ตำหนักของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิงแห่งฉางโจว ตั้งอยู่บนเนินเขาฉางซาน เป็นเรือนไม้หลังคาทรงเก๊งจีนเรียงเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ด้านหน้าเป็นเรือนรับรอง ปีกด้านข้างทั้งสองแบ่งเป็นห้องหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องนอนของเจ้าของตำหนัก ด้านหลังเป็นส่วนครัว ส่วนเรือนพักของภรรยาและบุตรนั้น ปลูกแยกห่างออกไปในระยะห่างพอเดินหากันได้ รายรอบด้วยสวนไม้ประดับนานาพันธุ์
ทันทีที่ขบวนเกี้ยวของงท่านหญิงน้อย พ้นประตูด้านหน้าเข้ามา พ่อบ้านประจำจวนท่านอ๋อง 9 ก็รีบไปรายงานให้เจ้านายของเขาทราบ
“ท่านอ๋องครับ เกี้ยวของท่านหญิงน้อยมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ข้าน้อยได้พาท่านหญิงน้อยไปยังห้องรับรองแล้ว”
“แล้วใต้ท้าวเฉินล่ะ มาด้วยรึเปล่า” ชายชราผู้สูงศักดิ์ เรือนผมบนศีรษะแซมหงอก ดวงหน้าดุดัน หนวดเครายาวตัดแต่งเป็นอย่างดี รับกับดวงหน้าถามถึงขุนนางคนโปรด
“ใต้ท้าวเฉินให้คนมาเรียนว่า เมื่อเตรียมของขวัญที่องค์ฮ้องเต้พระราชทานมาด้วยเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางมาภายหลังครับ”
“งั้นเรอะ ข้าจะไปหาลูกเดี๋ยวนี้ล่ะ” สีหน้าและแววตาของท่านอ๋องฉาบฉายด้วยความยินดี ขณะก้าวเรื่อยๆ จากห้องหนังสือมายังห้องรับรอง
จ้าวเจี้ยนฟางกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างมีจริต นับตั้งแต่ก้าวลงจากเกี้ยว กระทั่งเดินเข้ามาในห้องรับรอง
สิบกว่าปีแล้วสินะ ที่นางจากบ้านเกิดไป และไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย หากบรรยากาศในตำหนักก็ยังคงไม่ต่างจากเดิมเลย
“เจี้ยนฟางลูกพ่อ” เสียงเรียกสั่นเครือนั้น พาให้ท่านหญิงน้อยชะงักไปครู่หนึ่ง ความยินดีในดวงหน้านั้น สั่นคลอนหัวใจดวงน้อยนัก
หากไม่เพราะถูกผลักไสออกจากตำหนักอ๋องตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหกชันษาดี นางก็คงจะเดินเข้าไปหาอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อแล้ว
เมื่อเห็นว่าบุตรีคนเล็กยังคงยืนนิ่ง จ้าวเจี้ยนหลิงก็เพียงแต่เดินเข้ามาใกล้ในระยะห่างพอเห็นหน้ากันชัดเจนเท่านั้น ความคลุมเครือแผ่ออกมาจากสายตานิ่งสนิทคู่นั้น พาให้เขาไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้กว่านั้นอีก
ยิ่งบุตรีโตขึ้น ก็ยิ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายอดีตฮูหยินของเขา ราวถอดจากพิมพ์เดียว มิน่าเล่าฮูหยินถึงอายุสั้น
จ้าวเจี้ยนฟางหรือก็ช่างอาภัพนัก เพราะเพียงแค่มารดาคลอดบุตรออกมา ก็ตกเลือดจนเสียชีวิตทั้งยังไม่ทันได้เห็นหน้าลูกน้อยด้วยซ้ำ
“เจี้ยนฟางลูกพ่อ เจ้าช่างละม้ายคล้ายแม่เจ้านัก เจ้ารู้รึเปล่าว่า พ่อคิดถึงเจ้าทุกวันคืน”
“คิดถึง แล้วทำไมท่านพ่อต้องส่งข้าเข้าวังหลวงตั้งแต่ยังเล็กด้วยล่ะคะ” น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยเย็นชาเสียจนคนฟังสัมผัสได้
“เจ้าก็รู้ว่าพ่อมีความจำเป็น...เจ้ากลับมา พ่อก็ดีใจแล้ว พ่อปลูกเรือนเหมยฮวาไว้รอเจ้าแล้ว พ่อจะไม่ให้เจ้าไปไหนอีกแล้วนะ รู้มั้ย”
ฟังคำพูดของพ่อแล้ว จ้าวเจี้ยนฟางก็ไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือไม่ เพราะรู้ดีว่า อีกไม่นานผู้หญิงอย่างนางก็ต้องแต่งงานออกเรือนไป ถึงตอนนั้น แม้พ่อจะไม่อยากผลักไสนางออกจากตำหนักอ๋อง ก็คงต้องยอมจำนนต่อความเป็นไปของชีวิตอยู่ดี
แต่แล้ว คนที่ทำให้สีหน้าของจ้าวเจี้ยนฟางบึ้งตึงขึ้นมา ก็เดินเข้ามาจนได้...
