การกระทำของคนสกุลหม่าเป็นอะไรที่นางจะไม่ยอมให้อภัยต่อให้มาคุกเข่าอ้อนวอนก็ตาม
“สัญญากับแม่ได้หรือไม่ว่าจะไม่คิดสนใจเรื่องนี้อีกจนกว่าล” หม่าเยี่ยนถิงนั่งลงสบตากับบุตรชาย เขาอายุแค่นี้เองไม่ควรคิดเรื่องหอนางโลมจริงๆ “ขอรับ” จื่อเหวินตอบรับอย่างจริงจัง แม้จะไม่เข้าใจนักแต่เมื่อเห็นมารดาทำสีหน้าเคร่งเครียดจึงรีบตอบรับเพื่อให้สบายใจ เขาแค่ได้ยินว่าที่นั่นได้เงินเยอะเลยแค่อยากรู้อยากเห็น และอยากช่วยทางบ้านหาเงินเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงดูเคร่งเครียด แต่เมื่อท่านแม่ไม่ชอบเขาก็จะไม่สนใจอีก...หิมะแรกโปรยปรายลงมา เกล็ดละลองสีขาวแตะสัมผัสโดนผิวเนื้อแล้วก็ปลิวหายไป ปุยนุ่นสีขาวจากด้านบนหล่นลงมาต่อเนื่อง เด็กคู่แฝดตื่นเต้นวิ่งเล่นกันท่ามกลางหิมะ มารดาดุแล้วก็ไม่ยอมฟัง นางจึงจำใจต้องไปเอาถุงมือกับเสื้อคลุมหนา ๆ มาสวมให้
นี่ไม่ใช่หิมะแรกที่พวกเขาได้เจอ แต่มันกลับดูต่างไปจากที่ผ่านมา หรือเป็นเพราะได้มีเวลาปล่อยใจล่องลอยให้สนุกกับมันได้เป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะจึงยืนยาวกว่าในความทรงจำ&ทว่าหม่าเยี่ยนถิงกลับไม่หือไม่อือหรือตำหนิเขาแต่อย่างใด หากนางไม่ว่า เขาขอดื้อดึงจะไม่แก้ไปจนกว่าสามีแท้จริงของนางจะปรากฏตัวได้หรือไม่นะเห็นแก่ตัวที่สุด นายมันไอ้สารเลวซ่านหยางเขาทะเลาะกับตัวเองไปจนถึงเวลาเข้านอน หม่าเยี่ยนถิงจะไปเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟังเป็นครั้งคราว หากนางไม่ยุ่งจนเกินไปหรือต้องแอบไปทำงานลับ ๆ ล่อ ๆ ตอนกลางคืนก็จะกล่อมเด็ก ๆ นอนด้วยตัวเองจางจื่อเสวียนคิดว่าวันนี้ตนคงหลับสบาย เพราะไม่มีเรื่องอะไรกวนใจ ชีวิตประจำวันก็สงบสุขดีแต่ว่าเขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงครวญครางคล้ายสัตว์ป่ากำลังบาดเจ็บ ดวงตาคมปราบหรี่ลงด้วยความฉงนสงสัย ต้นฤดูกาลที่หนาวเหน็บจะมีสัตว์ป่าใดในระแวกนี้ไม่จำศีลด้วยหรือจางจื่อเสวียนถือตะเกียงเดินออกมานอกห้อง เงี่ยหูฟังว่ามาจากที่ใด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันดังมาจากห้องนอนของหม่าเยี่ยนถิง เขาผลักประตูออกอย่างแรงด้วยหัวใจเต้นระส่ำคิดว่ามีสัตว์ป่าบุรุกเข้ามาแต่เปล่าเลย ในห้องนั้นไม่มีอะไรนอกจากตัวหญิงสาวเจ้าของบ้าน แล้วเสียงหายใจหอบก็ดังขึ้นอีก เขามั่น
จางจื่อเสวียนถามตัวเองอีกครั้ง นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่ เดินต่อสิ ห้ามหยุด ห้ามหลับเด็ดขาด พริบตาเดียวความเป็นตายก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หากหลงทางไปเขาอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย ธรรมชาติไม่เคยปรานีไม่ว่ากับใคร สรรพสัตว์น้อยใหญ่ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ ธรรมชาติไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูถ้ารู้จักมัน จางจื่อเสวียนกลั้นใจเดินต่อ แม้จะง่วงเต็มที