"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ"
"หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา เช่นนั้นก็จงคืนทางเลือกที่ว่านั่นมาให้เธอ! เยี่ยนถิงสะลึมสะลือ รู้สึกเหมือนตัวเองกึ่งหลับกึ่งตื่น แผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนแข็ง ๆ ที่ดูน่าจะไม่ใช่เตียงของโรงพยาบาล ฉับพลันก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาจนเธอสลบไปอีกครั้ง "สามีเป็นใครก็ไม่รู้งั้นหรือ!? น่าขายหน้าจริง นี่เจ้าทำตัวเป็นนางโลมเมืองหรืออย่างไร!" น้ำเหลือจากการซักผ้าถูกสาดใส่หญิงสาวผู้หนึ่งโครมใหญ่จนเปียกและเหม็นไปทั้งตัว "ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกตั้งครรภ์อยู่ อย่าใจร้ายกับหลานเลยนะเจ้าคะ ได้โปรดเมตตาลูกด้วยเจ้าค่ะ" "อย่ามาแตะต้องตัวข้า! ช่างไม่สำนึกเลย ยังกล้าเรียกร้องอะไรอีกหรือ อยู่เป็นท่านหญิงดี ๆ ไม่ชอบ ออกไปสมสู่กับชายใดก็ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ แบบนี้จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ลากตัวนางออกไป ส่งไปหัวเมืองชั้นนอก เจ้าไปสำนึกผิดที่นั่นเสีย อย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก" "ท่านพ่อ!" สตรีผู้นั้นฟูมฟาย ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก ในใจรู้ดีว่าบิดาต้องโกรธ และคงไม่หายโกรธเร็ว ๆ นี้ นางคงต้องฝืนใจพาลูกไปอยู่ที่อื่น ไม่รู้ว่าหลังได้เห็นหน้าหลานจะยอมใจอ่อนบ้างหรือ แต่หม่าเยี่ยนถิงก็ไม่มีอะไรแก้ตัวได้เช่นกัน นางยอมพลีกายให้คนผู้นั้นเอง แต่จะบอกออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้หม่าเยี่ยนถิงถูกส่งตัวขึ้นรถม้าโทรม ๆ อย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี สิ่งที่เห็นอยู่นี้เยี่ยนถิงคิดว่าตนฝัน และเป็นปกติที่เราจะควบคุมไม่ได้ทั้งหมด ต่อให้รู้สึกตัวแล้วว่านี่เป็นความฝันก็ตาม ถ้าเป็นเยี่ยนถิงจริง ๆ ถูกน้ำซักผ้าสาดขนาดนั้นนางคงต้องถีบสาวใช้คนนั้นคืนสักทีแล้ว ต่อให้ทำตามสั่งบิดา แต่มีหรือนางจะยอมโดนสาวใช้กระทำราวกับเป็นลูกบ่าวเหมือนกัน ที่นั่งสั่นงก ๆ อยู่บนรถม้าเพราะหนาวนี่ก็ไม่ใช่ตัวเธออีก น้ำตาที่ไหลอยู่ก็ไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นของหม่าเยี่ยนถิง หญิงสาวนักฆ่าเริ่มสับสน หากจิตสุดท้ายตอนหลับยึดติดกับเรื่องใดจนนำไปสู่ฝันนั้น ก็ไม่น่าใช่ซีรี่ส์ย้อนยุคสักเรื่องแน่ ๆ แต่เรื่องที่ฝันมันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คิดเลยก็มีให้ได้ยินออกบ่อยไป อยู่ ๆ ความฝันของเธอก็เปลี่ยนฉากเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่พออยู่ได้ในแถบชนบท แล้วตัวเธอก็ร้อนจัดเพราะพิษไข้ เยี่ยนถิงถูกกระชากออกจากความฝันกะทันหัน เพราะเสียงร้องหรืออะไรสักอย่างที่มารบกวน พริบตาแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเธอสัมผัสได้ว่าตัวเองตัวร้อนมากจนเหมือนจะเป็นไข้สูง หรือนี่เป็นสาเหตุของการฝันร้ายติดต่อกันถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือเธอถูกองค์กรหักหลัง