“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”
“ห่วงฉัน อยากให้ฉันหาย?” เขาถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น และคำตอบก็คือการพยักหน้าของปวริศา
ไม่นานนัยน์ตาดำขลับของภาธรก็วาวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแนบชิดใบหน้าหวานละมุนแต่ติดเศร้าพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน
“งั้นช่วยเป็นป่านให้ฉันสักวันสิ”
ไม่พอยังจงใจยิ้มยั่ว ซึ่งประโยคนี้มีพลังทำลายล้างได้เป็นอย่างดี
“จะทำลายหัวใจของหวานไปถึงไหน” แทบน้ำตาไหล ดีที่ห้ามมันอยู่
“จนกว่าจะมอดไหม้” ภาธรสวนกลับอย่างไม่ไยดียิ่งเงยหน้าสบตาปวริศาก็ยิ่งเจ็บลึก บางทีก็นึกอยากจะเอามีดมากรีดแหวกหัวใจภาธรดูว่ายังเต้นหรือไม่ ทำไมถึงใจร้ายเยี่ยงนี้
“เลือกมา ไม่งั้นก็กลับไป”
“ถ้านี่คือการชดใช้ คืนนี้หวานจะเป็นคุณป่านให้คุณ”
“ตกลง”
เพียงจบคำ
“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น“ค่ะ”เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
“ใครว่าจะลงมาส่ง จะช่วยเก็บของ”“เก็บของทำไมคะ หวานไม่ได้จะไปไหนและไม่ไปด้วย” หญิงสาวกลัวว่าเขายังจะลากเธอไปทำร้ายความรู้สึกอีก“ป่านจะย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้าน ไม่มีคนดูแลป่าน ช่วยไปดูแลหน่อย”“เกมของคุณธรควรจบได้แล้วและหวานจะไม่เป็นตัวแทนให้ใครอีกแล้ว” ปวริศาสวนกลับไปพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ ดวงตาก็ดูกระด้างขึ้นแต่นั่นเธอปั้นเพื่อหลอกเขา“ยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนแล้วละหวาน เพราะฉันมีตัวจริงแล้ว แต่เกมของเรายังจบง่ายๆไม่ได้หรอก ชดใช้ให้ฉันต่ออีกหน่อยสิ แค่นี้ฉันยังไม่พอใจเลย จนกว่าจะจบงานแต่งแล้วกัน” ภาธรพูดเหมือนทุกเรื่องเป็นเรื่องง่ายหญิงสาวรู้ว่าบุรุษคนนี้ตั้งใจจะบีบหัวใจกันให้แหลก การเข้าไปที่นั่นทำให้แผลขยายกว้างด้วยฝีมือเขา คงไม่มีทางบรรเทาได้ การที่จะคุกเข่าอ้อนวอนเขาเธอไม่คิดจะทำและเขาเองก็ไม่มีวันเห็นใจ“ถ้าคุณธรอยากได้แบบนั้นหวานจะเข้าไปเก็บเอง แต่รู้เอาไว้ว่าหวานก็จะรอเวลาที่เป็นอิสระใจจะขาด” หญิงสาวเชื่อว่าความชังของเขาที่มีต่อกันคงมากมายเท่าภูเขาลูกโต“ดี” เขาว่าสั้นๆ แถมยังยักไหล่“อย่าร้องไห้ด้วยล่ะ ฉันไม่ว่างเช็ดน้ำตาให้”“ถ้าหวานร้อง หวานก็มีมือเช็ดน้ำตาเองได้” ดวง
