ผู้มาจากต่างโลกเฝ้ามองทุกอย่างด้วยทิวทัศน์เดียวกัน รับรู้ถึงความนึกคิดของตัวเจ้าของร่างอย่างชัดเจน เป็นอะไรของนางถึงได้ขัดคออยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว …ก็ไม่ได้ว่าอะไรแท้ ๆ แถมยังยิ้มตอบข้าด้วย นางรู้ว่าข้ามองเขาอยู่ เพราะตัวเองก็มองอยู่เช่นกันใช่หรือไม่ อาหารตรงหน้าพร่องไปจนหมดผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านก็เลิกรา แต่วัยหนุ่มสาวที่กำลังผลิบานยังอยากเมามายกันต่อ ผู้นำสองตระกูลจึงตัดสินใจกลับก่อนแล้วให้คนของตนอยู่เฝ้าเผื่อเกิดเหตุอะไร หม่าเยี่ยนถิงยิ้มกรุ้มกริ่มกับตัวเองพอเหลือตนกับชายหนุ่มคนนั้นลำพัง "ข้าเมามากแล้ว ขอตัวกลับก่อน" “คนของท่านยังไม่กลับมาเลย รถม้าของพวกท่านพ่อพึ่งออกไปไม่นาน ไปพักชั้นบนก่อนดีหรือไม่" เงียบไปครู่หนึ่งเสียงงึมงำยานคางก็ตอบกลับมา "อืม นั่นสิ…" เขาทำมือปัดป่ายไปตามโต๊ะคล้ายหาที่ยึดพิง หม่าเยี่ยนถิงไม่รอช้ายื่นมือไปหาอย่างมีนัยยะ "ข้าจะพาขึ้นไปเอง" นางเสนอตัว พอดีกับที่พี่สาวต่างมารดาคนนั้นไม่อยู่ ไม่มีใครขวางทางนางแล้ว หม่าเยี่ยนถิงประคองชายหนุ่มที่สูงกว่าตนขึ้นไปบนชั้นของภัตตาคารที่ประกอบกิจการเป็นโรงเตี๊ยมร่วมด้วย เยี่ยนถิงที่อยู่ในร่างหม่าเยี่ยนถิงอยากก
"ท่านแม่ไม่เห็นต้องขอโทษเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อแค่หงอย ๆ ซึม ๆ ไปเท่านั้น หากท่านแม่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน ลูกเกรงว่าหน้าของท่านพ่อคงเหมือนเจ้าตัวลายหลังอารามมากกว่านี้"นั่นมันชื่อสุนัขจรจัดที่อยู่หลังวัดไม่ใช่หรือ?"ขอโทษที่มารดาปล่อยให้ตัวเองป่วยน่ะ""ท่านแม่ การป่วยไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษนะเจ้าคะ ท่านบอกข้าเอง" เด็กสาวเอ่ยย้ำหน้ามู่ทู่เหมือนว่าจะเคยพูดแบบนั้นไปจริงๆ ด้วยสิ กลืนน้ำลายตัวเองสินะข้าเนี่ยหม่าเยี่ยนถิงพูดคุยกับบุตรฝาแฝดเสียงอ่อนเสียงหวาน ลืมสิ้นเรื่องที่เคยฝันไป จางจื่อเสวียนยกถ้วยโจ๊กที่พึ่งทำขึ้นพร้อมน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง"เด็กๆ ลงไปกินข้าวได้แล้ว พ่อแยกสำรับไว้ให้ที่ด้านล่าง"พอได้ยินว่ามื้อเช้าเสร็จแล้วพวกเขาก็ปีนลงจากเตียง เดินแข่งกันลงไปทานอาหาร ยังได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาถึงบนนี้"พ่อหรือ?" จางจื่อเสวียนไม่เคยแทนตัวเองเช่นนั้นมาก่อน เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่นางหลับไปกันนะเห็นหญิงสาวมองมาหน้าฉงนเขาจึงเอ่ยเฉลยข้อข้องใจ"พวกเขาคะยั้นคะยอมว่าทำไมข้าไ
"เจ้าอีกแล้วเรอะ" ท่านหมอเอ่ยขึ้นตั้งแต่นางพูดยังไม่ทันจบ ดูเหมือนว่าครอบครัวของนาง จะรบกวนท่านหมอไว้หลายคราจนจำหน้ากันแม่นแล้ว"อีกแล้วอะไรกันเล่า ข้ารบกวนท่านมากครั้งเสียที่ไหน"นางเอ่ยตอบพร้อมยิ้มประจบ เพราะอย่างไรก็ต้องมาพึ่งพาคนอื่น จะเย็นชาไร้ใจไปตลอดได้อย่างไร คนเราต้องรู้จักปรับตัวไม่อย่างนั้นคงอยู่โลกที่แปลกใหม่แบบนี้ไม่ได้"คนเราไม่ควรเจ็บป่วยเกินสามครั้งต่อปีนะ""หื้ม ต่อให้นับก่อนหน้านี้ด้วยปีนี้ข้าก็ป่วยแค่สองครั้งเองนะ" หม่าเยี่ยนถิงเดินตามท่านหมอชราที่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่อย่างไม่ปิดบัง"ใครป่วยอีกล่ะ" สุดท้ายชายชราก็ยอมแพ้"สามีข้า"ตามที่คนอื่น ๆ ในเมืองเข้าใจน่ะนะ"ข้าอยากช่วยให้เขาจำได้ อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมีอะไรนะ""แล้วเจ้าไม่รู้หรือไง""ท่านหมอ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ไม่สู้เขารู้ด้วยตัวเอง เป็นท่านจะเชื่อใจคนแปลกหน้าในขณะที่ความจำเสื่อมทั้งหมดหรือไง""ถ้าไม่ใสซื่อจนเกินไปก็คงไม่มีทางเชื่อใจใครได้ขนาดนั้นหรอก"
ระยะนี้หม่าเยี่ยนถิงก็อยู่ไม่ติดบ้านอีกเช่นเคย ทั้งที่ไม่มีงานที่สำนักคุ้มภัยแล้ว บ้านสวนที่ซื้อใหม่ก็ยังต้องรอปรับปรุงหลังหมดหนาว แต่นางก็ยังวุ่นวายแต่เช้าจรดเย็น บางวันก็พาเด็ก ๆ ออกไปด้วย บางวันก็ฝากเด็ก ๆ ไว้กับเขา จางจื่อเสวียนไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร "’งานใหม่หรือ?" "วิชาใหม่น่ะ" มื้อเช้าของวันถูกขัดจังหวะกะทันหัน หม่าเยี่ยนถิงถือกระบวยค้างไว้ กะพริบตาปริบ ๆ มองเขาเหมือนถามทางสีหน้าว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่ นางทำหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ "ข้ายังไม่ได้บอกหรอกหรือ" "ไม่ เจ้าไม่ได้บอกอะไรเลย ตั้งแต่หายป่วยเจ้าอยู่ติดบ้านเสียที่ไหน" หม่าเยี่ยนถิงนึกแล้วก็จริง ๆ เวลาทำงานหรือติดพันภารกิจบางอย่างนางต้องการสมาธิมาก ๆ จนบางครั้งก็หลงลืมเรื่องอื่นไป อีกอย่างนางยังไม่ค่อยชินกับการที่ต้องบอกคนอื่นว่าไปที่ไหน ทำอะไรกับใคร ต่อไปนี้คงต้องปรับตัวอีกสักหน่อยแล้ว ในเมื่อคิดว่าพวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน "ข้ากำลังเรียนฝังเข็มจากอาจารย์หมอ ถ้ามันช่วยกระตุ้นความทรงจำของท่านให้ได้ไว ๆ มันก็จะดีกับท่านและข้า" นางอธิบายเหตุผลที่หายไปบ่อยๆ ให้ฟัง ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมให้นางรั
"งั้นคงต้องขอชิมหน่อยแล้ว" หม่าเยี่ยนถิงหมุนตัวกลับมาที่ห้องรับรองแขกแล้วจัดโต๊ะอาหารรอกับพวกแฝด จางจื่อเสวียนยิ้มแก้มปริหั่นวัตถุดิบอย่างอารมณ์ดี เขายิ้มกว้างเกินปกติหรือเปล่า หรือข้าฝังเข็มผิดไปโดนอะไรบนหน้าเขาล่ะเนี่ย หม่าเยี่ยนถิงนั่งเท้าคางอยู่กับโต๊ะ มองผ่านไปในห้องครัวเป็นระยะ บุรุษร่างกำยำขะมักเขม้นกับการปรุงอาหารมื้อนี้มาก แม้จะดูเงอะงะเป็นบางที แต่หลายอย่างก็ดูทำได้คล่องแล้ว ไม่นานอาหารจานโปรดสามสี่อย่างก็วางอยู่บนโต๊ะกลมขนาดเล็กกลางห้อง หม่าเยี่ยนถิงใช้เงินที่ได้มาซื้อเครื่องเรือนและต่อเติมบ้านไปก่อนหน้านี้ไม่น้อยเหมือนกัน บ้านขนาดกลางสองชั้นที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ก็ดูสมเป็นบ้านขึ้นมา ตอนที่ถูกบิดาขับไล่ออกมานั้นหม่าเยี่ยนถิงใช้เงินจากการขายเครื่องประดับส่วนตัวเกือบทั้งหมด เพื่อซื้อบ้านหลังนี้และการเก็บส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในอนาคตของลูกน้อยที่ยังไม่เกิดมา นางรู้สึกได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าบิดาคงไม่ให้การช่วยเหลือใด ๆ หม่าเยี่ยนถิงเป็นสตรีที่เข้มแข็งและอดทนมากจนอดีตมือสังหารสาวยังขอนับถือ น่าเศร้าที่พลังใจของมนุษย์ผู้หนึ่งมีได้จำกัดนางจึงจากไปเร็วกว่าที่ควร เด็ก ๆ ชอบรสชา
หม่าเยี่ยนถิงที่กำลังก้มหน้าก้มตากลบเมล็ดพันธุ์หันมามองครู่หนึ่ง ก่อนจะนิ่งค้างไปทั้งอย่างนั้น เพราะหน้าตาเรียบเฉยเหมือนตุ๊กตาปูนปั้นเป็นทุนเดิน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ตกใจตาค้างไปแล้ว หม่าเยี่ยนถิงขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ตอบหนี่เหวินก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาพี่ชายที่กำลังนั่งดูมดขนอาหารเข้ารังแทน "เป่าเปา ๆ ดูสิว่าข้าเจออะไร" นางยื่นมือทั้งสองที่ประคองปิดไว้มาตรงหน้าเขาแล้วแบออกช้า ๆ "นี่…!" พูดยังไม่ทันจบก็หน้ามืดสลบล้มตึงไป อาการของเป่าเปาออกจะมากเกินไปในสายตาฝาแฝดผู้น้อง ที่ไม่เห็นว่าสิ่งที่นางนำมาให้ดูจะน่ากลัวตรงไหน จางจื่อเสวียนมองดูเหตุการณ์อยู่ไกลลิบรีบวิ่งกลับมาจากอีกฟากของสวน กลัวว่าแฝดผู้น้องจะไปจับตัวอันตรายอะไรเข้าด้วยความซุกซนตามวัย "เหมียวเหมียว อะไรอยู่ในมือเจ้า?" นางไม่ตอบแต่ยื่นมือให้บิดาดูแทน จางจื่อเสวียนเห็นเจ้าตัวนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้ง เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้เป็นแม่กับบุตรชายถึงออกอาการอย่างนั้น แหงล่ะ ใช่ว่าทุกคนจะมองกบน่ารักน่าเอ็นดูเสียที่ไหน "เจ้าอยากเลี้ยงมันหรือ" เมื่อมองดูด้วยตาเปล่าแล้วเห็นว่ามันเป็นประเภทที่ไม่มีพิษ เขาก็วาง
สตรีที่อยู่ในร่างหม่าเยี่ยนถิงปรารถนาจะดูแลบุตรทั้งสองต่อให้ เป็นความตั้งใจของนางที่ก็ไม่ต่างจากเขาในเวลานี้ แล้วก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็ได้กระมังแม่ทัพแดนเหนือที่พึ่งคืนสถานะตนได้ไม่นาน วางแผนทวงคืนสิทธิ์ควรได้ของภรรยาอย่างเงียบ ๆก่อนวันที่ถูกสหายบิดาเชิญไปร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงนั้น มารดาของจางจื่อเสวียนก็เริ่มมองหาสตรีที่คู่ควรมาเป็นคู่หมั้นหมายไว้แล้ว หนึ่งในนั้นคือบุตรสาวคนโตของเสนาบดีหม่าซึ่งตอนนั้นยังเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เขากับนางเคยเล่นกันเมื่อสมัยเด็ก และน้องสาวของหม่าเหลียนหลิวก็มักมาแอบมองอยู่ใกล้ ๆ ทุกครั้ง จนเขาต้องเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายมาเล่นด้วย สตรีผู้นั้นเติบใหญ่มาเป็นภรรยาเขาในวันนี้แม้ขั้นตอนจะไม่ถูกต้องตามขนบ แต่ลึก ๆ ในใจเจ้าของร่างแท้จริงก็พึงใจนางมากกว่าผู้เป็นพี่สาว แม้มารดาจะมีสตรีที่หมายตาไว้มากมาย แต่ไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นภรรยาก็จะต้องผ่านความเห็นของเขาก่อน สถานะในบ้านของจางจื่อเสวียนสำคัญขึ้นมากหลังได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการทว่าหลังเสร็จสิ้นคืนที่ร่วมเตียงกันไปวันนั้น เขาก็ได้รับคำสั่งด่วนให้ไปช
จะว่าไปนางก็ไม่เคยเห็นดอกไม้ขายที่ตลาดจริง ๆ รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย"เรื่องนี้แม่ยกความดีความชอบให้ความคิดเจ้า อยากลองปลูกดอกไม้ขายดูไหมเล่า""ได้หรือขอรับ?" เด็กชายตาวาววับขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อมารดาพยักหน้าหม่าเยี่ยนถิงไม่เคยเห็นร้านขายดอกไม้ที่เมืองไหนเลยแม้แต่เมืองที่นางไปทำภารกิจ บุรุษที่นี่เกี้ยวสตรีด้วยการซื้อของไปฝาก ส่วนมากเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องประทินโฉมนี่อาจเป็นการทำตลาดใหม่ในแคว้นนี้ก็ได้ใครจะรู้แม้ว่าสตรีทุกคนจะไม่ได้ชอบดอกไม้เหมือน ๆ กันไปหมด แต่นางมั่นใจว่าไม่มีใครเกลียดบุปผาสวยงามเป็นแน่ หากจัดช่อให้สวยงามหน่อย อย่างไรต้องมีบุรุษมากหน้าหลายตา มาหาซื้อไปฝากสตรีที่ตนหมายใจหาไม่แล้วนางก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่คิดไว้ ตัดสินใจได้ดังนั้นหม่าเยี่ยนถิงก็ลงมือเลยทันที ทำการถอนหญ้าถางวัชพืชทำแปลงใหม่อีกส่วนหนึ่งสำหรับปลูกดอกไม้โดยเฉพาะเด็ก ๆ เห็นมารดาทำเรื่องใหม่ ๆ และน่าสนุกอยู่ตลอดเวลาก็ซึมซับพฤติกรรมนั้นมาด้วยหลังตะวันคล้อยลงมา
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