แพรวาคิดว่าเธอต้องไม่ลืมว่าตัวเองออกมาหาเบาะแสในการกลับบ้าน อย่างไม่ทันตั้งตัว ชายร่างผอมท่าทางโซเซ เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าป้ายหยกที่ฮ่องเต้หมอบให้ ที่แพรวาผูกไว้กับชายผ้ารัดเอวก่อนจะวิ่งหนี
แต่ช้าไปเสียแล้ว บทบู๊ในหนังกำลังภายในก็ปรากฏตรงหน้าด้วยวิทยายุทธ์สูงส่งของ ทั้งท่านโหว และชินอ๋อง ประเคนฝ่ามือซัดเข้าไปจนชายร่างผอมกลิ้งไปมาหลายตลบ มือแข็งแรงคว้าที่คอหอยของชายผู้นั่น แพรวาเห็นท่าไม่ดี ตรงเข้ายึดมือของชินอ๋องไว้ด้วยความตกใจ ชินอ๋องมองมือของแพรวาแบบงงงง
ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อสัมผัสตัวกัน ใจหนุ่มแตกกระเจิงไปไกล ไม่เคยเข้าใกล้หญิงใด และยิ่งไม่เคยมีหญิงใดกล้าเข้าใกล้เขาแบบนี้
“ปล่อยเขาไปเถอะท่าน อย่าฆ่าเขาเลย “แววตาตื่นตกใจ
“หากปล่อยไปคราวหลังมันก็จะ ยิ่งกล้าว่าไม่มีความผิดคราวหลังก็จะทำผิดอีก” แววตาดุดัน
“ท่านจะ ฆ่าเขาจริงๆ เหรอ เขาแค่... คงไม่มีเงินท่านโหวช่วยกันห้ามหน่อยสิ”
โหวหยางจื้อมองยิ้มๆ แสดงท่าทีไม่แยแส
แพรวาเป็นกังวลอย่างมาก ภาพตรงหน้ากลับปรากฏร่างชายหนุ่มร่างผึ่งผายหากแต่สวมหมวกปิดบังใบหน้าเดินเข้ามา
“นายท่านโปรดอภัย ข้าน้อยยินดีชดใช้ ค่าเสียหายแทนชายผู้นี้เอง”
ริมฝีปากที่แทบไม่ขยับนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ
ชินอ๋องจ้องมองผู้พูดอย่างสำรวจ ก่อนจะเหลือบมองพบป้ายหยกติดตัว ยอมปล่อยมือจากชายร่างผอมทันที แพรวายิ้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“ท่านผู้นี้ไม่ทราบว่ามีนามว่าอย่างไร” ชินอ๋องเอ่ยปากถามชายใสหมวก
“ชื่อแช่เป็นเพียงภาพลวง พบ เพียงครั้งใช่ว่าจะได้พบกันอีกท่านจะอยากรู้ไปทำไม”
“พบเพียงครั้งใช่ว่าจะไม่ได้พบอีก อาจมีวาสนาได้พบท่านอีกครั้งเป็นแน่”
“พบเพียงแค่ผูกพัน นายท่านทั้งสามข้าน้อยขอตัว”
ว่าแล้วก็จากไปกลับตอนที่มาเงียบเชียบไร้ร่องรอย แพรวานึกทึ่งในคนผู้นั้นช่างมีน้ำใจเสียจริงแม้แต่กับคนด้อยโอกาส กลับเข้าวังจนเย็นย่ำ โหวหยางจื้ออิดออดเพียงเพื่อให้ได้เดินมาส่งแพรวา ชินอ๋องก็ใช่จะยอมน้อยหน้า เดินมาส่งจนถึงหน้าห้อง
“ท่านทั้งคู่ กลับไปเหอะถึงห้องข้าแล้ว”
แพรวาออกตัว ฮ่องเต้หน้าหล่อยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ในห้องได้ยินเสียงทั้งสามคนก็เปิดประตูออกมา
“ข้าน้อย โหวหยางจื้อ ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ชินอ๋องถวายพระพรเสด็จพี่”
“เกรงใจพวกเจ้าแล้ว ข้าหลวงหญิง...ของข้า..ทำให้พวกท่านต้องลำบากแล้ว”
ใครเป็นของคุณไม่ทราบแพรวากัดพันคิดอยู่ในใจ
“เป็นน้องและโหวหยางจื้อที่ห่วงความปลอดภัยของนางเมื่อต้องออกไปนอกวังเกรงว่าจะได้รับอันตราย”
“ไม่ต้องเถียงกัน เฮ้อน่ารำคาญเป็นข้าเองแหละที่อยากออกไป”
แพรวาตัดรำคาญเดินเข้าไปในห้องปิดประตู เฮ้อมัวแต่หยั่งเชิงกันอยู่นั่นคิดอย่างไรก็พูดไปตรงๆ เลยมัวแต่ลีลาอยู่นั่นดีนะ ไม่พูดเป็นบทกลอนกันไปเลยไม่รู้ว่าเขาคุยกันว่าอย่างไรอีก ประตูไม่ได้เคาะเปิดออกอย่างแรง ด้วยแรงกระชาก
“ออกนอกวัง ไม่เคยบอกกล่าวเจ้าถือดีว่าเจ้าเป็นใคร”
“ต้องบอกด้วยเหรอ”
แพรวาทำหน้าตาเหลอหลาไม่รู้ไม่ชี้
“สองคนนั้นดูแลเจ้าดีไหม”
น้ำเสียงห่วงใย
“ดีที่สุด ไม่มีอะไรต้องห่วงท่านอย่า แสร้งทำเป็นห่วงข้าหาเรื่องคนอื่นโชว์พาวตอนนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าใครมีเพียงฝ่าบาทกับข้าน้อยสองคน ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ”
“เพราะแบบนี้อย่างไรล่ะ เหมยเจียงถึง จากข้าไป”
“ก็เรื่องของเหมยเจียง ข้าไม่ใช่เหมยเจียง”
ฮ่องเต้กระชากร่างบางเข้ามาแนบอก กดหัวให้ซบไหล่กว้าง
“ในวังอันตราย นอกวังยิ่งอันตรายกว่า ถ้าเกิดอันตรายขึ้น หรือเจ้าหายไป”
เปลี่ยนอารมณ์ทันที ความเศร้าโศกที่แพรวาสัมผัสได้อย่างชัดเจนพาให้อารมณ์ครุกรุ่นสงบลง
“คราวหลังจะไปไหนบอกข้า เกี้ยวและองครักษ์ฝีมือดีจะดูแลเจ้าเอง”
แพรวาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้อย่างสับสน ในความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวคงจะอ่อนไหวกับเรื่องคนรักเก่าแน่แน่เลย แพรวาเป็นเพียงตัวแทนของ ..เหมยเจียง ..
ร่างหนึ่งอยู่ในชุดดำ มีผ้าปิดคุมใบหน้า ต้องพินิจถึงจะรู้ว่าเป็นหญิงอีกคนเป็นชายนอบน้อมเตรียมรับคำสั่งอยู่ในเงามืด
“ฮ่องเต้ มีหญิงงามคนโปรด คนใหม่เจ้าจะจัดการอย่างไร”
“ขอเพียงท่านมีคำสั่งข้าน้อยพร้อมลงมือ”
“ไม่ช้าไม่นาน จะต้องมีรัชทายาทเป็นแน่ ข้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเพียงแต่นางจะหายไปเหมือน เหมยเจียง”
“ข้าน้อยพร้อมรับคำสั่ง”
“ยัง ข้ายังต้องใช้ไม้อ่อนดูก่อน หากไม่สำเร็จ เมื่อนั้นเจ้าค่อยลงมือ”
ชายร่างใหญ่โค้งคำนับก่อนจะถอยออกมา
แพรวาเดินเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจสภาพแวดล้อมข้างกาย ยกมือขึ้นปิดปากหาว ลี่มี่เดินตามอย่างสำรวมเอามือกุมอยู่ข้างหน้าแบบนางในทั่วไป“ดอกไม้ร่วงหล่น ลงพื้นคล้ายความรักหลุดปลิวหายไป”เสียงทุ้ม ดังอยู่ใต้ต้นเหมยที่ออกดอกสีชมพูพร่างพราว ใต้ต้นดอกเหมยร่วงหล่นเกลื่อนพื้น“หากเจ้ามิใช่ดอกเหมย ใย ไม่หวนคืน”แพรวายืนนิ่งฟังอยู่ตรงนั้น โอ้ล้ำลึก คนที่นี่ช่างเปรียบเปรยร่างสูงขายาว ยืนชมดอกไม้อยู่ตรงนี้ไม่ใช้ใครอื่นแต่เป็นฮ่องเต้ ที่แพรวาเมื่อรู้ว่าเป็นฮ่องเต้ทำให้เกิดอาการหมั่นไส้มาเพ้ออะไรอยู่ตรงนี้ แพรวายืนอยู่ในเงามืดไหนเลยลองฟังคารมของหนุ่มที่นี่ดู ปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่แพรวามองพินิจอยู่ตั้งนานถึงรู้ว่าเป็นกุ้ยเหริน เดินออกมาจากระเบียงด้านหน้าตำหนัก“ความรู้สึกฝังลึก ยากขุดรากถอนโคน เหมือนรากของดอกเหมยที่หยั่งลึกยาก..ขุดถอน”แพรวาอดทึ่งกับ สำนวนของกุ้ยเหรินไม่ได้“เจ้าอย่าได้เสียเวลาเลยลู่เอิน ใจของข้ามีเพียงเหมยเจียงเจ้าก็รู้”กุ้ยเหรินทำหน้าเศร้า แพรวานึกสงสารจับใจ“กายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือหากแต่ใจอยู่ไกลนับพันลี้”โอ้มายก๊อดสุดยอด แพรวาอยากมีปากกาหรือดินสอเอาไว้จดไม่ได้ไม่ได้ต้อง ให้ลี
แกล้งเขาได้ ขัดจังหวะเขาได้ อดจะยิ้มเยาะไม่ได้ แพรวาเผลอยิ้มออกมาทันที กุ้ยเหรินเดินออกมาอย่าง ช้าๆสายตาอาลัยอาวรณ์ประตูปิดลงเบาๆ ลี่มี่กับเสี่ยวโอยักคิ้วให้กันอย่างมีเลศนัย แพรวาปล่อยมือออกจากเอวของฮ่องเต้แต่กับโดนฉุดมือไว้แน่นแพรวารู้สึกไม่ปลอดภัยเสียแล้ว“ปล่อยข้าพระองค์ ฝ่าบาท”กลายเป็นฮ่องเต้ที่ใช้มือกอดรอบเอวบางไว้คางเกยอยู่ที่ไหล่บาง ลมหายใจอ่อนๆ ผสมกลิ่นสุรา“อ้าว ไม่สนิทกันเหมือนเมื่อครู่แล้วเหรอ”แพรวาดิ้นจะให้หลุดแต่ไม่เป็นผลแรงเยอะ เธอไม่น่ามายุ่งกับคนเมา“ก็ไหนบอกให้ มาคอยขัดขว้างเหล่าเมียๆ ให้ไม่ใช่เหรอ มันเป็นการแสดงฝ่าบาทก็ทรงทราบ”ฮ่องเต้ยิ้มหวานมีเลศนัย“เจ้า ไลกุ้ยเหรินไป กุ้ยเหรินกำลังจะปรนนิบัติ... ข้า.ข้าเลือกเจ้าเจ้าก็ต้องตอบแทนโดยการปรนนิบัติข้า.............”......................................................................ไทฮองไทเฮามองหยาดน้ำตาของกุ้ยเหริน ก่อนจะบรรจงเช็ดให้แผ่วเบา“ถ้าหากเจ้าใจกล้ากว่านี้มีหรือฝ่าบาทจะปฏิเสธเจ้าได้”แววตาที่ซ่อนแวว ดุดันไว้ ถูกเคลือบด้วยแววตาอ่อนโยน“ลู่เอิน เกรงฝ่าบาทจะ เข้าใจผิดว่าลู่เอินเป็นผู้หญิงมากรัก หากแต่นางกลั
ลี่มี่ เข้ามารายงาน แพรวาเป็นกังวลอย่างมาก เนื่องด้วยคราวนี้ไทฮองไทเฮาเรียกหาเธอเพียงลำพังไม่ได้มีฮ่องเต้ไปด้วยเหมือนครั้งก่อน“เจ้ารู้ไหมลี่มี่ ว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกหาข้า”ลี่มี่ส่ายหน้าไปมา“ข้าน้อยอยากให้นายหญิงระวังตัวให้ดี ไทฮองไทเฮาก็เหมือนลายปักบนผ้าที่ด้านหนึ่งสวยงามอีกด้านกับซ่อนเส้นด้ายและรอยต่อไว้มากมาย”โอ้โห้นี่ขนาดสาวใช้นะ คำคม ล้ำลึกแพรวาเดินตามทางเดินลาดยาวที่มีดอกเหมยริมทางทั้งสีแดงและสีชมพู ภาวนาอย่าให้ มีเรื่องร้ายๆเลยรู้ว่ามีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะช่วยเธอได้หากแต่ตอนนี้ฮ่องเต้ ออกว่าราชการในท้องพระโรงและไม่แน่ว่าเขาจะช่วยเธอเพราะเมื่อคืนเธอสร้างวีรกรรมไว้ ทหารองครักษ์ยืนอยู่ทางขึ้นไปบนตำหนัก มองเธอด้วยสายตาสงสาร แบบที่แพรวาคิดไปเองไทฮองไทเฮา นอนตะแคงใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไว้ มีนางกำนัลบีบนวดเหมือนเดิมใบหน้าที่สวยไม่สร่างเมื่อครั้งยังสาวสะคราญคง สวยจับใจ มองเธอด้วยสายตามีอะไรแอบแฝง“ข้าน้อยข้าหลวงหญิงเฟยลี่ ถวายพระพรไทฮองไทเฮา”พยายามทำตัวเองให้เป็นคนมารยาทดีที่สุด ลี่มี่ย่อตัวตาม“ตังซิน (ระวังตัว) ”ลี่มี่กระซิบเสียงเบาที่สุด ไทฮองไทเฮา หลุบตามองมือตัวเองที่
เป็นเขาที่ละเลยปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตราย หากวันนี้ไม่คิดว่าจะต้องแก้เผ็ดเรื่องเมื่อคืน คงไม่ออกตามหาตัวกันจนพบ นางกำนัลคนหนึ่งบอกว่า แม่นางเฟยลี่ มุ่งหน้าไปทางตำหนักฟางซินเสี่ยวโอซอยเท้ามาด้วยความรีบร้อนหมอหลวงเดินตามมาไม่ห่างท่าทางเร่งรีบเช่นกัน ฮ่องเต้ถอยออกมายืนห่างๆ หมอหลวงตรวจวัดชีพจร“นางปลอดภัยแล้วฝ่าบาท หากแต่ข้าพระองค์จะให้ขันทีตามไปรับยา เพื่อที่จะมาให้นางได้แก้พิษถึงแม้ไม่ใช่ยาพิษที่มีพิษถึงแก่ชีวิต แต่มีผลทำให้นางไม่สามารถมีบุตรได้หากได้รับยาเข้าไปในปริมาณมาก”ฮ่องเต้กัดฟันจนเป็นสันนูน“ข้าเป็นถึงฮ่องเต้แต่ไม่อาจปกป้องนางได้”รำพึงเบาๆ“แม่นางเฟยลี่เองมาจาก...แดนไกล ไม่รู้ขนบธรรมเนียมในวังหลวงจึงไม่อาจระวังตัว ข้าน้อยจะค่อยๆสั่งสอนนางอีกแรง”คำพูดมีเลศนัยของหมอหลวงแต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้สงสัยอะไรร่างบอบบางนอนแน่นิ่งฮ่องเต้เฝ้ามองด้วยความรู้สึกประหลาดเรียกว่าอะไรความรู้สึกแบบนี้ต่างจากที่รู้สึกกับเหมยเจียง ยกมือขึ้นลูบแก้มใส หลับตาเสียก็ไม่มีพิษสง หากลืมตานางคงต้องโวยวายเรื่องการถูกเนื้อต้องตัว“ฝ่าบาท ลี่มี่โลหิตไหลไม่หยุด หมอหลวงเร่งให้ข้าน้อยมาดูอาการ เจี่ยเจียเอ๊ยข้าหลว
แพรวาแลบลิ้นเพราะรู้ว่าฮ่องเต้ต้องหมายถึงเธอแน่ๆ (สำคัญตัวเองผิด มโนไปเองเปล่าวะ)“ของของเราหากพยายามไม่มากพอก็อาจเป็นของคนอื่น” โหวหยางจื้อเข้ามาสมทบอีกคน แพรวาหันหน้าไปพึมพำเบาๆจะพูดเรื่อง ของเรา ของเขา หรือว่าจะมาเยี่ยมเธอกันแน่“นี่คือโสมชั้นดีจาก ฮันกึล (เกาหลี) ไว้ให้ แม่นางเฟยลี่ฟื้นฟูร่างกาย”โหวหยางจื้อ ยื่นกล่องโสม ส่งให้ด้วยแววตาจริงใจ ชินอ๋องล้วงเอาของในอกเสื้อออกมาบ้าง“ข้าชินอ๋องมีเพียงกำไลหยก เครื่องรางป้องกันภัยเท่านั้นใส่ไว้ติดตัวคาดว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้าย”ถ่อมตัวจริงๆ กำไลหยก ที่ถูกทำขึ้นด้วยความประณีตถูกยื่นส่งมาตรงหน้าของแพรวา ก่อนที่นางกำนัลจะรับไปเก็บไว้ ฮ่องเต้มองของสองสิ่ง ไปมาไม่มีอะไรให้กับเขาไม่ได้เตรียมอะไรมา“เมื่อ ส่งของกำนัลให้นางแล้วก็ อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของนางเลยเชิญเจ้าทั้งสองที่ห้องอักษรข้ามีเรื่อง หารือ”ชินอ๋องและโหวหยางจื้อไม่รอช้า ก้าวออกจากห้องบรรทมด้วยสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ผู้ใดจะเข้าออกได้ตามแต่ใจต้องการ ฮ่องเต้ทรุดตัวลงนั่งข้าแท่นนอน“ฝ่าบาทไม่มีของกำนัลให้ข้าน้อย เฟยลี่เหมือนคนอื่นหรือไร”แพรวาแกล้งแหย่ใบหน้าหล่อก้มลงจนเก
โหวหยางจื้อได้ทีพูดขึ้นมาบ้าง“ให้แต่ละคนส่งฎีกา เสนอชื่อ ผู้ที่เหมาะแก่การ ดำรงตำแหน่งฮองเฮาด้วยเถิด”ทั้งโหวหยางจื้อและ ชินอ๋องคุกเข่าขอร้อง“เจ้าทั้งคู่ สนิทสนมกับข้ามาก็นานคงจะรู้ดี ข้าเพียงแค่รอคอยว่าสักวันเหมยเจียงจะกลับมานางเพียงคนเดียวที่เหมาะกับตำแหน่งฮองเฮา....ของข้า”พูดไปใจก็คิดถึงอีกคนที่นอนอยู่ที่แท่นบรรทมตอนนี้ ภาพใบหน้างดงามนั้นลอยวนขึ้นมากวนใจคราวนี้เป็นท่านโหว และชินอ๋องที่ถอนหายใจเกือบพร้อมกัน“ขอเวลาอีกสักหน่อย ให้ข้าลืมเลือนนางอีกสักพัก”“พระสนม ฝ่าบาทห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปภายในตำหนัก ของฝ่าบาทหากไม่ได้รับอนุญาต “เสียงเสี่ยวโอตะโกนดังลั่นเหมือนจะเตือนให้ แพรวาที่อยู่ข้างในได้ระแวดระวังภัย และพยายามถ่วงเวลาไว้“ข้าเป็นถึงสนมเอก บิดาข้าเป็นถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เจ้าบังอาจนักเจ้าขันทีน้อย”ดวงตาเขียวปั้ดจ้องมองเสี่ยวโอด้วยความมุ่งร้าย ผลักประตูห้องบรรทมเข้าไปข้างใน เสี่ยวโอหลบออกมาทันทีแพรวา รีบลุกจากเตียง“ข้าหลวงหญิงเฟยลี่ ถวายพระพรพระสนม”ใบหน้าที่เชิดหยิ่งอยู่แล้วยิ่งเชิดสูง“เจ้านี่นอกจากจะไม่เจียมตัวแล้วยัง ใฝ่สูง กล้าตีตัวเสมอฝ่าบาท นอนในแท่นบรรทมได้อย่างไ
แพรวาด้วยชุดสีขาวที่บางเบา ไม่มีเสื้อคลุมสวมทับความหนาวเหน็บข้างนอก นั้นต่างจากจิตใจที่ร้อนรุ่ม แพรวาหันหลังพิงต้นดอกเหมย คิดทบทวนเรื่องต่างๆ และบทรักเมื่อสักครู่ว่าไม่ได้เพื่อเธอหากแต่เป็นอีกคนน้ำตา เจ้ากรรมก็พาลไหลรินอีกครั้งทรุดตัวลงช้าๆ หลังพิงต้นดอกเหมยปล่อยให้น้ำตาร่วงลงจนถึงที่สุดเธอเป็นเพียงตัวสำรองไม่ว่าในภพไหนๆ กอดอกห่อไหล่งองุ้มหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ความหนาวภายนอกไม่อาจเท่าภายใน ที่มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นเพียงคนคั้นเวลาของคน ถึงสองคนในช่วงเวลาไม่นานมานี้เสื้อคลุมหนานุ่มอบอุ่นถูกคลี่ลงคลุมไปทั่วตัว แพรวาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสื้อคลุมหนานุ่มนั้นน้ำตาเต็มตา“น้ำตาหมดร่างไม่อาจแบ่งเบา ความทุกข์ภายในใจได้หรอกแม่นาง”ชินอ๋อง ผู้นี้ใยทำไมท่าทีเปลี่ยนไป แพรวามองเห็นความจริงใจและเอื้ออาทรในแววตานั้น“ปล่อยให้ข้าได้ร้องเถิด เพื่อปลดปล่อย”“อากาศหนาวเย็น กลัวว่าน้ำตาเจ้าจะแข็งไม่ไหลรินตัวเจ้าเองก็จะกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน เข้าไปดื่มชาร้อนๆ ที่จวนข้าชินอ๋องเถิด” เอื้อมมือมาจับมือเย็นเฉียบเกาะกุมก่อนจะพาเดินหายไปในความมืด ภายหลังนั้นกลับมีร่างหนึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาปวดร้าว อยู
เสี่ยวโอ คุกเข่าข้างหน้าเมื่อแพรวาก้าวลงเตรียมเดินไปยังห้องของตัวเอง“คืนนี้ไม่เหมาะ ฝ่าบาทเลือกป้ายเป็นผู้ใด ค่ำนี้”“ไม่มีผู้ใด"ทรงอารมณ์ฉุนเฉียวไม่อาจทำการเลือกป้ายเสี่ยวโอยังรายงาน“งั้นก็ดีแล้วเมื่ออารมณ์ฉุนเฉียวข้าก็ไม่อาจเข้าหน้าได้ ร่างกายต้องการพักผ่อน”ว่าแล้วแพรวาก็สาวเท้าเดิน กลับห้องของตัวเอง“เจี่ยเจีย... เจี่ยเจีย”เสี่ยวโอตะโกนตามหลังหากแพรวาไม่เหลียวหลังกลับมามอง ฮึ ให้รู้เสียบ้างว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงลืมง่ายโกรธนานไม่มีทาง อภัยให้ใครง่ายๆล้มตัวลงนอน ร่างกายอ่อนเพลีย จาก อาการป่วยแล้วยัง การร้องไห้อย่างหนักนั่นอีก หลับตาลง ก่อนจะเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวอากาศหนาวจนหิมะแรกร่วงหล่น แพรวาไม่เคยเผชิญอากาศ แบบนี้ กอดอกห่อไหล่นอนหนาวอยู่บนที่นอน ร่างสูงก้าวเข้าภายในห้องเบากริบแสงไฟสลัวส่องจับใบหน้านวล ที่หลับตาพริ้ม เดินไปหยุดที่ข้างเตียง ก่อนจะคลี่ผ้าห่มหนาปกคลุมร่างบางจนทั่วพิศมองใบหน้าผุดผาดนั้นความรู้สึกผิดต่อแพรวา ความรู้สึก ที่ไม่อาจบรรยาย และไม่อาจหักห้ามความต้องการของตัวเอง ก้มลงจุมพิต หน้าผาก เนียนนั้นแผ่วเบา“ตุ้ยปู้ฉี่ (ขอโทษ) เฟยลี่”ก่อนจะเดินออกจากห้องไป แพรวาลืม
“บัลลังก์เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ และสิ่งที่ข้าต้องทำต่อจากการนั่งบัลลังก์ก็คือมอบสิ่งนี้ให้แก่ท่าน”ไทเฮารับพาน มาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทาชินอ๋องสะบัดชายเสื้อเดินออกจากตำหนักด้วยใบหน้าเศร้าหมองมองขึ้นไปบนฟ้ากว้างความแค้นที่ถูกชำระลงไปในวันนี้ เหตุใดทำจิตใจเขาเศร้าหมองยิ่งสิ่งที่ได้มาต้องแลกกับอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตใจของ ชินอ๋องรู้สึกมีสุขและสว่างดังแสงเทียนยามค่ำคืน คือใบหน้าหวานสวยของแพรวาที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าไทเฮาคลี่ผ้าขาวออกก่อนจะโยนผ้าขาวฟาดบนขื่อคา ผูกให้เป็นบ่วงสอดลำคอระหงลงบนบ่วงผ้าขาวหลับตาลงบนช้าช้า“เซี้ยนตี้ข้ากำลังจะตามท่านไปมารับข้าด้วย"................................................................ตำหนักใหญ่“พบตัวนางหรือยัง"เสียงตื่นเต้นดีใจเมื่อทหารองครักษ์เดินเข้ามาภายในตำหนัก“หานางไม่พบ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “เจ้าแน่ใจแล้วรึ”“ค้นจนทั่วเขตวังหลวง แต่ไม่มีแม้เงาของข้าหลวงหญิงเฟยลี่ ก่อนนั้นมีคนเห็นหญิงสาวลักษณะเหมือนแม่นางเฟยลี่หนีไปพร้อมกับหยางหลงที่สวมชุดขันที”กำปั้นถูกทุบลงบนพื้นโต๊ะ“ไม่ผิดแน่ใช่ไหม”“ขันทีหน้าห้องหลายคนยืนยันว่านางอยู่ในห้องบรรทม
“ข้าขี่ม้าไม่เป็น”หยางหลงฮ่องเต้ไม่พูดพล่าม ตวัดแขนเกี่ยวเอวบางส่งขึ้นไปบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นคร่อมบนหลังม้าตัวเดียวกัน“ให้นางไปกับข้า เชิญท่านนำทาง” ชายกลางคนมองคนทั้งคู่อย่างพิจารณา“ถ้า หากเป็นเช่นนี้ข้าคงต้อง ผูกม้าอีกตัวไว้ที่นี่ แต่การนั่งบนหลังม้าถึงสองคน ทำให้ม้าวิ่งได้ช้าลง“ไม่เป็นไรเราคงต้องอาศัย ท่านช่วยนำทางไปยังทางที่ไม่ใช่ทางหลักถึงจะไกลหน่อยแต่ข้ารับรองว่าท่าน จะได้สิ่งตอบแทนที่ท่านพอใจ”ชายกลางคนพยักหน้าก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้าของตัวเอง กระตุกบังเหียนใช้ส้นเท้ากระแทกสีข้างม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า ฮ่องเต้ ควบม้าตาม ด้วยความรวดเร็วไม่แพ้กัน เสียงฝีเท้าม้าดังประสานเสียงพร้อมกับเสียงตะโกนกระตุ้นม้าให้วิ่งแพรวาพิงร่างลงบนอกของฮ่องเต้ระยะทางแสนไกลไม่มีที่สิ้นสุดหมอหลวงหอบห่อผ้าพะรุงพะรังไปยังสุสานบรรพชน แสงเทียนภายในห้องของหย่าจิ้งยังไม่มอดลง“หย่าจิ้ง ถึงเวลาที่ท่านกับข้าต้องรีบเดินทางเสียแล้ว”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”“ตอนนี้ชินอ๋อง ได้บุกเข้าไปในวังหลวงและขึ้นนั่งบัลลังก์แทนหยางหลงเสียแล้วหากว่า หย่าจิ้งยังอยู่ที่นี่เกรงจะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะไทฮองไทเฮาทรงอยู่เบื้องห
ค่ำคืนเปี่ยมสุขนั้น หยางหลงฮ่องเต้หลับใหลโดยข้างกายมีแพรวาเคียงข้างไม่ถึงหนึ่งชั่วยามความร้อนที่อยู่รอบกาย ทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งตื่นจากนิทราหลับใหล มองเห็นเพียงแสงสว่างแดงฉานกับความร้อนที่ทวีความรุนแรง เสียงกระบี่กระทบกันดังเข้ามาใกล้เสียงวิ่งวุ่นวายแพรวางัวเงียตื่นขึ้นมาเหมือนกันเสี่ยวโอเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าตื่นตระหนก“ฝ่าบาท ทรงเสด็จออกทางด้านหลังตำหนักขณะนี้ชินอ๋องนำทัพหน้าล้อมวังหลวงไว้ทุกด้าน หัวหน้าองครักษ์ให้ข้าพระองค์มาแจ้งข่าว และนำเสด็จ”“คุ้มกันฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท"เสียงตะโกนดังสนั่นใกล้เข้ามาทุกที่ภาพความทรงจำเก่าๆ ย้อนเข้ามาในหัวแพรวา อดไม่ได้ยกมือกุมขยับเสี่ยวโอโยนเสื้อผ้าขันทีลงตรงหน้าพระพักตร์ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมมังกรที่แขวนอยู่ขึ้นมาสวมทับชุดขันทีหยิบพระมาลาของฮ่องเต้ ที่ถอดวางไว้มาสวม“ฝ่าบาทเราไม่มีเวลาแล้ว ทรงสวมชุดขันทีแล้วหนีไปกับเจี่ยเจียข้าพระองค์วันนี้อยากเป็นฮ่องเต้ สวมชุดมังกรแทนท่าน”ยื่นหมวกขันทีส่งให้ฮ่องเต้“เสี่ยวโอ ข้าไม่อยากใช้เจ้าเป็นกำบัง”“ไม่มีเวลาคิดแล้ว แค่ให้ฝ่าบาทสามารถรอดจากเงื้อมมือของชินอ๋องได้และกลับมาทวงบัลลังก์คืนก็พอแล้ว”ปากก็พูดมือก
วาจาคล้ายจะหยั่งเชิง จับพิรุธจากคำพูด“นางตัวคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง”“เจ้าช่างรู้ดีว่าตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง”หมอหลวงรู้แล้วว่าตัวเองพลาดไปถนัดใจหาก ไทฮองไทเฮารู้ฐานะที่แท้จริงของแพรวาสิ่งที่ต้องแลกมาคงไม่อาจคาดเดา“พระองค์ทรง เป็นกังวลอะไรกับเด็กสาวไร้ที่มาเพียงคนเดียว"ไทฮองไทเฮา ยิ้มเยือกเย็น“ข้าไม่สนใจ แค่เพียงคนที่ไร้ที่มาหากนางไร้ที่มาจริงจริงและพอจะเข้าใจบางอย่าง ไม่รบกวนท่านแล้วไว้ข้ามีเรื่องขัดข้องอันใดคงได้ คำตอบจากท่านอีกเป็นแน่ แม้วันนี้ท่าทีของท่านไม่อยากตอบคำถามข้านักก็ตาม”หมอหลวงผู้นี้ต้องมีเรื่องใดปิดบังอยู่เป็นแน่แท้ หากจะคาดคั้นไปยิ่งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหมอหลวงจากมาด้วยการแบกรับภาระที่หนักอึ้งไทฮองไทเฮา เจ้าเล่ห์ฉลาดเฉลียวไม่แน่อาจระแคะระคายอะไรบางอย่างถึงตอนนี้เองต้องหาทางบอกกล่าวแพรวาไว้บ้างเพราะนางจะได้หาทางหนีทีไล่ไว้เขาเองก็คงช่วยไม่ได้มาก ยังมีอีกคนหมอหลวงสาวเท้าเดินออกนอกเส้นทางเพื่อไปยังสุสานบรรพชนหย่าจิ้งร่ายรำวิทยายุทธที่นางฝึกฝนมานานกระบี่ในมือกวัดแกว่งรวดเร็วจนเกิดการเสียดสีกับอากาศเกิดเสียงดัง ยามแกว่งไกวหมอหลวง หยุดอยู่เบื้องหลังก่อนที่ปลายกระบี่จะ
“ไม่จริงเสด็จย่า หลานหวังเพียงแต่นางเพียงผู้เดียว”ไทฮองไทเฮายิ้มเยือกเย็น“เป็นเช่นนั้นเจ้าต้องเร่งมือทำการ ใหญ่ให้สำเร็จเสียก่อนแล้วเฟยลี่ก็คง... ไม่พ้นมือเจ้า”ชินอ๋องจากไป ไทฮองไทเฮาเรียกองครักษ์คนสนิทเข้าพบหมุนแหวนหยกบนนิ้วชี้ไปมายิ้มโหดเหี้ยม“ข้าให้เจ้า สืบเรื่องของข้าหลวงหญิงไปถึงไหนแล้ว ป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดใด”“ขอไทฮองไทเฮาโปรดอภัยข้าน้อยตามสืบเรื่องของข้าหลวงหญิงแต่ไร้ร่องรอยของนาง ไม่เพียงเท่านั้นยังไม่เคยมีใครได้พบเจอนางมาก่อน”ไทฮองไทเฮาตบ โต๊ะดังสนั่น“นางที่มาที่ไปไร้ร่องรอย นางเป็นใครกันแน่”“แต่ที่ประหลาดคือ ทุกทุกเดือนหมอหลวงจะนำยาเทียบหนึ่งมาให้นางเป็นประจำ และนางเองมักจะ มีเรื่องพูดคุยกับหมอหลวงเป็นประจำ”“ฮึฮึ.. อย่างนั้นข้าคงต้อง เรียกตัวหมอหลวงเข้าพบเสียทีดูว่าหมอหลวงเจ้าเล่ห์จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง ที่่บังอาจปิดบังข้าได้”เพียงครู่เดียวหมอหลวงชราก็อยู่ต่อหน้าไทฮองไทเฮา“ข้า จางจื้อเยว่หมอหลวง ถวายพระพรไทฮองไทเฮา อายุยืนหมื่นปีหมื่นปีมีเรื่องอันใดให้ข้าพระองค์รับใช้ข้าพระองค์น้อมรับบัญชา”ยิ้ม ที่เหมือนฉาบทาด้วยยาพิษ“ข้าไม่ใช่คนอ้อมค้อม เพียงแค่อยากรู
“ข้าน่าจะปล่อยให้ ชินอ๋อง ... บอกเจ้ากี่ครั้งนิสัยดื้อรั้นของเจ้าตำหนักข้าน่าเบื่อมากหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องนั่งดื่มอยู่ ในตำหนักชินอ๋อง” แพรวาเม้มปากแน่นรู้ว่าผิดแล้วจะตอกย้ำทำไม สะบัดแขนใจให้หลุดจากการลากถูนั้นแต่เปล่าประโยชน์“แค่อยากออกมาเดินเล่นเท่านั้นพอดีเจอชินอ๋อง จะปฏิเสธอย่างไรเล่าในเมื่อเขาเป็นอนุชาของ ฝ่าบาท”ฮ่องเต้ถอนหายใจ“ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าคิดว่าใครบ้างที่จริงใจกับเจ้าเหมือนข้าต้องรู้จักระวังตน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะพลาดท่าเสียที จำเอาไว้ “แพรวา ทำตาละห้อยสำนึกผิดหากหยางหลงฮ่องเต้มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นแพรวาไม่อาจคาดเดา“ลมหนาวแม้ พัดตามฤดูกาล หากแต่ก็มีช่วงเวลาที่พัดผ่านคนเราหากไม่รอเวลาที่เหมาะสมไหนเลยจะพบกับความสุข เจ้าอดทนรอ อีกสักนิด เมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างในวังหลวงแห่งนี้ข้าแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง จะไปไหนทำอะไรข้าจะไม่หวงห้ามเจ้าเพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่อาจคาดเดา หลายคนหลายฝ่ายได้เท่านั้นเอง”แพรวาพยักหน้า เป็นเชิงเข้าใจลี่มี่ประคองชินอ๋องก่อนจะเรียกให้หญิงรับใช้สองสามคนมาดูแล ยืนนิ่งมองด้วยความสงสารจับใจ หันหลังกลับเดินตามหยางหลงฮ่องเต้และแพรวา กลับวังหลวงด้ว
“ถาม ถามยังไม่หมด แล้วฝ่าบาททำไมถึง ...รักเหมยเจียง”แพรวาถามไปอย่างนั้นเพราะคิดคำถามไม่ออก ฮ่องเต้เลิกคิ้วสูงคาดไม่ถึงกับคำถามนั้น“เหมยเจียงเป็นสิ่งเดียวหลังจากที่ท่านแม่ตายไปนางเป็นทั้งเพื่อนเล่น และพี่สาวในเวลาเดียวกัน เหมยเจียงเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทั้งยังมีจิตใจอ่อนโยนโอบอ้อมอารี”ดีเว่อร์ไปไหมถ้าเทียบกับแพรวา ที่ไม่มีคุณสมบัติที่ว่าเลยตำหนักไทฮองไทเฮา“ย่า ว่าเราคงต้องจัดการทุกอย่าง ให้มันเร็วขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว”ไทฮองไทเฮาใบหน้าเคร่งเครียด ยามที่เปล่งวาจาชินอ๋องก้มหน้านิ่งอย่างใช้ความคิด“เหมยหลิวไม่สามารถดำเนินแผนการให้สำเร็จได้ เพราะไทเฮาที่มาขัดขว้างนาง ช่างมาได้ถูกจังหวะทำให้แผนของเราปั่นป่วนตั้งแต่ครั้งที่แม่ของเจ้าต้องโทษให้ถูกจองจำในตำหนักเย็นก็เป็นไทเฮา”ชินอ๋องตาวาวโรจน์ด้วย อารมณ์คุกรุ่นภายใน เมื่อคำพูดเสียดแทงจิตใจ“หลานยังเตรียมการได้ไม่ดีเท่าที่ควร อยากให้เสด็จย่ารออีกสักระยะให้ทุกอย่างรัดกุมกว่านี้”ไทฮองไทเฮาทำเสียงจิจ๊ะ อย่างขัดใจ“ดอกเหมยจะงามเมื่อถึงเวลาเบ่งบาน เสด็จย่าโปรดรอวันที่หลานจะได้นั่งบัลลังก์”ไทฮองไทเฮายิ้มอย่างสมใจ“ถ้าเป็นเจ้าชินอ๋องหากว่าเซี้ยนตี้
เรามาทำความรู้จักกับ บรรดาผู้ที่เป็นตัวละครของเรื่องนี้กันค่ะฮ่องเต้ (หยางหลง) -ลูกของฮ่องเต้ องค์ก่อนที่ชิงบัลลังก์มาจากพ่อของแพรวา ซึ่งปู่ของแพรวาและฮ่องเต้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแพรวา -อายุ หกขวบก็ เดินทางข้ามเวลามาที่ไทยโดยการกระโดดลงน้ำพร้อมกับ ฮองเฮาหย่าจิ้งผู้เป็นมารดา และพออายุได้18 ปีก็เดินทางกลับมายังที่เดิมอีกครั้งชินอ๋อง-น้องต่างมารดา ที่แม่เป็นสนมเอกของเซี้ยนตี้ (พ่อของหยางหลงฮ่องเต้) และตาเป็นถึง ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก กุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมด แต่ถูกเลี้ยงดูและ ฟูมฟักโดยไทฮองไทเฮาที่เป็นย่าเพราะชินอ๋องมีความเหมือนปู่ (ซึ่งเป็นปู่ของ หยางหลงฮ่องเต้ด้วย แต่หยางหลงฮ่องเต้ ได้นิสัยรักสงบจิตใจอ่อนโยนมาจากแม่) ชินอ๋องเป็นคนที่คนข้างเด็ดขาด และค่อนข้างโหดตามนิสัยทหาร ถ้าชินอ๋องมีความภักดี หยางหลงจะได้ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๋เลยที่เดียวโหวหยางจื้อ- น้องชายต่างมารดา ของหยางหลงฮ่องเต้ ซึ่งแม่เป็นสามัญชนเหมือนแม่ของหยางหลง แต่ เป็นที่โปรดปรานของเซี้ยนตี้ถึงกับแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหริน มีความภักดีต่อพี่ชาย และ มักจะเก่งทางด้านบุ๋น เป็นเหมือนมันสมองของ หยางหลงไทเฮา- ผู้ที่ดำรงตำแหน่งฮองเฮ
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ฮ่องเต้หลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องนี้ สักวันจะเสียทีให้กับคนที่คิดไม่ซื่อรีบแต่งตั้งสนมฮุ่ยเป็นฮองเฮา รีบมีรัชทายาท เมื่อนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรฝ่าบาทได้ เมื่อตระกูลใหญ่ทั้งสี่สนับสนุน ฐานะบนบัลลังก์มั่นคงอย่างนั้น”นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเพราะฮ่องเต้องค์เก่า ที่เหมือนกับหยางหลงเหลือเกินรักความสงบปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข ไม่รบรากับใครเทิดทูนความรักไม่ยอมมีรัชทายาทกับสนมคนใดรอเพียงให้มีกับหย่าจิ้งคนเดียว ซึ่งนางก็ให้กำเนิดเพียงแค่องค์หญิง สุดท้ายก็ต้องถูก แย่งชิงบัลลังก์จากเซี้ยนตี้ ถอนหายใจอีกครั้งหรือว่าประวัติศาตร์จะซ้ำรอย“ลูกขอเวลาตรึกตรอง ตอนนี้เองฮุ่ยเหนียงก็ยังไม่พ้นมลทินคงต้องรอให้นางพิสูจน์ตัวเองเสียก่อน”“แม่หวังว่าฝ่าบาทจะคิดให้ถ้วนถี่เฟยลี่ฝ่าบาทจะให้นางดำรงตำแหน่งอะไรก็ได้ จะอยู่กับนางทุกคืนก็ได้นางให้ได้แค่ความสำราญ พระทัย แต่เพื่อความมั่นคงของฝ่าบาทต้องเป็นสนมฮุ่ยเท่านั้น”ไทเฮาจากไป ฮ่องเต้หนุ่มอยากจะไปบอกข่าวดีนี้แก่แพรวาเหลือเกิน แต่นึกถึงใบหน้าเย็นชานั้นเล่าจะหายไปหรือยังป่านนี้คงได้ข่าว เรื่องเหมยหลิวที่ เล็ดลอดออกไปแพร่สะพัดไปทั่ว หยางหลงฮ่องเต้