เรื่องที่สองคือหญิงสาวที่ถูกทางบ้านทอดทิ้งเพราะท้องไร้สามี เยี่ยนถิงปวดหัวตุบ ๆ จนแทบระเบิด เธอหายใจหอบและไม่มีแรงส่งเสียง จับคอตัวเองดูทั้งที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงก็พบว่าตัวเธอร้อนมากอย่างที่คาด แทบเหมือนเอาตัวเองไปอยู่ในกองไฟมาอย่างไรอย่างนั้น ภาพตรงหน้าพร่าเลือน แต่ก็ยังพอมองออกมาเป็นห้องห้องหนึ่งที่ทำจากไม้ทั้งหมด มีตะเกียงส่องแสงริบหรี่ หรือว่าเธอพลัดตกน้ำตอนขึ้นเรือกันแน่ถึงได้อยู่ ๆ ไม่สบายหนักอย่างนี้เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
"ท่านแม่ ถ้าความสูงประมาณนี้ล่ะก็ เราหยิบไข่บนรังนกได้บางรังเลยนะ" จื่อเหวินตาวาววับหลังได้สัมผัสมุมมองใหม่ "นั่นก็ถูกของเจ้า แต่จะเก็บไข่ไปพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอกนะ" "ทำไมล่ะขอรับ?" "พวกมันเป็นนกป่า มีศัตรูตามธรรมชาติมากพออยู่แล้ว หากเราเอาไข่มันมากินทุกครั้งที่เจอ ลูกนกก็จะไม่ได้เกิด แล้วถ้ามีคนทำแบบนี้ทุกวันวันละร้อยละพันคน พวกมันคงสูญพันธุ์ในสักวัน" "ท่านแม่ สูญพันธุ์คืออะไรขอรับ?" "เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมันตัวเป็น ๆ อีกหลังจากนั้น เหลือเพียงซากโครงกระดูกให้เจ้าเรียนรู้ว่าเคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกับเรา" "ฟังดูเศร้าจัง" "ฟังดูเศร้าจริง ๆ" เยี่ยนถิงยืนยันคำตอบด้วยสายตาว่างเปล่า จะกล่าวว่านางไม่สนต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่ได้ ต่อให้ต้องล่าสัตว์ทั้งป่านางก็คงไม่รู้สึกอะไร และที่มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุก็เป็นเรื่องจริงเดินเข้ามาลึกอีกนิด เยี่ยนถิงก็พบแหล่งพืชผลที่เก็บได้ เด็กเดินไปขุนหัวมันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนางก็ขุดเผือกและเก็บผลไม้อยู่ไม่ไกล ของพวกนี้เก็บไปมาก ๆ ใช่ว่าจะดี หากเก็บตามใจคงไม่มีเหลือให้กินถึงวันหน้า คนที่มาทีหลังก็จะได้เข้าป่าลึกขึ้นไปอีกด้วย ข้าคงต้องหางานทำแล้ว นางป
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล "ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว" "เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ" "ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ" หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน "มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า "เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ "ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที "พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน" ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน
สีหน้าเคร่งเครียดของมารดาทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าถาม ได้แต่กินข้าวไปเงียบ ๆ กระทั่งออกจากบ้านมาที่ภูเขาลูกเดิม ที่ผ่านมามารดาสอนจนจำได้หมดแล้วว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง จื่อเหวินเห็นมารดาเดินแยกไปอีกทางจับมือน้องสาวฝาแฝดเดินมาฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มเก็บผลไม้ต้นเตี้ยกับพืชบางอย่าง ที่นำไปประกอบอาหารได้ เขาไม่รู้ว่าอะไรกินได้หรือไม่ได้ แค่จำที่มารดาสอนมาก็ทำได้ง่าย ๆ แล้ว ในขณะที่พี่ชายกำลังปีนป่ายบนต้นไม้ หนี่เหวินก็เดินเก็บผลมะเขือเทศที่ขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ไปด้วย นางตั้งใจทำเพราะเมื่อทำแบบนี้นางจะได้รับคำชมจากมารดาทุกครั้ง และการทำให้ท่านแม่ยิ้มได้ทำให้นางมีความสุขตามมารดาไปด้วย หนี่เหวินชอบท่านแม่คนนี้เพราะท่านแม่คนนี้ดูเข้มแข็งและดูสวยสง่างามมาก! เหมือนนิทานที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่าลูกๆ คิดเห็นอย่างไรกับนาง ตอนนี้นางได้ของป่ามาเต็มตะกร้าเช่นเคย ก่อนจะจูงมือลูกไปตั้งแผงและเร่ขายที่ตลาดด้านหลังได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แม้ไม่มากนักแต่ก็พอซื้อเมล็ดพันธุ์ได้สามชนิด ทว่ากลับมาถึงบ้านก็ยังเอาเมล็ดพันธุ์ลงปลู
หม่าเยี่ยนถิงเริ่มได้เนื้อสัตว์กลับมาทำกินบ้างทีละเล็กละน้อย มื้อไหนมีเนื้อสัตว์อยู่ในรายการอาหารเด็ก ๆ จะเฝ้ารออย่างมากจนเห็นประกายออกมาจากตากลม ๆ นั่นได้เลย ถึงจะชอบกินเนื้อมากแค่ไหนแต่ฝาแฝดก็รู้ว่าต้องแบ่งกัน คืนนั้นทั้งสองก็ยังขอให้นางเล่านิทานให้ฟัง "คืนนี้ท่านแม่จะเล่าเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?" ทั้งสองนอนกอดหมอนแทนตุ๊กตาที่ยังหม่าเยี่ยนถิงคนก่อนยังหาซื้อมาให้ไม่ได้ ต้องเย็บมือให้เองและมันขาดไปเสียแล้ว นางสัญญาว่าจะซ่อมมันให้แต่ก็ยังไม่มีเวลา "องค์หญิงดอกไม้เป็นอย่างไร" เด็ก ๆ ตื่นเต้นทันทีเพราะมารดายังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "องค์หญิงดอกไม้ เกิดในกลีบดอกไม้ ชุดทำจากกลีบดอกไม้ และประดับผมด้วยเกสร..." องค์หญิงเป็นที่รักของภูตดอกไม้ จนกระทั่งสายลมพัดผ่านมา แต่สายลมไม่ไปไหน สายลมตกหลุมรักดอกไม้ ตั้งใจอยู่เคียงคู่กัน เมื่อสายลมไม่พัดผ่าน ฤดูกาลไม่มาเยือน ทั้งสองจึงต้องจำพรากจากกัน สายลมคิดถึง เพียงหนึ่งฤดู ได้ดอกไม้เคียงคู่ ก่อนจากกันไกล วันปีผันผ่าน ย้อนกลับมาใหม่ ให้ชูชื่นใจ ด้วยรั
"เป่าเปา แม่รู้ว่าเจ้าปีนต้นไม้เก่ง แต่อย่าขึ้นไปที่สูงแบบวันก่อนอีกเชียวนะ" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยกำชับก่อนแยกย้าย สองวันก่อนจื่อเหวินปีนขึ้นไปเก็บผลไม้และพลัดตกลงมา โชคดีที่ไม่ได้มีกระดูกท่อนไหนหัก แต่ก็ได้แผลฟกช้ำมาไม่น้อย หนี่เหวินเห็นฝาแฝดตัวเองตกลงมาก็ตกใจมาก ร้องไห้ใหญ่โตจนสัตว์ป่ากระเจิงหนีหมด กลัวว่าแฝดพี่จะตาย นางปลอบอยู่นานกว่าลูกสาวจะสงบลง "เข้าใจแล้วขอรับ" "ดีแล้ว ระวังตัวกันด้วยล่ะ ถ้าเจอสัตว์ป่าก็วิ่งมาหาแม่นะ" หม่าเยี่ยนถิงเน้นย้ำอีกหนเพื่อให้พวกเขาเตือนใจยามนึกถึง แต่เวลาเป็นสถานการณ์จริงก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน แต่นางเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองระยะห่างกันเท่านี้นางสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ อีกอย่างป่าแถวนี้ไม่ได้มีสัตว์ใหญ่อะไรเลยกล้าทิ้งเด็กๆ ไว้เพียงลำพัง หม่าเยี่ยนถิงไปส่งเด็ก ๆ อีกฝั่งหนึ่งจึงเดินย้อนกลับมา นางเก็บเผือกเก็บมันไปตามเรื่องและเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่ที่เคยเก็บยังไม่มีต้นใหม่งอก มือที่กำลังเอื้อมไปเด็ดผลส้มลงตะกร้าชะงักกึกหลังเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ห่า
