“เสร็จแล้วก็กลับไป”
แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้ว
ที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม
“ใครมาหรือคะธร”
“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบัน
เนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เอง
ไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...
“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้
“หวานไม่เข้า”
หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่
เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้องการจะเห็นหล่อนพ่ายแพ้และแสดงความอ่อนแอออกมา
น้ำตาเม็ดกลมใสๆ หยดย้อยมาจากขอบตา แต่ร่างระหงก็ปาดมันออก
หญิงสาวทิ้งก้นลงนั่งที่ป้ายรถเมล์ ใช่เธออ่อนไหว แต่ก็ไม่ได้อยากจะอ่อนแอตลอดไป
หญิงสาวพยายามปรับอารมณ์และสีหน้า เพราะตระหนักดีว่าความอ่อนแอคืออุปสรรคที่จะให้ชีวิตเดินหน้า ที่สำคัญไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงและมันอาจจะหลุดลอยไปถึงหูของสรวิศ
หญิงสาวกลับมาถึงออฟฟิศได้ไม่ถึงสามชั่วโมงกลับมีสายเรียกเข้าจากใครคนหนึ่ง ทำให้ปวริศาเม้มปากและชั่งใจอยู่นานว่าจะรับสายดีหรือไม่ เพราะสายนั้นคือมาติกา
ยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อมาติกามีมากหลายหลาก ที่โดดเด่นมากคือความอิจฉาและความละอายที่ทำให้ผู้หญิงดีๆ เดินไปในทางที่เสี่ยงอันตราย
ทันทีที่ปลายสายกดรับ มาติกาก็รีบพูดด้วยความร้อนใจ
“ตอนนี้ธรไม่สบายมากเลยค่ะ ตัวร้อนแล้วก็ปวดหัว”
“ค่ะ” ปวริศาไม่เข้าใจว่ามาติกามีจุดประสงค์ใดกันถึงมาบอกเธอ
“คุณหวานช่วยมาดูธรให้หน่อยได้ไหมคะ”
“คุณป่านดูแลเขาคงจะดีกว่าหวาน” เพราะภาธรคงไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเธอ เผลอๆเห็นหน้าจะขับไสไล่ส่งอย่างสาดเสียเทเสีย ทว่าหากเป็นมาติกาเขาคงได้กำลังใจ หายวันหายคืน
“ป่านทำไม่ได้ค่ะ ป่านกำลังกลับไปปางไม้” พอได้ยินคำว่าปางไม้ มันก็ทำให้ใจคนฟังมีความรู้สึกผิด ใครๆก็ว่าที่นั่นไม่ต่างจากขุมนรก
“หวานขอโทษ...” ริมฝีปากสั่นพร่าเอ่ยบอกจากใจ
“ป่านจะยกโทษให้เมื่อคุณช่วยไปดูธรค่ะ”
แม้มาติกาอยากจะสวนค้านไปเรื่องหนึ่งเมื่อล่วงรู้ความคิดของปวริศาว่าโทษตัวเองด้วยเรื่องใด แต่ตอนนี้ตอบออกไปแบบนี้จะดีกว่า
ปวริศาเงียบ หัวสมองกำลังคิดหนัก
“ป่านหวังว่าคุณหวานจะมา”
นี่เป็นประโยคสุดท้ายในการสนทนา เมื่อพูดจบมาติกาก็ตัดสายเพราะเธอจำต้องรีบกลับ ก่อนที่ใครบางคนจะรู้ตัว
หญิงสาวคิดใคร่ครวญหาคำตอบ มีสองสิ่งที่กำลังต่อสู้กันคือสมองและหัวใจ สติที่มีพร่ำบอกว่าอย่าไปเพราะไม่มีทางที่หัวใจจะไม่เจ็บ แต่หัวใจก็ห่วงหาเขาจนใจจะขาด
มากที่สุดคือ การยกโทษของมาติกา เธออยากได้มันมากที่สุด เพื่อให้ความรู้สึกผิดเบาบางไปบ้าง ถึงจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ตาม
ในที่สุดก็ทำให้ปวริศาเลือกที่จะไป สองเท้าเดินออกจากออฟฟิศอีกครั้ง
ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเดิมที่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วคือครั้งนี้ไม่ได้เคาะประตูแต่ไขกุญแจเข้าไปโดยกุญแจมาจากมาติกาที่ฝากไว้ที่นิติบุคคล
หญิงสาวมาหยุดที่หน้าเตียงนอน โดยคนที่หลับไม่รู้ตัวสักนิดว่าเธอมา มือบางอังที่หน้าผากแล้วทำให้เกิดความกลัดกลุ้ม เพราะภาธรตัวร้อนจี๋ ปวริศาตั้งใจไปหยิบอุปกรณ์เช็ดตัว พอหมุนตัวไปก็พบว่ามันวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงแล้ว คงเป็นฝีมือมาติกาและอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่านี่คือสาเหตุที่กระดุมเสื้อเขาหลุด
มันคงไม่ใช่สาเหตุนี้สาเหตุเดียว…แต่หล่อนไม่มีเหตุผลให้ต้องไปคิด…เพราะเขาไม่ใช่ของเธอและไม่เคยใช่มาตลอด