จะใครเสียอีกเล่า ถ้าไม่ใช่ “ฮุ่ยเหนียง” แม่เลี้ยงของนาง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากดวงหน้าขี้ริ้ว จมูกงองุ้ม ริมฝีปากแดงอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดวงตายาวรี หางตาเชิดขึ้นน้อยๆ ดูคล้ายตาเหยี่ยวนั้น ก็ยังคงตรึงในความทรงจำของนางไม่รู้คลาย
ไม่ใช่เพราะรัก เทิดทูน ตรงกันข้าม นางเกลียดแม่เลี้ยงคนนี้เข้ากระดูกดำเลยต่างหาก
มองปราดเดียว นางก็รู้ว่า นิสัยของฮุ่ยเหนียงคนนี้ คงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ต่อหน้าท่านอ๋องทำเสแสร้ง แกล้งดีต่อนาง แต่ลับหลังกลับพูดจาหมิ่นแคลน กลั่นแกล้งนางสารพัด
จ้าวเจี้ยนฟางในวันนี้ แม้จะเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แต่ก็จะไม่ยอมให้แม่เลี้ยงใจทมิฬอย่างนางรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด
“มาถึงแล้วเหรอคะท่านหญิงน้อย” นางจีบปากจีบคออย่างคนมีจริต ปราดเข้ามาหาพร้อมกับยื่นมือสกปรกนั่นมาด้วย
จ้าวเจี้ยนฟางยิ้มหยันน้อยๆ แม้แววตาจะไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจ หากการถอยหลังไปก้าวหนึ่งนั้น แสดงชัดว่า นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้เสียจนไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวแม้เพียงปลายเล็บ
บรรยากาศภายในห้องรับรองตึงเครียดอยู่แล้ว ดูจะเลวร้ายลงไปอีก
“เอ่อ ท่านหญิงน้อยเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะนะคะ ข้าให้คนเตรียมห้องพักในเรือนเหมยฮวาไว้รอแล้วล่ะค่ะ” ฮุ่ยเหนียงลากเสียงอย่างมีจริต ดวงหน้ายังคงฉาบฉายด้วยรอยยิ้มดังเดิม ขณะกวักมือเรียกสาวใช้คนหนึ่ง
“เสี่ยวชุ่ย พาท่านหญิงไปที่ห้องพักก่อนเถอะไป๊”
“ค่ะ ฮูหยินรอง” สาวใช้วัยน่าจะไล่เลี่ยกับจ้าวเจี้ยนฟางรับคำ
เห็นท่าทีนอบน้อมของสาวใช้ตรงหน้าที่มีต่อแม่เลี้ยงแล้ว จ้าวเจี้ยนฟางก็พอจะเดาได้ถึงอำนาจที่ฮุ่ยเหนียงมีในบ้านสกุลจ้าว อีกอย่างนางก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะยืนดูความเสแสร้งของฮู่ยเหนียงต่อ จึงออกเดินตามสาวใช้มายังเรือนเหมยฮวา
เรือนเหมยฮวาที่ท่านอ๋ออง 9 พูดถึงนั้น ตั้งห่างออกมาจากเรือนของบุตรธิดาคนอื่นๆ ของท่านอ๋อง เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง หลังคาทรงเก๋งจีน หัวเสาแกะสลักลวดลายกลีบดอกเหมย รอบตัวเรือนปลูกต้นเหมยเป็นแนว ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ไม้ครบครัน ประตูหน้าต่างประดับม่าน ที่นอนแขวนมุ่งม่านสีชมพูอ่อน ตู้ด้านหนึ่งจัดวางกรอบภาพเขียนวิหคน้อยในสวนหลิวฝีมือแม่ และภาพเหมือนของแม่ ดูแล้วชวนให้คิดถึงคนวาดแทบขาดใจ แม้ไม่เคยเห็นหน้า หากสายใยผูกพันที่มีก็ไม่อาจทำให้นางคลายความคิดถึงที่มีต่อแม่ไปได้เลย หากแม่ยังอยู่ ฮุ่ยเหนียงคงไม่มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่เลี้ยงของนางอยู่เช่นนี้หรอก “ท่านแม่ ทำไมท่านถึงจากข้าไปเร็วนัก ท่านจะรู้หรือไม่ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิง แต่งกายอย่างชาวยุทธทั่วไป กำลังเดินอยู่ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าร้องเร่ขายอาหาร ผ้าผ่อนแพรพรรณ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะตั้งป้ายหมอดูเทวดา หยั่งรู้ฟ้าดิน ด้วยความอยากรู้เรื่องคดีที่ใต้ท้าวเฉินรับเอาไว้ องค์รักษ์หนุ่มจึงเดินเข
ร้อยตำรวจเอกธีรเทพใจไม่ดี จึงรีบเหยียบคันเร่งตามรถของตำรวจลับสาวไปทันที ระหว่างนั้นก็รีบโทรหานายตำรวจร่วมทีมไปด้วย “ฮัลโหลสารวัตร หมวดณาราขับรถไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางรีบๆ ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับหมวด สารวัตรรีบตามมาเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะแชร์โลเคชั่นไปให้” รถยนต์คันเล็กสีบรอนด์เงินแล่นมาจอดหน้าตึกร้าง ท้ายซอยค่อนข้างแคบ ณาราก้าวออกจากรถมาด้วยท่าทีร้อนรน ทุกก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นนั้นเร่งร้อน ด้วยความเป็นห่วงญาติเพียงคนเดียวในชีวิต มือข้างหนึ่งรึก็ถือโทรศัพท์เอาไว้ สนทนากับคนร้ายจากต้นสายมาเรื่อยๆ กระทั่งก้าวขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าตึก “มาจนได้นะณารา คุณเก่งจริงๆ ที่หาตึกนี้จนเจอ” จางอี้เหลียงยืนรออยู่ พร้อมกับชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แววตากราดมองมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชัง ผิดจากแววตาของพระเอกหนุ่มในจอราวพลิกฝ่ามือ “ฉันนึกแล้วว่าจะต้องเป็นคุณ” “ช่วยไม่ได้ ก็คุณแส่หาเรื่องเองไม่ใช่เรอะ เป็นซุปเปอร์สตาร์ดีๆ ไม่ชอบนี่นา ถ้าคุณแค่เป็นดารา ถ่ายละคร รับค่าตัวไปวันๆ ซะ ก็คงไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้หรอก”
ในวินาทีเดียวกัน ต่างกันที่กาลเวลา เจิ้งหมิงจรดปากจอกน้ำชากับริมฝีปาก ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องคดีที่ไม่มีเค้าความคืบหน้าเลยอยู่นั่นเอง ภาพหญิงสาวคนที่เขาเคยเห็นในความฝันเมื่อคืน ก็แทรกเข้ามาในห้วงความคิด เธอในยามนี้หมดสติ กำลังถูกชายหนุ่มหน้าตาดี ทว่าจิตใจนั้นต่ำทรามกำลังฉีกเสื้อผ้าที่เหลือติดกายเธอออกอย่างย่ามใจ โดยไม่สนใจร่างโชกเลือดของผู้หญิงอีกคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ชายโฉดผู้นั้นกำลังดึงกางเกงขายาวของเธอออกอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับปืนในมือ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง กราดกระสุนเข้าใส่ชายโฉดผู้นั้นทันที ปัง ปัง ปัง… กระสุนพุ่งเข้าเจาะกะโหลกของมันอย่างแม่นยำ ก่อนที่กลุ่มชายชุดดำจะยิงปืนสวนมา เขาจึงต้องหลบวูบ วิ่งหนีลงมาทางบันไดหนีไฟ คล้ายกำลังต้องการถ่วงเวลา ทว่าแรงขาหรือจะสู้ความเร็วของลูกตะกั่ว วิ่งไปไม่ถึงไหน เขาก็ถูกยิงเข้าที่ขาล้มกลิ้งลงมาตามขั้นบันได อีกด้านหนึ่ง เสียงปืน ทำให้ณาราฟื้นขึ้นมา เพื่อจะพบว่า จางอี้เหลียงนอนทับร่างของเธออยู่ ตำรวจลับสาวค้นกระเป๋ากางเกงข
ในห้วงเวลาปัจจุบันนั้น... ณารากุมบาดแผลฉกรรจ์กลางหน้าอกทะลุแผ่นหลัง ดวงตาพร่าพรายแลเห็นโลหิตแดงฉาดฉาน ปลายจมูกสัมผัสกลิ่นคาวที่กำลังพาเธอก้าวล่วงเข้าสู่ความตาย รู้ดีว่าตนเองคงไม่รอดแน่แล้ว ดีเหมือนกัน... เธอจะได้ตามไปเจอน้าอี้ฟาน เจอพ่อแม่ในโลกหลังความตายสักทีพร้อมกับความคิดนั้น ร่างเพรียวระหงก็ล้มฟาดลงกับพื้น พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไปราวใบไม้ถูกสายลมแรงปลิดจากขั้ว ร่วงผลอยลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะถูกสายน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย อีกห้วงเวลาหนึ่ง... ณ. เรือนเหมยฮวา ภายในบริเวณตำหนักท่านอ๋อง 9 เฉินลู่ซี พร้อมด้วยขบวนหาบของขวัญพระราชทานจากฮ่องเต้ไท่จือ เพิ่งจะเดินทางมาถึง และถูกเชิญเข้ามาในห้องรับรองอันโอ่โถง “เฉินลู่ซี คำนับท่านอ๋อง 9 ขอจงเจริญ” “อ้อ ใต้ท้าวเฉิน เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเดินทางมาไกล ยังต้องนำของพระราชทานจากฮ้องเต้มาให้ข้าอีก คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เชิญใต้ท้าวเฉินไปพักผ่อนที่ศาลาริมน้ำดีกว่านะ จะได้เล่นหมากรุกกันสักกระดานสองกระดาน” “ครับท่านอ๋อง เชิญๆ” ว่าแล้วเฉินลู่ซีก็เดินต
จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น “นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ” “ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจ
ในโลกแห่งความตายที่บัดนี้มิได้มีเส้นแบ่งแห่งการเวลากางกั้นนั้น ณาราลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ที่เธอยืนอยู่เป็นป่าเขาสลัวรางท่ามกลางแสงจันทร์ แลเห็นทิวไม้ตะคุ่มดำ และตรงหน้าของเธอคือ หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา “คุณเป็นใคร” “ข้าชื่อจ้าวเจี้ยนฟาง” นางตอบช้าๆ น้ำเสียงกังวานดุจระฆังแก้ว ณาราจ้องดวงหน้างดงามนั้น นิ่งทบทวนเหตุการณ์ครู่หนึ่ง จริงสินะ… เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอเข้าแย่งปืนกับคนร้าย เพื่อรักษาชีวิตของธีรเทพเอาไว้นี่นา แล้วปืนก็ลั่น จริงสินะ...เสียงปืนดังจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะนั่นคงจะทำให้เธอตายไปแล้ว ที่นี่คงเป็นโลกแห่งความตายละกระมัง แล้วผู้หญิงคนที่ยืนอยุ่ตรงหน้าเธอเองก็คงตายแล้วเหมือนกัน “ฉันตายแล้ว แล้วคุณเองก็ตายแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไป คล้ายกำลังทบทวนเหตุการณ์อยู่เช่นกัน “ข้าเองก็คงตายไปแล้วเหมือนกัน” “ถ้างั้น อีกไม่นาน ยมทูตก็จะมารับเราสองคนไปนรก ใช่มั้ยคุณ” ณาราเอ่ยเรื่อยๆ ไม่อนาทรร้อนใจ
“ข้าฝากด้วยนะครับท่านเจียง” “ให้ข้าดูอาการก่อนเถิด” เลขาเจียงจับชีพจรครู่หนึ่ง ก่อนนิ่วหน้า “ชีพจรสับสน ลมปรานติดขัด คงบาดเจ็บภายในไม่น้อย ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้าจะรักษาคนเจ็บเอง”เลขาเจียงเอ่ยหนักแน่น รอกระทั่งองครักษ์หนุ่มออกไปแล้ว จึงเริ่มการรักษา ครั้นเมื่อเลิกเสื้อตัวนอกออก ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่า หนุ่มน้อยคนที่เจิ้งหมิงพามาด้วย เป็นสตรี ยิ่งเมื่อถอดหมวกที่นางสวมอยู่ออก ก็จำได้ในทันทีว่า สตรีผู้นี้เป็นใคร จากที่ตั้งใจจะรักษานางเพียงลำพัง จึงต้องให้มือปราบจี้หมินตามสาวใช้มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง และอยู่ร่วมการรักษาพยาบาลด้วย สองชั่วยามของการรักษาพยาบาล เจียงจี่หยาก็ก้าวออกมาจากห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านเจียง คนเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” “ใต้ท้าว ข้าได้รักษาบาดแผลให้แล้ว และเอ่อ” “มีอะไรเรอะ” “เรียนใต้ท้าว ที่จริงแล้ว คนเจ็บไม่ใช่หนุ่มน้อย แต่เป็นสตรีครับ และนางก็คือ ท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางครับ” สิ่งที่ได้ยินพาให้ทั้งใต้ท้าวเฉิน องครักษ์เจิ้งหมิง มือปราบจี้หม
