"ไม่หรอก เราจะอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่อาจจะขยับขยายให้กว้างขวางขึ้นสักเล็กน้อย ส่วนบ้านอีกหลังเป็นเหมือนที่พักชั่วคราวเวลาต้องไปดูแลพืชผักข้ามวัน"
"เราจะมีแค่ฟักทองกับผักกาดขาวอีกมากมายหรือเจ้าคะ" พอนางพยักหน้าเด็ก ๆ ก็ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่ กระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ห้องด้วยความตื่นเต้น "ไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน" จางจื่อเสวียนไม่คลายสงสัย เงินจำนวนมากที่หาได้ในไม่กี่วัน เขาคิดถึงแต่งานผิดกฎหมายเท่านั้น "คงต้องบอกว่าแค่โชคดีเท่านั้น ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นแบบนี้บางทีข้าอาจจะตายไปแล้ว" "ข้าไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือเสียใจกับประโยคเมื่อครู่นี้ดี" "ไม่ใช่งานที่ไปเบียดเบียนใคร สบายใจได้" เบียดเบียนก็แต่ตัวเองที่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้วไหมล่ะ "ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็จะเชื่อ บอกตามตรงว่าข้าคิดเป็นห่วงจริง ๆ ถึงแม้มันจะดูล้ำเส้นไปหน่อยก็ตาม" ความสัมพันธ์ของนางและเขาตอนนี้เป็นเพียงเจ้าของบ้านกับผู้อาศัย ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ตราบใดที่ความทรงจำยังไม่หวนคืนมาและสามีของนางยังไม่ปรากฏตัวหรือมีหลักฐานยืหม่าเยี่ยนถิงตอบตามจริง เพราะชีวิตที่นางต้องเผชิญมาไม่มีสักช่วงเลยที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่บ้านเกิดเกิดสงครามนางก็ไม่สามารถหวนคืนสู่ชีวิตคนธรรมดาได้อีกกระทั่งตอนนี้ และที่ได้มาก็เป็นเพราะนางตายจากชีวิตเก่าก่อนร่างนี้ที่ไม่รู้ว่าเจ้าของตัวจริงอย่างหม่าเยี่ยนถิงเต็มใจมอบให้แน่หรือไม่ แต่นางก็สำนึกบุญคุณจากใจจริง หากสามีของนางปรารถนาแม้จะรับรู้ว่าภรรยาตัวจริงตายไปแล้ว นางก็จะไม่คัดค้านเลยหากเขาต้องการ ก่อนที่จะได้พบกับผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกายนี้นางคิดแบบนั้นจริง ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขัดแย้งในใจตัวเองขึ้นมาเป็นอย่างมาก"ข้าพูดตามตรงว่าข้าไม่รู้""งั้นรอรู้ก่อนค่อยคิดก็ได้"หลังว่างเว้นจากงานรับจ้าง จางจื่อเสวียนมักไปนั่งที่เหลาสุราสักช่วงหนึ่งของวันเพื่อหาข่าว ได้ยินมาว่าแม่ทัพฝั่งตะวันออกหายตัวไป จนตอนนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ แอบคิดอยู่ว่านั่นคือตัวตนของเขาหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงป้ายหยกที่ติดตัวมาหากตัวตนที่หายไปนั้นใช่เขาจริง ๆ เรื่องมันก็จะง่ายในการสืบหาที่มาที่ไป รวมถึงรู้ด้วยว่าตัวตน
