ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้
แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน "หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ" "ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก" ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อย ตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลย บันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้น ต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประตหม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