บทที่ 4บีบหัวใจหลายวันผ่านมา...เช้าวันนี้ปวริศาเร่งออกจากบ้านเพื่อไปที่ทำงาน เธอหวังว่าอย่างน้อยการหลีกเลี่ยงเจอหน้าของภาธรสักระยะ คงจะทำให้เธอคลายทุกข์ไปบ้าง แม้รู้ว่าวิธีนี้ไม่ใช่ทางแก้ไขไม่ถึงยี่สิบนาทีจากเวลาเริ่มงาน ความหวังของปวริศาก็พังทลายลง เพราะตอนนี้ภาธรมายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้ว แถมข้างกายก็มีมาติกายืนอยู่ด้วย“ผมพาพนักงานใหม่มาแนะนำ”ภาธรบอกจุดประสงค์ที่มายังแผนกนี้ ส่วนมาติกานั้นพนมมือทั้งสิบขึ้นแล้วไหว้อย่างมีมารยาทกับทุกคน พร้อมกับโปรยรอยยิ้ม“คุณป่านนั่งตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะสอนงานให้เองครับ”ศรันย์หัวหน้าของแผนกออกไปรับพร้อมบอกตำแหน่งโต๊ะทำงานของมาติกาที่ถูกจัดให้ไว้แล้ว ทุกคนมองด้วยความประหลาดใจและอึ้งๆ เพราะไม่คาดคิดว่าพนักงานใหม่จะเป็นอดีตคนที่เจ้านายรัก พวกเธอคิดกันว่าคือคนของมารดาภาธรเสียอีกเสียงเข้มที่สั่งออกมาไม่ต่างจากคำประกาศิตทำให้ศรันย์หยุดชะงัก“ปวริศาต้องเป็นคนสอนงาน”“เอ่อ...คือ”ศรันย์ทำสีหน้ารู้สึกแย่เพราะรู้ดี
ปวริศาเร่งเดินตามกลุ่มของเพื่อนร่วมงาน และพอหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่ร้านประจำทุกคนก็หันมามองพร้อมกับสายตามีคำถามกันทุกคน เพียงยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามออกมา เนื่องด้วยกลัวกระทบความรู้สึก“หวานหย่าแล้วค่ะ คุณธรเป็นอิสระ” ร่างบางพูดออกไป ไม่จำเป็นต้องมีใครถามออกมา แค่มองตาก็พอรู้ได้ พร้อมกับต้องยิ้ม เพราะมันคือการให้กำลังใจตัวเองที่ดีของหล่อน“ไหวหรือเปล่า พวกพี่ยินดีให้หวานระบายนะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นอกเห็นใจ ขนาดได้ใช้นามสกุลร่วมกัน ก็ยังแทบจะไม่ให้ความสำคัญ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าปวริศาจะต้องเจอกับอะไร“หวานไหวค่ะ” ใบหน้าเคล้าความเศร้า ปวริศาไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ที่สำคัญภาธรจะไม่ได้เห็นน้ำตาเม็ดร้อนๆ หรือดวงตาที่อ่อนไหวอีก“แล้วคุณท่าน…” ผู้หญิงคนเดิมถามต่อ“ยังไม่ทราบ หวานขอให้คุณธรยังไม่บอก หวานจะหาเวลาเหมาะ ๆ บอกเอง” ตอนนี้ก็ได้แต่ไปสอบถามอาการของสรวิศจากนางพยาบาลเป็นระยะ เธออยากให้ท่านดีขึ้นไวๆ แม้ว่าหนึ่งในความห่วงใยนั้นจะมีความอยากเป็นอิสระจ
“ท่านบอกไว้แล้ว ยังไงท่านก็ต้องรู้ รับมือให้ไหว” ภาธรไม่ได้แสดงความตกใจ เพราะข้อความที่ถูกส่งมาก็คือข้อความจากมารดาที่บอกถึงจุดประสงค์ที่จะเข้ามาที่นี่ประโยคท้าย ภาธรเน้นหนักเพราะอยากให้ทำให้ได้ และไม่ได้บอกเพียงมาติกาเท่านั้น ชายหนุ่มจงใจจะบอกพร้อมกับปวริศาด้วยสิ้นวาจา ทั้งมาติกาและปวริศาก็กำมือแน่น เพราะการรับมือกับท่านไม่ใช่เรื่องง่ายความเกลียดชังที่มีในใจของภคนันท์ มันคือตัวการที่ทำให้ต้องหวาดหวั่นซึ่งพวกเธอต่างเคยสัมผัสฤทธิ์ความร้ายของภคนันท์มามากแล้วปวริศาสูดหายใจเข้าปอดลึก ถึงจะกลัวแต่มันคือความจริงอย่างที่ภาธรว่า เธอต้องรับมือให้ได้ เจ้าหล่อนจึงแสร้งทำตัวให้เป็นปกติที่สุดทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้านประตูบ้านยังไม่ถึงสามก้าวด้วยซ้ำ เสียงตวาดก็ดังลั่น ทำเอาความเข้มแข็งที่มีแทบจะร่วงไปที่พื้น“ยัยป่าน นังหวาน ทำไมแกสองคนมากับลูกชายฉัน” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับเดินเข้าไปหวังประชิดตัวคล้ายจะหาเรื่อง ภาธรกลับมาขวางเอาไว้“ตาธรอธิบายแม่มา แกเอานังสองคนนี้มาด้วยทำไม แม่บอกแกแล้วว่าวันนี้แม่จะเอาคนของแม่มา&rdqu
“ช่วยดูแลป่าน”นั่นอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงบนโครงหน้าของคนฟังปรากฏรอยยิ้มอย่างสะใจ เพราะมันแสดงว่าปวริศามีค่าเพียงเท่าใด หล่อนพึงพอใจที่สุดหากลูกชายจะเกลียดและทำให้ปวริศานั้นเจ็บเหมือนที่เธอได้ประสบมา“ยังไงแม่ก็ไม่ยอมรับ ไม่มีใครเหมาะกับธรเท่าหนูนิอีกแล้ว”จีบปากจีบคอพูดและมองยังคนที่ช่วยประคองหล่อนในตอนนี้ สายตามีความเอ็นดู ทว่าหนึ่งในนั้นก็คือความละโมบแทรกอยู่ด้วย“เธอไม่เหมาะกับผม เพราะผมไม่ได้รักเธอ”ประโยคแรกทำเอาคุณิตาหน้าชา ประโยคต่อมานั้นยิ่งกว่า ไม่ต่างจากถูกลากไปตบกลางสี่แยก เพราะทั้งรู้สึกเจ็บและอายจนอยากจะวิ่งหนี“ถอยเถอะ ถ้าไม่อยากลงข่าวว่าแย่งสามีคนอื่น”“ธร”ภคนันท์เรียกชื่อลูกเสียงเขียวด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความกรุ่นโกรธ“จะให้ผมไปส่งไหมครับ”“ธรไล่แม่” ผู้เป็นแม่ช้อนสายตามองอย่างตัดพ้อและน้อยใจ“แม่ควรพักผ่อน ผมก็ด้วย” คนพูดไม่ได้ปฏิเสธ แต่ที่ทำเพราะอยากจะจบปัญหา“นิ
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่
บทที่ 13พิสูจน์ใจ“สอนฉันทำอาหารบ้างสิ ฉันอยากทำให้พ่อทาน” ภาธรตามปวริศาเข้ามาในครัวและลองขอ ตอนนี้ทุกอย่างที่จะทำให้บิดาได้ เขาทำหมด แม้ไม่ได้ถนัดการทำครัวมากนัก อย่างมากก็มีไข่ทอดและผัดกะเพราหมูเท่านั้นที่ทำได้“ค่ะ” ปวริศาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นกันว่านี่คงจะทำให้สรวิศยิ้มได้ “งั้นเริ่มจากไปล้างผักและหั่นผักค่ะ” โดยวันนี้เมนูที่เธอจะทำก็คือผัดผักรวมมิตรและแกงจืดหมูสับภาธรรับคำสั่ง ชายหนุ่มหยิบผักกาดขาว แคร์รอต และบรอกโคลีไปล้าง ก่อนจะหยิบเขียงพร้อมมีดออกมา ปวริศาสอนการหั่นผักแต่ละอย่างและปล่อยให้ภาธรได้ทำตอนนี้ชายหนุ่มหั่นผักกาดขาวและบรอกโคลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังหั่นแคร์รอต ฟากหญิงสาวก็หั่นหมูและปอกเปลือกกุ้ง ไม่นานแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตั้งเตาก็หันไปมองตามเสียงร้องลั่นของภาธร“โอ๊ย” ชายหนุ่มมัวแต่เหลือบมองปวริศา เนื่องจากร่วมหลายวันแล้วกระมังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ เพราะปวริศามักจะหนีหน้า หรือไม่ก็เว้นระยะ จึงให้เอาแต่มองจนเกือบจะหั่นมือตัวเองแล้ว โชคดีที่โดนมีดบาดไม่ลึกมาก ไม่งั้นคงจะเสียนิ้วพอเห็นเลือดท
เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ภาธรยังตามภรรยาต้อย ๆ แม้มันอาจจะไม่ได้ทุกวัน เพราะบางครั้งก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทและไปจัดการเคลียร์เอกสาร แต่ภาธรก็มักจะมากินข้าวเย็นด้วยเสมอโดยตอนนี้ปวริศามีความคิดที่จะพักเรื่องการหางานไว้ก่อน เพราะท้องเริ่มโตขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากในการเดินทาง แถมน้อยบริษัทนักที่จะรับพนักงานในช่วงตั้งครรภ์ที่สำคัญก็คือ อยากดูแลสรวิศ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจจนร้องไห้กับเรื่องที่เพิ่งทราบว่าท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนนี้สิ่งเดียวที่ตอบแทนได้ก็คือเธอจะดูแลท่านให้ดีที่สุด“มันควรมีชื่อฉันอยู่ตรงนั้น” ภาธรว่าขณะยืนมองปวริศากรอกข้อมูลในประวัติการฝากครรภ์ โดยมีช่องหนึ่งที่หญิงสาวเว้นไว้แล้วเลือกไปกรอกข้อมูลข้ออื่นก่อน นั่นคือช่องของชื่อบิดาของลูกในครรภ์ปวริศาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แต่สายตาก็ว่างเปล่าและเย็นชา แถมยังไม่ได้ทำตามคำที่ภาธรร้องขอ หล่อนเลือกที่จะเขียนลงไปว่าไม่ระบุแทน นั่นทำให้ภาธรรู้สึกหนาวเหน็บและทนดูเจ้าหล่อนกรอกต่อไปไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนถูกขยี้หัวใจให้แตกละเอียดปวริศาไม่สนใจ เมื่อกรอกเสร็จก็ยื่นให้นางพยาบาลและร
บทที่ 12อยากให้รู้ว่ารัก“ไม่ต้องออกไปหางาน กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม หรือไม่ก็เตรียมตัวเป็นแม่ก็พอ” ภาธรสั่ง เพราะได้รับรายงานจากทักษ์ดนัยว่าคนที่ให้เฝ้าดูนั้นได้ออกหางานมาแล้วหนึ่งวัน ซึ่งวันนี้ปวริศาก็กำลังจะออกไปหางานอีกเช่นกัน“หวานขอปฏิเสธ แล้วหวานก็ลาออกจากที่นั่นแล้ว”“ฉันไม่เคยเซ็นใบลาออกให้ และไม่เคยคิดจะเซ็น” เขาบอกเสียงหนักแน่น หัวใจเต้นเร็วไวขึ้นจากแรงปรารถนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ร่วมอาทิตย์แล้วที่ปล่อยให้หญิงสาวมีอิสระและได้ผ่อนจากความเครียด โดยที่เขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ก็สั่งกำชับทักษ์ดนัยให้ดูแลปวริศาอย่างดีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขายอมหายหน้าไปคือสะสางงานที่ค้างให้เสร็จ คราวนี้จะได้เดินหน้าง้อปวริศาเต็มที่“นั่นคงเป็นเรื่องของคุณธรค่ะ ช่วยหลีกทางด้วย หวานไม่อยากให้สาย หวานมีนัดสัมภาษณ์งานแล้ว” ปวริศาปฏิเสธเสียงแข็ง และต้องสั่งเขา เพราะพอขยับเท้าไปอีกทาง เขาก็ขยับตามหญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ วันนี้เขาถึงโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่หายไปเป็นอาทิตย์ มาให้ใจเธอต้องป