วันที่ยี่สิบหกเดือนสามท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องละลายหิมะยามเข้าสู่ฤดูวสันต์ หอสูงประดับกิเลนบนหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์ของอําเภอควานเหลียง เด่นตระหง่านท่ามกลางแสงเหลืองทองแซมแดงสดสะท้อนประกายวาววับพร่างตา นกตัวน้อยน่ารักเกาะที่กิ่งไม้ ต้นหลิวใบเขียวสดดั่งหยกเนื้องามริมแม่น้ำโบกกิ่งไหว ตามสายลมใบไม้ผลิใบ ผู้คนบนถนนสัญจร ประกอบกับใกล้มีแม่น้ำไกลมีภูเขาปรากฏเป็นทัศนียภาพ ประหนึ่งภาพวาดวิจิตรศิลป์อันงดงาม
หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คืองานเทศกาลอําเภอควานเหลียงที่จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพฮวาเตี๋ยน นอกจากคึกคักอย่างยิ่งแล้วยังมีความเป็นมายาวนานถึงสามร้อยหกสิบปี
เล่ากันว่าเทพภูเขาลงมาท่องเที่ยวยังโลกมนุษย์ ครั้นเดินทางมาถึงสถานที่อันมีภูมิลักษณ์งดงามแห่งนี้ก็พบสามีภรรยาใจดีคู่หนึ่งให้ขนมเขากิน เทพภูเขากล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่าพวกเจ้าจะให้กําเนิดบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่ง ทั้งสองอยากได้ลูกมานานมาก แต่กลับไม่ท้องสักที
หลังจากเทพภูเขาจากไปก็เป็นเหมือนที่เขากล่าว ทั้งสองให้กําเนิดมังกรหงส์น่ารักสดใสหนึ่งคู่จริง ๆ
ต่อมาทั่วแคว้นทั้งหมดผู้คนเริ่มขยับขยายย้ายออกไปสร้างแผ่นดินขึ้นมาใหม่ ส่วนแคว้นเหยายังอยู่ ณ ที่แห่งนี้กระทั่งมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ภายหลังเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองควานเหลียง นับแต่นั้นบ้านเรือนและผู้คนก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองพร้อมอำนาจที่ขยายกว้างกว่าที่ใดในใต้หล้า
ดังนั้นงานนี้จึงจัดขึ้นอย่างใหญ่โต เพื่อให้ชาวบ้านได้มาอธิษฐานขอพรให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเฉพาะเมื่อแผ่นดินร่มเย็น ไม่ว่าคหบดี พ่อค้า หรือชาวนาชาวไร่ในรัศมีร้อยลี้ต่างกระตือรือร้น มากันแบบประคอง เกาะ ลาก จูงมือลูกชายพาลูกสาว ผู้คนหลั่งไหลมากันเหมือนไม่สิ้นสุดนี้ดูครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเทศกาลโคมไฟ
“เจ้าข้าเอ๊ย! พ่อแม่พี่น้อง มาดูมาชมกัน โสมเหลาเป่ย กินแล้วสุขภาพแข็งแรง กำลังวังชาดีเลิศ ขับสารพัดพิษไม่กล้ำกราย! อายุยืนร้อยปี!”
ชายฉกรรจ์เปลือยแขนคนหนึ่ง พันผ้าไหมแดงที่คอ ชูโสมที่มีโคลนติดอยู่ขึ้นในระดับศีรษะ กล่าวโหวกเหวกเสียงดังทำให้ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมาดูของวิเศษที่เขาอวดอ้าง
ปัง! ปัง!
“ประทัด! ดอกไม้ไฟ! เร่เข้ามาจ้า!”
พ่อค้าแผงลอยถือฆ้องไท่ผิงออกมาตีเรียกลูกค้า ดึงดูดพวกเด็ก ๆ ให้มามุงดูแล้วอ้อนพ่อกวนแม่ให้ซื้อดอกไม้ไฟ ชมปาหี่ชุดต่าง ๆ บนถนน ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในสถานที่จัดงานวัดประหนึ่งสายน้ำ ถึงช่วงเที่ยงเสียงผู้คนดังอื้ออึง การละเล่นต่าง ๆ ประโคมเกรียวกราว ผู้คนจำนวนมากเบียดเสียดแออัดกันอยู่บนถนนกระทั่งก้าวเดินแทบไม่ได้
“นะ...นายท่าน! ช้าหน่อยขอรับ! รอข้าน้อยด้วย!”
ในกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าหลากสี เด็กรับใช้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลผู้หนึ่ง เขย่งเท้ายืดคอร้องเรียกแบบเพลียแรงเสียงแหบแห้งไปพลาง พยายามแหวกฝูงชนเบื้องหน้าที่หนาแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้จนอยากจะร้องไห้งอแง ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘นายท่าน’ นั้นอันที่จริงอายุน้อยมาก เขาสวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาลซีดไร้ลายปัก รวบผมทั้งหมดซ่อนไว้ด้านในหมวกผ้าสีน้ำตาลเรียบง่าย แม้ว่าเจ้าตัวจะหน้าตาหมดจดหล่อเหลาสวยงามดุจหยกก็ตาม
“เสื้อหมวกเลือกคน ดังนั้นแทนที่จะพูดว่าองค์ชายสิบ ให้เรียกว่านายท่านแทน เหมือนปัญญาชนยากจนเดินทางไปเมืองหลวงให้ทันสอบมากกว่า ดูธรรมดามากจริง ๆ การปลอมแปลงสมบูรณ์แบบ”
ในขณะที่ทุกคนในที่นั้นถูกเบียดจนหน้าดำหน้าแดง เขากลับมีสีหน้าสบาย ๆ วนมาอ้อมไปด้วยใบหน้าอมยิ้มน้อย ๆ ดันเบียดตามคนอื่นจนไปยืนบนตอหินอันหนึ่ง ครอบครองชัยภูมิสูงไว้ได้ เขายกมือป้องบังแดด มองไปรอบด้าน จากนั้นจึงกระโดดลงจากเสาหินไปอีกครั้ง ตอนกลับขึ้นมามีเด็กชายสวมกางเกงเปิดก้นอยู่บนบ่าเขา ซึ่งก็คือเด็กชายที่ร้องไห้หาแม่ในฝูงชนนั้นนั่นเอง สักพักก็มีสาวชาวบ้านหน้าตื่นตระหนกมุ่งมาหาเขา จึงเอาเด็กชายส่งคืนให้หญิงนางนั้น อีกฝ่ายขอบอกขอบใจเขายกใหญ่ ก่อนอุ้มลูกเดินไปอย่างรีบเร่ง
จากนั้นชายหนุ่มก็ล้วงห่อเมล็ดสนต้มออกมาจากในอกเสื้อ กินไปพลางดูชายสูงทั้งเจ็ดแสดงพละกําลังด้วยความตื่นตาตื่นใจ คนผู้นั้นโกนผมจนเกลี้ยงเกลาเหมือนหลวงจีน ลำแขนกลมนูน แข็งแรงมาก
สิ่งที่เขาแสดงอลังการมาก มีดใบใหญ่ราวยี่สิบกว่าเล่ม มัดเชือกแน่นหนาผูกเป็นบันได กระทั่งราวจับก็ล้วนเป็นใบมีดแหลมคม ชายฉกรรจ์หยิบหัวไชเท้าหัวหนึ่งขึ้นมาฟาดฉับลงไปบนบันไดมีดเสียงดังฉับหนึ่งที หัวไชเท้าขาดเป็นสองท่อนทันตา ผู้คนพากันโยนเหรียญใส่กล่องไม้ที่เปิดอยู่ ชายกล้ามใหญ่ได้เงินไปพอสมควร พลันกุมมือคารวะ
หลังจากกล่าวเสียงดังฉะฉานขอบคุณเหล่าชาวบ้านที่ชื่นชมเสร็จก็สาวเท้าก้าวใหญ่ไปยืนขึ้นไปอยู่ด้านบนสุด! ถึงแม้เขาจะมีร่างใหญ่กํายําแต่มือเท้าคล่องแคล่ว ตอนอยู่ด้านบนยังใช้หัวแขวนตะขอทอง ลักษณะนี้แม้ไม่ถูกมีดบาดก็ตกหัวทิ่มตายคาที่ได้ ยิ่งผู้คนร้องตื่นตกใจ การเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์ก็ยิ่งดูอันตราย ชวนหวาดเสียวขึ้นด้วย มีเพียงแต่...
‘นายท่าน’ หนุ่มผู้นั้นที่เพียงปรบมือไม่ได้ร้องชื่นชมอะไร ในใจเขายังกล่าวว่าองครักษ์ชุดเกราะดำแคว้นซียังดูสมจริงกว่าอีก ต่อยหินแตกสลายมาแล้ว นายท่านหนุ่มยังโยนเงินแท่งหนึ่งใส่กล่องที่วางรอไว้นั้นด้วย ส่งผลให้แต่ละคนทยอยโยนเงินบ้าง เหรียญทองแดงบ้างให้เหล่าชายฉกรรจ์ พวกเขาดีใจจนอดไม่ได้กุมมือคารวะทั้งที่ยังห้อยอยู่ข้างบน
“ขอบคุณ ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ต่อไปยังมีที่น่าชมยิ่งกว่า!!”
“นายท่าน!!”
เด็กรับใช้เหงื่อชุ่มหลังตามมาถึงในที่สุด ผู้คนยังโห่ร้องชื่นชมต่อเนื่อง ชายหนุ่มกลับตบบ่าเขา กล่าวอย่างร่าเริง
“อันเต๋อ ป่ะ พวกเราไปซื้อของต่อ”
“นายท่าน! พวกเราซื้อของมากมายแล้วนะ ท่านดูสิ ข้าเกือบจะเป็น พ่อค้าหาบเร่อยู่แล้ว!! อ้าว นายท่าน ช้าก่อนขอรับ!”
ชายหนุ่มไม่สนใจ ตนเองพุ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น เด็กรับใช้รีบหอบของจําพวกว่าว หน้ากาก เทพภูเขา รวมทั้งขนมท้องถิ่น วิ่งไล่ตามชายหนุ่มไป บนสะพานหินรูปจันทร์เสี้ยวมีพ่อค้าขายถังหูลู่หาบใหญ่ ชายหนุ่มตรงขึ้นสะพานไปเหมือนเด็ก กู่ร้องพร้อมโบกไม้โบกมือ
“ซื้อถังหูลู่หน่อย ข้าเอาสิบหกไม้!”
“ได้เลย! คุณชาย ถังหูลู่สิบหกไม้!”
ท่ามกลางเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ชายหนุ่มยืนรับถังหูลู่ทั้งหกไม้ด้วยความพึงพอใจ แล้วยื่นส่งให้เด็กรับใช้
“ขอบคุณนายท่านที่แบ่งให้ข้าน้อย ข้าอยากบ่นนายท่านอีกสักสองสามคําเสียจริง...”
เด็กรับใช้ทั้งซาบซึ้งใจที่ได้รับแบ่งของและอยากจะบ่นชุดใหญ่ใส่นายท่าน แต่ก็ต้องอ้าปากค้างไว้
“เราไปนั่งกันตรง ริมฝั่งแม่น้ำใต้สะพาน พักเหนื่อยกันเถอะ”
“อะ...อา ขอรับ นายท่าน”
สองคนนายบ่าวมายังริมฝั่งแม่น้ำ หาที่สงบที่หนึ่งนั่ง ซึ่งมองเห็นอักษรจารึก ‘สะพานฮวาซิง’ สีแดงชาดบนสะพานได้พอดี กระแสลมวสันตฤดูพัดผ่านผิวน้ำ พาให้เกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ ขยายตัวเป็นวงกระเพื่อมเข้าหาฝั่ง แสงสะท้อนจากผิวน้ำส่องกลับไปบนสะพาน เกิดเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งภาพวาดหมู่บ้านริมน้ำอันตรึงตรา ที่ตรงนี้มีร้านน้ำชาแบบเปิดโล่งสำหรับให้คนนั่งพักเท้าร้านหนึ่ง เป็นที่ที่เขาทั้งสองเข้ามานั่งพัก
“ดีจังเลยนะ!” ชายหนุ่มมองเหตุการณ์และทิวทัศน์เช่นนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม
“นายท่านว่าชิ้นไหนมันน้อยบ้างขอรับ...จะกินกันหมดหรือไม่ขอรับ"
เด็กรับใช้กล่าวเสียงอ่อน แน่นอนว่าถังหูลู่คือของหวานสำหรับกินเล่นที่ดีที่สุด แต่นี่มันจะเยอะเกินไปแล้ว สีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกของเด็กรับใช้ถามนายท่าน
“อืม... สิบหกไม้เยอะเกินไป กินไม่หมดหรอก...”
“นายท่าน...”
เด็กรับใช้ลอบมองเจ้านายหนุ่มที่กําลังถือถังหูลู่ไว้ทั้งสองมือด้วยสีหน้าซังกะตาย
“อะ อันเต๋อ ข้าให้เจ้าเพิ่ม นี่รางวัลของเจ้า” ชายหนุ่มหยีตายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่งดงามเสียยิ่งกว่าดอกท้อ ยื่นทั้งสามไม้ในมือขวาให้อันเต๋อ เพราะตนเองก็กินไม่หมดเช่นกัน
“อันนี้อร่อยมาก!”
“ขอบคุณนายท่านที่ให้รางวัล...”
แล้วเด็กรับใช้ก็สั่งชุดน้ำชาที่เลื่องลือของร้านมาหนึ่งกา มองดูเหมือนเป็นเครื่องเคลือบไฉนสัมผัสหยาบมือเช่นนี้ ฝีมือแย่มาก! น้ำชาก็ด้วย ไม่มีกลิ่นหอมเอาเสียเลย เด็กรับใช้มองถ้วยชาหยาบ ๆ ไร้ความวาวนั้นด้วยความไม่พอใจมาก ประกาศว่าเป็นชาชั้นดีแต่หาได้มีกลิ่นหอมไม่
‘นายท่าน’เอาสองมือรองใต้คาง นัยน์ตาดำใสแจ๋วคู่นั้นมองผู้คนบนทางเดินแบบไม่วางตา ผู้คนประคองคนแก่จูงเด็ก สามีร้องภรรยาคลอพบเห็นภาพอบอุ่นนี้ที่ในวังแคว้นซีหาเทียบเสียได้เมื่อไรกัน
“ท่านต้องการให้ในแคว้นซีของเราครึกครื้นเช่นนี้ใช่หรือไม่นายท่าน”
เพียงคำพูดประโยคเดียวทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มให้ เด็กรับใช้หนุ่มน้อยเองก็ส่งยิ้มตอบกลับ
“ใช่ ข้าจึงต้องเดินทางมาหาความเจริญหาใช่แสวงหาสงคราม...”