มือเท้าก็ขยับไม่ได้ดั่งใจแต่ในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว "ท่านหมอขอรับ!" เขาตะโกนเรียกสุดเสียงแข่งกับเสียงลม สั่นบนประตูให้คนด้านในรู้ว่ามีคนมาพร้อมตะโกนเรียกไปด้วย หากเขาสั่นประตูเฉย ๆ ไม่พ้นท่านหมอต้องคิดว่าเขาเป็นโจรไม่มีสมองแน่ เรียกจนคอแหบแห้งในที่สุดบานประตูก็เปิดออก "เจ้านี่เอง มีเรื่องงั้นหรือ" เขาจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ อาละวาดเสียขนาดนั้นใครจะลืมลง "เยี่ยนถิง ภรรยาข้าไข้ขึ้นสูงมาก ท่านหมอไปดูนางหน่อยเถอะ" กว่าจะพูดได้แต่ละคำช่างลำบาก ท่านหมออาวุโสมองไปยังถนนที่ถูกหิมะถมสูงเกือบถึงเข่า "ข้าแก่แล้วเดินฝ่าหิมะตั้งขนาดนั้นไปไม่ไหวหรอก เจ้ารอสักเดี๋ยว...." จางจื่อเสวียนนึกว่าตนจะต้องรบเร้าต่อเสียแล้ว แต่ท่านหมออาวุโสกลับมาพร้อมถุงย่ามที่มีกลิ่นสมุนไพรฉุนกึกตีขึ้
สองแฝดอยากปีนขึ้นเตียงไปนอนกับมารดาใจจะขาด แต่รู้ว่าตอนนี้ไม่ควร ทั้งท่านแม่ท่านพ่อป่วยพร้อมกันแบบนี้ทำให้พวกเขากังวลใจจนข่มตานอนไม่ลง แต่ด้วยวัยที่ยังต้องการการนอนมาก และพลังงานน้อย ไม่นานพวกเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย จางจื่อเสวียนเห็นว่าอาการตัวเองเริ่มดีขึ้นแล้วจึงลุกไปอุ้มทั้งสองให้ไปนอนตั่งตัวยาวริมหน้าต่างที่ปิดสนิด นำผ้าห่มคลุมทับกันหนาวอีกชั้น จนแล้วจนรอดหม่าเยี่ยนถิงก็ไม่รู้สึกตัวกระทั่งเช้าอีกวัน... พายุฝนสงบลงไปแล้ว ถนนหนทางกลับมาถูกปกคลุมด้วยพรมสีขาวอีกครั้ง เพราะหม่าเยี่ยนถิงยังไม่ตื่นเขาเลยมาทำอาหารเช้าแทน ซึ่งก็ทำเพียงนำอาหารมื้อเก่ามาอุ่น จางจื่อเสวียนที่คุ้นเคยกับอาวุธสังหารมากกว่ามีดทำครัว หลังหั่นมันฝรั่งออกแล้วสภาพอนาถเกินทนเขาก็ล้มเลิกที่จะทำอาหารสดใหม่แล้วนำของเก่ามาอุ่นแทน หากยังดึงดันทำต่อเกรงว่าวัตถุดิบคงสูญสิ้นหมดเพราะเขาแน่ ครั้งก่อนที่นางออกไปข้างนอกยังทำอาหารที่สามารถอุ่นร้อนไว้ให้พวกเขา แต่เวลานี้คงได้แต่อุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเท่านั้น "ท่านแม่ยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ" หนี่เหวินนั่งคู้ตัวมองฝูงมดที่กำลังขนอาหารกลับรังอยู่ข้างเรือนเพาะ ท่านหมอหลั
ผู้มาจากต่างโลกเฝ้ามองทุกอย่างด้วยทิวทัศน์เดียวกัน รับรู้ถึงความนึกคิดของตัวเจ้าของร่างอย่างชัดเจน เป็นอะไรของนางถึงได้ขัดคออยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว …ก็ไม่ได้ว่าอะไรแท้ ๆ แถมยังยิ้มตอบข้าด้วย นางรู้ว่าข้ามองเขาอยู่ เพราะตัวเองก็มองอยู่เช่นกันใช่หรือไม่ อาหารตรงหน้าพร่องไปจนหมดผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านก็เลิกรา แต่วัยหนุ่มสาวที่กำลังผลิบานยังอยากเมามายกันต่อ ผู้นำสองตระกูลจึงตัดสินใจกลับก่อนแล้วให้คนของตนอยู่เฝ้าเผื่อเกิดเหตุอะไร หม่าเยี่ยนถิงยิ้มกรุ้มกริ่มกับตัวเองพอเหลือตนกับชายหนุ่มคนนั้นลำพัง "ข้าเมามากแล้ว ขอตัวกลับก่อน" “คนของท่านยังไม่กลับมาเลย รถม้าของพวกท่านพ่อพึ่งออกไปไม่นาน ไปพักชั้นบนก่อนดีหรือไม่" เงียบไปครู่หนึ่งเสียงงึมงำยานคางก็ตอบกลับมา "อืม นั่นสิ…" เขาทำมือปัดป่ายไปตามโต๊ะคล้ายหาที่ยึดพิง หม่าเยี่ยนถิงไม่รอช้ายื่นมือไปหาอย่างมีนัยยะ "ข้าจะพาขึ้นไปเอง" นางเสนอตัว พอดีกับที่พี่สาวต่างมารดาคนนั้นไม่อยู่ ไม่มีใครขวางทางนางแล้ว หม่าเยี่ยนถิงประคองชายหนุ่มที่สูงกว่าตนขึ้นไปบนชั้นของภัตตาคารที่ประกอบกิจการเป็นโรงเตี๊ยมร่วมด้วย เยี่ยนถิงที่อยู่ในร่างหม่าเยี่ยนถิงอยากก