"เป่าเปา แม่รู้ว่าเจ้าปีนต้นไม้เก่ง แต่อย่าขึ้นไปที่สูงแบบวันก่อนอีกเชียวนะ" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยกำชับก่อนแยกย้าย สองวันก่อนจื่อเหวินปีนขึ้นไปเก็บผลไม้และพลัดตกลงมา โชคดีที่ไม่ได้มีกระดูกท่อนไหนหัก แต่ก็ได้แผลฟกช้ำมาไม่น้อย หนี่เหวินเห็นฝาแฝดตัวเองตกลงมาก็ตกใจมาก ร้องไห้ใหญ่โตจนสัตว์ป่ากระเจิงหนีหมด กลัวว่าแฝดพี่จะตาย นางปลอบอยู่นานกว่าลูกสาวจะสงบลง "เข้าใจแล้วขอรับ" "ดีแล้ว ระวังตัวกันด้วยล่ะ ถ้าเจอสัตว์ป่าก็วิ่งมาหาแม่นะ" หม่าเยี่ยนถิงเน้นย้ำอีกหนเพื่อให้พวกเขาเตือนใจยามนึกถึง แต่เวลาเป็นสถานการณ์จริงก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน แต่นางเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองระยะห่างกันเท่านี้นางสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ อีกอย่างป่าแถวนี้ไม่ได้มีสัตว์ใหญ่อะไรเลยกล้าทิ้งเด็กๆ ไว้เพียงลำพัง หม่าเยี่ยนถิงไปส่งเด็ก ๆ อีกฝั่งหนึ่งจึงเดินย้อนกลับมา นางเก็บเผือกเก็บมันไปตามเรื่องและเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่ที่เคยเก็บยังไม่มีต้นใหม่งอก มือที่กำลังเอื้อมไปเด็ดผลส้มลงตะกร้าชะงักกึกหลังเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ห่า
หม่าเยี่ยนถิงเริ่มได้เนื้อสัตว์กลับมาทำกินบ้างทีละเล็กละน้อย มื้อไหนมีเนื้อสัตว์อยู่ในรายการอาหารเด็ก ๆ จะเฝ้ารออย่างมากจนเห็นประกายออกมาจากตากลม ๆ นั่นได้เลย ถึงจะชอบกินเนื้อมากแค่ไหนแต่ฝาแฝดก็รู้ว่าต้องแบ่งกัน คืนนั้นทั้งสองก็ยังขอให้นางเล่านิทานให้ฟัง "คืนนี้ท่านแม่จะเล่าเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?" ทั้งสองนอนกอดหมอนแทนตุ๊กตาที่ยังหม่าเยี่ยนถิงคนก่อนยังหาซื้อมาให้ไม่ได้ ต้องเย็บมือให้เองและมันขาดไปเสียแล้ว นางสัญญาว่าจะซ่อมมันให้แต่ก็ยังไม่มีเวลา "องค์หญิงดอกไม้เป็นอย่างไร" เด็ก ๆ ตื่นเต้นทันทีเพราะมารดายังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "องค์หญิงดอกไม้ เกิดในกลีบดอกไม้ ชุดทำจากกลีบดอกไม้ และประดับผมด้วยเกสร..." องค์หญิงเป็นที่รักของภูตดอกไม้ จนกระทั่งสายลมพัดผ่านมา แต่สายลมไม่ไปไหน สายลมตกหลุมรักดอกไม้ ตั้งใจอยู่เคียงคู่กัน เมื่อสายลมไม่พัดผ่าน ฤดูกาลไม่มาเยือน ทั้งสองจึงต้องจำพรากจากกัน สายลมคิดถึง เพียงหนึ่งฤดู ได้ดอกไม้เคียงคู่ ก่อนจากกันไกล วันปีผันผ่าน ย้อนกลับมาใหม่ ให้ชูชื่นใจ ด้วยรั
