Home / วาย / อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี / บทที่ 2 นักเลงอันธพาลในคราบผู้ดี

Share

บทที่ 2 นักเลงอันธพาลในคราบผู้ดี

last update Huling Na-update: 2025-02-14 03:13:14

ท้องฟ้ามีแสงแดดจ้าจนแสบตา แต่เพราะลานด้านหลังของหอเจิ้นเชียงสร้างกระท่อมเล็กเป็นที่พักพิงคนงานไว้ไม่น้อย และที่ว่างบนลานด้านหลังมีราวไม้ มีเสื้อผ้าเก่า ผ้าขี้ริ้ว รวมทั้งของทะเลแห้งแขวนตากอยู่เต็มไปหมด เนื่องด้วยไม่มีแดดตลอดปี กลิ่นอับคาวจึงอบอวล กลิ่นพึงประสงค์ไม่เคยจางไปจากบริเวณนั้นเลย

บนพื้นแผ่นหินเป็นมันเขรอะวางกะละมังไม้ใบใหญ่ ซึ่งมีกองชามตะเกียบสกปรกกองไว้สิบกว่าคู่ ม้านั่งเตี้ยที่ไม่สามารถบอกอายุอานามได้ว่าใช้งานผ่านศึกมาเพียงใดหนึ่งตัว อีกคนต้องนั่งยองล้าง บ่อน้ำที่มีตะไคร่ และลูกยุงเจริญเติบโตหนึ่งบ่อ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบทั้งหมดของลานหลัง

ด้านหน้าคือภัตตาคาร มีอาหารดีรสเลิศให้ลิ้มชิมได้ไม่หมด แต่ลานด้านหลังนี้กลับมีสภาพชวนสะอิดสะเอียน น้ำเจิ่งนองเฉอะแฉะเหมือนคูน้ำเน่า หากมีลูกค้ามาเห็น ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากค้างเกิดอาการไม่อยากอาหารไปเลย

 ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อสองนายบ่าวมาถึงในตอนแรก น่ากลัวมากว่าจะมีหนูอยู่หรือไม่ มันสกปรกเสียจนที่ให้คนยืนยังไม่มีเลย แน่นอนว่าต้าหลิวกับอังโก้วที่คอยคุมพวกเขาเห็นจนชินกันแล้ว พูดว่า

“พอดีเลย พวกคนที่ทำงานล้างชามก่อนหน้านี้บ่นว่างานลําบากเกินไป พากันโบกมือไม่ทำแล้ว”

“กําลังกังวลเรื่องขาดคน พวกเจ้าสองคนก็มาพอดี ช่วยโรงเตี๊ยมล้างชามหกเดือน อย่างน้อยสุดมีหมื่นสองหมื่นใบ สวรรค์ทิ้งคนงานลงมาโดยแท้จะไม่ให้ดีใจได้หรือ ฮ่า ๆ”

ทั้งสองถึงกับหัวเราะลั่นพร้อมกัน แต่ด้วยเหตุนี้ท่าทีของยงเจ้งจึงมีความเป็นมิตรอยู่บ้าง เขาส่งผ้ากันเปื้อน ที่สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วให้พวกเขาคนละชิ้น บอกให้แยกย้ายกันทํางานเลย

ชุนหลี่เอาแต่พูดไปด่าไปตลอดไม่หยุด ไม่ชอบที่พวกเขาทํางานชักช้า เรี่ยวแรงน้อย เวลากินกลับกินเยอะ พวกเขากินเยอะที่ไหนกัน กะอีแค่ซาลาเปาเหลือ ๆ มีกลิ่นเหม็นหืนฝืดคอ กล่าวอีกอย่างคือชุนหลี่หากระดูกในไข่ไก่ พยายามหาจุดบกพร่องที่ไม่มี สงสัยนี่คงเป็นคำแนะนำของเถ้าแก่ เพราะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ขนมา จานชามก็บิ่นก็แตกอยู่แล้ว แต่กลายเป็นพวกเขาทําเสียหาย ยังให้ชดใช้เงินอีกต่างหาก บัญชีเก่าทบบัญชีใหม่

สองนายบ่าวล้างชามตลอดทั้งหกเดือนนึกว่าอยู่ในนรก เหนื่อยแทบตายผลกลับเป็น...ยังต้องชดใช้เงินให้เถ้าแก่หรงฝู่เลาเพิ่มอีกหนึ่งพวง วันนี้ก็อีก ฟ้ายังไม่สางกลับถูกชุนหลี่เรียกมาทำงาน แม้แต่ข้าวเช้ายังไม่ให้กิน อยากจะกระโดดถีบหน้าขาคู่นัก

“อันเต๋อจื่อ มา ข้าช่วยเจ้านะ!"

ชายหนุ่มซึ่งนั่งล้างชามบนแท่นข้างบ่อน้ำ ลุกขึ้นมาช่วยโดยจับถังไม้ให้อยู่นิ่ง สุดท้ายสองคนร่วมแรงร่วมใจกันหิ้วถังน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำบ่อเย็นเสียดกระดูกออกมาได้สำเร็จ

“อะ...องค์ชายสิบ งานที่เหลือเดี๋ยวกระหม่อมทําเอง พระองค์ทรงไปนั่งพักสักครู่เถิด”

เด็กรับใช้หายใจหอบ มองมือของเจ้านายอย่างปวดใจ นี่เพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง นิ้วที่เรียวขาวสะอาดหมดจดนั้นกลับมีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มไปหมด ก้างปลาในจานอาหาร จานชามปากบิ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นของที่ทำร้ายคนได้ กระทั่งแปรงไม้ไผ่ หากไม่ระวังขูดโดนหลังมือก็เจ็บจนต้องกล้ำกลืน แต่ถึงกระนั้นยังต้องทําถึงหกเดือนเต็ม บ้าบอที่สุด ถ้าได้รู้สถานะที่แท้จริงของนายท่านพวกนี้ต้องมีสันหลังหวะแน่

“ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ อย่าเรียกนามจริงข้า ในตอนนี้เราอยู่ที่ห่างไกลบ้านเกิดไร้อำนาจ ยิ่งต้องระมัดระวัง อันเต๋อ ข้ายังทำไหว”

”ขอรับ..นายท่าน..”

เด็กรับใช้สีหน้าสลดลง ตนเองนั้นไร้วิชาปกป้ององค์ชายสิบก็ไม่ได้ เป็นผู้ติดตามแท้ ๆ ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กลับไปนั่งหน้ากะละมังไม้ที่มีชามสกปรกกองพะเนิน หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งขึ้นมาล้างชามอย่างขะมักเขม้น เร่งรีบให้เสร็จจะได้พักพร้อมกัน กิจการของภัตตาคารรุ่งเรืองดี มีจานชามใช้แล้วส่งมาหลังครัวเป็นร้อยใบ

จากเช้าตรู่จนถึงตอนนี้ หัวของชายหนุ่มไม่ได้เงยขึ้นมาเลย กลับยังเหลือจานชามที่ยังไม่ได้ล้างอีกกองโต ถ้าชุนหลี่ตื่นแล้วคงต้องด่าว่าสักหน่อย เด็กรับใช้มองชายหนุ่มแล้วน้ำตาจะร่วง ถ้าเพียงตนโดนทุบตี หิวท้องกิ่ว เขาก็สามารถอดทนต่อไปได้ ถึงอย่างไรบทลงโทษของขันทีในวังยังโหดกว่าเถ้าแก่หรงฝู่เลาเสียอีก! แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้กับองค์ชายสิบ ช่างทำใจได้ยากเหลือเกิน

ไป๋อันโหวเต๋อจื่อรู้สึกว่าตนเองทำผิดมหันต์ นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรนําเสด็จองค์ชายสิบออกจากวังเลย พอเหลือบมองชุนหลี่ก็เห็นเขาหลับอุตุอยู่ จึงวางถังน้ำเขยิบไปใกล้ชายหนุ่มที่กำลังจะถ้ำมองบ้านของคนอื่น เพียงแต่บ้านเหล่านั้นเป็นกําแพงดินโคลนหลังคามุงหญ้าดูไม่โอ่อ่าเหมือนหอเจิ้นเชียง

“นายท่าน เหมือนจะมีพิธีมงคล...งานแต่งงานขอรับ”

เด็กรับใช้เอาขากางเกงลง มองไปข้างนอกพลางมองเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงหลังใหญ่ที่หยุดตรงปลายตรอก แต่ที่น่าแปลกคือคนที่ถือประทัดไม่ใช่ขบวนรับเจ้าสาว แต่เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนในชุดข้าราชการ

“ไหนข้าขอดูหน่อย”

ชายหนุ่มรามือจากการล้างจานไปมองข้างนอก รู้สึกเหตุการณ์มันดูแปลก ๆ ไม่ได้มงคลขนาดนั้น พวกเจ้าหน้าที่ขุนนางพลเรือนถืออาวุธล้อมบ้านพลเรือนเรียบง่ายหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใช้ดาบเหล็กตบประตูกล่าวเสียงกรรโชก

“สกุลหยาง! รีบเปิดประตู! ใต้เท้าเฉินมารับลูกสาวบ้านพวกเจ้าเป็นอนุภรรยา!”

ตะโกนจบยังยกเท้าถีบประตูอีก บานประตูหยาบ ๆ นั้นไหนเลยจะทานแรงกระแทกได้ ล้มคว่ำไปด้านในเสียงปังใหญ่

“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ช่วยเสี่ยวหลินด้วย!”

เจ้าหน้าที่พลเรือนกระทำดุจโจรชั่ว เข้าไปก็ก่อความวุ่นวายทุบทำลายข้าวของ บ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินทีแรกยังเปิดประตูเฝ้ามอง ครั้นเห็นขบวนแห่ก็ปิดประตูตายทันทีไม่สนเสียงเอะอะทั้งหมดทั้งมวลของภายนอก แม่นางน้อยที่ถูกลากจูงสวมชุดกระโปรงสีขาวเนื้อผ้าหยาบ รูปโฉมงามสะคราญหยดย้อย นางร้องไห้ฟูมฟาย

กลับยังคงถูกเจ้าหน้าที่จับตัวออกมาจากบ้าน พยายามเอาผ้าแดงหนึ่งผืนคลุมศีรษะ บังคับส่งเข้าเกี้ยวเจ้าสาว สามีภรรยาสูงวัยร้องห่มร้องไห้ไล่ตามออกมา ถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีจนล้มอยู่กับพื้น หลังจากกระทํารุนแรง เจ้าหน้าที่ตัวแทนใต้เท้าเฉินโยนตั๋วเงินสามใบให้แล้วยังกล่าวน้ำเสียงกร้าว

“ถือว่าท่านเจ้าเมืองใต้เท้าเฉินซื้อลูกสาวบ้านเจ้าแล้ว หลังจากนี้เป็นตายไม่ติดต่อกันอีก!”

ชายหนุ่มเฝ้ามองจนตัวสั่นโกรธจนลมออกหู แคว้นเหยาเป็นสถานที่เจริญระดับนี้ ยังทำผิดจรรยาบรรณมนุษย์ที่เกินคาด

“นี่...นี่มันใช้กําลังฝืนบังคับสตรีชาวบ้านมาแต่งเป็นอนุภรรยามิใช่หรือ? น่ารังเกียจ เลวทรามที่สุด! ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้กลางวันแสก ๆ?! ช่างไม่เห็นกฎหมายในสายตาจริง ๆ!

“บ่นอะไรของเจ้าหา! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ท่านเจ้าเมืองต้องตาลูกสาวพวกสกุลหยางจึงรับตัวไป เป็นอนุพวกเขาน่ะโชคดีไปถึงคนรุ่นหลังหลายชั่วอายุคนเลยจะบอกให้”

ชุนหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ โผล่มาตอนไหนไม่รู้พูดหน้าตาย

“พวกเจ้ารีบกลับไปล้างชามเร็วเข้า คืนนี้ข้ายังต้องไปดื่มเหล้ามงคลที่จวนใหญ่เจ้าเมืองนะ!”

“นี่มันข้าราชการเป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านที่ไหนกัน นักเลงอันธพาลในคราบผู้ดีชัดๆ!”

ชายหนุ่มระเบิดโมโห ไม่คิดให้มากความ มองซ้ายขวาหนึ่งที หยิบกระบอกไม้กระบองลำหนึ่งไว้ในมือแล้วพุ่งออกไป

“นะ! นายท่าน! รอข้าก่อน! อย่าวู่วาม!”

เด็กรับใช้ตะโกน เมื่อยั้งเจ้านายไว้ไม่ทันจึงตามไล่หลังไปติด ๆ

“เจ้าพวกเด็กโง่! ไสหัวกลับมา!”

ชุนหลี่ตะโกนพลางรีบไล่ตามออกไป เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าหนูนุ่มนิ่มนี่จะกล้าหาเรื่องเจ้าหน้าที่ทางการ ทำลายเรื่องดี ๆ ของคนอื่น รนหาที่ตายชัด ๆ

“ข้าบอกให้หยุด!”

ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง มือกระชับไม้กระบองแน่น ยืนขวางหน้าเกี้ยว หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตัวแทนเจ้าเมืองกําลังเดินอย่างภาคภูมิ จู่ ๆ มีชายแปลกหน้ากระโจนมาขวางหน้า กลับไม่รู้สึกตกใจสักนิด มองสํารวจโดยละเอียด ผู้ที่มาขวางอายุน้อย สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ จากหัวจรดเท้าล้วนสกปรกมอมแมมน่ารังเกียจ กระทั่งใบหน้ายังเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อ ถือไม้กระบองเป็นอาวุธ มองทีเดียวก็รู้ว่ากระจอกงอกง่อย หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก

“ไอ้เด็กสามหาวนี่มันเป็นใคร ไม่กลัวจะถูกข้าบั่นหัวงั้นรึ!”

"บังอาจ! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดจาหยาบคายโต้เถียงกับนายท่านของข้า! เจ้าคนเลวแสนต่ำช้า!”

เด็กรับใช้กระโจนตามออกมาติด ๆ ขวางอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ยื่นมือปกป้องผู้เป็นนายอย่างแข็งขัน

“หา? นายท่าน? ฮ่า ๆ ๆ หน้าอย่างนี้เนี่ยนะเป็นนายท่าน?! ข้าล่ะอยากหัวเราะให้ฟันหัก”

พวกเจ้าหน้าที่พากันหัวเราะขบขันฟันแทบร่วง ชุนหลี่ไล่ตามมาด้วยความร้อนใจ โค้งคํานับขอโทษเจ้าหน้าที่ทุกท่านก่อนแล้วจึงค่อยกล่าวอธิบาย

“พะ...พวกเขามาจากที่อื่น หลอกกินหลอกดื่มในหอเจิ้นเซียง ถูกเถ้าแก่จับตัวไว้ ตอนนี้ทํางานล้างชามที่ลานหลังขอรับ โปรดอย่าถือสา”

“อ้อ ที่แท้เป็นกุลีของหอเจิ้นเชียง พวกชักดาบกินไม่จ่าย โจรชัด ๆ”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่เหลือบมองเด็กรับใช้กับชายหนุ่มด้วยสีหน้าดูถูก คิดว่าหอเจิ้นเชียงกับเจ้าเมืองสนิทสนมกันอยู่พอสมควร เวลาปกติก็ให้ของกำนัลไม่น้อยด้วย สู้ไว้ค่อยคิดบัญชีกับเขาทีหลังดีกว่า จึงกล่าวตวาด

“ชุนหลี่ รีบให้พวกเขาหลีกไปซะ หากเลยฤกษ์มงคลแต่งงานของนายท่านใครก็รับผิดชอบไม่ไหว!"

“ขอรับ ขอรับ! เอ่อ...เจ้า! ยังไม่รีบหลบอีก!”

ชุนหลี่คิดจะเรียกชื่อของชายหนุ่ม กลับนึกไม่ออกว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร เช่นนั้นจึงชี้หน้าชายหนุ่ม กล่าวเอ็ด

“เจ้า! เจ้าน่ะ! รีบไสหัวกลับไปล้างชามเลย! ยุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยหน่อย!”

“ยุ่งเรื่องชาวบ้าน? สุภาษิตว่าถนนไม่เรียบมีคนเกลี่ยเกิดอยุติธรรมต้องมีคนจัดการ! นับประสาอะไรกับตอนนี้ ข้าราชการชั่วถืออํานาจ ใช้กําลังฉุดหญิงสาว ข้าในฐานะ...เอ่อ...ฐานะประชาชนเหยาไม่สนมิได้!”

“เหอะ! เจ้าหนู ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมถึงกล้าด่าท่านนายอําเภอว่าชั่ว? มานี่ ซ้อมมันให้ข้า! เอาให้ตาย! ถ้ามันตายข้ามีรางวัลให้!”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล เหล่าเจ้าหน้าที่เข้าล้อมกรอบในทันที

“พระบิดาอรหันต์! มีคนได้ตายแน่!”

ชุนหลี่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบหดหัววิ่งแจ้นไปแจ้งข่าว เหลือเพียงเด็กรับใช้คุ้มครองชายหนุ่มอยู่ข้างหน้า รับหมัดดุจเม็ดฝน ไม้พลองดุจป่าไม้ที่ตีเข้ามาไม่หยุดหย่อน ท้ายสุดนอนคว่ำบนพื้นเลือดเปรอะหน้า! ชายหนุ่มกระชับไม้กระบองในมือ ปัดป้องลูกถีบกับกำปั้นแบบชุลมุน พลางกระโจนใส่เหยื่อไม่หยุดมือ ช่วยเด็กรับใช้ขึ้นจากพื้นจนได้ในที่สุด อีกฝ่ายเห็นคนชั่วชักดาบเล่มใหญ่มาตั้งใจจะฟันให้รู้แล้วรู้รอดไป ชายหนุ่มยกเท้าข้างหนึ่งถีบสองคนคว่ำ ยังใช้ไม้กระบองฟาดไม่ยั้งมือ ก่อนตะโกนว่า

“ตัดสินจากการต่อสู้ ข้าไม่แพ้พวกเจ้า! วันนี้ ข้าจะขจัดความชั่วแทนเบื้องบน ลงโทษพวกเจ้าอันธพาลช่วยคนชั่วทำเรื่องเลวทรามให้หนัก!”

เท้าชายหนุ่มราวกับทาน้ำมัน ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รุมจู่โจมอย่างไร ล้วนต่อสู้หลบหลีกด้วยความปราดเปรียวว่องไว ซ้ำยังฟาดเหล่าเจ้าหน้าที่เสียจนร้องโอดโอยเสียงหลง

“มัวร้องบ้าอะไร! รีบฟันมันให้ตาย ๆ ไปซะสิวะ!” หน้าผากของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ถูกไม้คานฟาดแตก เลือดไหลซิบเจ็บจนขาดสติ โก่งคอตะเบ็งสุดเสียง

Kaugnay na kabanata

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 3 บุรุษขึ้นเกี้ยวมงคล

    เหตุวุ่นวายหนักจนดึงดูดผู้คนตามท้องถนนหลักพากันวิ่งเข้ามาดูในตรอก บางคนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์“เกิดเรื่องอะไรน่ะ สู้กันดุเดือดขนาดนี้”“ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองต้องการอนุเพิ่มอีกล่ะ เจ้าสาวเป็นลูกสาวบ้านหยาง”“งั้นที่ต่อสู้อยู่นี่ใครล่ะ”“เฮ้อ บางทีคงเป็นคนในดวงใจของยัยหนูสกุลหยางกระมัง ถึงได้กล้าตายมาขวางอยู่อย่างนี้”แม่ค้าขายซาลาเปาพูดด้วยสีหน้าหดหู่“เวรกรรมเสียจริง ใครก็รู้ท่านเจ้าเมืองควานเหลียงมักมากที่สุด เมียนี่ก็แต่งสิบคนเข้าไปแล้ว คราวนี้ ใครจะหยุดเขาได้”ตึง! ตึง!ฆ้องเบิกทางเสียงดัง ตามด้วยเสียงกลองปานเขย่าฟ้าให้ร่วง พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่กรูมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางแบบลนลานคุกเข่าสองข้างถนน ไม่กล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์อีก ผู้ที่มาคือ ‘ใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ย’ ข้าราชการใหญ่ของอำเภอควานเหลียง หรือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง ปีนี้อายุสี่สิบสามรูปลักษณ์ภูมิฐาน รูปร่างอวบอั๋นมีพุง แต่สูงใหญ่ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง นั่งบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ วางท่าองอาจห้าวหาญคล้ายไก่ตัวผู้สวมหมวกแดง ทหารที่เขานํามามีจํานวนสี่ห้าเท่าของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ เข้าควบคุมสถานการณ์วุ่นวายไว้ในทันที หัวหน้าเจ้า

    Huling Na-update : 2025-02-14
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี

    นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม

    Huling Na-update : 2025-02-14
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 5 ใต้ผืนฟ้าคือแผ่นดินของกษัตริย์ และข้าคือโอรสกษัตริย์แคว้นเหยา

    ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดาองค์รัชทายาทห

    Huling Na-update : 2025-02-14
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 6 สนมชายตำแหน่งเฟิ่งอี๋

    หลังค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อก็ส่งข่าวให้ฮ่องเต้แคว้นซีทรงทราบว่าพบตัวองค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาแล้ว และทางนั้นก็ได้ส่งสารตอบรับกลับมาว่าโปรดดูแลองค์ชายสิบของบรรณาการให้ดีแทนน้ำใจชาวแคว้นซีด้วยพิธีต้อนรับจัดขึ้นอย่างง่าย องค์ชายสิบได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเฟิ่งอี๋ ขั้นเก้า ชั้นเอก สนมลำดับต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก รับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อู๋เสี่ยวหวาได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหยานชุนในฐานะ เฟิ่งอี๋ แล้วไหนจะต้องคอยรับฟังผู้คนนินทาว่าเป็นชาวซีเป่ยไร้เกียรติ แคว้นซีเล็กต่ำต้อย แต่อู๋เสี่ยวหวาก็มิได้เก็บมาใส่ใจนักวังหลวงแคว้นเหยาหยานชุน ณ ตำหนักซิงอี๋เหล่ยหลังจากเขียนอักษรเต็มพรืดเสร็จไปอีกหนึ่งแผ่น อู๋เสี่ยวหวาวางพู่กันลง หมุนคอซึ่งปวดเมื่อยแข็งล้า บิดเอว ถามอันเต๋อจื่ออีกครั้ง“องค์รัชทายาทกลับมาหรือยัง”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พี่โจวจือหยวนตําหนักหน้าบอกว่า ถ้าองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเสด็จกลับมา จะทูลให้มาที่ห้องหนังสือทันที”อันเต๋อจื่อส่งชาแดงใส่ผลเป๊ะก๊วยผสมน้ำตาลกรวดชงใหม่ ๆ หนึ่งถ้วยให้องค์ชายสิบ“องค์ชายสิบทรงกระหายหรือไม่ ทรงพักสักหน่อยเถิด ค่อยเขียนต่อดีก

    Huling Na-update : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 7.1 ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียว

    หลังฝนตกหนักห้าวันติดต่อกัน ท้องฟ้าโปร่งใสเป็นพิเศษ นกกระจิบบินเข้าอุทยานตำหนักชิงอี๋เหล่ย ส่งเสียงร้องวุ่นวายไม่หยุด บ่าวรับใช้สาดน้ำที่หน้าระเบียง กวาดถูขั้นบันได วันยุ่ง ๆ เริ่มจากเวลานี้อู๋เสี่ยวหวาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคึกคักนี้ หลังจากหาวหวอดใหญ่หนึ่งที ก็ลูบขอบเตียงด้านนอกด้วยความเคยชิน ผิวผ้าด้านข้างเย็นเฉียบว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่“ซีเอ่อ?”เขาเลิกผ้าห่มปักดิ้นลุกขึ้นนั่งหัวฟู อันเต๋อจือรีบเดินมา รวบม่านคลุมเตียงไหมปักชิ้นงามขึ้น นางกำนัลวัยขบเผาะสี่นางเดินเข้ามารับใช้เฟิ่งอี๋ ล้างหน้า หวีผม“เฟิ่งอี๋ เมื่อคืนทรงบรรทมสนิทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อันเต๋อจื่อยิ้มตาหยี ขันทีอายุอานามเดียวกันกับอู๋เสี่ยวหวาที่ติดตามมารับใช้จากแคว้นซี ในคราแรกเขาไม่ได้ถูกส่งมาเฝ้ารับใช้องค์ชายสิบ จึงต้องกลับแคว้นซี แต่เขาคุกเข่าขอร้องอยู่หลายครั้ง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ คอยรับใช้องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา ฮองเฮาแคว้นเหยาจางหรงผิงเห็นแก่เขาที่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเจ้านายจึงอนุญาตให้อยู่รับใช้ข้างกายอู๋เสี่ยวหวาต่อ ทั้งสองตัวติดกันใช้ชีวิตเป็นบ่าวกับนายมาถึงสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาย

    Huling Na-update : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 7.2 ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียว

    “ใช่ เห็นว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทสนิทสนมกับเฟิ่งอี๋มากเกินไป ไม่เหมาะไม่ควร เหลียงตี้ที่เพียบพร้อมกว่า แสนสง่างามกว่า อยู่มานานกว่ากลับได้รับการปฏิบัติที่ห่างเหิน จึงได้มีรับสั่งห้ามไปหาเฟิ่งอี๋แต่เพียงผู้เดียว ให้แวะเวียนไปเยือนพระสนมนางอื่นบ้าง เฮ้อ แต่ว่าก็ว่านะ ตำหนักชิงอี๋เหล่ยเนี่ยหากขาดองค์รัชทายาทมาเยือน ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียวเลยจริง ๆ"“บังอาจนัก พวกกำเริบเสิบสานนินทานาย!”ประโยคตําหนิของอู๋เสี่ยวหวาทําให้นางกํานัลทั้งสองตกใจมาก พวกนางรีบคุกเข่าลง ก้มศีรษะคํานับขออภัย “ฟะ..เฟิ่งอี๋! โปรดให้อภัยด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้..”“ฐานะเป็นนางกํานัลกลับปากพล่อย ดอกไม้ไม่หอม ต้นไม้ไม่เขียวอะไร หาที่ตายใช่หรือไม่!”“พวกบ่าวมิกล้าอีกแล้ว! ขอเฟิ่งอี๋โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!” นางกํานัลทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวทั้งตัวสั่นงันงก“ไม่ได้! ปล่อยพวกเจ้าไว้ไม่ได้! ข้าจะกราบทูลฮองเฮาให้อบรมพวกเจ้า!” อู๋เสี่ยวหวาตําหนิหนัก สั่งขันทีไล่สองคนนี้ออกไป“เฟิ่งอี๋โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ วางพระทัยให้นิ่ง ๆ ”อันเต๋อจื่อพูดปลอบอู๋เสี่ยวหวา ต่อมาอู๋เสี่ยวหวาที่คล้ายกับเพิ่งได้สติคืนมามองอั

    Huling Na-update : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 8 ฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบ

    เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต

    Huling Na-update : 2025-02-17
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.1 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น

    Huling Na-update : 2025-02-17

Pinakabagong kabanata

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 12.1 ไม่มอบความจงรักภักดีแก่ใครอื่น

    “ค่ำคืนเดียวดาย ราตรีมืดมิด หิ่งห้อยน้อยโบยบิน ความคำนึงหามากล้น ดั่งแสงเทียนส่องสว่างเพียงลำพัง เผาไหม้ตนเองจนสิ้น...”เขาท่องบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความงามแห่งสารทฤดู’ ไม่ออก แต่ชั่วขณะที่เกิดอารมณ์อ้างว้างซึมเศร้า กลับมีกวีโบราณจำนวนไม่น้อยที่ยกขึ้นมาเอ่ยได้ อู๋เสี่ยวหวาไม่ปฏิเสธ เป็นเพราะเขาคิดถึงหวังซีเอ่อ ตนเองจึงนอนไม่หลับ ที่สำคัญ ยิ่งนอนไม่หลับก็ยิ่งคิดถึงเขา“ซีเอ่อ...ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนนะ..”ยืนที่หน้าต่างนานพอควรจึงรู้สึกถึงไอเย็น อู๋เสี่ยวหวาลูบจมูก เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ควรเลียนแบบคนสมัยก่อน ท่องกวีแต่งกลอนหน้าดอกไม้ใต้จันทราอะไรนั่น มันไม่สามารถกลบความกลัดกลุ้มในใจได้เลย กลับเย็นจนเกินทนเสียด้วยซ้ำ อู๋เสี่ยวหวาตกลงใจละทิ้งความคิดที่จะทำตามคำแนะนำของฮองไทเฮาจางหรงผิงรูปลักษณ์สวยหรูไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ พรุ่งนี้ถ้าฮองไทเฮาทดสอบอีก ก็แกล้งทำเป็นคิดไม่ออกแล้วกัน ใบไม้ร่วงอะไรนั่นให้มันปลิวไปตามลม ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ปวดหัวมากกว่าอู๋เสี่ยวหวาหมุนตัวก็เห็นอันเต๋อจื่อยืนหดคอกอดผ้าคลุมหนังจิ้งจ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 11.2 ความงามแห่งสารทฤดู

    อีกทั้งไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำกับผู้ชายมีอะไรเสียหาย นางชื่นชอบในการค้าขายเรือนร่างแลกกับเงินทอง รวมทั้งความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นแสวงหา เชิดชูนางเหนือผู้อื่น ประคองไว้ในฝ่ามือ กระทั่งพูดบ่อย ๆ ว่าขนาดพ่อแม่ของตัวเองยังไม่ดีต่อกันขนาดนี้ แม้ ‘ดี’ เหล่านั้นล้วนมีเป้าหมายก็ตามที“หากเจ้าอยากไปจากที่นี่ ข้าไถ่ตัวเจ้าได้นะ”หวังเผยจูเคยพูดเอาไว้ แต่ฟางเย่เซียนไม่ยินยอม ทั้งยังพูดว่า “ข้าชอบทุกสิ่งของที่นี่ การใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนทรัพย์สมบัติเงินทองก็มิได้เลวร้ายอะไร นอกเสียจากว่าท่านอยากได้ข้า ข้าจึงจะไปกับท่าน หากท่านจะไถ่ตัวข้า แล้วให้ข้าออกไปอยู่ลำพังภายนอกนั่น ข้าไม่ไปหรอกนะนายท่าน” ที่แห่งนี้นางชินชาและรู้สึกปลอดภัยมากแล้ว หวังเผยจูจึงไม่รบเร้านางอีกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนแขกกับนางคณิกา คล้ายพี่ชายคนโตกับน้องสาวมากกว่า เพียงแต่ในใจน้องสาวผู้นี้มีความรู้สึกเคารพรักมาก มักคิดหาวิธีที่จะได้อยู่กับพี่ชายนาน ๆ เสมอ“ท่านอยู่ต่ออีกสักครู่เถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของนายท่านกับขุนนางเหล่านั้นอีก” ฟางเย

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 11.1 ความงามแห่งสารทฤดู

    ผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์เป็นจริงตามที่หวังซานเยว่ องค์ชายสามผู้นี้บอก หวังซีเอ่อจากองครัชทายาทเลื่อนขั้นขึ้นสู่บัลลังก์มังกร เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยาองค์ที่สิบ หวังหลินอิ่นสละราชบัลลังก์เพราะต้องพักรักษาตัว พระพลานามัยไม่แข็งแรงแล้วเป็นโรคชราไปตามกาลเวลา และจางฮองเฮาเองก็ดำรงค์ตำแหน่งใหม่ เป็น ฮองไทเฮา ฮองเฮาคนต่อไปที่หวังซีเอ่อมีใจให้ทั้งดวงคือเฟิ่งอี๋อู๋เสี่ยวหวา“อู๋เฟิ่งอี๋โปรดรับราชโองการจากฮ่องเต้ อู๋เฟิ่งอี๋คุณธรรมดีมีเมตตาจิต โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือราชวงศ์ ดูแลงานราชการได้ดีไม่บกพร่อง จึงได้เลื่อนขั้นรับตำแหน่งฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินองค์ต่อไป มอบของกำนัลฉลองตำแหน่ง กำไลทองคำ ปิ่นปักผมหงส์ทอง หยกแก้วเหมันต์ โปรดน้อมรับราชโองการ”หัวหน้าขันทีโจวจือหยวนกงกงประกาศเป็นทางการ และยินดีกับอู๋เสี่ยวหวาด้วยที่ได้เลื่อนขั้นจากนายสนมขั้นห้า ชั้นเอก ขึ้นเป็นฮองเฮา อู๋เสี่ยวหวาไม่คาดคิด อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกเหล่าพระสนมในอดีตองค์รัชทายาทต่างก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เช่นเดียวกัน เฉิงลี่เฉี่ยว จาก เหลียงตี้ ได้เป็นกุ้ยเฟย เหลียนเสี่ยนหรู จากตำแหน่ง เ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 10.2 เกลียดชังดั่งมีเพลิงสุมใจ

    “เอาล่ะ พวกเจ้าก็คัดลอกต่อได้แล้ว อย่ามัวแต่โอ้เอ้ชักช้า” ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงดัง พระสนมทุกพระนางขานตอบรับรวมถึงอู๋เสี่ยวหวาด้วย“ท่านกับเสด็จพี่ทะเลาะกันใช่หรือไม่” หวังซานเยว่มองอยู่นาน นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เข้าประชิดข้างตัวอู๋เสี่ยวหวากล่าวกระซิบกระซาบ“แปลกประหลาดเสียจริงท่านทั้งสองเนี่ย”“เปล่านี่ พวกเราดีกันจะตาย องค์ชายน้อยทรงกังวลมากไปแล้ว” อู๋เสี่ยวหวาไม่เงยหน้า หยิบพู่กันขนแพะด้ามไผ่เชียงเฟยขึ้นคัดลอกอักษรต่อ“ไม่ถูกสิ เสด็จพี่ใหญ่ ตะวันขึ้นทางตะวันตกชัดๆ เหลือเชื่อเลยว่าท่านจะไล่พี่ใหญ่ซีเอ่อไปได้”หวังซานเยว่เคยถูกหวังซีเอ่อพี่ชายใหญ่ช่วยไว้ครั้งหนึ่ง วันนั้นเขาปีนต้นไม้ขึ้นไปศึกษารังนกด้วยผุดความคิดพิสดาร คิดไม่ถึงว่าจะเจอลมแรงวูบหนึ่งจนเกือบพลัดตกลงมา หวังซีเอ่อซึ่งผ่านมาพอดีจึงลอยตัวขึ้นไปหิ้วเขาที่จะร่วงมิร่วงแหล่ลงมา เรื่องนี้ไม่รบกวนถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่และเสด็จย่า เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนทำโทษ เช่นนั้นหวังซานเยว่จึงเกรงใจเสด็จพี่ใหญ่มากที่ปกป้องเขา หรือพูดว่านับถืออย่างยิ่งก

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 12.2 ไม่มอบความจงรักภักดีแก่ใครอื่น

    เป็นเช่นนี้เอง...” หัวสมองอู๋เสี่ยวหวายังคงเชื่องช้า ปากกล่าวอย่างนกขุนทองเรียนพูด “ที่แท้ฝ่าบาทไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมสตรีเพื่อตรวจสอบคดีความเช่นนั้นหรือ อื้ม...”“ใช่ เจ้าคิดว่าข้าแอบไปหาความสุขหรือ ข้าขออภัยเจ้าด้วย ข้าควรอาบน้ํา เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยมาพบเจ้า” แม้พูดเช่นนี้ แต่บนหน้าของหวังซีเอ่อกลับแย้มยิ้มตลอดเวลา บัดซบจริง ๆ“กระหม่อมเองต่างหากที่ผิด โปรดทรงให้อภัย”อู๋เสี่ยวหวาก้มหน้ากล่าว เห็น ๆ อยู่ว่าใส่ใจกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยอันนั้นมากมาตลอด แต่พออีกฝ่ายอธิบาย ความรู้สึกไม่สบายใจรวมถึงความหนักอึ้งที่มีในใจนั้นก็พลันสลายสิ้น“ขอฝ่าบาทประทานอภัยด้วย กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร... ฝ่าบาทไม่ต้องขอโทษกระหม่อม กระหม่อมไม่คาดคิดว่าตนเองจะใส่ใจกลิ่นหอมนั่นเสียขนาดนั้น เป็นสิ่งที่ยากจะหาคํามาอธิบายจริง ๆ”“ฮองเฮา..เวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถิด” หวังซีเอ่อพูด“ยังก่อน กระหม่อมอยากอยู่คนเดียวสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” ชั่วขณะนั้นอู๋เสี่ยวหวาไม่มีความกล้าที่จะเงยหน้า พูดแบบเคอะเขินมาก “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ น้อมส่งเสด็จ”“เช่นนั้นขอได้โปรดมอ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 10.1 เกลียดชังดั่งมีเพลิงสุมใจ

    เช้าวันนี้ช่วงยามซื่อ (9:00-10:59) ตำหนักวสันต์ครามทุกเจ็ดวันจะรวมประชุมฝึกขัดเกลา คัดอักษร พูดคุยการปกครองวังหลัง พระสนม และข้าหลวงทุกพระนางต้องมารวมตัวกัน และทำความเคารพฮองเฮาจางหรงผิงภายในตำหนักไม่อึกทึกครึกครื้นนัก เงียบสงบอย่างยิ่ง ประชุมรอบนี้ไทฮองไทเฮาเองก็เข้าร่วมด้วย อู๋เสี่ยวหวากําลังคัดอักษร เพราะวันนี้เขาเหม่อลอยไม่ได้ฟังใจความในที่ประชุม จึงโดนฮองเฮาลงโทษคัดลอกอีก อันเต๋อจื่อจัดเก็บกระดาษเฟิ่งอี๋เขียนเสีย ม้วนแล้วผูกเรียบร้อย เดิมจะทิ้งไป แต่กลับถูกเหลียงตี้แย่งไปแล้วทำหน้าขบขัน เอาให้พระสนมนางอื่นดูแล้วพากันหัวเราะเยาะเย้ย“หนวกหู! หุบปากได้หรือไม่!”อู๋เสี่ยวหวายกมือกุมใบหูมองพวกพระสนมนางอื่นที่กำลังส่งเสียงระหว่างโต๊ะเก้าอี้นินทาน่ารำคาญ แต่แทนที่จะพูดว่าไม่ชอบเสียงดัง กลับเหมือนใช้สายตามองพวกนางด้วยความอิจฉามากกว่า ที่ตนนั้นต้องถูกลงโทษก็เพราะช่วงพักหลังมานี้รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องสำเร็จราชการแทนฮองเต้ที่ทรงประชวรหนัก และหยุดพักรักษาตัว ยังมีข่าวโคมลอยแว่วมาอีกว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะมีการแต่งตั้งฮองเต้องค์ใหม่ในอีกไม่ช้า หวังซีเอ่อจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเต้แคว้นเหยาอย่

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.2 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    ตอนที่กําลังคิดเรื่องเหล่านี้ เสียงน้ำซู่ซ่าพลันดังเข้าหู หวังเผยจูเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าอิงจื่อรีบออกไปแบบรู้กาลเทศะ เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวหน้าตางดงาม โฉมสคราญแฉล้มนั่งในถังอาบน้ำไม้ทรงสี่เหลี่ยม กําลังตีน้ำเล่น ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนนางกําลังเล่นสนุกร่ายระบำในน้ำ หยดน้ำร่วงจากแขนขาวเนียนไร้ตําหนิ งามดั่งบุปผาเซียนที่ก่อกำเนิดในโลกมนุษย์ ขนตายาวหนาที่มีหยดน้ำเกาะเป็นประกายสดใสชวนมอง ครั้นยื่นมือออกมาจะเห็นเล็บสีแดงตัดแต่งโค้งมน ดูไม่เหมือนของคนกลับเหมือนหุ่นที่ช่างฝีมือชั้นยอดแกะสลักเสลาอย่างประณีตเสียมากกว่านางกระดิกนิ้วเรียกแขกผู้มาเยือน พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ หวังเผยจูเดินไปทางถังอาบน้ำ น้ำใสแจ๋วโปรยกลีบดอกกุ้ยเหม่ยสีแดงจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงเห็นร่างเปลือยของหญิงสาวที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดแจ้งในปราดเดียว สองเต้าอวบอั๋นใหญ่โตล้นทะลัก ฟางเย่เซียนหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาฉ่ำวาวมองชายชุดขาวลวดลายนกกระเรียนทองที่ยืนข้างถังอาบน้ำด้วยความรู้สึกพึงพอใจ รูปร่างสูงสง่า ผึ่งผายองอาจแฝงแรงกดดันเช่นนี้ ถ้าสามารถใช้เวลาราตรีวสันต์ร่วมกับนางได้ เกรงว่าต้องใช้โชคดีที่สั่งสมมาร้อยพันชาติ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.1 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 8 ฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบ

    เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต

I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status