"ท่านแม่ไม่เห็นต้องขอโทษเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อแค่หงอย ๆ ซึม ๆ ไปเท่านั้น หากท่านแม่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน ลูกเกรงว่าหน้าของท่านพ่อคงเหมือนเจ้าตัวลายหลังอารามมากกว่านี้"นั่นมันชื่อสุนัขจรจัดที่อยู่หลังวัดไม่ใช่หรือ?"ขอโทษที่มารดาปล่อยให้ตัวเองป่วยน่ะ""ท่านแม่ การป่วยไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษนะเจ้าคะ ท่านบอกข้าเอง" เด็กสาวเอ่ยย้ำหน้ามู่ทู่เหมือนว่าจะเคยพูดแบบนั้นไปจริงๆ ด้วยสิ กลืนน้ำลายตัวเองสินะข้าเนี่ยหม่าเยี่ยนถิงพูดคุยกับบุตรฝาแฝดเสียงอ่อนเสียงหวาน ลืมสิ้นเรื่องที่เคยฝันไป จางจื่อเสวียนยกถ้วยโจ๊กที่พึ่งทำขึ้นพร้อมน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง"เด็กๆ ลงไปกินข้าวได้แล้ว พ่อแยกสำรับไว้ให้ที่ด้านล่าง"พอได้ยินว่ามื้อเช้าเสร็จแล้วพวกเขาก็ปีนลงจากเตียง เดินแข่งกันลงไปทานอาหาร ยังได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาถึงบนนี้"พ่อหรือ?" จางจื่อเสวียนไม่เคยแทนตัวเองเช่นนั้นมาก่อน เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่นางหลับไปกันนะเห็นหญิงสาวมองมาหน้าฉงนเขาจึงเอ่ยเฉลยข้อข้องใจ"พวกเขาคะยั้นคะยอมว่าทำไมข้าไ
"เจ้าอีกแล้วเรอะ" ท่านหมอเอ่ยขึ้นตั้งแต่นางพูดยังไม่ทันจบ ดูเหมือนว่าครอบครัวของนาง จะรบกวนท่านหมอไว้หลายคราจนจำหน้ากันแม่นแล้ว"อีกแล้วอะไรกันเล่า ข้ารบกวนท่านมากครั้งเสียที่ไหน"นางเอ่ยตอบพร้อมยิ้มประจบ เพราะอย่างไรก็ต้องมาพึ่งพาคนอื่น จะเย็นชาไร้ใจไปตลอดได้อย่างไร คนเราต้องรู้จักปรับตัวไม่อย่างนั้นคงอยู่โลกที่แปลกใหม่แบบนี้ไม่ได้"คนเราไม่ควรเจ็บป่วยเกินสามครั้งต่อปีนะ""หื้ม ต่อให้นับก่อนหน้านี้ด้วยปีนี้ข้าก็ป่วยแค่สองครั้งเองนะ" หม่าเยี่ยนถิงเดินตามท่านหมอชราที่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่อย่างไม่ปิดบัง"ใครป่วยอีกล่ะ" สุดท้ายชายชราก็ยอมแพ้"สามีข้า"ตามที่คนอื่น ๆ ในเมืองเข้าใจน่ะนะ"ข้าอยากช่วยให้เขาจำได้ อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมีอะไรนะ""แล้วเจ้าไม่รู้หรือไง""ท่านหมอ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ไม่สู้เขารู้ด้วยตัวเอง เป็นท่านจะเชื่อใจคนแปลกหน้าในขณะที่ความจำเสื่อมทั้งหมดหรือไง""ถ้าไม่ใสซื่อจนเกินไปก็คงไม่มีทางเชื่อใจใครได้ขนาดนั้นหรอก"