ใจของภาธรไม่เคยโอนเอียงมาหาเธอแม้สักนิด
หญิงสาวตัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เรื่องเดียวที่สำคัญในตอนนี้คือลดไข้ของเขา
ปวริศาแกะกระดุมชุดนอนออกแล้วค่อยๆไล่เช็ด เธอทำแบบนี้อยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับมองกระดาษโน้ตที่มาติกาทิ้งไว้ให้ ‘ป่านให้ธรกินยาไปแล้วตอนเที่ยงตรง’
ตอนนี้ก็ใกล้บ่ายสี่โมงแล้ว โชคดีที่อุณหภูมิร่างกายเขาลดลงจนเป็นที่น่าพอใจ
ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ยังทำหน้าที่ต่อไป เพียงเริ่มเช็ดได้ไม่นาน ภาธรก็เริ่มขยับรู้สึกตัวขึ้น ทว่าคำแรกที่เขาเอ่ยก็ทำให้หล่อนใจบอบช้ำแล้ว
“ป่าน” ทุกนาทีเขาคงมีแต่มาติกา
“หวานไม่ใช่คุณป่าน” เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาธรลืมตาขึ้นได้
“ไปให้พ้นหน้าซะ”
เขาขับไล่น้ำเสียงแข็ง แววตาเผลอแสดงความหงุดหงิดให้เห็น แถมยังลุกจากเตียง ตอนนี้สีหน้าของเขาดูดีขึ้น ชายหนุ่มกำลังกวาดสายตามองไปทั่วๆห้อง
“คุณป่านไปแล้ว” หญิงสาวตอบให้กระจ่าง
สีหน้าของภาธรจึงเปลี่ยนเป็นดุเข้มกว่าเดิม ก่อนจะเห็นเขาคว้าอะไรบางอย่างขึ้น ทำให้ร้องค้านฉับพลัน
“อย่าสูบมันอีกเลยได้ไหมคะ”
เขาลดปริมาณลงมากแล้ว เพราะอยากจะเลิกได้หลายเดือน เนื่องจากคำขอทั้งพ่อและแม่ สูบไปก็ไม่ได้มีอะไรดีกับสุขภาพ เรื่องพวกนี้จะให้เลิกในวินาทีนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีสารให้เสพติด ทว่าเหตุใดกันถึงกลับมาสูบหนักอีก
ทั้งที่เขาไม่ควรมีเรื่องให้เครียดแล้ว สิ่งที่ต้องการอย่างใบหย่าเขาก็ได้มันไปแล้ว ธุรกิจก็ดีดั่งเดิม
“เอาหัวใจของฉันคืนได้ไหมเล่า” เขาตอบพลางมองหน้า
“ถ้าทำได้หวานจะเอามาวางแทบเท้าให้เลยค่ะ” หญิงสาวบอกขณะที่ดวงตาวูบไหว ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”“ห่วงฉัน อยากให้ฉันหาย?” เขาถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น และคำตอบก็คือการพยักหน้าของปวริศาไม่นานนัยน์ตาดำขลับของภาธรก็วาวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแนบชิดใบหน้าหวานละมุนแต่ติดเศร้าพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน“งั้นช่วยเป็นป่านให้ฉันสักวันสิ”ไม่พอยังจงใจยิ้มยั่ว ซึ่งประโยคนี้มีพลังทำลายล้างได้เป็นอย่างดี“จะทำลายหัวใจของหวานไปถึงไหน” แทบน้ำตาไหล ดีที่ห้ามมันอยู่“จนกว่าจะมอดไหม้” ภาธรสวนกลับอย่างไม่ไยดียิ่งเงยหน้าสบตาปวริศาก็ยิ่งเจ็บลึก บางทีก็นึกอยากจะเอามีดมากรีดแหวกหัวใจภาธรดูว่ายังเต้นหรือไม่ ทำไมถึงใจร้ายเยี่ยงนี้“เลือกมา ไม่งั้นก็กลับไป”“ถ้านี่คือการชดใช้ คืนนี้หวานจะเป็นคุณป่านให้คุณ”“ตกลง”เพียงจบคำ
“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น“ค่ะ”เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
บทนำ “พรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันจะหลุดพันธะนี้”เจ้าของเสียงอย่างภาธรก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างกายคนที่พูดด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ปวริศา ภรรยาที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจหญิงสาวเม้มปากแน่น พร้อมกับต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ หล่อนรู้ถึงสิ่งที่ภาธรกำลังจะบอกดี ในเมื่อวันพรุ่งนี้คือ วันที่เขาและเธอจะหย่าขาดจากกันปวริศาเหลือบมองใบหน้าของคนพูด ก่อนก้อนสะอื้นจะวิ่งมาจุกอยู่ที่คอ เพราะทั้งน้ำเสียงและแววตาของภาธร มันสื่อได้ว่าเขาดีใจที่ได้เปลี่ยนสถานะเป็นวิวาห์ร้างไม่ได้มีความลังเลอยู่เลยสักนิดหญิงสาวยกยิ้มอย่างชอกช้ำ และเจ็บไม่ต่างจากมีฝูงมดมารุมกัดกิน ก่อนจะตอบเสียงสั่น“ค่ะ”“ยังอยากจะทำหน้าที่เมียอีกไหม ฉันจะได้ทนทำให้คืนนี้” พูดจบก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏที่มุมปาก พร้อมกับสายตาเบนไปที่เตียงหญิงสาวส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมกัดปากแน่นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ นั่นคงไม่ได้เจ็บมากไปกว่าหัวใจซึ่งบีบรัดตัวอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร ทั้งแววตาและน้ำเสียงมันมีแต่ความเหยียดหยาม“ทำไมล่ะ ไม่ชอบหรือ หน้าที่นั้น”“คุณธรอย่าใจร้ายกับหวานสักวันจะได้ไหมคะ”“ใจร้าย…ฉันเคยทำแบบนั้นหรือหวาน…” ไม่เพียงพูดน้ำเสีย
บทที่ 1แสนชัง“ลาออก?”หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น“ค่ะ”“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้วที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้“กลัวจะบาดใจ?”ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหวตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานใ
เสียงที่หลุดออกมาจากริมปากหยักได้รูป ทำให้ภาธรกระตุกยิ้มอย่างได้ใจไม่นานอาภรณ์ที่อยู่บนตัวของปวริศาก็ค่อยๆหลุดออกมาจากตัวทีละชิ้น แม้จะต่อต้าน ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอดันไหล่กว้างให้ออกห่าง กลับถูกแนบชิดมากกว่าเก่าเสียงจากริมฝีปากเล็กถูกปล่อยออกมาไม่หยุด ไม่ต่างจากภาธรที่หลุดคำรามออกมาเสียงต่ำเมื่อได้เข้าชิดจนเป็นหนึ่งการแสดงออกของเขามันเร่าร้อนราวกับต้องการเผาร่างเล็กให้ไหม้เป็นจุณ สะโพกยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันร้ายยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของคนทั้งคู่ถึงมันจะอบอวลด้วยความหอมหวานในบางขณะ แต่บางครั้งก็อยากจะร้องไห้ เนื่องจากบทรักของเขามันร้าย ที่สำคัญมันดึงศักดิ์ศรีของหล่อนให้พังพินาศลงไปหมดในวินาทีนี้ความเสียใจจึงคืบคลานเข้าหาและปวริศาไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะจบลงอย่างไรกว่าเปลือกตาบางจะกะพริบถี่และเปิดขึ้นก็เป็นช่วงสายของเช้าวันใหม่ ในห้องนี้เหลือไว้แต่ความมืดเพราะม่านสีทึบยังถูกปิดและทิ้งกลิ่นจางๆของควันบุหรี่ ซึ่งคงมาจากเขา“ฮึก…”ปวริศาริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพ่ายแพ้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปมันกลับมาอีกหน ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะในครั้
ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้าภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้นส่วนปวริศาก็ภาวนา
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น“ค่ะ”เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”“ห่วงฉัน อยากให้ฉันหาย?” เขาถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น และคำตอบก็คือการพยักหน้าของปวริศาไม่นานนัยน์ตาดำขลับของภาธรก็วาวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแนบชิดใบหน้าหวานละมุนแต่ติดเศร้าพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน“งั้นช่วยเป็นป่านให้ฉันสักวันสิ”ไม่พอยังจงใจยิ้มยั่ว ซึ่งประโยคนี้มีพลังทำลายล้างได้เป็นอย่างดี“จะทำลายหัวใจของหวานไปถึงไหน” แทบน้ำตาไหล ดีที่ห้ามมันอยู่“จนกว่าจะมอดไหม้” ภาธรสวนกลับอย่างไม่ไยดียิ่งเงยหน้าสบตาปวริศาก็ยิ่งเจ็บลึก บางทีก็นึกอยากจะเอามีดมากรีดแหวกหัวใจภาธรดูว่ายังเต้นหรือไม่ ทำไมถึงใจร้ายเยี่ยงนี้“เลือกมา ไม่งั้นก็กลับไป”“ถ้านี่คือการชดใช้ คืนนี้หวานจะเป็นคุณป่านให้คุณ”“ตกลง”เพียงจบคำ
