"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล
นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่านี้แต่รู้ความกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก หม่าเยี่ยนถิงสั่งสอนลูกมาได้ดีจริง ๆ แต่นางก็ละเลยตัวเองมากไปเช่นกัน แววตาของท่านหญิงหม้ายดูหมองหม่นอยู่ครู่หนึ่ง "พวกเจ้าเป็นเด็กดีมาตลอด อย่าคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ แม่ฝืนตัวเองมากไปจึงล้มป่วยเท่านั้น จากนี้คงไม่แล้ว แม่ควรให้พวกเจ้าช่วยงานอย่างที่พวกเจ้าต้องการบ้าง" "ท่านแม่ หนี่เหวินทำงานบ้านเก่งมากนะเจ้าคะ" คุณหนูน้อยไร้จวนเอ่ยขึ้น อยากให้มารดาชมนางบ้าง "พวกเจ้าเก่งทั้งคู่ ไม่มีอะไรที่ลูกแม่ทำไม่ได้หรอก" นางยิ้มกว้างให้พวกเขา สถานการณ์อึมครึมก่อนหน้านี้ก็สดใสขึ้นมาเพราะเสียงเจื้อยแจ้วและรอยยิ้มของเด็กสองคน หลังไล่ลูก ๆ ไปเล่นในสวนแล้ว เยี่ยนถิงก็กลับเข้ามาด้านในเพื่อวางแผนการใช้ชีวิตหลังจากนี้ เด็ก ๆ ยังอยู่ในสายตา มองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นชัดเจน ทำให้นางไม่กังวลว่าพวกเขาอาจจะคลาดสายตาจนได้รับอันตราย สถานะทางการเงินของบ้านไม่สู้ดีมาสักพัก เพราะผลผลิตปีนี้ย่ำแย่ ทำให้กระทบกันไปหมดตั้งแต่พลเรือนยันขุนนางในวัง ก่อนอื่นนางต้องบูรณะสวนให้กลับฟื้นคืนเหมือนเดิม ต้องเลี้ยงสัตว์พอให้กินได้ยามฉุกเฉิน อย่างน้อยก็ควรต้องมีไก่ เยี่ยนถิงมองถุงเงินผอมกะหร่องในมือด้วยแววตาสิ้นหวัง ตัวหม่าเยี่ยนถิงยังดูมีข้าวกินมากกว่าเจ้าถุงเงินนี่อีก "เฮ่อ...ข้าจะบ้าตาย" พอคิดเรื่องเงิน สถานการณ์อันจำใจเกิดก็ผุดขึ้นมาในหัว ระยะหลังมานี้หม่าเยี่ยนถิงต้องขึ้นเขาไปเก็บเผือกขุดมันประทังชีวิตบนเขาด้านหลัง ก่อนจะไปถึงจุดที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกนี้ดี นางต้องจัดการกับสถานะทางการเงินในบ้านที่กำลังร่อยหรอนี่ก่อน คิดได้ดังนั้นนั้นเยี่ยนถิงก็หยิบตะกร้าสานมาสะพานหลัง ให้ตะกร้าถือเด็ก ๆ ไปคนละอันแล้วพาทั้งคู่เดินทางขึ้นเขา "ท่านแม่จะพาพวกข้าไปผจญภัยอีกแล้ว" "พวกข้าจะได้ปีนต้นไม้เก็บไข่นกกันอีก" เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้สถานการณ์อันน่าอดสูดูสดใสขึ้นมา เยี่ยนถิงโดนความสดใสวัยเยาว์กระแทกตาจนอดปลาบปลื้มไม่ได้ ที่โลกแสนเละเทะยังมีความสดใสน้อย ๆ เหลืออยู่ ที่แท้ข้าก็ชอบเด็กมากนี่เอง! ค้นพบตัวตนของตัวเองอีกหนึ่งอย่าง เยี่ยนถิงก็รู้สึกพอใจแล้ว ภูเขาด้านหลังของเมืองค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมักมาเก็บของป่ากันที่นี่ หากได้ของดีหรือเก็บมาได้มากก็จะนำไปขายที่ตลาด "อ้าวหม่าเยี่ยนถิง ได้ยินว่าเจ้าป่วย หายดีแล้วหรือ?" เส้นทางที่จะไปบังเอิญต้องผ่านถนนท้ายตลาดเส้นหนึ่งพอดี