ระยะนี้หม่าเยี่ยนถิงก็อยู่ไม่ติดบ้านอีกเช่นเคย ทั้งที่ไม่มีงานที่สำนักคุ้มภัยแล้ว บ้านสวนที่ซื้อใหม่ก็ยังต้องรอปรับปรุงหลังหมดหนาว แต่นางก็ยังวุ่นวายแต่เช้าจรดเย็น บางวันก็พาเด็ก ๆ ออกไปด้วย บางวันก็ฝากเด็ก ๆ ไว้กับเขา จางจื่อเสวียนไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร "’งานใหม่หรือ?" "วิชาใหม่น่ะ" มื้อเช้าของวันถูกขัดจังหวะกะทันหัน หม่าเยี่ยนถิงถือกระบวยค้างไว้ กะพริบตาปริบ ๆ มองเขาเหมือนถามทางสีหน้าว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่ นางทำหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ "ข้ายังไม่ได้บอกหรอกหรือ" "ไม่ เจ้าไม่ได้บอกอะไรเลย ตั้งแต่หายป่วยเจ้าอยู่ติดบ้านเสียที่ไหน" หม่าเยี่ยนถิงนึกแล้วก็จริง ๆ เวลาทำงานหรือติดพันภารกิจบางอย่างนางต้องการสมาธิมาก ๆ จนบางครั้งก็หลงลืมเรื่องอื่นไป อีกอย่างนางยังไม่ค่อยชินกับการที่ต้องบอกคนอื่นว่าไปที่ไหน ทำอะไรกับใคร ต่อไปนี้คงต้องปรับตัวอีกสักหน่อยแล้ว ในเมื่อคิดว่าพวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน "ข้ากำลังเรียนฝังเข็มจากอาจารย์หมอ ถ้ามันช่วยกระตุ้นความทรงจำของท่านให้ได้ไว ๆ มันก็จะดีกับท่านและข้า" นางอธิบายเหตุผลที่หายไปบ่อยๆ ให้ฟัง ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมให้นางรั
"งั้นคงต้องขอชิมหน่อยแล้ว" หม่าเยี่ยนถิงหมุนตัวกลับมาที่ห้องรับรองแขกแล้วจัดโต๊ะอาหารรอกับพวกแฝด จางจื่อเสวียนยิ้มแก้มปริหั่นวัตถุดิบอย่างอารมณ์ดี เขายิ้มกว้างเกินปกติหรือเปล่า หรือข้าฝังเข็มผิดไปโดนอะไรบนหน้าเขาล่ะเนี่ย หม่าเยี่ยนถิงนั่งเท้าคางอยู่กับโต๊ะ มองผ่านไปในห้องครัวเป็นระยะ บุรุษร่างกำยำขะมักเขม้นกับการปรุงอาหารมื้อนี้มาก แม้จะดูเงอะงะเป็นบางที แต่หลายอย่างก็ดูทำได้คล่องแล้ว ไม่นานอาหารจานโปรดสามสี่อย่างก็วางอยู่บนโต๊ะกลมขนาดเล็กกลางห้อง หม่าเยี่ยนถิงใช้เงินที่ได้มาซื้อเครื่องเรือนและต่อเติมบ้านไปก่อนหน้านี้ไม่น้อยเหมือนกัน บ้านขนาดกลางสองชั้นที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ก็ดูสมเป็นบ้านขึ้นมา ตอนที่ถูกบิดาขับไล่ออกมานั้นหม่าเยี่ยนถิงใช้เงินจากการขายเครื่องประดับส่วนตัวเกือบทั้งหมด เพื่อซื้อบ้านหลังนี้และการเก็บส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในอนาคตของลูกน้อยที่ยังไม่เกิดมา นางรู้สึกได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าบิดาคงไม่ให้การช่วยเหลือใด ๆ หม่าเยี่ยนถิงเป็นสตรีที่เข้มแข็งและอดทนมากจนอดีตมือสังหารสาวยังขอนับถือ น่าเศร้าที่พลังใจของมนุษย์ผู้หนึ่งมีได้จำกัดนางจึงจากไปเร็วกว่าที่ควร เด็ก ๆ ชอบรสชา