“เสร็จแล้วก็กลับไป”แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้วที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม“ใครมาหรือคะธร”“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบันเนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เองไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้“หวานไม่เข้า”หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้อง
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หัวใจเธอไม่เอาแล้วนะ มันไม่มีราคา” ถ้อยคำนี้ยิ่งกว่ามีคนเอาค้อนมาทุบศีรษะเสียอีก เขากำลังเปรียบว่าหัวใจเธอไร้ค่าสินะ“อยากได้อะไร หวานให้หมด”ภาธรนึกขันยิ่งนัก การยื้อเวลามันเปล่าประโยชน์ บุรุษตัวโตถอยห่างโดยไม่ได้ตอบอะไร พร้อมนึกสนุกกับสิ่งที่ร่างบางคิดจะทำเมื่อถึงเวลากลับ สรวิศก็เดินมาส่งลูกชายถึงหน้าบ้าน“ถ้าเป็นเยอะไปหาหมอนะเจ้าธร อย่าปล่อยไว้” ถึงจะวางสีหน้าเรียบ ครั้งนี้ภาธรขานรับ“ครับ”แล้วคนสูงอายุที่สุดก็หันไปหาลูกสะใภ้“หนูหวานจะอยู่ค้างที่นี่หรือ” เพราะแทนที่จะไปยืนข้างลูกชาย เจ้าหล่อนกลับมายืนข้างๆเขาแทนเหมือนมายืนส่ง“ค่ะ”“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงหรอก กลับไปดูแลเจ้าธรที่บ้านเถอะ”ถึงอยากจะแย้ง ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วทำตามคงดีที่สุด เพื่อไม่ให้ท่านสงสัยได้ หญิงสาวเดินตามภาธรมาขึ้นรถและนั่งเงียบจนใกล้จะถึงที่หล่อนต้องการลง“หวานจะขอลงตรงปากซอย” เพราะตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญมันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนนั่งอึดอัดไปตลอดทาง และเธอก็ไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่ปัจจุบันด้วย“ไม่อยากจะกลับบ้านฉันแล้วหรือ…ไปทำหน้าที่ที่พ่อฉันอยากให้ทำ”“
ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้าภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้นส่วนปวริศาก็ภาวนา
เสียงที่หลุดออกมาจากริมปากหยักได้รูป ทำให้ภาธรกระตุกยิ้มอย่างได้ใจไม่นานอาภรณ์ที่อยู่บนตัวของปวริศาก็ค่อยๆหลุดออกมาจากตัวทีละชิ้น แม้จะต่อต้าน ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอดันไหล่กว้างให้ออกห่าง กลับถูกแนบชิดมากกว่าเก่าเสียงจากริมฝีปากเล็กถูกปล่อยออกมาไม่หยุด ไม่ต่างจากภาธรที่หลุดคำรามออกมาเสียงต่ำเมื่อได้เข้าชิดจนเป็นหนึ่งการแสดงออกของเขามันเร่าร้อนราวกับต้องการเผาร่างเล็กให้ไหม้เป็นจุณ สะโพกยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันร้ายยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของคนทั้งคู่ถึงมันจะอบอวลด้วยความหอมหวานในบางขณะ แต่บางครั้งก็อยากจะร้องไห้ เนื่องจากบทรักของเขามันร้าย ที่สำคัญมันดึงศักดิ์ศรีของหล่อนให้พังพินาศลงไปหมดในวินาทีนี้ความเสียใจจึงคืบคลานเข้าหาและปวริศาไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะจบลงอย่างไรกว่าเปลือกตาบางจะกะพริบถี่และเปิดขึ้นก็เป็นช่วงสายของเช้าวันใหม่ ในห้องนี้เหลือไว้แต่ความมืดเพราะม่านสีทึบยังถูกปิดและทิ้งกลิ่นจางๆของควันบุหรี่ ซึ่งคงมาจากเขา“ฮึก…”ปวริศาริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพ่ายแพ้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปมันกลับมาอีกหน ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะในครั้
บทที่ 1แสนชัง“ลาออก?”หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น“ค่ะ”“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้วที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้“กลัวจะบาดใจ?”ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหวตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานใ