมการละเล่นในงานวัดกันต่อเห็นผู้กองหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินมาแต่ไกล เติร์ดจึงรีบกระซิบบอกมะปรางทันทีว่าผู้ชายคนนี้เป็นตำรวจที่เพิ่งย้ายมาประจำการใหม่ที่ชุมชน เตชินมองมะปรางเหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูดด้วย เนื่องจากว่าทั้งคู่รู้จักและสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี“มองหน้าฉันแบบนี้ มีอะไรคะผู้กอง” มะปรางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างตามนิสัยแก่นแก้วของเธอ“ฉันแค่เดินสำรวจความเรียบร้อย เผอิญเก็บยานอนหลับได้ด้วยนะ”“ใครอยากรู้?” มะปรางพูดทั้งที่สายตาล่อกแล่กไปมา“ฉันก็แค่สงสัยว่ากวินต่อยเธอจนแทบกระอักเลือดแต่เธอกลับไม่เป็นอะไรเลย ต่างจากเธอที่ต่อยกวินไปแค่หมัดสองหมัด ซึ่งไม่น่าจะทำให้เขาน็อกได้ ฉันคิดว่าเขาอาจจะแค่หลับเพราะฤทธิ์ยานี่หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำนะครับ แถมยังทิ้งหลักฐานเอาไว้อีกต่างหาก” เตชินพูดพร้อมมองไปที่เติร์ดแล้วหันมาสบตากับมะปรางอย่างยิ้มเยาะ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่มองค้อนกลับไปอย่างไม่พอใจนัก ตามศักดิ์แล้ว
ในค่ำคืนที่แสนอลวนวุ่นวาย ทุกปีจะมีเทศกาลงานวัดจัดขึ้นเพื่อพัฒนาชุมชนเล็ก ๆ ที่ทั้งแออัด ทุรกันดาร และห่างไกลความเจริญผู้ใหญ่ผินถือโอกาสนี้เปิดตัวหลานชาย เตชิน สกุลเกียรติ ในฐานะร้อยตำรวจเอกหรือผู้กองหนุ่มไฟแรง ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนาริน สกุลเกียรติ พี่สาวของผู้ใหญ่ผินด้วยใบหน้าหล่อคมทรงเสน่ห์ของผู้กองหนุ่มทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ที่มาร่วมเทศกาลงานวัดต่างฮือฮากันทั้งชุมชนเทศกาลงานวัดประกอบไปด้วยชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน ปาลูกโป่ง สาวน้อยตกน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย หากแต่ว่าการละเล่นต่าง ๆ ภายในงานก็ยังหนีไม่พ้นการพนันขันต่อเหมือนอย่างทุกปีพนันมวยที่ท้าดวลระหว่าง มะปราง ลูกสาวคนเดียวของแม่มะลิ กับ กวิน ลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่ผินที่ทำทรงเป็นนักเลงประจำหมู่บ้านรอบสังเวียนมวยอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายที่ต่างแห่มาดูศึกดวลครั้งนี้ โดยมีแม่มะลิตั้งตัวเป็นเจ้ามือคอยรับแทงพนันกันอย่างลับ ๆแน่นอนว่าคนที่ไม่มีศิลปะมวยไทยอย่างมะปรางจะต้องใช้แผนซ้อนแผน เพื่อจัดการกับกวินที่เป็นคู่ปรับของเธอตั้งแต่สมัยอนุบาล กวินต้องการที่จะเอาชนะมะปรางสักครั้ง จึงท้าดวลกับมะปรางในเรื่