หม่าเยี่ยนถิงที่แอบฟังอยู่เห็นด้วยในจุดนี้ จางจื่อเสวียนอยู่ติดบ้านมาก ๆ แม้แต่ตอนที่ยังอาศัยอยู่กับนางที่เมืองนั้นซึ่งความทรงจำเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงนิสัยไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใครเกินจำเป็นอยู่ดี หรือบางทีอุปนิสัยเดิมของผู้สวมร่างก็มีผลด้วยแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวผู้นี้เล่า นั่นเป็นสามีของข้า"คุณหนูใจเย็นไว้เถอะเจ้าค่ะ ยังไม่มีข่าวว่าท่านแม่ทัพสนใจสตรีนางใด ไม่แน่ว่าอาจแอบมีใจให้คุณหนูอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"ว่าแล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกัน สตรีวัยแรกแย้มกับดรุณีที่มั่นหมายในใจว่าจะออกเรือนในเร็ววันหัวเราะกันเสียงเล็กเสียงน้อย พูดหยอกเย้าถึงบุรุษที่ตนได้พบเจอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาแทนที่บุรุษที่นางปรารถนาในใจได้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วสิหญิงสาวในเงามืดหรี่ตามอง รู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายบางอย่างที่สะท้อนแสงตะเกียงจากใต้เตียงนอนของนาง หม่าเยี่ยนถิงย่อตัวลง รอคอยปฏิบัติการคืนนี้อย่างใจเย็น กระทั่งแสงตะเกียงในห้องนางดับลงไปครู่ใหญ่ แน่ใจว่าหญิงสาวทั้งสองที่หลับอยู่
"มันต้องใช้เวลาอุ้มท้องกี่เดือน" นางถามโดยไม่ละสายตาไปจากลายพาดกลอนตรงหน้า"หนึ่งปีกับอีกหกเดือน"นานอยู่นะนั่น แต่ก็ถือว่ามันรู้จุดประสงค์แรกเริ่ม"เข้าใจแล้ว เอาตามที่ตกลงกันเมื่อครู่ก็แล้วกัน""รบกวนท่านหญิงแล้วจริงๆ"หลังเสร็จธุระเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงทั้งสามก็มาส่งนางถึงหน้ากำแพงเมือง หม่าเยี่ยนถิงคิดว่าต้องใช้เวลาไม่นานแต่พบว่ากว่าจะกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคยข้ายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หลังจบงานที่เมืองหลวงแล้วยังต้องกลับไปดูแลสวนอีก จ้างคนงานสักหน่อยดีไหมนะ?"กลับมาแล้ว" ทันทีที่เข้ามาในจวนก็ร้องบอกจางจื่อเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกการมีคนรออยู่บ้านช่างดีจริง ๆ"กลับมาแล้วเหรอ" เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่คมมองมาหม่าเยี่ยนถิงจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบางเบา"ยังไม่กลับ""ยังไม่กลับหรอกเหรอ" ทั้งคู่สบตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ"ท่านพ่อท่านแม่เล่นอะไรกันอยู่ขอรับ" จางจื่อเหวินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ดวงตา
"แม่นางกล่าวเช่นนี้ข้าละอายใจหนัก แม้พวกเราจะไปกันสามคนก็สู้สัตว์อสูรตัวนั้นตัวเดียวไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากทางสำนักให้ส่งคนไปเพิ่ม เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคู่ปรับมันได้หรอก"จอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่งที่สวมหมวกสานไว้ตลอดเวลาเอ่ยตอบมาอย่างเป็นมิตร แทบจะนับว่านางเป็นคนเดียวที่คุยกับหม่าเยี่ยนถิงตลอดทาง ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยกันมีความระแวดระวังต่อกันสูงมากหม่าเยี่ยนถิงเป็นนักฆ่าไม่ใช่นักสู้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นางย่อมเสียเปรียบในไม่ช้าและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นต้องชักดาบนางก็เลือกที่จะประนีประนอมเดินตามทั้งสามคนมาได้ระยะหนึ่งก็เป็นทางขึ้นเขา ทิวไผ่ยังคงหนาและแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา หม่าเยี่ยนถิงเดินตามทั้งสามคนขึ้นไป มีบ้างที่ต้องขอความช่วยเหลือให้พาขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วย เพราะเป็นสำนักฝึกยุทธ์ที่ปลีกวิเวกเป็นส่วนใหญ่ การเข้าออกจึงไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะทำได้ง่าย ๆ เส้นทางมีความซับซ้อนระดับหนึ่ง หากจะขังนางไว้บนนั้นก็คงได้หลายวันเชียวหม่าเยี่ยนถิงเลิกคิดฟุ้งซ่านและถามเป็นระยะว่าอีกนานเท่าไรกว่าจะ
"มีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ" ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรที่ต้องติดต่อกับสามคนนี้อีก ไม่เข้าใจเหตุผลที่ปรากฏตัวเลยจริง ๆ"จอมปราชญ์ท่านนี้ เรื่องที่ได้พูดคุยกันในวันนั้นต้องขอขอบคุณ" ผู้ที่อยู่หน้าสุดประสานมือคำนับ"สัตว์อสูรตัวนั้นมีปัญหา?""จะเรียกว่าปัญหาได้หรือไม่นะ" เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ จอมยุทธ์หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรีบเอ่ยออกมาแทน"เราจัดหาที่อยู่ให้มันแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนสัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ชอบใจเลย มันขู่สัตว์เฝ้าประตูของเราด้วย""ต้องการให้ข้าช่วยอะไรกันแน่""ตามจริงไม่ได้ต้องการตามหาท่าน เกรงว่าจะรบกวนอีก แต่ได้พบกันที่เมืองนี้ขอนับว่าเป็นวาสนา""..." นางกอดอกเลิกคิ้ว ภาษากายบอกชัดให้รีบสรุปความ"พอจะให้ความร่วมมือไปพบมันสักครั้งได้หรือไม่""ข้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทำไมต้องไปพบเล่า" ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ หม่าเยี่ยนถิงเคยเสี่ยงตายกับกรงเล็บมันแค่ครั้งเดียว"เราได้ผู้ฝึกสัตว์อสูรประจำสำนักช่วยสื่อสาร เหมือนว่ามันจะมีเรื่องติดใจกับท่านจึงไม่ยอม
"ข้าฝากฝังพ่อบ้านเป็นหูเป็นตา" เขาสบตานางด้วยสีหน้าจริงจัง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คงมีคนเดือดร้อนหลายคนแน่ ใครอยากเสี่ยงถึงเรื่องนั้นก็ลองทำดู แม่ทัพแดนเหนือไม่ใช่คนเด็ดขาดไร้ใจกับคนของตัวเอง เขาเป็นมิตร แต่ก็ไม่มีความเมตตาให้ศัตรูซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น หลังนายท่านพาสตรีคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็คุยแต่เรื่องนี้ไปทั่วทุกมุมบ้าน พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนจึงสงสัยว่าเป็นใคร เป็นบุตรีขุนนางคนไหน หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญโชคดี แต่การวางตัวของหม่าเยี่ยนถิงนั้นบอกได้ว่า นางไม่มีทางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน การต้อนรับนั้นหากเป็นคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานะนั้นแล้ว จะต้องเกร็งและแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาบ้าง แต่นายหญิงผู้นี้กลับนิ่งเฉย ใช้สายตาอย่างเหมาะสม เรียกว่าได้รับการสั่งสอนมาเป็นรองเพียงองค์หญิงในพระราชวังเท่านั้น ในเดือนนี้มีเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจเกิดขึ้นมากมาย จวนแม่ทัพแดนเหนือไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน พวกเขาต้องเตรียมอาหารระหว่างตารางงานใหม่ทั้งหมด "ใครจะได้เป็นสาวรับใช้ของฮูหยินกันนะ" "ฮูหยินต้องเป็นคุณหนูจวนขุนนางสักจวนหนึ่งมาก่อนแน่ ไม่คิดว่า
ที่มาลงเอยกันแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรหมลิขิตหรือโชคชะตา แต่มันก็ดีกว่าที่นางคาดไว้มาก หากจางจื่อเสวียนยังเป็นตัวตนเดิมก็ไม่รู้ว่านางจะเต็มใจดูแลเขาในฐานะภรรยาได้หรือเปล่า เพราะผู้ที่จางจื่อเสวียนคนนั้นปรารถนาคือหม่าเยี่ยนถิงที่เป็นภรรยาไม่ใช่เยี่ยนถิง "ท่านวางแผนจะทำอะไรที่เมืองหลวง?" "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็อยากทำให้สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขาถูกแก้ไข" ชายหนุ่มชี้ไปที่อกตัวเองเป็นความหมายว่า หมายถึงตัวตนอีกหนึ่งที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็เข้าใจได้ เพราะสิ่งที่ทำให้หม่าเยี่ยนถิงทุกข์ทรมานใจจะล้มป่วยนั้นก็เป็นผลมาจากเรื่องนี้ ทั้งที่นางเป็นคนเข้มแข็ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างบาดแผลให้นางมากเกินไป เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคุยอะไรกัน พวกเขาเพลียมากกับการเดินทาง จึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ "ข้าสามารถเดินทางต่อได้ทันที ท่านอยากค้างแรมก่อนหรือเดินทางเลย" ทั้งสองคนใช้ชีวิตในสังคมใต้ดินมาเป็นเวลาหลายปี ชินกับการที่ไม่ต้องนอนเป็นเวลาหลายวันได้ พวกเขาสามารถเดินทางต่อได้เลย ทั้งทักษะการป้องกันตัวของหญิงสาวก็ไม่ได้ด้อย "ไม่จำเป็นต้องฝืน ถ้าออกเดินทางในตอนเช้าตร
หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้จะใช้คำใดปลอบโยนเด็ก ๆ ได้แต่กอดพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ให้รู้ว่ายังมีนางอยู่ตรงนี้ สีหน้าของผู้เป็นแม่อย่างนี้ดูน่ากลัวนัก แต่ก็ไม่น่าหวาดกลัวไปกว่าความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากชายผู้นั้นก่อนหน้านี้ ท่านแม่ลุกไปสั่งอาหารเพิ่มกับเสี่ยวเอ้ออยู่ดี ๆ ชายร่างทวงผู้นั้นที่พึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม เห็นหน้าก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขาเลย หลอกล่อถามไม่หยุดว่าผู้ปกครองไปไหน เขากับน้องสาวทั้งสั่นทั้งกลัวไม่กล้าตอบ หม่าจื่อเหวินดึงน้องสาวฝาแฝดเข้ามาชิด แอบมองไปทางมารดาอยู่ตลอดว่านางจะกลับมาตอนไหน ยังไม่ทันได้สินใจเรียกผู้เป็นแม่ ชายผู้นั้นก็จับแขนเหมียวเหมียวเอาไว้จนนางกรีดร้องลั่นและร้องไห้ออกมา หม่าเยี่ยนถิงตวัดสายตามองครู่เดียวก็พาตัวเองมาเกือบถึงโต๊ะแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขามองตามไม่ทัน รู้ตัวอีกทีชายคนนั้นก็ถูกกดไว้กับโต๊ะและร้องโอดโอยเสียงดัง เด็กน้อยไม่หลงเหลือสติในการปกครองอารมณ์ตนเอง ไม่รู้ว่ามารดาพูดอะไรออกไปบ้างกับชายคนนั้น รู้แต่ว่านางเสียงดังมาก เขาไม่เคยเห็นแม่โกรธขนาดนี้มาก่อน น้องสาวฝาแฝดตกใจจนตัวสั่น กระนั้นก็ไม่ยอมละสายตาไป
สุดท้ายแล้วผู้ครองแผ่นดินจึงพยักหน้ายอมตกปากรับคำโดยง่าย เขาจะส่งราชโองการอย่างเป็นทางการไปที่จวนแม่ทัพหนุ่มในภายหลัง ส่วนฉบับที่จะส่งไปบ้านฝ่ายหญิงนั้นเขาได้ร้องขอให้ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้..."เจ้าจะไปไหนต่อนั่น"หลี่อวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายที่ดูเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว หลังออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอก สหายแซ่จางก็เดินอาด ๆ ขึ้นรถม้า"ข้าต้องไปรับนางก่อน ส่วนเรื่องที่สืบกันอยู่ ข้าฝากเจ้าสานต่อด้วย" "ขอรับ ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าจะรีบไปจัดการให้เสร็จก่อนท่านกลับมา" อีกฝ่ายพูดหยอกเย้ากึ่งประชด มองดูรถม้าแล่นออกไป จึงค่อยกลับไปทำงานของตัวเองจางจื่อเสวียนกลับมาถึงจวนพ่อบ้านก็รีบปรี่เข้ามาถามถึงเรื่องห้องพักของว่าที่นายหญิงและคุณหนูคุณชายทั้งสอง"นางกับลูกไม่ได้ตั้งใจจะพักที่นี่อย่างถาวร จัดห้องรับรองไว้ตามสมควรก็พอแล้ว""ฮูหยินไม่ปรารถนาจะอยู่จวนหรือขอรับ?" พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาผู้ใดไม่อยู่ร่วมกันมาก่อน"นางชอบชีวิตสาวชาวไร่มากกว่า""ต้องการ
หม่าเยี่ยนถิงพยักหน้า ก่อนจะพาเด็ก ๆ ขึ้นรถม้าที่เช่ามานางจ้างพวกเขาให้ไปส่งเพราะสะดวกกว่าการเอารถม้าไปเอง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปนางก็จะเช่ารถม้าไปเมืองต่อเมือง เปลี่ยนคันโดยสารที่เมืองนั้น ๆ แล้วไปต่อใช้เวลาค่อนวันก็เดินทางมาถึงที่หมายแรก นางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมพวกเด็ก ๆ ที่พึ่งเคยได้ออกจากเมืองมาไกลถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขามองซ้ายมองขวาสองข้างทางตลอดตั้งแต่เข้าเมืองมา มันมีทุกอย่างขายเหมือนเมืองที่พวกเขาอยู่ต่างแต่สถานที่เด็ก ๆ คงชอบบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากกว่าเป้าหมายของมัน"ไปกินข้าวกันก่อนเถิด""ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง" เป่าเปาน้อยมองหน้ามารดาอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าสถานะที่บ้านตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากมายกว่าที่เคยกิน"เอาสิ แล้วเหมียวเหมียวอยากกินอะไรล่ะ" นางหันมาถามบุตรสาวอีกคน"เกี๊ยวน้ำเจ้าค่ะท่านแม่""งั้นไปที่เหลาอาหารตรงนั้นก็แล้วกัน"หม่าเยี่ยนถิงพาบุตรทั้งสองไปที่ร้านอาหาร สั่งของง่าย ๆ มาสองสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ นางต