เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ภาธรยังตามภรรยาต้อย ๆ แม้มันอาจจะไม่ได้ทุกวัน เพราะบางครั้งก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทและไปจัดการเคลียร์เอกสาร แต่ภาธรก็มักจะมากินข้าวเย็นด้วยเสมอ
โดยตอนนี้ปวริศามีความคิดที่จะพักเรื่องการหางานไว้ก่อน เพราะท้องเริ่มโตขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากในการเดินทาง แถมน้อยบริษัทนักที่จะรับพนักงานในช่วงตั้งครรภ์
ที่สำคัญก็คือ อยากดูแลสรวิศ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจจนร้องไห้กับเรื่องที่เพิ่งทราบว่าท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ตอบแทนได้ก็คือเธอจะดูแลท่านให้ดีที่สุด
“มันควรมีชื่อฉันอยู่ตรงนั้น” ภาธรว่าขณะยืนมองปวริศากรอกข้อมูลในประวัติการฝากครรภ์ โดยมีช่องหนึ่งที่หญิงสาวเว้นไว้แล้วเลือกไปกรอกข้อมูลข้ออื่นก่อน นั่นคือช่องของชื่อบิดาของลูกในครรภ์
ปวริศาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แต่สายตาก็ว่างเปล่าและเย็นชา แถมยังไม่ได้ทำตามคำที่ภาธรร้องขอ หล่อนเลือกที่จะเขียนลงไปว่าไม่ระบุแทน นั่นทำให้ภาธรรู้สึกหนาวเหน็บและทนดูเจ้าหล่อนกรอกต่อไปไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนถูกขยี้หัวใจให้แตกละเอียด
ปวริศาไม่สนใจ เมื่อกรอกเสร็จก็ยื่นให้นางพยาบาลและร
บทที่ 13พิสูจน์ใจ“สอนฉันทำอาหารบ้างสิ ฉันอยากทำให้พ่อทาน” ภาธรตามปวริศาเข้ามาในครัวและลองขอ ตอนนี้ทุกอย่างที่จะทำให้บิดาได้ เขาทำหมด แม้ไม่ได้ถนัดการทำครัวมากนัก อย่างมากก็มีไข่ทอดและผัดกะเพราหมูเท่านั้นที่ทำได้“ค่ะ” ปวริศาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นกันว่านี่คงจะทำให้สรวิศยิ้มได้ “งั้นเริ่มจากไปล้างผักและหั่นผักค่ะ” โดยวันนี้เมนูที่เธอจะทำก็คือผัดผักรวมมิตรและแกงจืดหมูสับภาธรรับคำสั่ง ชายหนุ่มหยิบผักกาดขาว แคร์รอต และบรอกโคลีไปล้าง ก่อนจะหยิบเขียงพร้อมมีดออกมา ปวริศาสอนการหั่นผักแต่ละอย่างและปล่อยให้ภาธรได้ทำตอนนี้ชายหนุ่มหั่นผักกาดขาวและบรอกโคลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังหั่นแคร์รอต ฟากหญิงสาวก็หั่นหมูและปอกเปลือกกุ้ง ไม่นานแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตั้งเตาก็หันไปมองตามเสียงร้องลั่นของภาธร“โอ๊ย” ชายหนุ่มมัวแต่เหลือบมองปวริศา เนื่องจากร่วมหลายวันแล้วกระมังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ เพราะปวริศามักจะหนีหน้า หรือไม่ก็เว้นระยะ จึงให้เอาแต่มองจนเกือบจะหั่นมือตัวเองแล้ว โชคดีที่โดนมีดบาดไม่ลึกมาก ไม่งั้นคงจะเสียนิ้วพอเห็นเลือดท
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทนำ “พรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันจะหลุดพันธะนี้”เจ้าของเสียงอย่างภาธรก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างกายคนที่พูดด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ปวริศา ภรรยาที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจหญิงสาวเม้มปากแน่น พร้อมกับต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ หล่อนรู้ถึงสิ่งที่ภาธรกำลังจะบอกดี ในเมื่อวันพรุ่งนี้คือ วันที่เขาและเธอจะหย่าขาดจากกันปวริศาเหลือบมองใบหน้าของคนพูด ก่อนก้อนสะอื้นจะวิ่งมาจุกอยู่ที่คอ เพราะทั้งน้ำเสียงและแววตาของภาธร มันสื่อได้ว่าเขาดีใจที่ได้เปลี่ยนสถานะเป็นวิวาห์ร้างไม่ได้มีความลังเลอยู่เลยสักนิดหญิงสาวยกยิ้มอย่างชอกช้ำ และเจ็บไม่ต่างจากมีฝูงมดมารุมกัดกิน ก่อนจะตอบเสียงสั่น“ค่ะ”“ยังอยากจะทำหน้าที่เมียอีกไหม ฉันจะได้ทนทำให้คืนนี้” พูดจบก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏที่มุมปาก พร้อมกับสายตาเบนไปที่เตียงหญิงสาวส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมกัดปากแน่นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ นั่นคงไม่ได้เจ็บมากไปกว่าหัวใจซึ่งบีบรัดตัวอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร ทั้งแววตาและน้ำเสียงมันมีแต่ความเหยียดหยาม“ทำไมล่ะ ไม่ชอบหรือ หน้าที่นั้น”“คุณธรอย่าใจร้ายกับหวานสักวันจะได้ไหมคะ”“ใจร้าย…ฉันเคยทำแบบนั้นหรือหวาน…” ไม่เพียงพูดน้ำเสีย
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่
บทที่ 13พิสูจน์ใจ“สอนฉันทำอาหารบ้างสิ ฉันอยากทำให้พ่อทาน” ภาธรตามปวริศาเข้ามาในครัวและลองขอ ตอนนี้ทุกอย่างที่จะทำให้บิดาได้ เขาทำหมด แม้ไม่ได้ถนัดการทำครัวมากนัก อย่างมากก็มีไข่ทอดและผัดกะเพราหมูเท่านั้นที่ทำได้“ค่ะ” ปวริศาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นกันว่านี่คงจะทำให้สรวิศยิ้มได้ “งั้นเริ่มจากไปล้างผักและหั่นผักค่ะ” โดยวันนี้เมนูที่เธอจะทำก็คือผัดผักรวมมิตรและแกงจืดหมูสับภาธรรับคำสั่ง ชายหนุ่มหยิบผักกาดขาว แคร์รอต และบรอกโคลีไปล้าง ก่อนจะหยิบเขียงพร้อมมีดออกมา ปวริศาสอนการหั่นผักแต่ละอย่างและปล่อยให้ภาธรได้ทำตอนนี้ชายหนุ่มหั่นผักกาดขาวและบรอกโคลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังหั่นแคร์รอต ฟากหญิงสาวก็หั่นหมูและปอกเปลือกกุ้ง ไม่นานแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตั้งเตาก็หันไปมองตามเสียงร้องลั่นของภาธร“โอ๊ย” ชายหนุ่มมัวแต่เหลือบมองปวริศา เนื่องจากร่วมหลายวันแล้วกระมังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ เพราะปวริศามักจะหนีหน้า หรือไม่ก็เว้นระยะ จึงให้เอาแต่มองจนเกือบจะหั่นมือตัวเองแล้ว โชคดีที่โดนมีดบาดไม่ลึกมาก ไม่งั้นคงจะเสียนิ้วพอเห็นเลือดท
เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ภาธรยังตามภรรยาต้อย ๆ แม้มันอาจจะไม่ได้ทุกวัน เพราะบางครั้งก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทและไปจัดการเคลียร์เอกสาร แต่ภาธรก็มักจะมากินข้าวเย็นด้วยเสมอโดยตอนนี้ปวริศามีความคิดที่จะพักเรื่องการหางานไว้ก่อน เพราะท้องเริ่มโตขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากในการเดินทาง แถมน้อยบริษัทนักที่จะรับพนักงานในช่วงตั้งครรภ์ที่สำคัญก็คือ อยากดูแลสรวิศ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจจนร้องไห้กับเรื่องที่เพิ่งทราบว่าท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนนี้สิ่งเดียวที่ตอบแทนได้ก็คือเธอจะดูแลท่านให้ดีที่สุด“มันควรมีชื่อฉันอยู่ตรงนั้น” ภาธรว่าขณะยืนมองปวริศากรอกข้อมูลในประวัติการฝากครรภ์ โดยมีช่องหนึ่งที่หญิงสาวเว้นไว้แล้วเลือกไปกรอกข้อมูลข้ออื่นก่อน นั่นคือช่องของชื่อบิดาของลูกในครรภ์ปวริศาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แต่สายตาก็ว่างเปล่าและเย็นชา แถมยังไม่ได้ทำตามคำที่ภาธรร้องขอ หล่อนเลือกที่จะเขียนลงไปว่าไม่ระบุแทน นั่นทำให้ภาธรรู้สึกหนาวเหน็บและทนดูเจ้าหล่อนกรอกต่อไปไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนถูกขยี้หัวใจให้แตกละเอียดปวริศาไม่สนใจ เมื่อกรอกเสร็จก็ยื่นให้นางพยาบาลและร
บทที่ 12อยากให้รู้ว่ารัก“ไม่ต้องออกไปหางาน กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม หรือไม่ก็เตรียมตัวเป็นแม่ก็พอ” ภาธรสั่ง เพราะได้รับรายงานจากทักษ์ดนัยว่าคนที่ให้เฝ้าดูนั้นได้ออกหางานมาแล้วหนึ่งวัน ซึ่งวันนี้ปวริศาก็กำลังจะออกไปหางานอีกเช่นกัน“หวานขอปฏิเสธ แล้วหวานก็ลาออกจากที่นั่นแล้ว”“ฉันไม่เคยเซ็นใบลาออกให้ และไม่เคยคิดจะเซ็น” เขาบอกเสียงหนักแน่น หัวใจเต้นเร็วไวขึ้นจากแรงปรารถนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ร่วมอาทิตย์แล้วที่ปล่อยให้หญิงสาวมีอิสระและได้ผ่อนจากความเครียด โดยที่เขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ก็สั่งกำชับทักษ์ดนัยให้ดูแลปวริศาอย่างดีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขายอมหายหน้าไปคือสะสางงานที่ค้างให้เสร็จ คราวนี้จะได้เดินหน้าง้อปวริศาเต็มที่“นั่นคงเป็นเรื่องของคุณธรค่ะ ช่วยหลีกทางด้วย หวานไม่อยากให้สาย หวานมีนัดสัมภาษณ์งานแล้ว” ปวริศาปฏิเสธเสียงแข็ง และต้องสั่งเขา เพราะพอขยับเท้าไปอีกทาง เขาก็ขยับตามหญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ วันนี้เขาถึงโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่หายไปเป็นอาทิตย์ มาให้ใจเธอต้องป