หม่าเยี่ยนถิงจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับคนในละแวกนี้ "หายดีแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะยาของท่านแท้ ๆ ขอบคุณมากนะเจ้าคะ" "แหม ๆ คนกันเองทั้งนั้น เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นี้เจ้าอย่าใส่ใจเลย" "มิได้เจ้าค่ะ ที่เยี่ยนถิงได้รับความเอ็นดูมาตลอดเป็นท่านป้าท่านลุงช่วยเหลือนี่เจ้าคะ" ท่านป้าเจ้าของร้านหมั่นโถวพูดคุยกับพวกนางอีกเล็กน้อยก็ปล่อยให้เด็ก ๆ เดินต่อไปกับนาง หากยังรั้งอยู่ก็กลัวสามแม่ลูกจะได้กลับมืดค่ำ ถึงนางจะเอ็นดูฝาแฝดทั้งสองมากก็ตาม ทางขึ้นเขาช่วงแรกไม่ค่อยลาดชันเท่าด้านบน เด็ก ๆ จึงเดินได้สะดวก แต่พอเดินมานานก็เริ่มเมื่อย "ท่านแม่ ข้าขี่คอท่านได้ไหม?" หนี่เหวินถือตะกร้าเดินมาช้อนตามองตรงหน้านาง เยี่ยนถิงรู้สึกเหมือนจิตใจโดนโจมตีด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา "อะ อื้ม ได้สิ" "ท่านแม่ ข้าก็อยากขี่คอท่านเหมือนกัน" จื่อเหวินเดินตามมาออดอ้อนบ้าง เห็นน้องร้องขอได้เขาก็แอบอิจฉาอยู่นิด ๆ "ทีละคนนะ" เยี่ยนถิงนั่งย่อให้บุตรสาวปีนขึ้นมาก่อนจะจับมือบุตรชายด้วยมือข้างที่ว่าง ตะกร้าของพวกเขานางก็รวบมาถือไว้ด้วยมือเดียว เห็นมารดาไม่ทอดทิ้งให้เขาเดินลำพังจื่อเหวินก็ยิ้มกว้างไปตลอดทาง เดินมาถึงต้นพลับพลึงต้นหนึ่งหนี่เหวินก็ร้องจะลง นางเลยได้โอกาสให้บุตรชายเปลี่ยนขึ้นมาแทน"ท่านแม่ ถ้าความสูงประมาณนี้ล่ะก็ เราหยิบไข่บนรังนกได้บางรังเลยนะ" จื่อเหวินตาวาววับหลังได้สัมผัสมุมมองใหม่ "นั่นก็ถูกของเจ้า แต่จะเก็บไข่ไปพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอกนะ" "ทำไมล่ะขอรับ?" "พวกมันเป็นนกป่า มีศัตรูตามธรรมชาติมากพออยู่แล้ว หากเราเอาไข่มันมากินทุกครั้งที่เจอ ลูกนกก็จะไม่ได้เกิด แล้วถ้ามีคนทำแบบนี้ทุกวันวันละร้อยละพันคน พวกมันคงสูญพันธุ์ในสักวัน" "ท่านแม่ สูญพันธุ์คืออะไรขอรับ?" "เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมันตัวเป็น ๆ อีกหลังจากนั้น เหลือเพียงซากโครงกระดูกให้เจ้าเรียนรู้ว่าเคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกับเรา" "ฟังดูเศร้าจัง" "ฟังดูเศร้าจริง ๆ" เยี่ยนถิงยืนยันคำตอบด้วยสายตาว่างเปล่า จะกล่าวว่านางไม่สนต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่ได้ ต่อให้ต้องล่าสัตว์ทั้งป่านางก็คงไม่รู้สึกอะไร และที่มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุก็เป็นเรื่องจริงเดินเข้ามาลึกอีกนิด เยี่ยนถิงก็พบแหล่งพืชผลที่เก็บได้ เด็กเดินไปขุนหัวมันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนางก็ขุดเผือกและเก็บผลไม้อยู่ไม่ไกล ของพวกนี้เก็บไปมาก ๆ ใช่ว่าจะดี หากเก็บตามใจคงไม่มีเหลือให้กินถึงวันหน้า คนที่มาทีหลังก็จะได้เข้าป่าลึกขึ้นไปอีกด้วย ข้าคงต้องหางานทำแล้ว นางป
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล "ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว" "เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ" "ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ" หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน "มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า "เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ "ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที "พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน" ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน
สีหน้าเคร่งเครียดของมารดาทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าถาม ได้แต่กินข้าวไปเงียบ ๆ กระทั่งออกจากบ้านมาที่ภูเขาลูกเดิม ที่ผ่านมามารดาสอนจนจำได้หมดแล้วว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง จื่อเหวินเห็นมารดาเดินแยกไปอีกทางจับมือน้องสาวฝาแฝดเดินมาฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มเก็บผลไม้ต้นเตี้ยกับพืชบางอย่าง ที่นำไปประกอบอาหารได้ เขาไม่รู้ว่าอะไรกินได้หรือไม่ได้ แค่จำที่มารดาสอนมาก็ทำได้ง่าย ๆ แล้ว ในขณะที่พี่ชายกำลังปีนป่ายบนต้นไม้ หนี่เหวินก็เดินเก็บผลมะเขือเทศที่ขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ไปด้วย นางตั้งใจทำเพราะเมื่อทำแบบนี้นางจะได้รับคำชมจากมารดาทุกครั้ง และการทำให้ท่านแม่ยิ้มได้ทำให้นางมีความสุขตามมารดาไปด้วย หนี่เหวินชอบท่านแม่คนนี้เพราะท่านแม่คนนี้ดูเข้มแข็งและดูสวยสง่างามมาก! เหมือนนิทานที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่าลูกๆ คิดเห็นอย่างไรกับนาง ตอนนี้นางได้ของป่ามาเต็มตะกร้าเช่นเคย ก่อนจะจูงมือลูกไปตั้งแผงและเร่ขายที่ตลาดด้านหลังได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แม้ไม่มากนักแต่ก็พอซื้อเมล็ดพันธุ์ได้สามชนิด ทว่ากลับมาถึงบ้านก็ยังเอาเมล็ดพันธุ์ลงปลู
หม่าเยี่ยนถิงเริ่มได้เนื้อสัตว์กลับมาทำกินบ้างทีละเล็กละน้อย มื้อไหนมีเนื้อสัตว์อยู่ในรายการอาหารเด็ก ๆ จะเฝ้ารออย่างมากจนเห็นประกายออกมาจากตากลม ๆ นั่นได้เลย ถึงจะชอบกินเนื้อมากแค่ไหนแต่ฝาแฝดก็รู้ว่าต้องแบ่งกัน คืนนั้นทั้งสองก็ยังขอให้นางเล่านิทานให้ฟัง "คืนนี้ท่านแม่จะเล่าเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?" ทั้งสองนอนกอดหมอนแทนตุ๊กตาที่ยังหม่าเยี่ยนถิงคนก่อนยังหาซื้อมาให้ไม่ได้ ต้องเย็บมือให้เองและมันขาดไปเสียแล้ว นางสัญญาว่าจะซ่อมมันให้แต่ก็ยังไม่มีเวลา "องค์หญิงดอกไม้เป็นอย่างไร" เด็ก ๆ ตื่นเต้นทันทีเพราะมารดายังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "องค์หญิงดอกไม้ เกิดในกลีบดอกไม้ ชุดทำจากกลีบดอกไม้ และประดับผมด้วยเกสร..." องค์หญิงเป็นที่รักของภูตดอกไม้ จนกระทั่งสายลมพัดผ่านมา แต่สายลมไม่ไปไหน สายลมตกหลุมรักดอกไม้ ตั้งใจอยู่เคียงคู่กัน เมื่อสายลมไม่พัดผ่าน ฤดูกาลไม่มาเยือน ทั้งสองจึงต้องจำพรากจากกัน สายลมคิดถึง เพียงหนึ่งฤดู ได้ดอกไม้เคียงคู่ ก่อนจากกันไกล วันปีผันผ่าน ย้อนกลับมาใหม่ ให้ชูชื่นใจ ด้วยรั