“คุณเป็นใคร” น่าแปลกที่สมองสั่งการให้เธอพูดภาษาจีนกลางออกไปโดยอัตโนมัติ แทนที่จะเป็นภาษาไทย “ข้าน้อยเจียงจื่อหยา เลขาใต้เท้าเฉินอย่างไรเล่าครับท่านหญิงน้อย”ท่านหญิงน้อยเรอะ ทำไมคนอื่นนอกจากเจิ้งหมิงถึงเรียกเธอว่าท่านหญิงน้อยด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ เออออไปก่อนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจิ้งหมิงจะกลับมา“อ๋อ เออ ใช่ๆ ฉันจะต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ โอ๊ย ปวดหัวจัง” ณาราแกล้งยกมือทั้งสองขึ้นกุมขมับ แล้วล้มตัวลงนอน“ถ้าอย่างนั้น ท่านหญิงพักผ่อนก่อนเถิด ข้าน้อยขอตัวก่อน” พูดจบ เจียงจื่อหยาก็เดินออกจากห้องไป โดยมีณาราแอบมองตามไปจนลับตา“ท่านว่าอะไรนะ ท่านหญิงน้อยฟื้นขึ้นมาก็จำท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพูดจาแปลกเปลี่ยนไปอย่างนั้นเรอะ” เฉินลู่ซีเอ่ยขึ้น หลังจากเลขาคนสนิทเข้ามารายงานอาการของจ้าวเจิ้นฟางให้ทราบ ขณะนั่งตรวจเอกสารอยู่ภายในห้องรับรอง“ครับ ใต้ท้าว”“เมื่อคืนองครักษ์เจิ้งก็เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงน้อยไม่ใช่เรอะ แล้วองครักษ์เจิ้งว่าอย่างไรบ้างล่ะ”“องครักษ์เจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนะครับใต้ท้าว พอออกมาจากห้องพักของท่านหญิงแล้วก็รีบร้อนออกไป ตอนที่องครักษ์เจิ้งเข้าไป ท่านหญิงน่าจะยั
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกันเดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลยหากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นาหรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไรณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคนคนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้นเหตุใดทหารมากมายจึงมาที
เจิ้งหมิงกำลังลอบลงจากเรือสำเภา แต่กลุ่มชายชุดดำบนเรือกลับรู้ตัวว่ามีคนแฝงตัวมากับพรรคพวกของเขา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกระบี่ เจิ้งหมิงสังหารชายชุดดำล้มตายไปหลายคน ด้วยเพลงกระบี่อันเยี่ยมยุทธ ก่อนกระโดดลงทะเลหลบหนี ไม่นึกเลยว่า กลับถูกอาวุธลับซัดเข้าที่กลางหลังพิษของมันร้ายกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนไม่อาจขยับเขยื่อนร่างกายได้ สติสัมปชัญญะที่มีพร่าเลือนลงทุกทีแม้กระนั้นห้วงคำนึงของเขาก็ยังนึกถึงแต่ณารา นางผู้มาจากต่างกาลเวลา ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรขณะร่างของเจิ้งหมิงดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั่นเอง โลมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ใช้ครีบของมันช้อนร่างของเขาเอาไว้ แล้วพาไปยังเรือประมง ลำที่มันคุ้นเคยขณะนั้น “ไห่ถวน” ชาวประมงหนุ่มน้อย รูปร่างเก้งก้าง ผิวกร้านแดด เรือนผมยาวเกล้าเอาไว้ลวกๆ ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเล็กหยี ภายใต้คิ้วหนานั้น เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขกำลังเก็บปลาจากอวนใส่ท้องเรือแต่แล้วหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโลมาตัวนั้นว่ายมาทางเขา โดยที่ครีบของมันกำลังประคองร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย“ถิง
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