ในซีรีส์ที่เคยดูมักจะมีของวิเศษ หรืออะไรสักอย่างที่ใช้พกพาวัตถุชิ้นใหญ่ไปไหนมาไหนด้วยได้ ซึ่งของวิเศษที่ว่านั้นไม่มีทางอยู่ในมือคนธรรมดาอย่างนางหรอก เวลาอีกไม่กี่วันเช่นนี้น่าจะไปหามันได้ที่ไหน นางไม่ใช่คนในสังคมชาวยุทธ์ที่พอจะบอกข่าวคราวเรื่องนี้ให้กันได้ปัญหาก็ยังไม่ทันได้แก้ปัญหามันก็แทรกเข้ามาอีก แต่ปัญหาจริง ๆ ก็คือเวลาที่หมดลงเรื่อย ๆ นั่นแหละหม่าเยี่ยนถิงเดินทางกลับ หลังดูจนแน่ใจว่าที่แห่งนี้ไม่มีนักล่าตัวใหญ่อาศัยอยู่ เช้าวันรุ่งขึ้นสีหน้านางก็อ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดเพราะพักผ่อนไม่พอ"เจ้าแอบไปทำอะไรมาดึก ๆ ดื่น ๆ กันแน่ เห็นทำเช่นนี้อยู่หลายคืน เป็นเรื่องอันตรายหรือไม่" จางจื่อเสวียนถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความจริงเขาคิดอยากแอบตามไปด้วย แต่เขาไม่อาจปล่อยให้เด็กน้อยสองคนนอนอยู่เพียงลำพังได้ จึงได้แต่ข่มใจเอาไว้"ไม่อันตรายแต่ใช้เวลา ซึ่งเวลาก็น้อยเหลือเกิน""เจ้ากำลังหาอะไรกันแน่ ให้ข้าช่วยไม่ได้เลยเหรอ""รู้จักของวิเศษที่เก็บของชิ้นใหญ่ไปไหนมาไหนด้วยได้หรือเปล่าล่ะ แบบที่พวกสิ่งมีชีวิตก็เก็บ
"ห้าวันเห็นจะได้""นานขนาดนั้นของที่อยู่ในถุงมิเขมือบเราหมดรึ""ถ้าไม่เปิดมันก็ออกมาไม่ได้หรอกน่า""แล้วทำไมเจ้าต้องมาพูดเรื่องนี้ตอนนี้ด้วยเล่า ใครได้ยินเข้าจะทำอย่างไร"หม่าเยี่ยนถิงก็คิดว่ามีนางแล้วคนหนึ่งล่ะ และคิดว่าหญิงชายที่มาด้วยกันโต๊ะนั้นก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน แม้ในเหลาสุราจะมีเสียงดังของผู้คนที่คุยขโมงอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับผู้ฝึกตนหรือมือสังหารอย่างนางแยกเสียงและแกะถ้อยความได้ไม่ได้ลำบากเลยชั่งน้ำหนักจากทั้งสองฝั่งแล้ว ถึงการจัดการของสำนักหลานซานจะชวนขมวดคิ้วไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าอีกทางหนึ่งที่ไม่รู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากนั้นเลย หากมีข้อเสนอให้พวกเขาอาจรับเจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นไปดูแลได้นี่เป็นทางเลือกดีที่สุดที่นางคิดออก หม่าเยี่ยนถิงรอจนกระทั่งคนในร้านบางตาลงไป จอมยุทธ์หญิงกลุ่มนั้นลุกจากโต๊ะนางก็ลุกตาม อีกฝ่ายเลี้ยวเข้าตรอก พอหม่าเยี่ยนถิงตามเข้าไปก็พบว่าพวกนางยืนรออยู่ก่อนแล้ว"ต้องการอะไร จับตาดูพวกข้าทำไม""มาจากสำนักไหน อาจารย์ไม่สั่งสอนให้เก็บกลิ่นอายบ้างหรือ"
จางจื่อเสวียนกำลังทำงานก่อสร้างของตัวเองแบบติดลม จึงเพียงยื่นหน้าออกมาให้เห็นแล้วปฏิเสธไปเท่านั้นหม่าเยี่ยนถิงจูงมือบุตรฝาแฝดคนละข้างแล้วเดินไปตามถนนในเมืองเพราะไม่ไกลมากนักจึงไม่ได้นั่งรถม้ามา วันไหนผลผลิตสวย ๆ นางก็ยังเก็บมาขายเป็นประจำ หากเก็บไม่ได้ก็จะขึ้นเขาไปเหมือนอย่างเคย ชีวิตประจำวันดำเนินไปเช่นนี้อยู่เรื่อยงานสำนักคุ้มภัยนางก็ไม่ได้ทิ้งขว้างไปเสียทีเดียว มันยังเป็นแหล่งข่าวและแหล่งหาเงินชั้นดีในยามจำเป็น"ท่านแม่จะซื้อผ้าใหม่หรือเจ้าคะ?" เหมียวเหมียวถามมารดาหลังนางพามาหยุดอยู่ที่ร้านขายผ้าและอุปกรณ์เย็บปัก"แม่จะปักถุงผ้า ถ้าออกมาสวยก็จะให้พวกเจ้าขายอยู่แผงเล็ก ๆ ข้าง ๆ เป็นอย่างไร""ข้าชอบค้าขาย!" เป่าเปาพยักหน้าเห็นด้วยทันที แท้จริงเด็กชายชอบพูดคุยกับคนที่แวะเวียนมาซื้อของที่ร้านมาก ๆ เขาสังเกตได้ว่าผู้ใหญ่หลาย ๆ คนเอ็นดูเด็กช่างพูดเจื้อยแจ้วมากกว่าเงียบขรึม และลูกอ้อนมักจะได้ผลในการชักจูงให้ลูกค้าซื้อของเพิ่มด้วยของกระจุกกระจิกมักจะล่อตาล่อใจเด็ก ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงวัยกำลังแต่งต
การกระทำของคนสกุลหม่าเป็นอะไรที่นางจะไม่ยอมให้อภัยต่อให้มาคุกเข่าอ้อนวอนก็ตาม“สัญญากับแม่ได้หรือไม่ว่าจะไม่คิดสนใจเรื่องนี้อีกจนกว่าล” หม่าเยี่ยนถิงนั่งลงสบตากับบุตรชาย เขาอายุแค่นี้เองไม่ควรคิดเรื่องหอนางโลมจริงๆ“ขอรับ”จื่อเหวินตอบรับอย่างจริงจัง แม้จะไม่เข้าใจนักแต่เมื่อเห็นมารดาทำสีหน้าเคร่งเครียดจึงรีบตอบรับเพื่อให้สบายใจ เขาแค่ได้ยินว่าที่นั่นได้เงินเยอะเลยแค่อยากรู้อยากเห็น และอยากช่วยทางบ้านหาเงินเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงดูเคร่งเครียด แต่เมื่อท่านแม่ไม่ชอบเขาก็จะไม่สนใจอีก...หิมะแรกโปรยปรายลงมา เกล็ดละลองสีขาวแตะสัมผัสโดนผิวเนื้อแล้วก็ปลิวหายไป ปุยนุ่นสีขาวจากด้านบนหล่นลงมาต่อเนื่อง เด็กคู่แฝดตื่นเต้นวิ่งเล่นกันท่ามกลางหิมะ มารดาดุแล้วก็ไม่ยอมฟัง นางจึงจำใจต้องไปเอาถุงมือกับเสื้อคลุมหนา ๆ มาสวมให้นี่ไม่ใช่หิมะแรกที่พวกเขาได้เจอ แต่มันกลับดูต่างไปจากที่ผ่านมา หรือเป็นเพราะได้มีเวลาปล่อยใจล่องลอยให้สนุกกับมันได้เป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะจึงยืนยาวกว่าในความทรงจำ&
ทว่าหม่าเยี่ยนถิงกลับไม่หือไม่อือหรือตำหนิเขาแต่อย่างใด หากนางไม่ว่า เขาขอดื้อดึงจะไม่แก้ไปจนกว่าสามีแท้จริงของนางจะปรากฏตัวได้หรือไม่นะเห็นแก่ตัวที่สุด นายมันไอ้สารเลวซ่านหยางเขาทะเลาะกับตัวเองไปจนถึงเวลาเข้านอน หม่าเยี่ยนถิงจะไปเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟังเป็นครั้งคราว หากนางไม่ยุ่งจนเกินไปหรือต้องแอบไปทำงานลับ ๆ ล่อ ๆ ตอนกลางคืนก็จะกล่อมเด็ก ๆ นอนด้วยตัวเองจางจื่อเสวียนคิดว่าวันนี้ตนคงหลับสบาย เพราะไม่มีเรื่องอะไรกวนใจ ชีวิตประจำวันก็สงบสุขดีแต่ว่าเขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงครวญครางคล้ายสัตว์ป่ากำลังบาดเจ็บ ดวงตาคมปราบหรี่ลงด้วยความฉงนสงสัย ต้นฤดูกาลที่หนาวเหน็บจะมีสัตว์ป่าใดในระแวกนี้ไม่จำศีลด้วยหรือจางจื่อเสวียนถือตะเกียงเดินออกมานอกห้อง เงี่ยหูฟังว่ามาจากที่ใด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันดังมาจากห้องนอนของหม่าเยี่ยนถิง เขาผลักประตูออกอย่างแรงด้วยหัวใจเต้นระส่ำคิดว่ามีสัตว์ป่าบุรุกเข้ามาแต่เปล่าเลย ในห้องนั้นไม่มีอะไรนอกจากตัวหญิงสาวเจ้าของบ้าน แล้วเสียงหายใจหอบก็ดังขึ้นอีก เขามั่น
จางจื่อเสวียนถามตัวเองอีกครั้ง นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่ เดินต่อสิ ห้ามหยุด ห้ามหลับเด็ดขาด พริบตาเดียวความเป็นตายก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หากหลงทางไปเขาอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย ธรรมชาติไม่เคยปรานีไม่ว่ากับใคร สรรพสัตว์น้อยใหญ่ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ ธรรมชาติไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูถ้ารู้จักมัน จางจื่อเสวียนกลั้นใจเดินต่อ แม้จะง่วงเต็มที มือเท้าก็ขยับไม่ได้ดั่งใจแต่ในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว "ท่านหมอขอรับ!" เขาตะโกนเรียกสุดเสียงแข่งกับเสียงลม สั่นบนประตูให้คนด้านในรู้ว่ามีคนมาพร้อมตะโกนเรียกไปด้วย หากเขาสั่นประตูเฉย ๆ ไม่พ้นท่านหมอต้องคิดว่าเขาเป็นโจรไม่มีสมองแน่ เรียกจนคอแหบแห้งในที่สุดบานประตูก็เปิดออก "เจ้านี่เอง มีเรื่องงั้นหรือ" เขาจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ อาละวาดเสียขนาดนั้นใครจะลืมลง "เยี่ยนถิง ภรรยาข้าไข้ขึ้นสูงมาก ท่านหมอไปดูนางหน่อยเถอะ" กว่าจะพูดได้แต่ละคำช่างลำบาก ท่านหมออาวุโสมองไปยังถนนที่ถูกหิมะถมสูงเกือบถึงเข่า "ข้าแก่แล้วเดินฝ่าหิมะตั้งขนาดนั้นไปไม่ไหวหรอก เจ้ารอสักเดี๋ยว...." จางจื่อเสวียนนึกว่าตนจะต้องรบเร้าต่อเสียแล้ว แต่ท่านหมออาวุโสกลับมาพร้อมถุงย่ามที่มีกลิ่นสมุนไพรฉุนกึกตีขึ้
สองแฝดอยากปีนขึ้นเตียงไปนอนกับมารดาใจจะขาด แต่รู้ว่าตอนนี้ไม่ควร ทั้งท่านแม่ท่านพ่อป่วยพร้อมกันแบบนี้ทำให้พวกเขากังวลใจจนข่มตานอนไม่ลง แต่ด้วยวัยที่ยังต้องการการนอนมาก และพลังงานน้อย ไม่นานพวกเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย จางจื่อเสวียนเห็นว่าอาการตัวเองเริ่มดีขึ้นแล้วจึงลุกไปอุ้มทั้งสองให้ไปนอนตั่งตัวยาวริมหน้าต่างที่ปิดสนิด นำผ้าห่มคลุมทับกันหนาวอีกชั้น จนแล้วจนรอดหม่าเยี่ยนถิงก็ไม่รู้สึกตัวกระทั่งเช้าอีกวัน... พายุฝนสงบลงไปแล้ว ถนนหนทางกลับมาถูกปกคลุมด้วยพรมสีขาวอีกครั้ง เพราะหม่าเยี่ยนถิงยังไม่ตื่นเขาเลยมาทำอาหารเช้าแทน ซึ่งก็ทำเพียงนำอาหารมื้อเก่ามาอุ่น จางจื่อเสวียนที่คุ้นเคยกับอาวุธสังหารมากกว่ามีดทำครัว หลังหั่นมันฝรั่งออกแล้วสภาพอนาถเกินทนเขาก็ล้มเลิกที่จะทำอาหารสดใหม่แล้วนำของเก่ามาอุ่นแทน หากยังดึงดันทำต่อเกรงว่าวัตถุดิบคงสูญสิ้นหมดเพราะเขาแน่ ครั้งก่อนที่นางออกไปข้างนอกยังทำอาหารที่สามารถอุ่นร้อนไว้ให้พวกเขา แต่เวลานี้คงได้แต่อุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเท่านั้น "ท่านแม่ยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ" หนี่เหวินนั่งคู้ตัวมองฝูงมดที่กำลังขนอาหารกลับรังอยู่ข้างเรือนเพาะ ท่านหมอหลั
แต่เมื่อถูกสั่งมาแล้วก็ได้แต่จนใจ หากไม่ทันจริง ๆ ก็ต้องเรียนไปตามนั้น "เดี๋ยว" "เจ้าคะ!" คนถูกเรียกไว้แอบสะดุ้ง ขานรับเสียงตื่นตระหนก "หาคนที่รับทำเรื่องเลว ๆ มาให้ข้าสักกลุ่มสองกลุ่ม" "เจ้าคะ?" นี่คุณหนูของนางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ "ไม่ต้องถามมาก ทำตามที่สั่งก็พอ" "เจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบรับเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ไม่กี่วันต่อมาบิดาของนางก็ได้รับคำเชิญปากเปล่าจากเหตุที่บังเอิญเจอ หม่าเหลียนหลิวคิดว่าช่างโชคดีนัก