"เป่าเปา แม่รู้ว่าเจ้าปีนต้นไม้เก่ง แต่อย่าขึ้นไปที่สูงแบบวันก่อนอีกเชียวนะ" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยกำชับก่อนแยกย้าย สองวันก่อนจื่อเหวินปีนขึ้นไปเก็บผลไม้และพลัดตกลงมา โชคดีที่ไม่ได้มีกระดูกท่อนไหนหัก แต่ก็ได้แผลฟกช้ำมาไม่น้อย หนี่เหวินเห็นฝาแฝดตัวเองตกลงมาก็ตกใจมาก ร้องไห้ใหญ่โตจนสัตว์ป่ากระเจิงหนีหมด กลัวว่าแฝดพี่จะตาย นางปลอบอยู่นานกว่าลูกสาวจะสงบลง "เข้าใจแล้วขอรับ" "ดีแล้ว ระวังตัวกันด้วยล่ะ ถ้าเจอสัตว์ป่าก็วิ่งมาหาแม่นะ" หม่าเยี่ยนถิงเน้นย้ำอีกหนเพื่อให้พวกเขาเตือนใจยามนึกถึง แต่เวลาเป็นสถานการณ์จริงก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน แต่นางเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองระยะห่างกันเท่านี้นางสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ อีกอย่างป่าแถวนี้ไม่ได้มีสัตว์ใหญ่อะไรเลยกล้าทิ้งเด็กๆ ไว้เพียงลำพัง หม่าเยี่ยนถิงไปส่งเด็ก ๆ อีกฝั่งหนึ่งจึงเดินย้อนกลับมา นางเก็บเผือกเก็บมันไปตามเรื่องและเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่ที่เคยเก็บยังไม่มีต้นใหม่งอก มือที่กำลังเอื้อมไปเด็ดผลส้มลงตะกร้าชะงักกึกหลังเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ห่า
"รบกวนแล้วเจ้าค่ะ"หม่าเยี่ยนถิงโค้งลงให้ผู้อาวุโสอย่างขอบคุณ แม้จะไม่รู้จักบุรุษผู้นั้น แต่ไม่อาจปล่อยทิ้งไม่ใยดีก็ไม่ได้ เพราะหัวใจดวงนี้ของนางเหมือนไม่ใช่นาง มันกระวนกระวายและรู้สึกทุกข์ใจ ซึ่งนางรู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกของร่างเดิม เพราะหากเป็นตัวนางต่อให้นอนตายต่อหน้าก็คงไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ๆ เรื่องเล็กน้อย อย่าเบี้ยวค่ายาข้าก็พอ ๆ" ท่านหมออาวุโสเอ่ยทีเล่นทีจริง"คนเจ็บจะจ่ายเองเจ้าค่ะ" นางตัดบทสวนคืนเสียงชืดชา คำตอบของนางทำให้ท่านหมอหัวเราะร่วน"สามีแม่นางหม่าหน้าตาไม่เบา มิน่า ลูก ๆ ถึงได้น่ารักน่าชังนัก""นางยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะยายแก่""ตาแก่อย่างเจ้าไม่แก่บ้างก็แล้วไป แล้วสามีนางก็รูปงามจริง ๆ นี่" สองสามีภรรยาโต้เถียงกันอย่างไม่จริงจังนัก พวกเขาต่อประโยคกันจนหม่าเยี่ยนถิงไม่มีโอกาสเอ่ยแทรกหรือแก้ตัว ท่านหมอที่ฟังอยู่ก็เข้าใจไปด้วยว่าบุรุษผู้นั้นเป็นสามีของนางหลิงฮูหยินจากสกุลหลี่คิดว่าคงไม่มีสตรีใดพาคนที่ไม่สนิทมารักษาด้วยท่าทางร้อนรนขนาดนั้น หม่าเยี่ยนถิงกังวลจนออกนอ
"แม่นางหม่า วันนี้ก็จะขึ้นเขาอีกหรือ" เขาคนนั้นเอ่ยทักทาย นางเพียงยิ้มให้และพูดคุยกับเขาอย่างรักษามารยาท"ช่วงนี้คงขึ้นไปทุกวัน เจ้าพึ่งกลับลงมาหรือ?""ใช่ วันนี้เจ้าคงตื่นสาย""มีเรื่องเกิดขึ้นเล็กน้อย"หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยตอบคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางผ่านโลกมาถึงสองภพด้วยกันจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่านายพรานหนุ่มคนนี้สนใจหม่าเยี่ยนถิง ซึ่งในความทรงจำร่างเดิมไม่ได้ให้ความหวังและเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสมเสมอ"ข้าได้ยินว่าเจ้าไปที่โรงหมอมา ใครเจ็บป่วย เป็นอะไรมากหรือไม่""ข้ากำลังจะไปดูอาการอยู่เดี๋ยวนี้"สรรพนามที่ใช้แทนตัวนั้นทำให้พรานหนุ่มเอะใจอยู่มาก แต่ก็ยังไม่กล้าซักไซ้อะไรลึกไปกว่านี้ เขาเดินตามหลังมาที่โรงหมอในเมือง ท่านหมออาวุโสเห็นหน้าหม่าเยี่ยนถิงก็ปรี่เข้ามาหา ทักทายด้วยประโยคที่ทำให้พรานหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น"แม่นางมาแล้วรึ สามีเจ้าน่ะอาละวาดทั้งคืน""อาละวาดหรือเจ้าคะ?" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยถามอย่างสงสัยจนลืมประโยคแรกที่ถูกเข้าใจผิด และยังไม่มีโอกาสแก้ต่างตั้งแต่เมื่อวา
"เป็นพ่อจริง ๆ หรือขอรับ ๆ ท่านแม่ ตอนนั้นลุงหมอบอกว่าเป็นสามีท่าน ก็หมายความว่าเป็นพ่อของพวกข้าใช่หรือไม่ขอรับ" "ไม่ คือ…" ท่าทีของผู้เป็นมารดาทำให้เขาใจฝ่อ เอ่ยเสียงตัดพ้อต่อมาว่า "ข้าอยากมีพ่อ เราไม่มีพ่อหรือขอรับ ยามข้ากับน้องไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ พวกเขาอวดอ้างบิดาให้ฟังทุกครั้ง" "เป่าเปา เจ้าอย่าร้องไห้" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยเสียงอ่อนลง นางนั่งลงให้ตัวเสมอกับบุตรชาย พอเห็นพี่ชายฝาแฝดร้องไห้ หนี่เหวินก็หน้าเบะตาม การพูดคุยของสามแม่ลูกอยู่ในสายตาจางจื่อเสวียนตลอดเวลา เขายังไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะกลัวจะผิดสังเกต จากที่ฟังเขาคงเป็นสามีของนาง แต่ท่าทีของนางกลับไม่เหมือนคนที่เป็นคู่ชีวิตกัน แต่สตรีผู้นั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนั้น "ข้าโดนล้อด้วย" "ใครล้อ" หม่าเยี่ยนถิงถามเสียงแข็งทันที เรื่องนี้นางจะไม่ปล่อยผ่านแน่ "หลานของเถ้าแก่เหลาอาหารขอรับ" นางถอนหายใจเฮือก โอบลูกทั้งสองมากอดไว้ "โถ ลูกจ๋า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวแม่จะไปจัดการให้เอง" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยปลอบทั้งสองคนที่งอแงตามกันเหมือนพฤติกรรมเลียนแ
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