ท้องฟ้ามีแสงแดดจ้าจนแสบตา แต่เพราะลานด้านหลังของหอเจิ้นเชียงสร้างกระท่อมเล็กเป็นที่พักพิงคนงานไว้ไม่น้อย และที่ว่างบนลานด้านหลังมีราวไม้ มีเสื้อผ้าเก่า ผ้าขี้ริ้ว รวมทั้งของทะเลแห้งแขวนตากอยู่เต็มไปหมด เนื่องด้วยไม่มีแดดตลอดปี กลิ่นอับคาวจึงอบอวล กลิ่นพึงประสงค์ไม่เคยจางไปจากบริเวณนั้นเลย
บนพื้นแผ่นหินเป็นมันเขรอะวางกะละมังไม้ใบใหญ่ ซึ่งมีกองชามตะเกียบสกปรกกองไว้สิบกว่าคู่ ม้านั่งเตี้ยที่ไม่สามารถบอกอายุอานามได้ว่าใช้งานผ่านศึกมาเพียงใดหนึ่งตัว อีกคนต้องนั่งยองล้าง บ่อน้ำที่มีตะไคร่ และลูกยุงเจริญเติบโตหนึ่งบ่อ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบทั้งหมดของลานหลัง
ด้านหน้าคือภัตตาคาร มีอาหารดีรสเลิศให้ลิ้มชิมได้ไม่หมด แต่ลานด้านหลังนี้กลับมีสภาพชวนสะอิดสะเอียน น้ำเจิ่งนองเฉอะแฉะเหมือนคูน้ำเน่า หากมีลูกค้ามาเห็น ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากค้างเกิดอาการไม่อยากอาหารไปเลย
ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อสองนายบ่าวมาถึงในตอนแรก น่ากลัวมากว่าจะมีหนูอยู่หรือไม่ มันสกปรกเสียจนที่ให้คนยืนยังไม่มีเลย แน่นอนว่าต้าหลิวกับอังโก้วที่คอยคุมพวกเขาเห็นจนชินกันแล้ว พูดว่า
“พอดีเลย พวกคนที่ทำงานล้างชามก่อนหน้านี้บ่นว่างานลําบากเกินไป พากันโบกมือไม่ทำแล้ว”
“กําลังกังวลเรื่องขาดคน พวกเจ้าสองคนก็มาพอดี ช่วยโรงเตี๊ยมล้างชามหกเดือน อย่างน้อยสุดมีหมื่นสองหมื่นใบ สวรรค์ทิ้งคนงานลงมาโดยแท้จะไม่ให้ดีใจได้หรือ ฮ่า ๆ”
ทั้งสองถึงกับหัวเราะลั่นพร้อมกัน แต่ด้วยเหตุนี้ท่าทีของยงเจ้งจึงมีความเป็นมิตรอยู่บ้าง เขาส่งผ้ากันเปื้อน ที่สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วให้พวกเขาคนละชิ้น บอกให้แยกย้ายกันทํางานเลย
ชุนหลี่เอาแต่พูดไปด่าไปตลอดไม่หยุด ไม่ชอบที่พวกเขาทํางานชักช้า เรี่ยวแรงน้อย เวลากินกลับกินเยอะ พวกเขากินเยอะที่ไหนกัน กะอีแค่ซาลาเปาเหลือ ๆ มีกลิ่นเหม็นหืนฝืดคอ กล่าวอีกอย่างคือชุนหลี่หากระดูกในไข่ไก่ พยายามหาจุดบกพร่องที่ไม่มี สงสัยนี่คงเป็นคำแนะนำของเถ้าแก่ เพราะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ขนมา จานชามก็บิ่นก็แตกอยู่แล้ว แต่กลายเป็นพวกเขาทําเสียหาย ยังให้ชดใช้เงินอีกต่างหาก บัญชีเก่าทบบัญชีใหม่
สองนายบ่าวล้างชามตลอดทั้งหกเดือนนึกว่าอยู่ในนรก เหนื่อยแทบตายผลกลับเป็น...ยังต้องชดใช้เงินให้เถ้าแก่หรงฝู่เลาเพิ่มอีกหนึ่งพวง วันนี้ก็อีก ฟ้ายังไม่สางกลับถูกชุนหลี่เรียกมาทำงาน แม้แต่ข้าวเช้ายังไม่ให้กิน อยากจะกระโดดถีบหน้าขาคู่นัก
“อันเต๋อจื่อ มา ข้าช่วยเจ้านะ!"
ชายหนุ่มซึ่งนั่งล้างชามบนแท่นข้างบ่อน้ำ ลุกขึ้นมาช่วยโดยจับถังไม้ให้อยู่นิ่ง สุดท้ายสองคนร่วมแรงร่วมใจกันหิ้วถังน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำบ่อเย็นเสียดกระดูกออกมาได้สำเร็จ
“อะ...องค์ชายสิบ งานที่เหลือเดี๋ยวกระหม่อมทําเอง พระองค์ทรงไปนั่งพักสักครู่เถิด”
เด็กรับใช้หายใจหอบ มองมือของเจ้านายอย่างปวดใจ นี่เพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง นิ้วที่เรียวขาวสะอาดหมดจดนั้นกลับมีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มไปหมด ก้างปลาในจานอาหาร จานชามปากบิ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นของที่ทำร้ายคนได้ กระทั่งแปรงไม้ไผ่ หากไม่ระวังขูดโดนหลังมือก็เจ็บจนต้องกล้ำกลืน แต่ถึงกระนั้นยังต้องทําถึงหกเดือนเต็ม บ้าบอที่สุด ถ้าได้รู้สถานะที่แท้จริงของนายท่านพวกนี้ต้องมีสันหลังหวะแน่
“ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ อย่าเรียกนามจริงข้า ในตอนนี้เราอยู่ที่ห่างไกลบ้านเกิดไร้อำนาจ ยิ่งต้องระมัดระวัง อันเต๋อ ข้ายังทำไหว”
”ขอรับ..นายท่าน..”
เด็กรับใช้สีหน้าสลดลง ตนเองนั้นไร้วิชาปกป้ององค์ชายสิบก็ไม่ได้ เป็นผู้ติดตามแท้ ๆ ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กลับไปนั่งหน้ากะละมังไม้ที่มีชามสกปรกกองพะเนิน หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งขึ้นมาล้างชามอย่างขะมักเขม้น เร่งรีบให้เสร็จจะได้พักพร้อมกัน กิจการของภัตตาคารรุ่งเรืองดี มีจานชามใช้แล้วส่งมาหลังครัวเป็นร้อยใบ
จากเช้าตรู่จนถึงตอนนี้ หัวของชายหนุ่มไม่ได้เงยขึ้นมาเลย กลับยังเหลือจานชามที่ยังไม่ได้ล้างอีกกองโต ถ้าชุนหลี่ตื่นแล้วคงต้องด่าว่าสักหน่อย เด็กรับใช้มองชายหนุ่มแล้วน้ำตาจะร่วง ถ้าเพียงตนโดนทุบตี หิวท้องกิ่ว เขาก็สามารถอดทนต่อไปได้ ถึงอย่างไรบทลงโทษของขันทีในวังยังโหดกว่าเถ้าแก่หรงฝู่เลาเสียอีก! แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้กับองค์ชายสิบ ช่างทำใจได้ยากเหลือเกิน
ไป๋อันโหวเต๋อจื่อรู้สึกว่าตนเองทำผิดมหันต์ นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรนําเสด็จองค์ชายสิบออกจากวังเลย พอเหลือบมองชุนหลี่ก็เห็นเขาหลับอุตุอยู่ จึงวางถังน้ำเขยิบไปใกล้ชายหนุ่มที่กำลังจะถ้ำมองบ้านของคนอื่น เพียงแต่บ้านเหล่านั้นเป็นกําแพงดินโคลนหลังคามุงหญ้าดูไม่โอ่อ่าเหมือนหอเจิ้นเชียง
“นายท่าน เหมือนจะมีพิธีมงคล...งานแต่งงานขอรับ”
เด็กรับใช้เอาขากางเกงลง มองไปข้างนอกพลางมองเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงหลังใหญ่ที่หยุดตรงปลายตรอก แต่ที่น่าแปลกคือคนที่ถือประทัดไม่ใช่ขบวนรับเจ้าสาว แต่เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนในชุดข้าราชการ
“ไหนข้าขอดูหน่อย”
ชายหนุ่มรามือจากการล้างจานไปมองข้างนอก รู้สึกเหตุการณ์มันดูแปลก ๆ ไม่ได้มงคลขนาดนั้น พวกเจ้าหน้าที่ขุนนางพลเรือนถืออาวุธล้อมบ้านพลเรือนเรียบง่ายหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใช้ดาบเหล็กตบประตูกล่าวเสียงกรรโชก
“สกุลหยาง! รีบเปิดประตู! ใต้เท้าเฉินมารับลูกสาวบ้านพวกเจ้าเป็นอนุภรรยา!”
ตะโกนจบยังยกเท้าถีบประตูอีก บานประตูหยาบ ๆ นั้นไหนเลยจะทานแรงกระแทกได้ ล้มคว่ำไปด้านในเสียงปังใหญ่
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ช่วยเสี่ยวหลินด้วย!”
เจ้าหน้าที่พลเรือนกระทำดุจโจรชั่ว เข้าไปก็ก่อความวุ่นวายทุบทำลายข้าวของ บ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินทีแรกยังเปิดประตูเฝ้ามอง ครั้นเห็นขบวนแห่ก็ปิดประตูตายทันทีไม่สนเสียงเอะอะทั้งหมดทั้งมวลของภายนอก แม่นางน้อยที่ถูกลากจูงสวมชุดกระโปรงสีขาวเนื้อผ้าหยาบ รูปโฉมงามสะคราญหยดย้อย นางร้องไห้ฟูมฟาย
กลับยังคงถูกเจ้าหน้าที่จับตัวออกมาจากบ้าน พยายามเอาผ้าแดงหนึ่งผืนคลุมศีรษะ บังคับส่งเข้าเกี้ยวเจ้าสาว สามีภรรยาสูงวัยร้องห่มร้องไห้ไล่ตามออกมา ถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีจนล้มอยู่กับพื้น หลังจากกระทํารุนแรง เจ้าหน้าที่ตัวแทนใต้เท้าเฉินโยนตั๋วเงินสามใบให้แล้วยังกล่าวน้ำเสียงกร้าว
“ถือว่าท่านเจ้าเมืองใต้เท้าเฉินซื้อลูกสาวบ้านเจ้าแล้ว หลังจากนี้เป็นตายไม่ติดต่อกันอีก!”
ชายหนุ่มเฝ้ามองจนตัวสั่นโกรธจนลมออกหู แคว้นเหยาเป็นสถานที่เจริญระดับนี้ ยังทำผิดจรรยาบรรณมนุษย์ที่เกินคาด
“นี่...นี่มันใช้กําลังฝืนบังคับสตรีชาวบ้านมาแต่งเป็นอนุภรรยามิใช่หรือ? น่ารังเกียจ เลวทรามที่สุด! ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้กลางวันแสก ๆ?! ช่างไม่เห็นกฎหมายในสายตาจริง ๆ!
“บ่นอะไรของเจ้าหา! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ท่านเจ้าเมืองต้องตาลูกสาวพวกสกุลหยางจึงรับตัวไป เป็นอนุพวกเขาน่ะโชคดีไปถึงคนรุ่นหลังหลายชั่วอายุคนเลยจะบอกให้”
ชุนหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ โผล่มาตอนไหนไม่รู้พูดหน้าตาย
“พวกเจ้ารีบกลับไปล้างชามเร็วเข้า คืนนี้ข้ายังต้องไปดื่มเหล้ามงคลที่จวนใหญ่เจ้าเมืองนะ!”
“นี่มันข้าราชการเป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านที่ไหนกัน นักเลงอันธพาลในคราบผู้ดีชัดๆ!”
ชายหนุ่มระเบิดโมโห ไม่คิดให้มากความ มองซ้ายขวาหนึ่งที หยิบกระบอกไม้กระบองลำหนึ่งไว้ในมือแล้วพุ่งออกไป
“นะ! นายท่าน! รอข้าก่อน! อย่าวู่วาม!”
เด็กรับใช้ตะโกน เมื่อยั้งเจ้านายไว้ไม่ทันจึงตามไล่หลังไปติด ๆ
“เจ้าพวกเด็กโง่! ไสหัวกลับมา!”
ชุนหลี่ตะโกนพลางรีบไล่ตามออกไป เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าหนูนุ่มนิ่มนี่จะกล้าหาเรื่องเจ้าหน้าที่ทางการ ทำลายเรื่องดี ๆ ของคนอื่น รนหาที่ตายชัด ๆ
“ข้าบอกให้หยุด!”
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง มือกระชับไม้กระบองแน่น ยืนขวางหน้าเกี้ยว หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตัวแทนเจ้าเมืองกําลังเดินอย่างภาคภูมิ จู่ ๆ มีชายแปลกหน้ากระโจนมาขวางหน้า กลับไม่รู้สึกตกใจสักนิด มองสํารวจโดยละเอียด ผู้ที่มาขวางอายุน้อย สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ จากหัวจรดเท้าล้วนสกปรกมอมแมมน่ารังเกียจ กระทั่งใบหน้ายังเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อ ถือไม้กระบองเป็นอาวุธ มองทีเดียวก็รู้ว่ากระจอกงอกง่อย หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“ไอ้เด็กสามหาวนี่มันเป็นใคร ไม่กลัวจะถูกข้าบั่นหัวงั้นรึ!”
"บังอาจ! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดจาหยาบคายโต้เถียงกับนายท่านของข้า! เจ้าคนเลวแสนต่ำช้า!”
เด็กรับใช้กระโจนตามออกมาติด ๆ ขวางอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ยื่นมือปกป้องผู้เป็นนายอย่างแข็งขัน
“หา? นายท่าน? ฮ่า ๆ ๆ หน้าอย่างนี้เนี่ยนะเป็นนายท่าน?! ข้าล่ะอยากหัวเราะให้ฟันหัก”
พวกเจ้าหน้าที่พากันหัวเราะขบขันฟันแทบร่วง ชุนหลี่ไล่ตามมาด้วยความร้อนใจ โค้งคํานับขอโทษเจ้าหน้าที่ทุกท่านก่อนแล้วจึงค่อยกล่าวอธิบาย
“พะ...พวกเขามาจากที่อื่น หลอกกินหลอกดื่มในหอเจิ้นเซียง ถูกเถ้าแก่จับตัวไว้ ตอนนี้ทํางานล้างชามที่ลานหลังขอรับ โปรดอย่าถือสา”
“อ้อ ที่แท้เป็นกุลีของหอเจิ้นเชียง พวกชักดาบกินไม่จ่าย โจรชัด ๆ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เหลือบมองเด็กรับใช้กับชายหนุ่มด้วยสีหน้าดูถูก คิดว่าหอเจิ้นเชียงกับเจ้าเมืองสนิทสนมกันอยู่พอสมควร เวลาปกติก็ให้ของกำนัลไม่น้อยด้วย สู้ไว้ค่อยคิดบัญชีกับเขาทีหลังดีกว่า จึงกล่าวตวาด
“ชุนหลี่ รีบให้พวกเขาหลีกไปซะ หากเลยฤกษ์มงคลแต่งงานของนายท่านใครก็รับผิดชอบไม่ไหว!"
“ขอรับ ขอรับ! เอ่อ...เจ้า! ยังไม่รีบหลบอีก!”
ชุนหลี่คิดจะเรียกชื่อของชายหนุ่ม กลับนึกไม่ออกว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร เช่นนั้นจึงชี้หน้าชายหนุ่ม กล่าวเอ็ด
“เจ้า! เจ้าน่ะ! รีบไสหัวกลับไปล้างชามเลย! ยุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยหน่อย!”
“ยุ่งเรื่องชาวบ้าน? สุภาษิตว่าถนนไม่เรียบมีคนเกลี่ยเกิดอยุติธรรมต้องมีคนจัดการ! นับประสาอะไรกับตอนนี้ ข้าราชการชั่วถืออํานาจ ใช้กําลังฉุดหญิงสาว ข้าในฐานะ...เอ่อ...ฐานะประชาชนเหยาไม่สนมิได้!”
“เหอะ! เจ้าหนู ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมถึงกล้าด่าท่านนายอําเภอว่าชั่ว? มานี่ ซ้อมมันให้ข้า! เอาให้ตาย! ถ้ามันตายข้ามีรางวัลให้!”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล เหล่าเจ้าหน้าที่เข้าล้อมกรอบในทันที
“พระบิดาอรหันต์! มีคนได้ตายแน่!”
ชุนหลี่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบหดหัววิ่งแจ้นไปแจ้งข่าว เหลือเพียงเด็กรับใช้คุ้มครองชายหนุ่มอยู่ข้างหน้า รับหมัดดุจเม็ดฝน ไม้พลองดุจป่าไม้ที่ตีเข้ามาไม่หยุดหย่อน ท้ายสุดนอนคว่ำบนพื้นเลือดเปรอะหน้า! ชายหนุ่มกระชับไม้กระบองในมือ ปัดป้องลูกถีบกับกำปั้นแบบชุลมุน พลางกระโจนใส่เหยื่อไม่หยุดมือ ช่วยเด็กรับใช้ขึ้นจากพื้นจนได้ในที่สุด อีกฝ่ายเห็นคนชั่วชักดาบเล่มใหญ่มาตั้งใจจะฟันให้รู้แล้วรู้รอดไป ชายหนุ่มยกเท้าข้างหนึ่งถีบสองคนคว่ำ ยังใช้ไม้กระบองฟาดไม่ยั้งมือ ก่อนตะโกนว่า
“ตัดสินจากการต่อสู้ ข้าไม่แพ้พวกเจ้า! วันนี้ ข้าจะขจัดความชั่วแทนเบื้องบน ลงโทษพวกเจ้าอันธพาลช่วยคนชั่วทำเรื่องเลวทรามให้หนัก!”
เท้าชายหนุ่มราวกับทาน้ำมัน ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รุมจู่โจมอย่างไร ล้วนต่อสู้หลบหลีกด้วยความปราดเปรียวว่องไว ซ้ำยังฟาดเหล่าเจ้าหน้าที่เสียจนร้องโอดโอยเสียงหลง
“มัวร้องบ้าอะไร! รีบฟันมันให้ตาย ๆ ไปซะสิวะ!” หน้าผากของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ถูกไม้คานฟาดแตก เลือดไหลซิบเจ็บจนขาดสติ โก่งคอตะเบ็งสุดเสียง
เหตุวุ่นวายหนักจนดึงดูดผู้คนตามท้องถนนหลักพากันวิ่งเข้ามาดูในตรอก บางคนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์“เกิดเรื่องอะไรน่ะ สู้กันดุเดือดขนาดนี้”“ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองต้องการอนุเพิ่มอีกล่ะ เจ้าสาวเป็นลูกสาวบ้านหยาง”“งั้นที่ต่อสู้อยู่นี่ใครล่ะ”“เฮ้อ บางทีคงเป็นคนในดวงใจของยัยหนูสกุลหยางกระมัง ถึงได้กล้าตายมาขวางอยู่อย่างนี้”แม่ค้าขายซาลาเปาพูดด้วยสีหน้าหดหู่“เวรกรรมเสียจริง ใครก็รู้ท่านเจ้าเมืองควานเหลียงมักมากที่สุด เมียนี่ก็แต่งสิบคนเข้าไปแล้ว คราวนี้ ใครจะหยุดเขาได้”ตึง! ตึง!ฆ้องเบิกทางเสียงดัง ตามด้วยเสียงกลองปานเขย่าฟ้าให้ร่วง พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่กรูมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางแบบลนลานคุกเข่าสองข้างถนน ไม่กล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์อีก ผู้ที่มาคือ ‘ใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ย’ ข้าราชการใหญ่ของอำเภอควานเหลียง หรือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง ปีนี้อายุสี่สิบสามรูปลักษณ์ภูมิฐาน รูปร่างอวบอั๋นมีพุง แต่สูงใหญ่ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง นั่งบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ วางท่าองอาจห้าวหาญคล้ายไก่ตัวผู้สวมหมวกแดง ทหารที่เขานํามามีจํานวนสี่ห้าเท่าของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ เข้าควบคุมสถานการณ์วุ่นวายไว้ในทันที หัวหน้าเจ้า
นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม
ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดาองค์รัชทายาทห
หลังค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อก็ส่งข่าวให้ฮ่องเต้แคว้นซีทรงทราบว่าพบตัวองค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาแล้ว และทางนั้นก็ได้ส่งสารตอบรับกลับมาว่าโปรดดูแลองค์ชายสิบของบรรณาการให้ดีแทนน้ำใจชาวแคว้นซีด้วยพิธีต้อนรับจัดขึ้นอย่างง่าย องค์ชายสิบได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเฟิ่งอี๋ ขั้นเก้า ชั้นเอก สนมลำดับต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก รับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อู๋เสี่ยวหวาได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหยานชุนในฐานะ เฟิ่งอี๋ แล้วไหนจะต้องคอยรับฟังผู้คนนินทาว่าเป็นชาวซีเป่ยไร้เกียรติ แคว้นซีเล็กต่ำต้อย แต่อู๋เสี่ยวหวาก็มิได้เก็บมาใส่ใจนักวังหลวงแคว้นเหยาหยานชุน ณ ตำหนักซิงอี๋เหล่ยหลังจากเขียนอักษรเต็มพรืดเสร็จไปอีกหนึ่งแผ่น อู๋เสี่ยวหวาวางพู่กันลง หมุนคอซึ่งปวดเมื่อยแข็งล้า บิดเอว ถามอันเต๋อจื่ออีกครั้ง“องค์รัชทายาทกลับมาหรือยัง”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พี่โจวจือหยวนตําหนักหน้าบอกว่า ถ้าองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเสด็จกลับมา จะทูลให้มาที่ห้องหนังสือทันที”อันเต๋อจื่อส่งชาแดงใส่ผลเป๊ะก๊วยผสมน้ำตาลกรวดชงใหม่ ๆ หนึ่งถ้วยให้องค์ชายสิบ“องค์ชายสิบทรงกระหายหรือไม่ ทรงพักสักหน่อยเถิด ค่อยเขียนต่อดีก
หลังฝนตกหนักห้าวันติดต่อกัน ท้องฟ้าโปร่งใสเป็นพิเศษ นกกระจิบบินเข้าอุทยานตำหนักชิงอี๋เหล่ย ส่งเสียงร้องวุ่นวายไม่หยุด บ่าวรับใช้สาดน้ำที่หน้าระเบียง กวาดถูขั้นบันได วันยุ่ง ๆ เริ่มจากเวลานี้อู๋เสี่ยวหวาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคึกคักนี้ หลังจากหาวหวอดใหญ่หนึ่งที ก็ลูบขอบเตียงด้านนอกด้วยความเคยชิน ผิวผ้าด้านข้างเย็นเฉียบว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่“ซีเอ่อ?”เขาเลิกผ้าห่มปักดิ้นลุกขึ้นนั่งหัวฟู อันเต๋อจือรีบเดินมา รวบม่านคลุมเตียงไหมปักชิ้นงามขึ้น นางกำนัลวัยขบเผาะสี่นางเดินเข้ามารับใช้เฟิ่งอี๋ ล้างหน้า หวีผม“เฟิ่งอี๋ เมื่อคืนทรงบรรทมสนิทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อันเต๋อจื่อยิ้มตาหยี ขันทีอายุอานามเดียวกันกับอู๋เสี่ยวหวาที่ติดตามมารับใช้จากแคว้นซี ในคราแรกเขาไม่ได้ถูกส่งมาเฝ้ารับใช้องค์ชายสิบ จึงต้องกลับแคว้นซี แต่เขาคุกเข่าขอร้องอยู่หลายครั้ง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ คอยรับใช้องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา ฮองเฮาแคว้นเหยาจางหรงผิงเห็นแก่เขาที่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเจ้านายจึงอนุญาตให้อยู่รับใช้ข้างกายอู๋เสี่ยวหวาต่อ ทั้งสองตัวติดกันใช้ชีวิตเป็นบ่าวกับนายมาถึงสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาย
“ใช่ เห็นว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทสนิทสนมกับเฟิ่งอี๋มากเกินไป ไม่เหมาะไม่ควร เหลียงตี้ที่เพียบพร้อมกว่า แสนสง่างามกว่า อยู่มานานกว่ากลับได้รับการปฏิบัติที่ห่างเหิน จึงได้มีรับสั่งห้ามไปหาเฟิ่งอี๋แต่เพียงผู้เดียว ให้แวะเวียนไปเยือนพระสนมนางอื่นบ้าง เฮ้อ แต่ว่าก็ว่านะ ตำหนักชิงอี๋เหล่ยเนี่ยหากขาดองค์รัชทายาทมาเยือน ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียวเลยจริง ๆ"“บังอาจนัก พวกกำเริบเสิบสานนินทานาย!”ประโยคตําหนิของอู๋เสี่ยวหวาทําให้นางกํานัลทั้งสองตกใจมาก พวกนางรีบคุกเข่าลง ก้มศีรษะคํานับขออภัย “ฟะ..เฟิ่งอี๋! โปรดให้อภัยด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้..”“ฐานะเป็นนางกํานัลกลับปากพล่อย ดอกไม้ไม่หอม ต้นไม้ไม่เขียวอะไร หาที่ตายใช่หรือไม่!”“พวกบ่าวมิกล้าอีกแล้ว! ขอเฟิ่งอี๋โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!” นางกํานัลทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวทั้งตัวสั่นงันงก“ไม่ได้! ปล่อยพวกเจ้าไว้ไม่ได้! ข้าจะกราบทูลฮองเฮาให้อบรมพวกเจ้า!” อู๋เสี่ยวหวาตําหนิหนัก สั่งขันทีไล่สองคนนี้ออกไป“เฟิ่งอี๋โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ วางพระทัยให้นิ่ง ๆ ”อันเต๋อจื่อพูดปลอบอู๋เสี่ยวหวา ต่อมาอู๋เสี่ยวหวาที่คล้ายกับเพิ่งได้สติคืนมามองอั
เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต
หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั
“หลีกไป! อันเต่อจื่อ เจ้า..เจ้านี่! หาญกล้าขวางเราเรอะ!” เสียงโหวกเหวกโกรธเกรี้ยวดังขึ้นตรงประตูตำหนัก องค์ชายหกอู๋ซั่วสีเห็นว่าหวังซีเอ่อเอาอกเอาใจน้องสิบเขาเหลือเกินจนน่าหมั่นไส้“อ้า ใช่ ๆ ยังมีคนนี้อีกคนที่โอ๋องค์ชายสิบมากพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฉิงเอินเคยได้ยินประวัติองค์ชายหกมาก่อน“เจ้าเอะอะมากไปแล้วหรือเปล่า คิดรบกวนเสี่ยวหวาพักผ่อนรึ?” หวังซีเอ่อสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปตําหนิองค์ชายหกอู๋ซั่วสีแบบไม่เกรงใจ“เหอะ! น้องสิบพักผ่อนแล้วจริงนะ” อู๋ซั่วสีเห็นหวังซีเอ่อออกมา เพลิงโกรธดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น นัยน์ตาหงส์ถลึงวาวโรจน์“ทำไมกัน น้องสิบของข้าต้องโชคร้ายมาแต่งเป็นฮองเฮาของเจ้านะซีเอ่อจอมทรราชย์!”“หา..!! ข้าจะโกหกเจ้าทําไม เสี่ยวหวาบรรทมแล้วจริง และเรื่องที่ว่าข้าเป็นทรราชย์ ทรงตรัสใหม่ด้วย เหลวไหลสิ้นดี!” หวังซีเอ่อเดือดกลับ จ้องอู๋ซั่วสีอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะเป็นพี่หกคนสนิทของอู๋เสี่ยวหวา โครงเค้าหน้ามีความคล้ายกันหลายส่วน แต่สําหรับหวังซีเอ่อมิได้มีความรู้สึกเอ็นดูให้แม้แต่น้อย กลับเป็นเตรียมป้องกันเสียมากกว่า เพราะเจ้าหมอนี่ถ้าแค่ ‘ห่วงใย’ แบบบริสุทธิ์ใจก็ไม่เป็นไร กลัวแต่จะนําความยุ่ง
อาจเพราะการต่อสู้กับหวังซีเอ่อก่อนหน้านี้หอมหวานเกินไป เดิมอู๋เสี่ยวหวาง่วงจนไม่ไหวแล้ว ขณะนี้กลับไร้ซึ่งความง่วง เขาเอนตัวลงบนเตียงบรรทมหันหน้าแดงซ่านไปด้านในด้วยความโกรธปุด ๆ ไร้คําพูดไปชั่วคราวเวลานี้เองด้านนอกแจ้งเข้ามาว่าหลิวเฉิงเอินเยวียนสื่อสำนักหมอหลวงขอเข้าเฝ้า เดี๋ยวอีกสองชั่วยามเขาก็ต้องเดินทางกลับแคว้นเหยาชุนพร้อมหวังซีเอ่อแล้ว เวลาแสนสุขที่ได้อยู่ด้วยกันช่างแสนสั้นยิ่งนัก“หมองั้นหรือ?” อู๋เสี่ยวหวาจำได้ว่าตนเองมิได้เรียกหมอหลวงนี่นา ครั้นจะหันไปมองหวังซีเอ่อด้วยความสงสัย คอกลับแข็งทื่อเสียอย่างนั้น หวังซีเอ่อกลับแก้ความคิดของอู๋เสี่ยวหวากล่าวโดยไม่ปรึกษาใคร“ฮองเฮา เป็นข้าที่เรียกหมอหลวงในวังเจ้ามาเอง” จากนั้นหวังซีเอ่อก็ให้คนเรียกหมอหลวงเข้ามา“ข้าอยากให้เขามาตรวจร่างกายเจ้าเตรียมความพร้อมออกเดินทาง” หวังซีเอ่อพูด นั่งลงที่ข้างเตียง ยื่นมือลูบหน้าผากของอู๋เสี่ยวหวา“ดูเหมือนจะร้อนนิดหน่อย”“ไม่มีสักหน่อย! ข้าสบายดีมาก ต่อให้เดินทางไกลหลายร้อยลี้ด้วย ข้าแข็งแรงจะตาย!” อู๋เสี่ยวหวางอนเหมือนเด็ก หันหลังให้“ข้ารู้แล้ว” หวังซีเอ่อตอบรับแต่หมอหลวงหลิวก็เข้ามาอยู่ดี“ข้าผู้น
อาจจะรู้สึกผิดที่ต้องให้ฮองเฮามานอนในที่ทุรกันดาร ในถ้ำที่อับชื้นเพียงมีกองไฟที่ให้ความอบอุ่น พอประทังไม่ให้อู๋เสี่ยวหวาล้มป่วยได้ หลังการขอคืนดี ทั้งสองคนกลับมาปรองดองรักกันดั่งเดิม หวังซีเอ่อก็ได้วางแผนจะกลับแคว้นเหยาเพื่อทวงคืนบัลลังก์ของเขาคืนจากไห่หมิงหราจวิ้นอ๋อง มารเฒ่าที่กล้ายึดครองอำนาจ และพิธีแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นอีกในห้าวันต่อจากนี้ หวังซีเอ่อต้องรีบกระตือรือร้นทำอะไรสักอย่างรุ่งเช้าขึ้นเขาจะพาฮองเฮาไปส่งวังหลวงตามที่อู๋เสี่ยวหวาบอกให้นำตัวเขาไปต่อรองกับพวกราชองครักษ์ทหารที่ฮ่องเต้อู๋ซั่วกู๋ส่งให้มาตามล่าหวังซีเอ่อ เปิดทางให้หวังซีเอ่อเข้าไปพูดคุยเจรจาและขอโทษอย่างจริงใจต่อชาวซีเป่ยที่ชาวหยานชุนเคยกดขี่ไว้ฝนหยุดตกแล้ว ภายนอกถ้ำบรรยากาศสดชื่นพร้อมต่อสู้กับวันใหม่ หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาเดินทางกลับเข้าวัง ถูกหัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์วังหลวง ‘ซือมัวหลง’ ขวางไว้ที่นอกประตูวังหลวง แต่แล้วทั้งสองก็เข้ามาได้เพราะองค์ชายสามอู๋ติ้งเกาและอันเต๋อร์จื่อที่รอร่วมแผนการณ์กู้บัลลังก์ให้ฮ่องเต้หวังซีเอ่ออยู่แล้วเมื่ออู๋เสี่ยวหวามาถึงก็ได้แจ้งหัวหน้าขันทีให้