สีหน้าเคร่งเครียดของมารดาทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าถาม ได้แต่กินข้าวไปเงียบ ๆ กระทั่งออกจากบ้านมาที่ภูเขาลูกเดิม ที่ผ่านมามารดาสอนจนจำได้หมดแล้วว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง จื่อเหวินเห็นมารดาเดินแยกไปอีกทางจับมือน้องสาวฝาแฝดเดินมาฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มเก็บผลไม้ต้นเตี้ยกับพืชบางอย่าง ที่นำไปประกอบอาหารได้ เขาไม่รู้ว่าอะไรกินได้หรือไม่ได้ แค่จำที่มารดาสอนมาก็ทำได้ง่าย ๆ แล้ว ในขณะที่พี่ชายกำลังปีนป่ายบนต้นไม้ หนี่เหวินก็เดินเก็บผลมะเขือเทศที่ขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ไปด้วย นางตั้งใจทำเพราะเมื่อทำแบบนี้นางจะได้รับคำชมจากมารดาทุกครั้ง และการทำให้ท่านแม่ยิ้มได้ทำให้นางมีความสุขตามมารดาไปด้วย หนี่เหวินชอบท่านแม่คนนี้เพราะท่านแม่คนนี้ดูเข้มแข็งและดูสวยสง่างามมาก! เหมือนนิทานที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่าลูกๆ คิดเห็นอย่างไรกับนาง ตอนนี้นางได้ของป่ามาเต็มตะกร้าเช่นเคย ก่อนจะจูงมือลูกไปตั้งแผงและเร่ขายที่ตลาดด้านหลังได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แม้ไม่มากนักแต่ก็พอซื้อเมล็ดพันธุ์ได้สามชนิด ทว่ากลับมาถึงบ้านก็ยังเอาเมล็ดพันธุ์ลงปลู
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล "ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว" "เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ" "ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ" หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน "มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า "เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ "ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที "พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน" ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน
"ท่านแม่ ถ้าความสูงประมาณนี้ล่ะก็ เราหยิบไข่บนรังนกได้บางรังเลยนะ" จื่อเหวินตาวาววับหลังได้สัมผัสมุมมองใหม่ "นั่นก็ถูกของเจ้า แต่จะเก็บไข่ไปพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอกนะ" "ทำไมล่ะขอรับ?" "พวกมันเป็นนกป่า มีศัตรูตามธรรมชาติมากพออยู่แล้ว หากเราเอาไข่มันมากินทุกครั้งที่เจอ ลูกนกก็จะไม่ได้เกิด แล้วถ้ามีคนทำแบบนี้ทุกวันวันละร้อยละพันคน พวกมันคงสูญพันธุ์ในสักวัน" "ท่านแม่ สูญพันธุ์คืออะไรขอรับ?" "เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมันตัวเป็น ๆ อีกหลังจากนั้น เหลือเพียงซากโครงกระดูกให้เจ้าเรียนรู้ว่าเคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกับเรา" "ฟังดูเศร้าจัง" "ฟังดูเศร้าจริง ๆ" เยี่ยนถิงยืนยันคำตอบด้วยสายตาว่างเปล่า จะกล่าวว่านางไม่สนต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่ได้ ต่อให้ต้องล่าสัตว์ทั้งป่านางก็คงไม่รู้สึกอะไร และที่มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุก็เป็นเรื่องจริงเดินเข้ามาลึกอีกนิด เยี่ยนถิงก็พบแหล่งพืชผลที่เก็บได้ เด็กเดินไปขุนหัวมันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนางก็ขุดเผือกและเก็บผลไม้อยู่ไม่ไกล ของพวกนี้เก็บไปมาก ๆ ใช่ว่าจะดี หากเก็บตามใจคงไม่มีเหลือให้กินถึงวันหน้า คนที่มาทีหลังก็จะได้เข้าป่าลึกขึ้นไปอีกด้วย ข้าคงต้องหางานทำแล้ว นางป
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที