“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”
ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้
“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ
“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น
“ค่ะ”
เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”
“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”
“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ
“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ทำไมถึงบีบหวานแบบนี้” หากงานแต่งเลื่อนเร็วขึ้นก็เท่ากับว่ากรอบเวลาที่จะต้องบอกสรวิศต้องเร็วขึ้นด้วย
“เธอบีบหัวใจฉันก่อน” น้ำเสียงของภาธรเข้มขึ้นประกายตามีโทสะพลุ่งพล่าน
“หวานขอโทษ”
ปวริศายอมรับความผิดอย่างไม่โต้แย้งเพราะรู้ดีว่าเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ใจเขาเจ็บและโทษตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธให้ถึงที่สุด ตอนนี้เขาถึงชิงชังกันมากขนาดนี้
“มันช้าไปปวริศา”
เพราะหัวใจเขาโดนทำลายไปแล้ว ต่อให้หาคำสวยหรูมาพูดอย่างไร หรือดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางลบมันได้แล้วเขาก็ยัดอะไรบางอย่างใส่มือปวริศา
“อย่ามาป่วยเพราะฉัน ฉันไม่อยากจะรับผิดชอบ” มันคือถุงยา อย่าคิดที่จะได้ทราบซึ้งในการกระทำที่เหมือนจะห่วงใย เพราะต่อจากประโยคนี้ก็ทำให้ปวริศารู้ซึ้งว่าเขาทำมันไปทำไม
“แล้วอย่าลืมมาทำหน้าที่อีก” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของภาธร
“เลว”
ไม่เพียงสบถคำพวกนี้ออกไป ปวริศายังปาถุงยาที่ถูกยัดใส่มือให้ทิ้งไป เพราะมันคือสิ่งจอมปลอม
ทำเอาคนที่ตื่นเช้าเพื่อขับรถออกไปซื้อมาให้มีสีหน้าถมึงทึง แววตาผุดความกรุ่นโกรธ แต่ก็คว้าตัวคนอวดดีไว้ไม่ทัน หญิงสาวหนีไปเสียก่อนและเขาก็ไม่มีอารมณ์จะวิ่งไล่ตาม ตอนนี้หัวสมองของภาธรกำลังถูกคิดไปกับเรื่องที่สำคัญกว่า
แม้ภาธรคิดแบบนี้ กลับส่งข้อความไปออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท สักยี่สิบนาทีต่อมาก็มีสายหนึ่งเรียกเข้า
“คุณหวานถึงห้องเช่าแล้วครับ”
ทักษ์ดนัยบอกผลลัพธ์ของคำสั่ง นั่นทำให้ใบหน้าที่กังวลของคนสั่งดีขึ้นมาสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์
“ขอบใจ”
ภาธรกล่าวสั้นๆ ก่อนวางสายไป แล้วกลับมาใช้หัวสมองคิดทบทวนสิ่งที่จะทำในตอนนี้
บทที่ 3
ใจปลิว
“หนูหวาน”
“ค่ะคุณท่าน”
“เห็นเจ้าธรบอกว่างานแต่งเราถูกเลื่อนเร็วขึ้น ลุงดีใจด้วยนะแล้วลุงต้องขอโทษที่มันช้ามาถึงสองปีแบบนี้”
สรวิศบอกผ่านสายโทรศัพท์อย่างดีใจ อย่างน้อยสิ่งที่เฝ้าหวังก็ทำสำเร็จไปหนึ่งสิ่ง พร้อมกับรอยยิ้ม แต่ก็ยังเหลืออีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ นั่นคือให้ลูกชายยกโทษให้เขา รวมถึงอดีตเมียเก่า
สรวิศไม่รู้ว่าตอนนี้ปวริศาไม่ได้ดีใจเลยสักนิดหญิงสาวรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ มันอึดอัดเหมือนหายใจไม่ได้และอยากจะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเพื่อบอกความจริง ทว่ายังทำไม่ได้
เพราะไม่อยากทำลายสิ่งเดียวที่จะเป็นความหวังให้สรวิศอาการดีขึ้น
“ค่ะ”
“นี่ไปลองชุดแต่งงานกับเจ้าธรใช่ไหม ลุงเห็นเจ้าธรโพสต์รูป”
ท่อนนี้ทำให้ปวริศาหันไปมองคนที่ยืนห่างจากตนไม่มากนัก เขากำลังอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ดีไซน์ดูน่าค้นหาแต่ก็ทรงไปด้วยความลึกลับเหมือนบุคลิกของคนใส่ไม่มีผิด
ปกติแล้วภาธรไม่ค่อยเล่นโซเชียลเท่าไร นี่ลงทุนโพสต์ภาพ คงอยากจะทำให้เธออกแตกตายที่ต้องโกหกกระมัง ก่อนจะเห็นว่าชายหนุ่มขยับตัวเข้ามาใกล้
“ค่ะ คุณธรพาหวานมาลองชุด” สุดท้ายปวริศาก็จำต้องโกหกออกไปอีกครั้ง เพียงชุดที่ว่ามันไม่ใช่ชุดของเจ้าสาว เพราะมันไม่ได้มีไว้สำหรับเธอ
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
บทนำ “พรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันจะหลุดพันธะนี้”เจ้าของเสียงอย่างภาธรก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างกายคนที่พูดด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ปวริศา ภรรยาที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจหญิงสาวเม้มปากแน่น พร้อมกับต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ หล่อนรู้ถึงสิ่งที่ภาธรกำลังจะบอกดี ในเมื่อวันพรุ่งนี้คือ วันที่เขาและเธอจะหย่าขาดจากกันปวริศาเหลือบมองใบหน้าของคนพูด ก่อนก้อนสะอื้นจะวิ่งมาจุกอยู่ที่คอ เพราะทั้งน้ำเสียงและแววตาของภาธร มันสื่อได้ว่าเขาดีใจที่ได้เปลี่ยนสถานะเป็นวิวาห์ร้างไม่ได้มีความลังเลอยู่เลยสักนิดหญิงสาวยกยิ้มอย่างชอกช้ำ และเจ็บไม่ต่างจากมีฝูงมดมารุมกัดกิน ก่อนจะตอบเสียงสั่น“ค่ะ”“ยังอยากจะทำหน้าที่เมียอีกไหม ฉันจะได้ทนทำให้คืนนี้” พูดจบก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏที่มุมปาก พร้อมกับสายตาเบนไปที่เตียงหญิงสาวส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมกัดปากแน่นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ นั่นคงไม่ได้เจ็บมากไปกว่าหัวใจซึ่งบีบรัดตัวอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร ทั้งแววตาและน้ำเสียงมันมีแต่ความเหยียดหยาม“ทำไมล่ะ ไม่ชอบหรือ หน้าที่นั้น”“คุณธรอย่าใจร้ายกับหวานสักวันจะได้ไหมคะ”“ใจร้าย…ฉันเคยทำแบบนั้นหรือหวาน…” ไม่เพียงพูดน้ำเสีย
บทที่ 1แสนชัง“ลาออก?”หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น“ค่ะ”“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้วที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้“กลัวจะบาดใจ?”ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหวตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานใ
เสียงที่หลุดออกมาจากริมปากหยักได้รูป ทำให้ภาธรกระตุกยิ้มอย่างได้ใจไม่นานอาภรณ์ที่อยู่บนตัวของปวริศาก็ค่อยๆหลุดออกมาจากตัวทีละชิ้น แม้จะต่อต้าน ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอดันไหล่กว้างให้ออกห่าง กลับถูกแนบชิดมากกว่าเก่าเสียงจากริมฝีปากเล็กถูกปล่อยออกมาไม่หยุด ไม่ต่างจากภาธรที่หลุดคำรามออกมาเสียงต่ำเมื่อได้เข้าชิดจนเป็นหนึ่งการแสดงออกของเขามันเร่าร้อนราวกับต้องการเผาร่างเล็กให้ไหม้เป็นจุณ สะโพกยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันร้ายยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของคนทั้งคู่ถึงมันจะอบอวลด้วยความหอมหวานในบางขณะ แต่บางครั้งก็อยากจะร้องไห้ เนื่องจากบทรักของเขามันร้าย ที่สำคัญมันดึงศักดิ์ศรีของหล่อนให้พังพินาศลงไปหมดในวินาทีนี้ความเสียใจจึงคืบคลานเข้าหาและปวริศาไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะจบลงอย่างไรกว่าเปลือกตาบางจะกะพริบถี่และเปิดขึ้นก็เป็นช่วงสายของเช้าวันใหม่ ในห้องนี้เหลือไว้แต่ความมืดเพราะม่านสีทึบยังถูกปิดและทิ้งกลิ่นจางๆของควันบุหรี่ ซึ่งคงมาจากเขา“ฮึก…”ปวริศาริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพ่ายแพ้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปมันกลับมาอีกหน ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะในครั้
ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้าภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้นส่วนปวริศาก็ภาวนา
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หัวใจเธอไม่เอาแล้วนะ มันไม่มีราคา” ถ้อยคำนี้ยิ่งกว่ามีคนเอาค้อนมาทุบศีรษะเสียอีก เขากำลังเปรียบว่าหัวใจเธอไร้ค่าสินะ“อยากได้อะไร หวานให้หมด”ภาธรนึกขันยิ่งนัก การยื้อเวลามันเปล่าประโยชน์ บุรุษตัวโตถอยห่างโดยไม่ได้ตอบอะไร พร้อมนึกสนุกกับสิ่งที่ร่างบางคิดจะทำเมื่อถึงเวลากลับ สรวิศก็เดินมาส่งลูกชายถึงหน้าบ้าน“ถ้าเป็นเยอะไปหาหมอนะเจ้าธร อย่าปล่อยไว้” ถึงจะวางสีหน้าเรียบ ครั้งนี้ภาธรขานรับ“ครับ”แล้วคนสูงอายุที่สุดก็หันไปหาลูกสะใภ้“หนูหวานจะอยู่ค้างที่นี่หรือ” เพราะแทนที่จะไปยืนข้างลูกชาย เจ้าหล่อนกลับมายืนข้างๆเขาแทนเหมือนมายืนส่ง“ค่ะ”“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงหรอก กลับไปดูแลเจ้าธรที่บ้านเถอะ”ถึงอยากจะแย้ง ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วทำตามคงดีที่สุด เพื่อไม่ให้ท่านสงสัยได้ หญิงสาวเดินตามภาธรมาขึ้นรถและนั่งเงียบจนใกล้จะถึงที่หล่อนต้องการลง“หวานจะขอลงตรงปากซอย” เพราะตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญมันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนนั่งอึดอัดไปตลอดทาง และเธอก็ไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่ปัจจุบันด้วย“ไม่อยากจะกลับบ้านฉันแล้วหรือ…ไปทำหน้าที่ที่พ่อฉันอยากให้ทำ”“
“เสร็จแล้วก็กลับไป”แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้วที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม“ใครมาหรือคะธร”“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบันเนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เองไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้“หวานไม่เข้า”หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้อง
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น“ค่ะ”เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”“ห่วงฉัน อยากให้ฉันหาย?” เขาถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น และคำตอบก็คือการพยักหน้าของปวริศาไม่นานนัยน์ตาดำขลับของภาธรก็วาวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแนบชิดใบหน้าหวานละมุนแต่ติดเศร้าพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน“งั้นช่วยเป็นป่านให้ฉันสักวันสิ”ไม่พอยังจงใจยิ้มยั่ว ซึ่งประโยคนี้มีพลังทำลายล้างได้เป็นอย่างดี“จะทำลายหัวใจของหวานไปถึงไหน” แทบน้ำตาไหล ดีที่ห้ามมันอยู่“จนกว่าจะมอดไหม้” ภาธรสวนกลับอย่างไม่ไยดียิ่งเงยหน้าสบตาปวริศาก็ยิ่งเจ็บลึก บางทีก็นึกอยากจะเอามีดมากรีดแหวกหัวใจภาธรดูว่ายังเต้นหรือไม่ ทำไมถึงใจร้ายเยี่ยงนี้“เลือกมา ไม่งั้นก็กลับไป”“ถ้านี่คือการชดใช้ คืนนี้หวานจะเป็นคุณป่านให้คุณ”“ตกลง”เพียงจบคำ
“เสร็จแล้วก็กลับไป”แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้วที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม“ใครมาหรือคะธร”“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบันเนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เองไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้“หวานไม่เข้า”หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้อง
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หัวใจเธอไม่เอาแล้วนะ มันไม่มีราคา” ถ้อยคำนี้ยิ่งกว่ามีคนเอาค้อนมาทุบศีรษะเสียอีก เขากำลังเปรียบว่าหัวใจเธอไร้ค่าสินะ“อยากได้อะไร หวานให้หมด”ภาธรนึกขันยิ่งนัก การยื้อเวลามันเปล่าประโยชน์ บุรุษตัวโตถอยห่างโดยไม่ได้ตอบอะไร พร้อมนึกสนุกกับสิ่งที่ร่างบางคิดจะทำเมื่อถึงเวลากลับ สรวิศก็เดินมาส่งลูกชายถึงหน้าบ้าน“ถ้าเป็นเยอะไปหาหมอนะเจ้าธร อย่าปล่อยไว้” ถึงจะวางสีหน้าเรียบ ครั้งนี้ภาธรขานรับ“ครับ”แล้วคนสูงอายุที่สุดก็หันไปหาลูกสะใภ้“หนูหวานจะอยู่ค้างที่นี่หรือ” เพราะแทนที่จะไปยืนข้างลูกชาย เจ้าหล่อนกลับมายืนข้างๆเขาแทนเหมือนมายืนส่ง“ค่ะ”“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงหรอก กลับไปดูแลเจ้าธรที่บ้านเถอะ”ถึงอยากจะแย้ง ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วทำตามคงดีที่สุด เพื่อไม่ให้ท่านสงสัยได้ หญิงสาวเดินตามภาธรมาขึ้นรถและนั่งเงียบจนใกล้จะถึงที่หล่อนต้องการลง“หวานจะขอลงตรงปากซอย” เพราะตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญมันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนนั่งอึดอัดไปตลอดทาง และเธอก็ไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่ปัจจุบันด้วย“ไม่อยากจะกลับบ้านฉันแล้วหรือ…ไปทำหน้าที่ที่พ่อฉันอยากให้ทำ”“
ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้าภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้นส่วนปวริศาก็ภาวนา
เสียงที่หลุดออกมาจากริมปากหยักได้รูป ทำให้ภาธรกระตุกยิ้มอย่างได้ใจไม่นานอาภรณ์ที่อยู่บนตัวของปวริศาก็ค่อยๆหลุดออกมาจากตัวทีละชิ้น แม้จะต่อต้าน ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอดันไหล่กว้างให้ออกห่าง กลับถูกแนบชิดมากกว่าเก่าเสียงจากริมฝีปากเล็กถูกปล่อยออกมาไม่หยุด ไม่ต่างจากภาธรที่หลุดคำรามออกมาเสียงต่ำเมื่อได้เข้าชิดจนเป็นหนึ่งการแสดงออกของเขามันเร่าร้อนราวกับต้องการเผาร่างเล็กให้ไหม้เป็นจุณ สะโพกยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันร้ายยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของคนทั้งคู่ถึงมันจะอบอวลด้วยความหอมหวานในบางขณะ แต่บางครั้งก็อยากจะร้องไห้ เนื่องจากบทรักของเขามันร้าย ที่สำคัญมันดึงศักดิ์ศรีของหล่อนให้พังพินาศลงไปหมดในวินาทีนี้ความเสียใจจึงคืบคลานเข้าหาและปวริศาไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะจบลงอย่างไรกว่าเปลือกตาบางจะกะพริบถี่และเปิดขึ้นก็เป็นช่วงสายของเช้าวันใหม่ ในห้องนี้เหลือไว้แต่ความมืดเพราะม่านสีทึบยังถูกปิดและทิ้งกลิ่นจางๆของควันบุหรี่ ซึ่งคงมาจากเขา“ฮึก…”ปวริศาริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพ่ายแพ้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปมันกลับมาอีกหน ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะในครั้
บทที่ 1แสนชัง“ลาออก?”หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น“ค่ะ”“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้วที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้“กลัวจะบาดใจ?”ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหวตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานใ