จางจื่อเสวียนนิ่งค้าง เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้หัวเราะมาก่อนเลยแม้แต่ตอนที่เล่นอยู่กับลูก ๆ ชีวิตที่ผ่านมาของนางเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำสีหน้าเรียบเฉยได้ตลอดเวลาและไม่เคยยิ้ม เขาสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม
เพราะเหมือนว่าหม่าเยี่ยนถิงจะมีกำแพงปิดกั้นกับคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ถึงกำแพงสำหรับเขามันจะต่ำกว่าคนอื่นหน่อยแต่ก็มี "ลูกคนอื่นแต่ก็ยังจะเลี้ยงดูหรือ?" เขาถามเรื่องจริงจังขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปด้วยเพราะพึ่งเข้าใจว่าเจ้าแฝดทั้งสองไม่ใช่ลูกของนางจริง ๆ แต่เป็นของเจ้าของร่าง "ถึงไม่ใช่ ข้าก็ยืนยันจะเลี้ยงพวกเขาต่อไป เศษเสี้ยวที่หลงเหลือนี้ ข้าแน่ใจว่านางเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเป็นอย่างดีแล้วทำไมข้าจะต้องฝ่าฝืนเจตนานั้น" "เช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว" จางจื่อเสวียนเห็นด้วยถ้าจะทำอย่างนั้น เพราะหากเป็นเขาก็คงตัดสินใจไม่ต่างจากนี้ แต่ความรู้สึกคุ้นเคยตอนที่ได้เจอนางครั้งแรกนั้นทำให้เขาลังเล และคาดหวังอย่างลึกซึ้งว่าเรื่องที่ตนนึกไม่ออกจะมีนางอยู่ด้วย "ข้าจะไปจับปลามาทำมื้ค่อนข้างจะเป็นความฟุ้งซ่านที่เขาไม่เคยคิดว่าตนต้องประสบมาก่อน การหมกมุ่นอยู่แต่กับงานของตระกูล ทำให้บางเรื่องที่ควรรู้จักมาตั้งนานแล้วกลับไม่รู้เลย อดีตมาเฟียพึ่งจะมีความรักครั้งแรกและไม่รู้ว่าต้องจัดการปัญหาเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างไรดี"จะไปทำงานอีกแล้วเหรอ""วันนี้แค่จะไปดูลาดเลา""ไม่ใช่งานอันตรายใช่ไหม""ไม่อันตรายหรอก ช่วงนี้ไม่ได้ทำภารกิจอะไร"จางจื่อเสวียนโล่งใจขึ้นมากแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี แอบอยากหยิกตัวเองที่เคยคิดว่าก่อนหน้านี้นางไปทำงานที่หอคณิกา คิดสภาพดูแล้วใครจะกล้าแตะต้องนางได้ ไม่พ้นโดนทุบจนสลบตั้งแต่เอื้อมมือไปหลังจากจัดการเรื่องในบ้านเสร็จ หม่าเยี่ยนถิงก็ได้โลดแล่นไปตามเงาไม้ยามค่ำคืน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านร้างหลังเดิมที่นางเคยผ่าน ตอนนี้มีเวรยามมาคอยดูแลวันละ สองคนผลัดเปลี่ยนกัน มีการจุดคบเพลิงไว้รอบ ๆ ให้แสงสว่าง ตรงหน้าถนนมีป้ายปักเอาไว้ว่าอยู่ระหว่างการประเมินราคาหม่าเยี่ยนถิงผิวปากด้วยความพอใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าชะตาจะเป็นใจให้นางอยู่บ้าง นางข้ามกำแพงเข้าไปในเมือง
"แค่ไปทำงานเท่านั้น สามวันก็กลับแล้ว" หม่าเยี่ยนถิงยกชายแขนเสื้อเช็ดน้ำหูน้ำตาให้ลูกสาว แล้วเอ่ยปลอบโยนอย่างหนักใจนางไม่คุ้นชินกับกการปลอบเด็กน้อยร้องไห้จริง ๆ"สามวันเชียว" จางจื่อเสวียนทำสายตาตัดพ้อ"ถ้าไม่มีเหตุอะไรก็คงกลับได้ในสามวัน""เหตุที่ว่าคืออะไร""ข้าอาจไม่สบายต้องพักอยู่ที่เมืองนั้นก่อน หรือข้าอาจบาดเจ็บต้องพักอยู่ที่เมืองนั้นก่อน เส้นทางมีปัญหาข้าก็ต้องพักอยู่ที่เมืองนั้นก่อน" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยบอกเพราะเรื่องฉุกเฉินเป็นอะไรที่ไม่สามารถคาดเดาได้นางจึงบอกเวลาเผื่อไว้ พวกเขาจะได้ไม่กระวนกระวายมากเกินไปบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าสตรีผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก รวมถึงสายตาแข็งกร้าวนั้นก็ด้วย เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง นอกจากยักษ์มารก็คงไม่มีใครเอานางลงแล้วท่านแม่ที่แข็งแกร่ง นับถือๆ"ข้าจะดูแลเด็ก ๆ ให้เอง เจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ""ข้าไว้ใจท่าน จึงได้ฝากฝังลูกๆ" "ถ้าข้าทำอะไรพลาดพลั้งไป ฆ่าข้าได้เลย" หม่าเยี่ยนถิงยิ้มมุมปาก ตอบเสียงเรียบนิ่งว่า"ต้องเป็นแบบน
"ลวดหรือ?"ขึ้นมาเป็นหัวหน้าได้ก็คงไม่โง่เท่าลูกน้อง หม่าเยี่ยนถิงปาเข็มขนาดเล็กจิ๋วใส่อีกฝ่ายทันทีที่สังเกตเห็นอาวุธของนาง หัวหน้าโจรยังไม่ทันได้พูดอะไรก็สลบไปต่อหน้าต่อตา พวกลูกน้องลิ่วล้อตกใจมากจะรีบเข้าไปหานาย แต่ก็ถูกของมีคมที่มองไม่เห็นบาดเนื้อตัวจนเลือดไหลกันเป็นแถว"บอกครั้งที่สามแล้วก็ยังไม่ฟัง น่ารำคาญจริงๆ"หม่าเยี่ยนถิงสาวลวดดึงมีดกลับมาอยู่ในมือ สภาพแบบนี้พวกมันคงต่อสู้ไม่ไหวแล้ว"รีบไปกันต่อเถอะเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน"เมื่อไม่ต้องออกแรงเกินจำเป็น สองกลุ่มจากสำนักคุ้มภัยก็รีบเออออตามแล้วเดินทางต่อทันที กลุ่มโจรที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ที่นางทาปลายเข็มขว้างไปเป็นยาสลบชนิดรุนแรง หัวหน้าโจรนั่นคงหลับไปอีกราว ๆ หนึ่งวันกว่าจะฟื้น แต่ถ้าเป็นผู้มีวิชาหน่อยคงได้สักครึ่งวันหม่าเยี่ยนถิงยังไม่เคยปะทะกับผู้มีวิชาตรง ๆ แต่คาดคะเนจากคนหลากหลายที่ได้พบที่สำนักคุ้มภัยแล้ว คาดว่าทางฝ่ายนั้นไม่ได้ใช้วิชาเต็มร้อย หรือปิดบังไว้อยู่ก็คงพอสู้ได้สูสีซึ่งนางก็หวังว่า คงไม่มีวันที่ตัวเองต้องท
หม่าเยี่ยนถิงกระชับมีดสั้นในมือแน่น มือถือกำคบเพลิง ตั้งท่าพร้อมสู้แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านใน หากโต๊ะอาหารของมันอยู่ปากถ้ำ ที่นอนของมันคงไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก นางเดินเข้ามาลึกพอสมควรก็ยังไม่รู้สึกถึงตัวตนอื่นนอกจากตัวเอง คาดว่ามันคงออกไปหามื้อต่อไปอยู่ เศษใบไม้แห้งและฟางหญ้ากองสุมกันอยู่มุมหนึ่งของทางเดิน ที่นี่คงเป็นส่วนรังจริง ๆ ไม่ผิดแน่ มันไม่อยู่ที่นี่ หม่าเยี่ยนถิงหายใจสะดุด รู้สึกว่ามือตัวเองเย็นเฉียบ ลึกเข้ามาอีกหลายสิบเก้าก็ไม่พบรอยเท้าและสัญลักษณ์ที่พวกสัตว์มักจะทำไว้เพื่อบ่งบอกอาณาเขต มันคงไม่เข้ามาถึงในนี้ หม่าเยี่ยนถิงหายใจทั่วท้องขึ้น นางเริ่มออกวิ่งไปด้านใน แล้วก็พบเครื่องมือขุดเจาะขึ้นสนิมที่ถูกทิ้งไว้ ใกล้กันนั้นก็มีซากโครงกระดูกมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ที่ว่าเป็นเหมืองแร่แห่งใหม่อาจไม่จริง คงมีคนเคยลอบเข้ามาขุดก่อนถูกนักสำรวจเจอแล้ว แต่ก็ถูกสัตว์อสูรบางตัวเล่นงาน ไม่เช่นนั้นก็เป็นการขัดผลประโยชน์กันเองของกลุ่มคนที่เข้ามา หม่าเยี่ยนถิงไม่สนใจอดีตมนุษย์พวกนั้น นางเห็นแสงสีน้ำเงินเป็นประกายวาววับในมุมมือหลายแห่ง เร
หม่าเยี่ยนถิงตกลงทันที และอันที่จริงนางไม่ได้ไม่พอใจราคาที่เสนอมาก่อนหน้า แค่อยากทวนดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด แต่เหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่านางไม่พอใจจึงเสนอเพิ่ม ทั้งที่ตัวเลขเดิมก็มากจนชวนตะลึงอยู่แล้ว นางไม่ลังเลที่จะคว้าเงินก้อนนั้นไว้หม่าเยี่ยนถิงให้เขาเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินให้ทั้งหมดแทน หากถือเงินเป็นถุงขนาดนั้นเดินไปมา ก็เหมือนเรียกความซวยเข้าหาตัวหลังทำสัญญาซื้อขายและรับเงินมาเรียบร้อยหม่าเยี่ยนถิงก็กลับไปที่สำนักคุ้มภัยของเมืองเพื่อขอรับภารกิจ โชคดีที่บังเอิญมีคนต้องการผู้คุ้มกัน บัณฑิตหนุ่มต้องการกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ ไม่นึกว่าจากบ้านไปหลายปี กลับมาอีกทีเส้นทางผ่านก็กลายเป็นรังโจรไปเสียได้มีไม่น้อยที่ผู้ว่าจ้างรวมกลุ่มกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย และจ้างวานคนเพื่อไปเป็นกลุ่มในงานที่ต้องเน้นจำนวนคนและปลายทางเดียวกัน ขากลับนี้หม่าเยี่ยนถิงจึงได้ร่วมงานกับคนกลุ่มเดิมเหมือนตอนขามา นอกจากบัณฑิตผู้นั้นก็มีพ่อค้าผ้าไหมร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไม่มากกว่าที่บอกไป และไม่เจอโจรภูเขากลุ่มเดิมระหว่างทางจึงไร้อุปสรรค ไม่รู้
"ท่านแม่ เรากินเนื้อพวกนี้ได้จริง ๆ หรือขอรับ" เมื่อมานั่งโต๊ะจื่อเหวินยังไม่กล้าแตะอาหารสักอย่าง วันนี้มีเนื้อในมื้ออาหารเต็มไปหมดทั้งปกตินานวันจึงจะได้กินสักทีไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ความที่ว่าบ้านตัวเองยากจน ถึงจะอายุเท่านั้นเขาก็ช่างสังเกตและรู้อะไรหลายอย่างมากกว่าเด็กวัยเดียว รวมถึงรู้มากกว่าน้องสาวฝาแฝดด้วย พอถ้วยน้ำแกงวางลงน้องสาวผู้นั้นก็ตักกินไม่ฟังคำใคร"กินได้สิ หลังจากนี้ก็จะได้กินอีกบ่อยๆ ด้วย" หม่าเยี่ยนถิงกล่าวแล้วตักเนื้อใส่ชามของลูกชายคนโต มองก็อ่านออกว่าคิดอะไรอยู่ในใจเพียงมารดายิ้มให้ จื่อเหวินก็เชื่อโดยปราศจากความสงสัย เขาคีบเนื้อเข้าปาก ติดนิสัยละเลียดทีละคำด้วยความเสียดาย หากวันนั้นไม่ได้กินอีก หม่าเยี่ยนถิงมองแล้วก็เวทนานัก นางต้องขยันทำงานเยอะ ๆ แล้วนึกถึงแร่แซฟไฟร์ที่ได้มา หม่าเยี่ยนถิงก็เป็นห่วงคนที่จะไปสำรวจอยู่ว่าจะรับมือเจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นไหวไหม อย่างดีที่สุดและไม่มีใครตายก็ต้องบังคับให้มันย้ายถิ่น อย่างเลวร้ายก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่หายใจซึ่งก็ไม่ควรต้องเป็นแบบนั้น เสือตัวนั้นต้
