“ว่าไงนะ ถูกจับ ที่ไหน”
“สนามบินดอนเมืองครับ ตอนนี้ถูกตำรวจไทยคุมตัวไปแล้ว”
“บัดซบ พวกมันรู้ได้ยังไง”
“มีนางนกต่อส่งข่าวให้ตำรวจไทยอยู่ในกองถ่ายครับ”
“ใคร” ดาราหนุ่มเ่อ่ยถามเสียงเหี้ยม
“นังณารา”
สิ่งที่ได้ยินกับหู ทำเอาจางอี้เหลียงคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด
ไม่น่าเลย เขาไม่น่าหลวมตัวให้ณาราเข้ามาล้วงความลับได้เลย
แค่ให้ณารามาที่คอนโดไม่ทันข้ามวัน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานก็กลับถูกล้วงเอาไปจนได้
เขาไม่น่าประมาทฝีมือผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างณาราเลยจริงๆ
รู้อย่างนี้แล้ว เขาหรือจะปล่อยให้ณารามีชีวิตรอดจนสาวมาถึงตัวเขาได้
ทางเดียวที่แก๊งค์ของเขาจะปลอดภัยจากไอ้พวกตำรวจได้ ก็คงต้องรีบจัดการกับนางนกต่อให้สิ้นซาก
“นังณารา แก” เขาคำรามในลำคอ ดวงตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้า ในเมื่อณารากล้าทำให้เขาต้องสูญเงินไปถึงสิบล้านบาท เขาก็จะไม่ปล่อยเธอไปเด็ดขาด ณาราจะต้องตายด้วยน้ำมือเขา แต่ก่อนจะตาย ขอให้ได้ฉกชิงความสาว สวยมาจากเรือนร่างเย้ายวนตา ยวนใจนั้นก่อนเถอะ เขาถึงจะพอใจ
ณาราก้าวเร็วๆ มาที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่นั่งข้างคนขับ ขณะที่เหว่ยอี้ฟานเองก็เดินอ้อมมาขึ้นนั่งประจำหลังพวงมาลัยเช่นกัน
“น้าอี้ฟานคะ ณาเห็นอาเหลียงเดินไปรับโทรศัพท์ แล้วกลับมามีท่าทีแปลกๆ ณาว่าตำรวจคงทำภารกิจสำเร็จแล้วล่ะค่ะ” ณาราเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น แววตาสะท้อนเงาบนกระจกมองหลังนั้นนิ่งสนิท
“ณา แต่น้าก็อยากให้ณาระวังตัวนะ ถ้าเกิดว่าจางอี้เหลียงรู้ว่า ณาเป็นคนส่งข้อมูลของพวกมันให้ตำรวจ น้าว่าพวกมันไม่ปล่อยณาเอาไว้แน่”
“ณาไม่กลัวหรอกค่ะ” แววตานิ่งสนิทแปรเปลี่ยนเป็นเจิดจ้า ในเมื่อเลือกจะก้าวเข้าสู่การเป็นตำรวจลับแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เธอก็จะไม่กลัวผลลัทธ์ที่เกิดขึ้น และจะไม่เสียใจหากว่าต้องหมดลมหายใจลงเพื่อทุกภารกิจที่ลงมือทำไป
“ณาห่วงก็แต่น้าอี้ฟานคนเดียวเท่านั้น” ณาราวาดแขนโอบเอวอวบของน้าสาวเอาไว้
ตั้งแต่พ่อแม่จากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ชีวิตเธอก็อยู่ภายใต้การดูแลของน้าอี้ฟานมาโดยตลอด
น้าอี้ฟานทำงานในบริษัทโมเดลลิ่งชื่อดัง เมื่อเห็นว่าหลานสาวหน้าตาน่ารัก น่าจะเข้าวงการบันเทิงได้ จึงส่งเสริมให้ณาราเป็นนักแสดงมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
เธอทำงานหาเลี้ยงตนเองและน้าอี้ฟานมาเรื่อยๆ พอโตเป็นสาวก็เดินตามรอยทางของพ่อสอบเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจหญิง ความที่เธอทำงานในที่แจ้ง จึงเลือกที่จะปิดตัวตนของตัวเอง เป็นตำรวจสืบสวนของกองปราบ ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายปี
หากภารกิจครั้งนี้ทำให้เธอพลาดท่าเสียทีแก่คนร้าย เธอก็พร้อมจะตายในหน้าที่
“ณาว่า น้ากลับไปอยู่เมืองไทยก่อนดีมั้ยคะ อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่”
“ไม่ ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”
“แต่ณายังต้องถ่ายงานอยู่นะคะ ถ้าณายกเลิกงานนี้กลางคัน มีหวังพังกันหมดแน่”
“น้ารู้นะว่าณาไม่ได้ห่วงเรื่องชื่อเสียงพวกนั้น แต่ณาจะไม่ไป จนกว่าจะจับจางอี้เหลียงเข้าคุกให้ได้ใช่มั้ย”
“น้ารู้ใจณาอีกแล้วนะคะ ถึงณาจะเป็นดารา แต่น้าก็รู้ว่าณาเองคงทิ้งอาชีพที่พ่อรักไม่ได้เหมือนกัน น้ากลับเมืองไทยไปก่อนนะคะ ถือว่าณาขอร้อง นะคะ” ณาราซบหน้าลงกับอกน้าสาว
“ตกลง น้าจะทำตามความต้องการของณา แต่ณาต้องสัญญานะว่า พอถ่ายงานเสร็จจะตามน้าไป”
“ค่ะ ณาสัญญา” ณารารับคำ เพื่อความสบายใจของน้าสาว ก่อนจะคลายอ้อมแขนออก ให้เหว่ยอี้ฟานทำหน้าที่สารถี พาเธอไปส่งที่คอนโด
ณาราเปิดประตูเข้ามาในห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น และห้องครัวเล็กๆ ที่มีเพียงความเงียบเหงาเป็นเพื่อนร่วมห้อง แม้ในส่วนลึกของใจจะปรารถนาให้ใครสักคนมาแบ่งเบาความอ้างว้าง เดียวดายในใจสักปานใด แต่ด้วยภาระหน้าที่ ชีวิตที่แขวนอยุ่บนเส้นด้าย ณารากลัวเหลือเกินว่าเขาคนนั้นจะต้องพบกับความเจ็บปวด เสียใจจากการสูญเสียเธอไป หญิงสาวจึงเลือกจะครองความโสดเอาไว้ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเปิดหัวใจรับใครเข้ามา
เขาว่าความฝันเกิดจากการปรุงแต่งของจิตใต้สำนึก ทั้งที่ไม่เคยคิดเรื่องผู้ชายจีนโบราณ ทำไมเธอจึงฝันว่าเขามาอยู่ในห้องได้นะ
ณาราวางกระเป๋าสะพายใบเก่งลงเหนือลิ้นชัก พยายามสลัดภาพดวงหน้าคร้ามคมของชายหนุ่มผู้นั้นออกไป ทว่ายิ่งสลัด ภาพเขากลับยิ่งแจ่มชัด
เขาเป็นใครกันนะ เป็นคนหรือผี แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เธอก็ควรจะเลิกคิดถึงเขาได้แล้วนี่นา
ในอีกห้วงเวลาหนึ่ง...
หลังจากเดินทางรอนแรมมาสามวันสามคืน ขบวนเกี้ยวของเฉินลู่ซี พร้อมด้วยเกี้ยวของท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางก็เดินทางมาถึงเมืองฉางโจว
ด้วยความที่เฉินลู่ซีเดินทางมาในฐานะผู้แทนพระองค์ จึงพักอยู่ในเรือนรับรอง ภายในจวนเจ้าเมืองฉางโจว ขณะที่เกี้ยวของท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางนั้นแยกไปยังจวนของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิง
ตำหนักของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิงแห่งฉางโจว ตั้งอยู่บนเนินเขาฉางซาน เป็นเรือนไม้หลังคาทรงเก๊งจีนเรียงเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ด้านหน้าเป็นเรือนรับรอง ปีกด้านข้างทั้งสองแบ่งเป็นห้องหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องนอนของเจ้าของตำหนัก ด้านหลังเป็นส่วนครัว ส่วนเรือนพักของภรรยาและบุตรนั้น ปลูกแยกห่างออกไปในระยะห่างพอเดินหากันได้ รายรอบด้วยสวนไม้ประดับนานาพันธุ์ ทันทีที่ขบวนเกี้ยวของงท่านหญิงน้อย พ้นประตูด้านหน้าเข้ามา พ่อบ้านประจำจวนท่านอ๋อง 9 ก็รีบไปรายงานให้เจ้านายของเขาทราบ “ท่านอ๋องครับ เกี้ยวของท่านหญิงน้อยมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ข้าน้อยได้พาท่านหญิงน้อยไปยังห้องรับรองแล้ว” “แล้วใต้ท้าวเฉินล่ะ มาด้วยรึเปล่า” ชายชราผู้สูงศักดิ์ เรือนผมบนศีรษะแซมหงอก ดวงหน้าดุดัน หนวดเครายาวตัดแต่งเป็นอย่างดี รับกับดวงหน้าถามถึงขุนนางคนโปรด “ใต้ท้าวเฉินให้คนมาเรียนว่า เมื่อเตรียมของขวัญที่องค์ฮ้องเต้พระราชทานมาด้วยเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางมาภายหลังครับ” “งั้นเรอะ ข้าจะไปหาลูกเดี๋ยวนี้ล่ะ” สีหน้าและแววตาของท่านอ๋องฉาบฉายด้วยความยินดี ขณะก้าวเรื่อยๆ จากห้องหนัง
เรือนเหมยฮวาที่ท่านอ๋ออง 9 พูดถึงนั้น ตั้งห่างออกมาจากเรือนของบุตรธิดาคนอื่นๆ ของท่านอ๋อง เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง หลังคาทรงเก๋งจีน หัวเสาแกะสลักลวดลายกลีบดอกเหมย รอบตัวเรือนปลูกต้นเหมยเป็นแนว ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ไม้ครบครัน ประตูหน้าต่างประดับม่าน ที่นอนแขวนมุ่งม่านสีชมพูอ่อน ตู้ด้านหนึ่งจัดวางกรอบภาพเขียนวิหคน้อยในสวนหลิวฝีมือแม่ และภาพเหมือนของแม่ ดูแล้วชวนให้คิดถึงคนวาดแทบขาดใจ แม้ไม่เคยเห็นหน้า หากสายใยผูกพันที่มีก็ไม่อาจทำให้นางคลายความคิดถึงที่มีต่อแม่ไปได้เลย หากแม่ยังอยู่ ฮุ่ยเหนียงคงไม่มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่เลี้ยงของนางอยู่เช่นนี้หรอก “ท่านแม่ ทำไมท่านถึงจากข้าไปเร็วนัก ท่านจะรู้หรือไม่ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิง แต่งกายอย่างชาวยุทธทั่วไป กำลังเดินอยู่ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าร้องเร่ขายอาหาร ผ้าผ่อนแพรพรรณ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะตั้งป้ายหมอดูเทวดา หยั่งรู้ฟ้าดิน ด้วยความอยากรู้เรื่องคดีที่ใต้ท้าวเฉินรับเอาไว้ องค์รักษ์หนุ่มจึงเดินเข
ร้อยตำรวจเอกธีรเทพใจไม่ดี จึงรีบเหยียบคันเร่งตามรถของตำรวจลับสาวไปทันที ระหว่างนั้นก็รีบโทรหานายตำรวจร่วมทีมไปด้วย “ฮัลโหลสารวัตร หมวดณาราขับรถไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางรีบๆ ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับหมวด สารวัตรรีบตามมาเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะแชร์โลเคชั่นไปให้” รถยนต์คันเล็กสีบรอนด์เงินแล่นมาจอดหน้าตึกร้าง ท้ายซอยค่อนข้างแคบ ณาราก้าวออกจากรถมาด้วยท่าทีร้อนรน ทุกก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นนั้นเร่งร้อน ด้วยความเป็นห่วงญาติเพียงคนเดียวในชีวิต มือข้างหนึ่งรึก็ถือโทรศัพท์เอาไว้ สนทนากับคนร้ายจากต้นสายมาเรื่อยๆ กระทั่งก้าวขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าตึก “มาจนได้นะณารา คุณเก่งจริงๆ ที่หาตึกนี้จนเจอ” จางอี้เหลียงยืนรออยู่ พร้อมกับชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แววตากราดมองมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชัง ผิดจากแววตาของพระเอกหนุ่มในจอราวพลิกฝ่ามือ “ฉันนึกแล้วว่าจะต้องเป็นคุณ” “ช่วยไม่ได้ ก็คุณแส่หาเรื่องเองไม่ใช่เรอะ เป็นซุปเปอร์สตาร์ดีๆ ไม่ชอบนี่นา ถ้าคุณแค่เป็นดารา ถ่ายละคร รับค่าตัวไปวันๆ ซะ ก็คงไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้หรอก”
ในวินาทีเดียวกัน ต่างกันที่กาลเวลา เจิ้งหมิงจรดปากจอกน้ำชากับริมฝีปาก ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องคดีที่ไม่มีเค้าความคืบหน้าเลยอยู่นั่นเอง ภาพหญิงสาวคนที่เขาเคยเห็นในความฝันเมื่อคืน ก็แทรกเข้ามาในห้วงความคิด เธอในยามนี้หมดสติ กำลังถูกชายหนุ่มหน้าตาดี ทว่าจิตใจนั้นต่ำทรามกำลังฉีกเสื้อผ้าที่เหลือติดกายเธอออกอย่างย่ามใจ โดยไม่สนใจร่างโชกเลือดของผู้หญิงอีกคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ชายโฉดผู้นั้นกำลังดึงกางเกงขายาวของเธอออกอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับปืนในมือ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง กราดกระสุนเข้าใส่ชายโฉดผู้นั้นทันที ปัง ปัง ปัง… กระสุนพุ่งเข้าเจาะกะโหลกของมันอย่างแม่นยำ ก่อนที่กลุ่มชายชุดดำจะยิงปืนสวนมา เขาจึงต้องหลบวูบ วิ่งหนีลงมาทางบันไดหนีไฟ คล้ายกำลังต้องการถ่วงเวลา ทว่าแรงขาหรือจะสู้ความเร็วของลูกตะกั่ว วิ่งไปไม่ถึงไหน เขาก็ถูกยิงเข้าที่ขาล้มกลิ้งลงมาตามขั้นบันได อีกด้านหนึ่ง เสียงปืน ทำให้ณาราฟื้นขึ้นมา เพื่อจะพบว่า จางอี้เหลียงนอนทับร่างของเธออยู่ ตำรวจลับสาวค้นกระเป๋ากางเกงข
ในห้วงเวลาปัจจุบันนั้น... ณารากุมบาดแผลฉกรรจ์กลางหน้าอกทะลุแผ่นหลัง ดวงตาพร่าพรายแลเห็นโลหิตแดงฉาดฉาน ปลายจมูกสัมผัสกลิ่นคาวที่กำลังพาเธอก้าวล่วงเข้าสู่ความตาย รู้ดีว่าตนเองคงไม่รอดแน่แล้ว ดีเหมือนกัน... เธอจะได้ตามไปเจอน้าอี้ฟาน เจอพ่อแม่ในโลกหลังความตายสักทีพร้อมกับความคิดนั้น ร่างเพรียวระหงก็ล้มฟาดลงกับพื้น พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไปราวใบไม้ถูกสายลมแรงปลิดจากขั้ว ร่วงผลอยลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะถูกสายน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย อีกห้วงเวลาหนึ่ง... ณ. เรือนเหมยฮวา ภายในบริเวณตำหนักท่านอ๋อง 9 เฉินลู่ซี พร้อมด้วยขบวนหาบของขวัญพระราชทานจากฮ่องเต้ไท่จือ เพิ่งจะเดินทางมาถึง และถูกเชิญเข้ามาในห้องรับรองอันโอ่โถง “เฉินลู่ซี คำนับท่านอ๋อง 9 ขอจงเจริญ” “อ้อ ใต้ท้าวเฉิน เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเดินทางมาไกล ยังต้องนำของพระราชทานจากฮ้องเต้มาให้ข้าอีก คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เชิญใต้ท้าวเฉินไปพักผ่อนที่ศาลาริมน้ำดีกว่านะ จะได้เล่นหมากรุกกันสักกระดานสองกระดาน” “ครับท่านอ๋อง เชิญๆ” ว่าแล้วเฉินลู่ซีก็เดินต
จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น “นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ” “ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจ
ในโลกแห่งความตายที่บัดนี้มิได้มีเส้นแบ่งแห่งการเวลากางกั้นนั้น ณาราลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ที่เธอยืนอยู่เป็นป่าเขาสลัวรางท่ามกลางแสงจันทร์ แลเห็นทิวไม้ตะคุ่มดำ และตรงหน้าของเธอคือ หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา “คุณเป็นใคร” “ข้าชื่อจ้าวเจี้ยนฟาง” นางตอบช้าๆ น้ำเสียงกังวานดุจระฆังแก้ว ณาราจ้องดวงหน้างดงามนั้น นิ่งทบทวนเหตุการณ์ครู่หนึ่ง จริงสินะ… เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอเข้าแย่งปืนกับคนร้าย เพื่อรักษาชีวิตของธีรเทพเอาไว้นี่นา แล้วปืนก็ลั่น จริงสินะ...เสียงปืนดังจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะนั่นคงจะทำให้เธอตายไปแล้ว ที่นี่คงเป็นโลกแห่งความตายละกระมัง แล้วผู้หญิงคนที่ยืนอยุ่ตรงหน้าเธอเองก็คงตายแล้วเหมือนกัน “ฉันตายแล้ว แล้วคุณเองก็ตายแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไป คล้ายกำลังทบทวนเหตุการณ์อยู่เช่นกัน “ข้าเองก็คงตายไปแล้วเหมือนกัน” “ถ้างั้น อีกไม่นาน ยมทูตก็จะมารับเราสองคนไปนรก ใช่มั้ยคุณ” ณาราเอ่ยเรื่อยๆ ไม่อนาทรร้อนใจ
“ข้าฝากด้วยนะครับท่านเจียง” “ให้ข้าดูอาการก่อนเถิด” เลขาเจียงจับชีพจรครู่หนึ่ง ก่อนนิ่วหน้า “ชีพจรสับสน ลมปรานติดขัด คงบาดเจ็บภายในไม่น้อย ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้าจะรักษาคนเจ็บเอง”เลขาเจียงเอ่ยหนักแน่น รอกระทั่งองครักษ์หนุ่มออกไปแล้ว จึงเริ่มการรักษา ครั้นเมื่อเลิกเสื้อตัวนอกออก ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่า หนุ่มน้อยคนที่เจิ้งหมิงพามาด้วย เป็นสตรี ยิ่งเมื่อถอดหมวกที่นางสวมอยู่ออก ก็จำได้ในทันทีว่า สตรีผู้นี้เป็นใคร จากที่ตั้งใจจะรักษานางเพียงลำพัง จึงต้องให้มือปราบจี้หมินตามสาวใช้มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง และอยู่ร่วมการรักษาพยาบาลด้วย สองชั่วยามของการรักษาพยาบาล เจียงจี่หยาก็ก้าวออกมาจากห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านเจียง คนเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” “ใต้ท้าว ข้าได้รักษาบาดแผลให้แล้ว และเอ่อ” “มีอะไรเรอะ” “เรียนใต้ท้าว ที่จริงแล้ว คนเจ็บไม่ใช่หนุ่มน้อย แต่เป็นสตรีครับ และนางก็คือ ท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางครับ” สิ่งที่ได้ยินพาให้ทั้งใต้ท้าวเฉิน องครักษ์เจิ้งหมิง มือปราบจี้หม
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกันเดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลยหากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นาหรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไรณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคนคนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้นเหตุใดทหารมากมายจึงมาที
เจิ้งหมิงกำลังลอบลงจากเรือสำเภา แต่กลุ่มชายชุดดำบนเรือกลับรู้ตัวว่ามีคนแฝงตัวมากับพรรคพวกของเขา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกระบี่ เจิ้งหมิงสังหารชายชุดดำล้มตายไปหลายคน ด้วยเพลงกระบี่อันเยี่ยมยุทธ ก่อนกระโดดลงทะเลหลบหนี ไม่นึกเลยว่า กลับถูกอาวุธลับซัดเข้าที่กลางหลังพิษของมันร้ายกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนไม่อาจขยับเขยื่อนร่างกายได้ สติสัมปชัญญะที่มีพร่าเลือนลงทุกทีแม้กระนั้นห้วงคำนึงของเขาก็ยังนึกถึงแต่ณารา นางผู้มาจากต่างกาลเวลา ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรขณะร่างของเจิ้งหมิงดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั่นเอง โลมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ใช้ครีบของมันช้อนร่างของเขาเอาไว้ แล้วพาไปยังเรือประมง ลำที่มันคุ้นเคยขณะนั้น “ไห่ถวน” ชาวประมงหนุ่มน้อย รูปร่างเก้งก้าง ผิวกร้านแดด เรือนผมยาวเกล้าเอาไว้ลวกๆ ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเล็กหยี ภายใต้คิ้วหนานั้น เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขกำลังเก็บปลาจากอวนใส่ท้องเรือแต่แล้วหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโลมาตัวนั้นว่ายมาทางเขา โดยที่ครีบของมันกำลังประคองร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย“ถิง
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