นางเป็นสตรีเพียบพร้อม ภายใต้การสั่งสอนของมารดา คิดว่าไม่มีสตรีใดในระดับเดียวกันพรั่งพร้อมดุจเพชรเม็ดงามได้เท่านางอีกแล้ว โอกาสนี้อาจทำให้ท่านลุงมองเห็นแววนางเป็นว่าที่สะใภ้ก็ได้ใครจะรู้ "ยินด้วยที่ได้เลื่อนขั้นเจ้าค่ะ" นางรินสุราให้เขาอย่างเอาอกเอาใจหลังได้นั่งร่วมโต๊ะกันมาระยะหนึ่ง จางจื่อเสวียนเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หม่าเหลียนหลิวมั่นใจว่าคู่ควรกับนางในทุกด้าน อาจดูลำเอียงจากเหตุผลส่วนตัวที่นางมีใจให้เขาอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็เป็นความจริงที่นางปฏิเสธหนังสือดูตัวทุกฉบับที่แม่สื่อส่งมา แล้วทำไมดวงตาคู่นั้นถึงไม่มองตรงมาที่นางเลยสักครั้ง… หญิงสาวมองตามเขาไปจนได้เห็นว่าสิ่งที่
"จดหมาย? จดหมายอะไร?" เขาหันไปคาดคั้นบุตรสาวทันที ขณะที่นางหน้าซีดตัวสั่นไปตั้งแต่ได้ยินไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ "หากท่านพ่อต้องการหลักฐาน ลองค้นห้องนางดูก็น่าจะเจอนะเจ้าคะ" "ไม่ได้นะ!" นางรีบเอ่ยค้านทันที รอยยิ้มของน้องสาวต่างมารดาน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ "ข้าเพียงแค่มาล้างมลทินให้ตนเอง ไม่คิดกลับเข้ามาเหยียบที่นี่ให้เป็นที่รำคาญสายตา ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยเพราะข้าคงไม่กลับมาอีก" หม่าเยี่ยนถิงยอบกายทำความเคารพให้ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมาร่างนี้มาในช่วงหนึ่งของชีวิต หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่เขาจะจัดการกับเหลียนหลิว ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนางที่จะยื่นมือเข้าไปสอด แต่หากไม่ทำการลงโทษอะไรใด ๆ เลยสักนิด นางก็คงจะได้ทำด้วยตัวเอง จะว่าเรื่องนี้เป็นของตนก็ไม่ใช่แต่เยี่ยนถิงก็ไม่พอใจอยู่ดี หากสตรีผู้นี้จะได้ชีวิตต่อไปโดยไม่ได้รับบทเรียน "ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ" หม่าเหลียนหลิวยืนการปฏิเสธ คนที่ตกใจกับเรื่องดีที่สุดไม่พ้นเป็นเสนาบดีหม่าไปได้ รวมถึงสาวใช้ที่นั่งตาค้างอยู่กับพื้น ภาพลักษณ์ของคุณหนูใหญ่ในจวนแห่งนี้ถ้าสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน อ่อนหวาน เป็นกุลสตรีตามขนมแคว้น เพรียบพร้อมไปทุกด้าน ใครจะคาดคิดว่า
"เสี่ยวถิงถิง ไม่ได้กลับบ้านเสียนาน ทุกวันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หม่าเหลียนหลิวยื่นตะกร้าใส่ของที่เพิ่งไปตลาดมาใส่มือสาวใช้คนสนิท เดินเข้าศาลามาคว้ามือน้องสาวไปกุมไว้ หม่าเยี่ยนถิงมองนิ่งก่อนจะชักมือออกช้า ๆ หม่าเหลียนหลิว รู้สึกเสียหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา "ข้าคงทำให้เจ้าอึดอัดสินะ ไม่ได้พบกันนานก็คงเป็นเช่นนี้" อดีตมือสังหารสาวถึงกับอดหรี่ตามองไม่ได้ พี่สาวต่างมารดาผู้นี้ช่างพูดอะไรได้ไร้สาระจริง ๆ หากนางมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยสักนิดก็คงไปเยี่ยมเยียนบ้าง แต่หม่าเยี่ยนถิงก็ไม่คาดหวังกับสังคมที่มีธรรมเนียมเช่นนี้เลย "เมื่อก่อนลำบากแต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ หวังว่าพี่หญิงคงจะสบายดีเช่นกัน" "มาถึงนี่คงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเฉย ๆ กะละมัง" "ข้าพาสามีกลับมาเยี่ยมบ้านและถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แม้พิธีการอะไรก็ไม่จำเป็นแล้วสำหรับตอนนี้ แต่เขาก็ควรจะทำให้ความจริงปรากฏสักหน่อย" "ความจริงอะไร" หม่าเหลียนหลิวเริ่มเสียงสั่น ยิ่งเห็นมุมปากน้องสาวยกขึ้นสูงนางยิ่งเริ่มหวั่น "เจตนาข้าก็เพียงแต่ต้องการความจริงและล้างมลทินให้ตัวเอง ท่านพี่คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สินะเจ้าคะ" บ
ภาพลักษณ์ของหม่าเหลียนหลิวในบ้านหลังนี้คือ สตรีเพรียบพร้อมอ่อนหวาน ทุกอย่างล้วนผ่านการคิดมาแล้วเพื่อจัดการงานภายในบ้านในฐานะภรรยาในอนาคตของใครสักคน หากจะผิดพลาดไปบ้างบิดามารดาก็ไม่ได้ต่อว่าแล้วให้กำลังใจอยู่เรื่อย ๆ "ช่างเถิด ข้าจะไปรอที่ศาลา หากท่านพ่อไม่อยากพบข้า ก็บอกไปว่าพาสามีมาให้รู้จัก" พูดจบก็เดินเข้าหลบแดดรอดังที่ว่า สาวใช้นางนั้นจะไปบอกบิดาอย่างไรนางไม่สน แต่ถ้าเขาไม่ออกมา นางก็จะบีบให้ออกมาเอง จางจื่อเสวียนคงใกล้ออกจากวังแล้ว รออยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าสาวใช้คนนั้นจะกลับมา "คุณหนูรอง คือว่า..." "พูดมา" สาวใช้คนนั้นหวาดกลัวแทบเสียสติ นางไม่เคยเห็นคุณหนูรองเป็นเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้นางจะช่วงเวลานิ่งสงบและทำหน้าจริงจังเวลาใช้สมาธิ แต่ก็ไม่เคยนิ่งเงียบได้ขนาดนี้ ราวกับว่าโกรธอยู่ตลอดเวลา นางรายงานนายท่านไปตามจริงว่าคุณหนูรองดูแปลก ๆ นิสัยไม่เหมือนเดิม เสนาบดีหม่าคิดว่ามีคนแอบอ้างเป็นบุตรสาว ทั้งตอนจากกันครั้งนั้นก็ไม่ได้ลงเอยด้วยดี เขาจึงบอกปัดไม่ออกมาพบและให้ไล่ไป สาวใช้หนักใจเป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นอย่างที่คาดว่าคุณหนูรองต้องไม่พอใจ แต่บ่าวอย่างนางจะมีปากเสียงอะไรได้ หม่าเ
หม่าเยี่ยนถิงที่แอบฟังอยู่เห็นด้วยในจุดนี้ จางจื่อเสวียนอยู่ติดบ้านมาก ๆ แม้แต่ตอนที่ยังอาศัยอยู่กับนางที่เมืองนั้นซึ่งความทรงจำเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงนิสัยไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใครเกินจำเป็นอยู่ดี หรือบางทีอุปนิสัยเดิมของผู้สวมร่างก็มีผลด้วยแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวผู้นี้เล่า นั่นเป็นสามีของข้า"คุณหนูใจเย็นไว้เถอะเจ้าค่ะ ยังไม่มีข่าวว่าท่านแม่ทัพสนใจสตรีนางใด ไม่แน่ว่าอาจแอบมีใจให้คุณหนูอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"ว่าแล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกัน สตรีวัยแรกแย้มกับดรุณีที่มั่นหมายในใจว่าจะออกเรือนในเร็ววันหัวเราะกันเสียงเล็กเสียงน้อย พูดหยอกเย้าถึงบุรุษที่ตนได้พบเจอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาแทนที่บุรุษที่นางปรารถนาในใจได้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วสิหญิงสาวในเงามืดหรี่ตามอง รู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายบางอย่างที่สะท้อนแสงตะเกียงจากใต้เตียงนอนของนาง หม่าเยี่ยนถิงย่อตัวลง รอคอยปฏิบัติการคืนนี้อย่างใจเย็น กระทั่งแสงตะเกียงในห้องนางดับลงไปครู่ใหญ่ แน่ใจว่าหญิงสาวทั้งสองที่หลับอยู่
"มันต้องใช้เวลาอุ้มท้องกี่เดือน" นางถามโดยไม่ละสายตาไปจากลายพาดกลอนตรงหน้า"หนึ่งปีกับอีกหกเดือน"นานอยู่นะนั่น แต่ก็ถือว่ามันรู้จุดประสงค์แรกเริ่ม"เข้าใจแล้ว เอาตามที่ตกลงกันเมื่อครู่ก็แล้วกัน""รบกวนท่านหญิงแล้วจริงๆ"หลังเสร็จธุระเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงทั้งสามก็มาส่งนางถึงหน้ากำแพงเมือง หม่าเยี่ยนถิงคิดว่าต้องใช้เวลาไม่นานแต่พบว่ากว่าจะกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคยข้ายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หลังจบงานที่เมืองหลวงแล้วยังต้องกลับไปดูแลสวนอีก จ้างคนงานสักหน่อยดีไหมนะ?"กลับมาแล้ว" ทันทีที่เข้ามาในจวนก็ร้องบอกจางจื่อเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกการมีคนรออยู่บ้านช่างดีจริง ๆ"กลับมาแล้วเหรอ" เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่คมมองมาหม่าเยี่ยนถิงจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบางเบา"ยังไม่กลับ""ยังไม่กลับหรอกเหรอ" ทั้งคู่สบตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ"ท่านพ่อท่านแม่เล่นอะไรกันอยู่ขอรับ" จางจื่อเหวินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ดวงตา
"แม่นางกล่าวเช่นนี้ข้าละอายใจหนัก แม้พวกเราจะไปกันสามคนก็สู้สัตว์อสูรตัวนั้นตัวเดียวไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากทางสำนักให้ส่งคนไปเพิ่ม เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคู่ปรับมันได้หรอก"จอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่งที่สวมหมวกสานไว้ตลอดเวลาเอ่ยตอบมาอย่างเป็นมิตร แทบจะนับว่านางเป็นคนเดียวที่คุยกับหม่าเยี่ยนถิงตลอดทาง ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยกันมีความระแวดระวังต่อกันสูงมากหม่าเยี่ยนถิงเป็นนักฆ่าไม่ใช่นักสู้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นางย่อมเสียเปรียบในไม่ช้าและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นต้องชักดาบนางก็เลือกที่จะประนีประนอมเดินตามทั้งสามคนมาได้ระยะหนึ่งก็เป็นทางขึ้นเขา ทิวไผ่ยังคงหนาและแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา หม่าเยี่ยนถิงเดินตามทั้งสามคนขึ้นไป มีบ้างที่ต้องขอความช่วยเหลือให้พาขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วย เพราะเป็นสำนักฝึกยุทธ์ที่ปลีกวิเวกเป็นส่วนใหญ่ การเข้าออกจึงไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะทำได้ง่าย ๆ เส้นทางมีความซับซ้อนระดับหนึ่ง หากจะขังนางไว้บนนั้นก็คงได้หลายวันเชียวหม่าเยี่ยนถิงเลิกคิดฟุ้งซ่านและถามเป็นระยะว่าอีกนานเท่าไรกว่าจะ
"มีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ" ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรที่ต้องติดต่อกับสามคนนี้อีก ไม่เข้าใจเหตุผลที่ปรากฏตัวเลยจริง ๆ"จอมปราชญ์ท่านนี้ เรื่องที่ได้พูดคุยกันในวันนั้นต้องขอขอบคุณ" ผู้ที่อยู่หน้าสุดประสานมือคำนับ"สัตว์อสูรตัวนั้นมีปัญหา?""จะเรียกว่าปัญหาได้หรือไม่นะ" เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ จอมยุทธ์หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรีบเอ่ยออกมาแทน"เราจัดหาที่อยู่ให้มันแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนสัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ชอบใจเลย มันขู่สัตว์เฝ้าประตูของเราด้วย""ต้องการให้ข้าช่วยอะไรกันแน่""ตามจริงไม่ได้ต้องการตามหาท่าน เกรงว่าจะรบกวนอีก แต่ได้พบกันที่เมืองนี้ขอนับว่าเป็นวาสนา""..." นางกอดอกเลิกคิ้ว ภาษากายบอกชัดให้รีบสรุปความ"พอจะให้ความร่วมมือไปพบมันสักครั้งได้หรือไม่""ข้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทำไมต้องไปพบเล่า" ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ หม่าเยี่ยนถิงเคยเสี่ยงตายกับกรงเล็บมันแค่ครั้งเดียว"เราได้ผู้ฝึกสัตว์อสูรประจำสำนักช่วยสื่อสาร เหมือนว่ามันจะมีเรื่องติดใจกับท่านจึงไม่ยอม
"ข้าฝากฝังพ่อบ้านเป็นหูเป็นตา" เขาสบตานางด้วยสีหน้าจริงจัง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คงมีคนเดือดร้อนหลายคนแน่ ใครอยากเสี่ยงถึงเรื่องนั้นก็ลองทำดู แม่ทัพแดนเหนือไม่ใช่คนเด็ดขาดไร้ใจกับคนของตัวเอง เขาเป็นมิตร แต่ก็ไม่มีความเมตตาให้ศัตรูซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น หลังนายท่านพาสตรีคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็คุยแต่เรื่องนี้ไปทั่วทุกมุมบ้าน พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนจึงสงสัยว่าเป็นใคร เป็นบุตรีขุนนางคนไหน หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญโชคดี แต่การวางตัวของหม่าเยี่ยนถิงนั้นบอกได้ว่า นางไม่มีทางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน การต้อนรับนั้นหากเป็นคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานะนั้นแล้ว จะต้องเกร็งและแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาบ้าง แต่นายหญิงผู้นี้กลับนิ่งเฉย ใช้สายตาอย่างเหมาะสม เรียกว่าได้รับการสั่งสอนมาเป็นรองเพียงองค์หญิงในพระราชวังเท่านั้น ในเดือนนี้มีเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจเกิดขึ้นมากมาย จวนแม่ทัพแดนเหนือไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน พวกเขาต้องเตรียมอาหารระหว่างตารางงานใหม่ทั้งหมด "ใครจะได้เป็นสาวรับใช้ของฮูหยินกันนะ" "ฮูหยินต้องเป็นคุณหนูจวนขุนนางสักจวนหนึ่งมาก่อนแน่ ไม่คิดว่า