"มีธุระอะไรที่เมืองข้าง ๆ นั่นบ่อยนักหรือ?"จางจื่อเสวียนพิงประตูมองนางที่กำลังมัดปลอกแขนให้แน่น สุดท้ายเมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ไป นั่งมัวแต่ใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ ด้วยความคิดถึงจึงเลื่อนมาเป็นวันนี้แทนเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวนางจึงไม่ได้สวมชุดลำลองปล่อยแขนอย่างปกติ แต่สวมปลอกแขนและรัดมันให้แน่นเพื่อความคล่องตัวเหมือนจอมยุทธหญิง"ไปดูที่ดินน่ะ ช่วงกลางวันนี้ที่ข้าไม่อยู่ก็รบกวนท่านอีกเช่นเคย อยากได้อะไรเป็นของฝากหรือค่าตอบแทนไหมล่ะ""ไม่ล่ะ รีบกลับมาเร็ว ๆ ก็พอแล้ว"พูดเหมือนภรรยามาส่งสามีออกจากบ้านไปได้เมื่อเขาไม่ต้องการนางก็ไหวไหล่แล้วออกเดินทาง เด็กๆ ยังไม่ตื่นจึงไม่ได้มาส่ง มีเพียงจางจื่อเสวียนที่ออกมาฝึกวิชายามเช้าทุกวันที่รู้ว่านางไปไหนมาไหนบ้าง แม้ที่ดินผืนนั้นจะอยู่ระหว่างทางแต่ก็ใกล้กับเมืองของนางมากกว่าเมืองอีกฝั่งหนึ่งที่ได้ครองที่ดินส่วนนั้นเล็กน้อยใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย ด้านหน้ามีป้ายปักไว้ชัดเจนว่าประกาศขาย รวมถึงการเสนอราคาและให้ไปติดต่อที่ว่าการหากต้องการซื้อขาย นางนำตั๋วเ
"ไม่หรอก เราจะอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่อาจจะขยับขยายให้กว้างขวางขึ้นสักเล็กน้อย ส่วนบ้านอีกหลังเป็นเหมือนที่พักชั่วคราวเวลาต้องไปดูแลพืชผักข้ามวัน""เราจะมีแค่ฟักทองกับผักกาดขาวอีกมากมายหรือเจ้าคะ"พอนางพยักหน้าเด็ก ๆ ก็ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่ กระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ห้องด้วยความตื่นเต้น"ไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน" จางจื่อเสวียนไม่คลายสงสัย เงินจำนวนมากที่หาได้ในไม่กี่วัน เขาคิดถึงแต่งานผิดกฎหมายเท่านั้น"คงต้องบอกว่าแค่โชคดีเท่านั้น ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นแบบนี้บางทีข้าอาจจะตายไปแล้ว""ข้าไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือเสียใจกับประโยคเมื่อครู่นี้ดี""ไม่ใช่งานที่ไปเบียดเบียนใคร สบายใจได้"เบียดเบียนก็แต่ตัวเองที่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้วไหมล่ะ"ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็จะเชื่อ บอกตามตรงว่าข้าคิดเป็นห่วงจริง ๆ ถึงแม้มันจะดูล้ำเส้นไปหน่อยก็ตาม"ความสัมพันธ์ของนางและเขาตอนนี้เป็นเพียงเจ้าของบ้านกับผู้อาศัย ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ตราบใดที่ความทรงจำยังไม่หวนคืนมาและสามีของนางยังไม่ปรากฏตัวหรือมีหลักฐานยื
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