“ยังไม่ถึงเวลาที่นายท่านจะถูกส่งมอบนี่ขอรับ รอพวกเรากลับไปค่อยให้ห้องเครื่องจัดทําถังหูลู่ และให้ข้าราชบริพารใหญ่แต่งตัวเลียนแบบพ่อค้าดีหรือไม่ท่าน”
“ความคิดเจ้าเข้าท่าดี เสียแต่กลัวว่าภาพเสือใช้การไม่ได้ กลับกลายเป็นสุนัขน่ะสิ จะทำให้บางคนโมโหเปล่า ๆ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ หันหน้ามามองเด็กรับใช้นัยน์ตาเคลือบด้วยละอองน้ำทว่ามีเสน่ห์เหลือล้น รวมถึงแพขนตาหนายาวที่กระพือขึ้นลงยามกระพริบตา พาให้หัวใจคนสั่นไหว แม้ว่านี่จะเป็นแค่การมองแบบปกติมากก็ตาม
“อะ...องค์...อ๊ะ ไม่สิ เอ่อ นายท่าน! ดื่มชาเถอะขอรับ!”
เด็กรับใช้หน้าแดงกล่าวตะกุกตะกัก “ข้ารินชาให้ท่านนะขอรับ”
“ไป๋อันโหว หรือว่าเจ้าอยากกลับแคว้นซีแล้วใช่หรือไม่ ทําไมวันนี้พูดถึงแต่แคว้นซีและเรื่องในวังตลอดเลย”
ในดวงตาชายหนุ่มแสดงความสงสัยเล็กน้อย
“จะเป็นไปได้ยังไงขอรับ!” เด็กรับใช้รีบอธิบาย “ก่อนออกมาก็พูดกันแล้วนี่ขอรับ นายท่านไปไหน อันเต๋อจื่อก็ไปนั่น ถึงโดนข้าศึกแคว้นเหยาตัดหัว บ่าวก็จะไม่เสียใจภายหลังเด็ดขาด!”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่เสียเปล่าที่ปกติข้าเอ็นดูเจ้า”
ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานอย่างพอใจ เชื่อในคําพูดของเด็กรับใช้ เด็กรับใช้แอบถอนหายใจ พาองค์ชายสิบแคว้นซีเสด็จออกภายนอกข้ามแคว้นมา ยังไม่ถึงวันส่งมอบบรรณาการก็ออกเยือนดินแดนเสียก่อนแล้ว ไม่ให้ใจหวั่นเนื้อสั่นได้ไงไหว ถ้าสามารถกลับแคว้นไปก่อนได้ย่อมเป็นเรื่องดีมาก ดังนั้นเขาจึงคอยกระตุ้นเตือน อยู่เรื่อย ๆ
“คิด ๆ ดู พวกเราออกมากันได้สองเดือนแล้ว...”
ชายหนุ่มพูดแล้วก้มหน้าดื่มชา เมื่อครู่ยังรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวอยู่เลย ตอนนี้กลับฝาดขมเฝื่อนหนักหน่วง ติดปลายลิ้น ชุ่มโชกเข้าไปถึงในหัวใจ
“ปานนี้ฮ่องเต้ต้องทรงกริ้วจนหน้าเขียวเป็นแน่แล้วกระมังขอรับ ที่นายท่านหลบหนีปลอมตัวออกมา”
ไม่รอเด็กรับใช้กล่าวจบ ชายหนุ่มก็พูดโดยไม่ปรึกษาใคร ซ้ำยังขมวดคิ้วแน่น
“หึ ให้โกรธข้าจนตายไปเลย! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเตรียมเรื่องแต่งงานให้ข้าตามใจชอบ ส่งมอบให้ข้าเป็นตัวแทน เป็นเครื่องบรรณาการสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเหยา กล่าวมาได้ว่าเป็นการดีต่อเรา ให้โมโหตายไปเลยท่านพ่อน่าเกลียดผู้นั้น! เดิมทีก็ไม่เห็นองค์ชายสิบอย่างข้าในสายตาอยู่แล้ว!”
ฟังชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างคับข้องใจ เห็นนิ้วเล็กบางกําถ้วยชาแน่นจนร้าว เท่านี้เด็กรับใช้ก็รู้ว่าการกลับไปเป็นเรื่องไร้ความหวัง ได้เพียงถามเสียงเบาที่สุด
“องค์ชายสิบ ไม่ทราบว่าพวกเรายังจะลงใต้กันต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากทั้งสองคนปลอมตัวลอบออกจากวังหลวงแคว้นซี ก็เดินทางแวะไปตามแคว้นอื่นจนมาถึงแคว้นเหยา ลงใต้มาตลอดเหมือนเที่ยวชมธรรมชาติ ชิมอาหารเลิศรสไปทั่ว เป็นอิสระมากอย่างไม่ต้องพูดถึง อำเภอเก่าแก่ที่ควานเหลียงนี้เป็นที่ที่สิบเจ็ดที่พวกเขาเดินทางผ่าน และเป็นอำเภอชนบทที่เจริญที่สุดในละแวกใกล้เคียงด้วย มีกิจการใหญ่โตลูกค้าไม่ขาด
ถึงเจ้านายจะเที่ยวสนุกมาก แต่เด็กรับใช้กลับรู้สึกว่าที่นี่ดูถูกคนนอก โดยเฉพาะชาวบ้านยากจน จากก่อนหน้าที่จะเข้ามาในงาน พวกเขาได้ไปจุดธูปไหว้พระ พวกคนที่สวมเสื้อผ้ามีรอยปะซ่อมล้วนเข้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่ซื่อตรงอัธยาศัยดีเหล่านั้น จึงได้เพียงคุกเข่ากราบไหว้นอกประตูบานใหญ่ พวกเขาอธิษฐานให้เทพภูเขาปกปักคุ้มครอง ท่ามกลางละอองฝน
เด็กรับใช้เห็นแล้วสงสารนายท่านอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่เขาไม่สามารถขัดความสนุกของเจ้านายได้ จึงไม่พูดอะไรออกไป เด็กรับใช้พูดถึงการท่องเที่ยวต่อ ชายหนุ่มเก็บอารมณ์ห่อเที่ยวเมื่อครู่ทิ้งไป ตบไหล่เด็กรับใช้ไม่เบาไม่แรง กล่าวพร้อมยิ้มกริ่ม
“คืนนี้ ข้าในฐานะนายท่าน ขอเชิญเจ้ากิน ได้ยินว่าไก่ย่างในกระบอกของแคว้นเหยาเป็นที่เลื่องลือ!”
“ว้าว ขอบพระคุณนายท่านที่ให้รางวัล”
เด็กรับใช้น้ำลายสอขึ้นมาทันใด ได้ยินว่ามีของกินอร่อยก็รีบพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเขาก็เรียกให้เถ้าแก่ร้านชาเปลี่ยนชามาอีกหนึ่งกา ต้องการชาฤดูใบไม้ผลิแบบชั้นหนึ่ง ว่าแล้วก็หยิบเงินตำลึงขาวจั๊วะออกมาหนึ่งก้อน ทำเอาเถ้าแก่หน้าระรื่นจนมองไม่เห็นลูกตา ยกชากับขนมอย่างดีออกมาให้ และคอยบริการนายท่านทั้งสองอย่างกระตือรือร้น
เด็กรับใช้หารู้ไม่ว่า การที่พวกเขาสองคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตลอดทาง ยังไม่รวมถึงเงินตำลึงขาวก้อนนี้ ได้ดึงดูดความสนใจของพวกลักเล็กขโมยน้อยมานานแล้ว เหล่าหัวขโมยต่างติดตามพวกเขาโดยแบ่งเป็นสองสายอย่างเงียบเชียบ
“นายท่าน ทางนั้นขอรับ หอเจิ้นเชียง!”
เด็กรับใช้มองเห็นภัตตาคารริมแม่น้ำสูงสามชั้นหลังหนึ่งอยู่ไกล ๆ บริเวณนี้มีแผงร้านขายของตั้งกันสลอน แผงขายน้ำมัน ร้านของเก่า ร้านสิ่งทอ มากมายนับไม่ถ้วน! ชาวบ้านอำเภอห่างไกลเดินเที่ยวงานวัดเสร็จก็รีบตรงมาที่นี่ ถือโอกาสสั่งน้ำมันตะเกียง พักเท้า ซื้อของกิน พูดคุยสัพเพเหระ ในมือแต่ละคนต่างหอบหิ้วข้าวของกลับบ้านอย่างมีความสุข ส่วนพ่อค้าย่อมมีความสุขที่ได้เห็นกิจการรุ่งเรือง และยังขายของลดราคาอีก ประกอบกับอากาศตอนกลางคืนไม่ร้อน ผู้คนที่เดินเล่นจึงยิ่งมาก ดังนั้น คลื่นมนุษย์ในคืนนี้ หากเทียบกับงานช่วงกลางวันแล้วแออัดกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อ
“เห็น เห็นแล้ว!”
แน่นอนว่าเขาเห็นทางที่เด็กรับใช้ชี้บอกแล้ว ความเป็นจริงทางนั้นมิได้ไกล อยู่ห่างประมาณห้าสิบกว่าก้าว อย่างไรก็ตามสะพานดุจภูเขา มีผู้คนมากมายรวมตัวกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวเอ็ดอึง เมื่อปะปนเข้าไปใน ‘กระแสฝูงชน’ ผู้เป็นนายก็ฝืนมิได้ ไหลไปตามฝูงชน เด็กรับใช้ร้องโวยวายด้วยความตกตื่นใจ เห็นเด็กรับใช้กําลังจะไหลไปอีกทาง
เจ้านายก็ยื่นแขนข้ามไหล่คนอื่นไปดึงหลังเด็กรับใช้ไว้แน่น ๆ กลั้นใจออกแรงยื้อไว้ไม่ให้ถูกเบียดแตกกลุ่มจากกัน สองนายบ่าวพากันเคลื่อนตัวทีละนิดจนมาถึงหน้าประตูของหอเจิ้นเชียง พวกเขาต้องพักหายใจหอบใหญ่ เหงื่อเต็มหน้า ขนาดพูดยังมีเสียงหอบหายใจ เสี่ยวเอ้อร์เห็นแล้วไม่แปลกใจ พูดต้อนรับ
“เชิญด้านในขอรับนายท่าน” แล้วนําพวกเขาขึ้นชั้นสองที่นั่งใกล้หัวบันได
“ตรงนี้คนเดินไปเดินมาจะนั่งได้ยังไงกัน นายท่านของข้าจะเจริญอาหารได้อย่างไรกัน”
เด็กรับใช้ออกอาการไม่พอใจมาก โวยวายต้องการให้เถ้าแก่ ‘หรงฝู่เลา’ ออกมารับผิดชอบบริการลูกค้าให้ประทับใจกว่านี้ เถ้าแก่ฝู่รีบตรงมายังบ่าวนายสองคนผู้มาใหม่ เห็นว่าการพูดของคนรับใช้ใหญ่โตขนาดนี้สันนิษฐานว่า ‘นายท่าน’ ท่านนี้คงเป็นผู้มีฐานะพอควร จึงย้ายไปห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด ทั้งยังรินชาให้ด้วยตัวเอง คอยรับใช้อยู่อีกครู่หนึ่ง
หลังจากลงไปสั่งอาหารที่ชั้นหนึ่งก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ลำเลียงอาหารขึ้นไป โดยอาหารแปดเซียนนี้ประกอบไปด้วย เป็ดป่าตุ๋นเห็ดสมุนไพรแบบทั้งตัวหนึ่งจาน เนื้อวัวเครื่องเทศน้ำแดงหนึ่งจาน ผักกาดขาวต้มเนื้อแผ่นตากแห้งจานใหญ่ ยังมีเกี้ยวกุ้งพุดตานหนึ่งชามเล็ก ซาลาเปากุหลาบถั่วหวานหนึ่งเข่ง แน่นอนว่าไก่เผากระบอกไม้ไผ่เป็นตัวชูโรง ตั้งบนแท่นวางอาหารกลางโต๊ะภายในท้องไก่ยัดเห็ดสดหลากชนิดกับปลาเส้นไว้เต็มแน่น ห่อตัวไก่ด้วยใบไผ่ ใส่ในกระบอกไผ่แบบไม่ได้พิถีพิถัน
อ้างอิงจากที่หลงจู๊แนะนํา อาหารจานนี้ต้องค่อย ๆ ย่างบนกองไฟ ประมาณหนึ่งชั่วยามจึงได้ที่ ดังนั้นกระบอกไม้ไผ่ด้านนอกจึงเกือบเป็นถ่านไม้ไผ่ ปากกระบอกผนึกด้วยใบบัว อย่าคิดว่าไก่กระบอกตัวไม่ใหญ่ที่จะประกอบอาหารจานอื่น มันปรุงได้ยอดเยี่ยมมาก ไม่แปลกเลยที่ได้รับการยกย่องจากผู้มั่งมีมากหน้าที่ตามกันมาลิ้มลอง
“นายท่านต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์น้อมรอคําสั่งอย่างนอบน้อม
“เอาเหล้าดอกท้อมาหนึ่งกา นารีแดงหนึ่งกา”
ชายหนุ่มอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก อาหารรสเลิศอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าต้องมีเหล้าดี ๆ อยู่เป็นของเสริม
“ได้ขอรับ รอสักครู่”
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์นําเหล้าขึ้นมาให้แล้ว สองนายบ่าวก็ดื่มด่ำทัศนียภาพสวยงามริมแม่น้ำที่มีแสงไฟสว่างไสวนอกหน้าต่าง พร้อมกับกินอาหารชุดใหญ่กันอยู่นานร่วมหนึ่งชั่วยาม ทานอาหารเสร็จ เจ้านายตบท้องอย่างพึงพอใจ มองจานชามที่มีแต่เศษอาหาร เด็กรับใช้เอ่ยปากซึ่งเต็มไปด้วยคราบมันเสนอความคิดแบบยังไม่หายอยาก
“นายท่านขอรับ ไก่เผานี่อร่อยมาก เดี๋ยวห่อกลับอีกตัวเถิดนะขอรับ”
เด็กรับใช้ร้องขอ นายท่านหนุ่มหัวเราะร่าพึงพอใจไม่ต่างกัน
“ดี พวกเราเอากลับไปกินที่โรงเตี๊ยมตัวหนึ่ง”
ชายหนุ่มพูดจบลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดเอื่อย เหล้าเพียงพออาหารอิ่มหนำ ยังมีเรื่องอะไรวิเศษกว่านี้อีก เด็กรับใช้ยิ้มรับและหันไปบอกเสี่ยวเอ้อร์สั่งไก่ย่างหนึ่งตัวกลับบ้าน
“นายท่าน อาหารไม่ถูกปากหรือขอรับ” เถ้าแก่หรงฝู่เลาเดินเข้ามาพร้อมยิ้มตาปิด
"ถูกปากมาก"
ชายหนุ่มพยักหน้าต่อเนื่อง ก่อนเอ่ยปากสั่งอย่างสบายใจ
“อันเต๋อ จ่ายเงินแล้วให้รางวัลเถ้าแก่ด้วย”
“โอ้! ขอบคุณขอรับ”
ได้ยินว่าจะมีรางวัลให้ ทางหรงฝู่เลารีบตอบรับขอบคุณ พร้อมกับโค้งตัวเป็นคันเบ็ด จากนั้นก็หันหน้าไปทางเด็กรับใช้พูดอย่างประจบ
“น้องชาย อาหารมื้อนี้ และไก่เผาหนึ่งตัวกลับบ้าน รวมเหล้าอีกสองกา ทั้งหมดสี่ตำลึงหกอีแปะ”
แน่นอนว่าไก่เผาในกระบอกไผ่ล้ำเลิศมากจนต้องสั่งซ้ำ อย่าหมิ่นว่ามันไม่อร่อย เด็กรับใช้เคยเผลอเรอประมาทไปลบหลู่ไม่ได้!
“ถูกจัง”
มือของเด็กรับใช้ยื่นไปที่ช่วงเอว แต่คลำไม่พบอะไรเลย จากนั้นตบศีรษะหนึ่งทีแล้วกล่าว
“จริงสิ นายท่าน ถุงเงินผู้น้อยอยู่กับท่าน
“หืม?”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ย้อนคิดตาม ช่วงบ่ายนี้พวกเขาซื้อของหลายอย่างมาก เด็กรับใช้ต้องจ่ายเงิน อีกทั้งสิ่งของที่ถือพะรุงพะรัง เขาจึงนำเงินมาไว้ที่ตนเองบอกว่าจะจ่ายเอง แต่ต่อมา
“ข้าคืนให้เจ้าแล้วหรือเปล่า”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสงสัย
“ไม่มีนะขอรับ นายท่าน ข้าเห็นกับตา ท่านเอาใส่ไว้ในช่องแขนเสื้อ”
เด็กรับใช้กล่าวอย่างมั่นใจ เวลานี้สีหน้าของหรงฝู่เลาไม่สู้ดีเอามาก ๆ ลูกค้าสองคนนี้คงมิใช่พวกอวดเบ่ง กินแล้วไม่ยอมจ่ายหรอกกระมัง หอเจิ้นเชียงแห่งนี้มิใช่ธรรมดา แม่นมของนายอำเภอเป็นป้าสะใภ้ของหลงพัน นับได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ
“เหลวไหล! ในที่ตัวข้าสักอีแปะก็ไม่มี เจ้าดูสิ เจ้าใส่ไว้ในห่อผ้าหรือไม่”
บนโต๊ะด้านหลังเด็กรับใช้วางของที่ซื้อมามากมาย เหยี่ยวปลอมขนาดใหญ่ หน้ากากเทพภูเขาสามอัน ยังมีของเล่นเด็กอีกจำนวนหนึ่ง และแวะซื้อขนมกุ้ยฮวา ชายหนุ่มจับจ่ายอย่างไม่ตระหนี่ ซื้อขนมกลับให้หลายร้าน พ่อค้าต่างรู้สึกเกรงใจ จึงบรรจุในกล่องบุผ้าให้ มองปราดเดียวไม่รู้ยังคิดว่าเป็นของมีค่า ห่อสัมภาระที่มีทั้งหมด แม้แต่ในผ้าพันเอว เด็กรับใช้พลิกดูหมดแล้ว ทว่าหาไม่เจอสักอีแปะเดียว สองนายบ่าวมองหน้ากันนิ่งอึ้งไปชั่วคณะ เมื่อระลึกได้ว่ามีชายผู้หนึ่งเดินมาชนเบียดเมื่อตอนที่ฝ่าฝูงชนออกมา
“แย่แล้ว! ถุงเงินถูกขโมย!”
ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง นึกได้ในฉับพลัน
“อะไรนะ ถูกขโมยได้ยังไง!” เด็กรับใช้ตาโต ร้องตกใจตาม
“น่าจะระหว่างเดินมาภัตตาคาร”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยายามนึก ยังใช้มือออกท่าทางพลางกล่าว
“มีผู้ชายสองคน คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเดินเบียดข้าตลอดทาง แต่ข้าไม่ทันคิดว่าจะเป็นหัวขโมย!”
“ทั้งสองท่านเล่นละครกันเสร็จหรือยัง”
ขณะที่พวกเขา เจ้าพูดคําข้าพูดคำ โต้เถียงกันว่าทำถุงเงินหายเมื่อใดหรงฝู่เลายืนหัวโด่จนตากระพือแล้วเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหน้าเสือร้ายเสียอีก
“อะไร ข้าโดนขโมยถุงเงิน เป็นเรื่องจริงนะ เงินแค่สี่ตำลึงกว่าข้าจะไปโกงเจ้าทําไมกัน!”
ชายหนุ่มอารมณ์เสีย กล่าวเสียงดัง
“เจ้ามีเงินงั้นเหรอ? งั้นข้าขอถามหน่อย เงินของท่านอยู่ที่ใด หึ! ถือว่าวกระจอกกลับกล้าโอ้อวดตัวเป็นนายท่าน มาหลอกถึงบนหัวข้า พวกเจ้าไม่กลัวตายกันสินะ!"
มีนักแสดงสองคนบนเวทีรับส่งโต้ตอบบทกัน ตั้งท่าจะปั่นประสาทเถ้าแก่เช่นเขารึ
“พวกเจ้ากินแล้วชักดาบชัด ๆ! เป็นนายท่านจอมปลอมเสียมากกว่า!”
"หา! เถ้าแก่ ท่านกล้าว่านายท่านของข้าหรือ!” ต่อให้ต้องตายอันเต๋อก็ไม่กลัวร้องโวยลั่น จนทำให้เถ้าแก่หรงฝู่เลารำคาญถลกแขนเสื้อตะเบ็งเสียงพวกเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็มาทันที พอรู้ว่าเป็นพวกอวดเบ่งกินแล้วไม่จ่าย แต่ละคนก็ทำหน้าถมึงทึงดุดัน บางคนถือมีดหั่นผักตั้งท่าจะฟัน
“นายท่าน! ระวัง!”
ถึงแม้จะกลัว แต่เด็กรับใช้ก็ยืดหลังตรงแสดงอาการปกป้องอยู่ข้างหน้าเจ้านาย ยกหมัดขึ้นกล่าว
“พะ...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร อย่ามาระรานกันนะ! ...ข้าเป็นวรยุทธ์ ทะ...ที่สำคัญ นายท่านของข้า พวกเจ้าแตะต้องไม่ได้!”
“เหอะ! ทําไมจะแตะไม่ได้? เขาเป็นเทพเซียนหรือไง!”
“เด็ก ๆ จัดการมันสองคน”
หรงฝู่เลาตบมือออกคำสั่ง อารมณ์ตอนนี้ของเขาไม่สู้ดีนัก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาเต็มกําลังคว้าตัวเด็กรับใช้ไว้ได้โดยบิดแขนจับไว้แน่น กดตัวไว้กับพื้นหิน เด็กรับใช้เจ็บจนร้องโวยวาย
“นายท่าน! นายท่าน! ช่วยข้าด้วย!”
“อันเต๋อ!”
ชายหนุ่มร้อนใจ อยากช่วยคน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนค่อนข้างมาก หลังจากยื่นมือขวาง เขาก็ถอยถึงมุมใน
“เจ้าว่ามาจะเอายังไง” เถ้าแก่หรงฝู่เลากล่าวถามจริงจัง “อยากให้ข้าแจ้งจับพวกเจ้ากับทางการหรือเด็ดแขนเจ้าเด็กรับใช้นี่แทน? ให้ทุกคนดูผลของการอวดเบ่ง กินแล้วไม่จ่าย?"
“ไม่ แจ้งทางการไม่ได้!”
ชายหนุ่มรีบพูด เป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี กลับกินแล้วไม่จ่าย ถูกจับส่งทางการ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋จะเหลือหรือ? ต่อให้ตายก็ก้าวเข้าที่ว่าการอำเภอไม่ได้ ความลับที่ปลอมตัวแทรกซึมเข้ามามีหวังความแตก!
“งั้นพวกเราตัดแขนเจ้าเด็กนี่แล้วกัน?” เถ้าแก้หรงฝู่เลาแสยะยิ้ม
“ไม่! ไม่! ไม่ได้..!!” ชายหนุ่มโบกมือพัลวัน “ช้าก่อน!”
“วิธีนี้ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ เจ้าใหญ่มาจากไหนวะ!” หรงฝู่เลาตบโต๊ะกล่าวอย่างเดือดดาล
“ข้ามีวิธีอื่นจ่ายเงิน” ชายหนุ่มหันหน้ามากล่าว
“เป็นวิธีใด” หรงฝู่เลาเลิกคิ้วคิดกล่าวแบบหนังหน้ายิ้มแต่กล้ามเนื้อไม่ยิ้มตาม “ให้คนที่บ้านเจ้าส่งเงินมา?”
“ข้าเป็นคนนอกพื้นที่อยู่ต่างเมือง บ้านข้าอยู่ไกลมากคงนําเงินมาให้ทันทีมิได้ แต่ข้าเขียนอักษร ไม่ก็ป้ายคําขวัญให้พวกเจ้าได้!" ชายหนุ่มกล่าว “รับรองอนาคตพวกเจ้าต้องกิจการรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา!”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเรอะ? ตัวอักษรของเจ้ามีค่าสักเท่าไรกัน อักษรกาก ๆ ฮ่า ๆ ๆ”
หรงฝู่เลากับพวกลูกน้องหัวเราะขำขันชายหนุ่มที่พูดบ้าบอจนเจ็บหน้าอก
“อักษรขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องเป็นหนึ่งในใต้หล้า มีเงินหมื่นยังซื้อไม่ได้ ส่วนของเจ้านั่นหรือ เหอะ โยนไว้ในส้วมก็ไม่มีใครอยากได้!"
“บังอาจ! พวกเจ้ากล้าสบประมาทนายท่านของข้าเช่นนี้ เหิมเกริมไปแล้ว! บังอาจมาก!"
ถึงแม้จะถูกกดลงกับพื้น ควบคุมแน่นหนา เด็กรับใช้ยังคงตะเบ็งเสียงกร้าวสุดฤทธิ์
“นายท่าน อย่าสนใจพวกเขา ให้เด็ดแขนข้าไปเลย เหอะ! เพื่อเจ้านาย หัวข้าก็ยอมถูกตัดได้!”
แม้จะพูดเช่นนี้ เด็กรับใช้กลับสั่นกึก ๆ ดูท่าเจ้าตัวจะตกใจจนเกือบฉี่ราดกางเกง ชายหนุ่มไม่อาจเห็นเด็กรับใช้ถูกตัดแขนได้จริงๆ พูดอีก “ก็แค่อาหารมื้อเดียวถึงกับจะเอาชีวิตคนกันเลยเชียวหรือ”
“ข้าล้างชามได้” ชายหนุ่มรีบกล่าวต่อ "ล้างชาม ถูพื้น เช็ดทำความสะอาด งานครัวทุกอย่าง มื้อนี้ต้องทำงานเท่าใดถึงชดใช้ได้หมด ข้าก็จะทำ!”
“ได้! ค่อยสมกับเป็นคนพูดหน่อย”
ครั้งนี้หรงฝู่เลากลับยอมรับเสียง่าย ๆ ถอนหายใจและส่ายหัว เขายกมือให้สัญญาณ ให้ปล่อยเด็กรับใช้ช่างโวยวายนั้น จากนั้นก็จับลูกปัดหยกที่พกติดตัวไปพลางพูด
“ชุนหลี่ ยงเจิ้ง พวกเจ้าคอยดูพวกเขา ให้ไปล้างชามที่ลานด้านหลัง ถ้ากล้าแอบหนีก็เอาแส้ม้าฟาดได้เลย! ทำงานล้างชาม สิบใบเป็นเงินหนึ่งเหรียญ สี่ตำลึงหกอีแปะ คิดดอกเบี้ยทบไป ทั้งหมดรวมเป็นสามสิบตำลึง น่าจะหนึ่งหมื่นใบ แล้วต้องหักค่าอาหารประจำวันเพิ่มอีก เอาเป็นว่าหลังจากนี้หกเดือนพวกเจ้าจึงไปได้”
“อะไรนะ!” เด็กรับใช้ได้ฟังแล้วเด้งขึ้นมาทันที “พวกเจ้าข่มเหงกันนี่หว่า!”
รังแกคนอื่นชัด ๆ
“ช่างเถิดอันเต๋อ แม้อาหารมื้อนี้จะมีราคาสูง แต่หากทำงานชดใช้แทนเงินเดือนสองเดือน ก็เพียงพอแล้ว คิดตามวิธีเถ้าแก่อาจมากเกินไปหลายเท่านัก แต่ยังไงเราก็ต้องทำ”
“ตะ...แต่ว่านายท่าน พวกเหยานี่ใจดำเหลือเกิน!”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย! เอาตัวไปทำงานได้แล้ว!”
เถ้าแก่หรงฝู่เลาหันไปตะคอกใส่ แล้วทั้งสองคนก็ถูกลากตัวลงไปชั้นล่างไปยังลานด้านหลัง
ท้องฟ้ามีแสงแดดจ้าจนแสบตา แต่เพราะลานด้านหลังของหอเจิ้นเชียงสร้างกระท่อมเล็กเป็นที่พักพิงคนงานไว้ไม่น้อย และที่ว่างบนลานด้านหลังมีราวไม้ มีเสื้อผ้าเก่า ผ้าขี้ริ้ว รวมทั้งของทะเลแห้งแขวนตากอยู่เต็มไปหมด เนื่องด้วยไม่มีแดดตลอดปี กลิ่นอับคาวจึงอบอวล กลิ่นพึงประสงค์ไม่เคยจางไปจากบริเวณนั้นเลยบนพื้นแผ่นหินเป็นมันเขรอะวางกะละมังไม้ใบใหญ่ ซึ่งมีกองชามตะเกียบสกปรกกองไว้สิบกว่าคู่ ม้านั่งเตี้ยที่ไม่สามารถบอกอายุอานามได้ว่าใช้งานผ่านศึกมาเพียงใดหนึ่งตัว อีกคนต้องนั่งยองล้าง บ่อน้ำที่มีตะไคร่ และลูกยุงเจริญเติบโตหนึ่งบ่อ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบทั้งหมดของลานหลังด้านหน้าคือภัตตาคาร มีอาหารดีรสเลิศให้ลิ้มชิมได้ไม่หมด แต่ลานด้านหลังนี้กลับมีสภาพชวนสะอิดสะเอียน น้ำเจิ่งนองเฉอะแฉะเหมือนคูน้ำเน่า หากมีลูกค้ามาเห็น ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากค้างเกิดอาการไม่อยากอาหารไปเลย ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อสองนายบ่าวมาถึงในตอนแรก น่ากลัวมากว่าจะมีหนูอยู่หรือไม่ มันสกปรกเสียจนที่ให้คนยืนยังไม่มีเลย แน่นอนว่าต้าหลิวกับอังโก้วที่คอยคุมพวกเขาเห็นจนชินกันแล้ว พูดว่า“พอดีเลย พวกคนที่ทำงานล้างชามก่อนหน้าน
เหตุวุ่นวายหนักจนดึงดูดผู้คนตามท้องถนนหลักพากันวิ่งเข้ามาดูในตรอก บางคนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์“เกิดเรื่องอะไรน่ะ สู้กันดุเดือดขนาดนี้”“ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองต้องการอนุเพิ่มอีกล่ะ เจ้าสาวเป็นลูกสาวบ้านหยาง”“งั้นที่ต่อสู้อยู่นี่ใครล่ะ”“เฮ้อ บางทีคงเป็นคนในดวงใจของยัยหนูสกุลหยางกระมัง ถึงได้กล้าตายมาขวางอยู่อย่างนี้”แม่ค้าขายซาลาเปาพูดด้วยสีหน้าหดหู่“เวรกรรมเสียจริง ใครก็รู้ท่านเจ้าเมืองควานเหลียงมักมากที่สุด เมียนี่ก็แต่งสิบคนเข้าไปแล้ว คราวนี้ ใครจะหยุดเขาได้”ตึง! ตึง!ฆ้องเบิกทางเสียงดัง ตามด้วยเสียงกลองปานเขย่าฟ้าให้ร่วง พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่กรูมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางแบบลนลานคุกเข่าสองข้างถนน ไม่กล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์อีก ผู้ที่มาคือ ‘ใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ย’ ข้าราชการใหญ่ของอำเภอควานเหลียง หรือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง ปีนี้อายุสี่สิบสามรูปลักษณ์ภูมิฐาน รูปร่างอวบอั๋นมีพุง แต่สูงใหญ่ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง นั่งบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ วางท่าองอาจห้าวหาญคล้ายไก่ตัวผู้สวมหมวกแดง ทหารที่เขานํามามีจํานวนสี่ห้าเท่าของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ เข้าควบคุมสถานการณ์วุ่นวายไว้ในทันที หัวหน้าเจ้า
นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม
ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดาองค์รัชทายาทห
หลังค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อก็ส่งข่าวให้ฮ่องเต้แคว้นซีทรงทราบว่าพบตัวองค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาแล้ว และทางนั้นก็ได้ส่งสารตอบรับกลับมาว่าโปรดดูแลองค์ชายสิบของบรรณาการให้ดีแทนน้ำใจชาวแคว้นซีด้วยพิธีต้อนรับจัดขึ้นอย่างง่าย องค์ชายสิบได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเฟิ่งอี๋ ขั้นเก้า ชั้นเอก สนมลำดับต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก รับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อู๋เสี่ยวหวาได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหยานชุนในฐานะ เฟิ่งอี๋ แล้วไหนจะต้องคอยรับฟังผู้คนนินทาว่าเป็นชาวซีเป่ยไร้เกียรติ แคว้นซีเล็กต่ำต้อย แต่อู๋เสี่ยวหวาก็มิได้เก็บมาใส่ใจนักวังหลวงแคว้นเหยาหยานชุน ณ ตำหนักซิงอี๋เหล่ยหลังจากเขียนอักษรเต็มพรืดเสร็จไปอีกหนึ่งแผ่น อู๋เสี่ยวหวาวางพู่กันลง หมุนคอซึ่งปวดเมื่อยแข็งล้า บิดเอว ถามอันเต๋อจื่ออีกครั้ง“องค์รัชทายาทกลับมาหรือยัง”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พี่โจวจือหยวนตําหนักหน้าบอกว่า ถ้าองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเสด็จกลับมา จะทูลให้มาที่ห้องหนังสือทันที”อันเต๋อจื่อส่งชาแดงใส่ผลเป๊ะก๊วยผสมน้ำตาลกรวดชงใหม่ ๆ หนึ่งถ้วยให้องค์ชายสิบ“องค์ชายสิบทรงกระหายหรือไม่ ทรงพักสักหน่อยเถิด ค่อยเขียนต่อดีก
หลังฝนตกหนักห้าวันติดต่อกัน ท้องฟ้าโปร่งใสเป็นพิเศษ นกกระจิบบินเข้าอุทยานตำหนักชิงอี๋เหล่ย ส่งเสียงร้องวุ่นวายไม่หยุด บ่าวรับใช้สาดน้ำที่หน้าระเบียง กวาดถูขั้นบันได วันยุ่ง ๆ เริ่มจากเวลานี้อู๋เสี่ยวหวาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคึกคักนี้ หลังจากหาวหวอดใหญ่หนึ่งที ก็ลูบขอบเตียงด้านนอกด้วยความเคยชิน ผิวผ้าด้านข้างเย็นเฉียบว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่“ซีเอ่อ?”เขาเลิกผ้าห่มปักดิ้นลุกขึ้นนั่งหัวฟู อันเต๋อจือรีบเดินมา รวบม่านคลุมเตียงไหมปักชิ้นงามขึ้น นางกำนัลวัยขบเผาะสี่นางเดินเข้ามารับใช้เฟิ่งอี๋ ล้างหน้า หวีผม“เฟิ่งอี๋ เมื่อคืนทรงบรรทมสนิทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อันเต๋อจื่อยิ้มตาหยี ขันทีอายุอานามเดียวกันกับอู๋เสี่ยวหวาที่ติดตามมารับใช้จากแคว้นซี ในคราแรกเขาไม่ได้ถูกส่งมาเฝ้ารับใช้องค์ชายสิบ จึงต้องกลับแคว้นซี แต่เขาคุกเข่าขอร้องอยู่หลายครั้ง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ คอยรับใช้องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา ฮองเฮาแคว้นเหยาจางหรงผิงเห็นแก่เขาที่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเจ้านายจึงอนุญาตให้อยู่รับใช้ข้างกายอู๋เสี่ยวหวาต่อ ทั้งสองตัวติดกันใช้ชีวิตเป็นบ่าวกับนายมาถึงสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาย
“ใช่ เห็นว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทสนิทสนมกับเฟิ่งอี๋มากเกินไป ไม่เหมาะไม่ควร เหลียงตี้ที่เพียบพร้อมกว่า แสนสง่างามกว่า อยู่มานานกว่ากลับได้รับการปฏิบัติที่ห่างเหิน จึงได้มีรับสั่งห้ามไปหาเฟิ่งอี๋แต่เพียงผู้เดียว ให้แวะเวียนไปเยือนพระสนมนางอื่นบ้าง เฮ้อ แต่ว่าก็ว่านะ ตำหนักชิงอี๋เหล่ยเนี่ยหากขาดองค์รัชทายาทมาเยือน ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียวเลยจริง ๆ"“บังอาจนัก พวกกำเริบเสิบสานนินทานาย!”ประโยคตําหนิของอู๋เสี่ยวหวาทําให้นางกํานัลทั้งสองตกใจมาก พวกนางรีบคุกเข่าลง ก้มศีรษะคํานับขออภัย “ฟะ..เฟิ่งอี๋! โปรดให้อภัยด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้..”“ฐานะเป็นนางกํานัลกลับปากพล่อย ดอกไม้ไม่หอม ต้นไม้ไม่เขียวอะไร หาที่ตายใช่หรือไม่!”“พวกบ่าวมิกล้าอีกแล้ว! ขอเฟิ่งอี๋โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!” นางกํานัลทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวทั้งตัวสั่นงันงก“ไม่ได้! ปล่อยพวกเจ้าไว้ไม่ได้! ข้าจะกราบทูลฮองเฮาให้อบรมพวกเจ้า!” อู๋เสี่ยวหวาตําหนิหนัก สั่งขันทีไล่สองคนนี้ออกไป“เฟิ่งอี๋โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ วางพระทัยให้นิ่ง ๆ ”อันเต๋อจื่อพูดปลอบอู๋เสี่ยวหวา ต่อมาอู๋เสี่ยวหวาที่คล้ายกับเพิ่งได้สติคืนมามองอั
เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั
“หลีกไป! อันเต่อจื่อ เจ้า..เจ้านี่! หาญกล้าขวางเราเรอะ!” เสียงโหวกเหวกโกรธเกรี้ยวดังขึ้นตรงประตูตำหนัก องค์ชายหกอู๋ซั่วสีเห็นว่าหวังซีเอ่อเอาอกเอาใจน้องสิบเขาเหลือเกินจนน่าหมั่นไส้“อ้า ใช่ ๆ ยังมีคนนี้อีกคนที่โอ๋องค์ชายสิบมากพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฉิงเอินเคยได้ยินประวัติองค์ชายหกมาก่อน“เจ้าเอะอะมากไปแล้วหรือเปล่า คิดรบกวนเสี่ยวหวาพักผ่อนรึ?” หวังซีเอ่อสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปตําหนิองค์ชายหกอู๋ซั่วสีแบบไม่เกรงใจ“เหอะ! น้องสิบพักผ่อนแล้วจริงนะ” อู๋ซั่วสีเห็นหวังซีเอ่อออกมา เพลิงโกรธดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น นัยน์ตาหงส์ถลึงวาวโรจน์“ทำไมกัน น้องสิบของข้าต้องโชคร้ายมาแต่งเป็นฮองเฮาของเจ้านะซีเอ่อจอมทรราชย์!”“หา..!! ข้าจะโกหกเจ้าทําไม เสี่ยวหวาบรรทมแล้วจริง และเรื่องที่ว่าข้าเป็นทรราชย์ ทรงตรัสใหม่ด้วย เหลวไหลสิ้นดี!” หวังซีเอ่อเดือดกลับ จ้องอู๋ซั่วสีอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะเป็นพี่หกคนสนิทของอู๋เสี่ยวหวา โครงเค้าหน้ามีความคล้ายกันหลายส่วน แต่สําหรับหวังซีเอ่อมิได้มีความรู้สึกเอ็นดูให้แม้แต่น้อย กลับเป็นเตรียมป้องกันเสียมากกว่า เพราะเจ้าหมอนี่ถ้าแค่ ‘ห่วงใย’ แบบบริสุทธิ์ใจก็ไม่เป็นไร กลัวแต่จะนําความยุ่ง
อาจเพราะการต่อสู้กับหวังซีเอ่อก่อนหน้านี้หอมหวานเกินไป เดิมอู๋เสี่ยวหวาง่วงจนไม่ไหวแล้ว ขณะนี้กลับไร้ซึ่งความง่วง เขาเอนตัวลงบนเตียงบรรทมหันหน้าแดงซ่านไปด้านในด้วยความโกรธปุด ๆ ไร้คําพูดไปชั่วคราวเวลานี้เองด้านนอกแจ้งเข้ามาว่าหลิวเฉิงเอินเยวียนสื่อสำนักหมอหลวงขอเข้าเฝ้า เดี๋ยวอีกสองชั่วยามเขาก็ต้องเดินทางกลับแคว้นเหยาชุนพร้อมหวังซีเอ่อแล้ว เวลาแสนสุขที่ได้อยู่ด้วยกันช่างแสนสั้นยิ่งนัก“หมองั้นหรือ?” อู๋เสี่ยวหวาจำได้ว่าตนเองมิได้เรียกหมอหลวงนี่นา ครั้นจะหันไปมองหวังซีเอ่อด้วยความสงสัย คอกลับแข็งทื่อเสียอย่างนั้น หวังซีเอ่อกลับแก้ความคิดของอู๋เสี่ยวหวากล่าวโดยไม่ปรึกษาใคร“ฮองเฮา เป็นข้าที่เรียกหมอหลวงในวังเจ้ามาเอง” จากนั้นหวังซีเอ่อก็ให้คนเรียกหมอหลวงเข้ามา“ข้าอยากให้เขามาตรวจร่างกายเจ้าเตรียมความพร้อมออกเดินทาง” หวังซีเอ่อพูด นั่งลงที่ข้างเตียง ยื่นมือลูบหน้าผากของอู๋เสี่ยวหวา“ดูเหมือนจะร้อนนิดหน่อย”“ไม่มีสักหน่อย! ข้าสบายดีมาก ต่อให้เดินทางไกลหลายร้อยลี้ด้วย ข้าแข็งแรงจะตาย!” อู๋เสี่ยวหวางอนเหมือนเด็ก หันหลังให้“ข้ารู้แล้ว” หวังซีเอ่อตอบรับแต่หมอหลวงหลิวก็เข้ามาอยู่ดี“ข้าผู้น
อาจจะรู้สึกผิดที่ต้องให้ฮองเฮามานอนในที่ทุรกันดาร ในถ้ำที่อับชื้นเพียงมีกองไฟที่ให้ความอบอุ่น พอประทังไม่ให้อู๋เสี่ยวหวาล้มป่วยได้ หลังการขอคืนดี ทั้งสองคนกลับมาปรองดองรักกันดั่งเดิม หวังซีเอ่อก็ได้วางแผนจะกลับแคว้นเหยาเพื่อทวงคืนบัลลังก์ของเขาคืนจากไห่หมิงหราจวิ้นอ๋อง มารเฒ่าที่กล้ายึดครองอำนาจ และพิธีแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นอีกในห้าวันต่อจากนี้ หวังซีเอ่อต้องรีบกระตือรือร้นทำอะไรสักอย่างรุ่งเช้าขึ้นเขาจะพาฮองเฮาไปส่งวังหลวงตามที่อู๋เสี่ยวหวาบอกให้นำตัวเขาไปต่อรองกับพวกราชองครักษ์ทหารที่ฮ่องเต้อู๋ซั่วกู๋ส่งให้มาตามล่าหวังซีเอ่อ เปิดทางให้หวังซีเอ่อเข้าไปพูดคุยเจรจาและขอโทษอย่างจริงใจต่อชาวซีเป่ยที่ชาวหยานชุนเคยกดขี่ไว้ฝนหยุดตกแล้ว ภายนอกถ้ำบรรยากาศสดชื่นพร้อมต่อสู้กับวันใหม่ หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาเดินทางกลับเข้าวัง ถูกหัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์วังหลวง ‘ซือมัวหลง’ ขวางไว้ที่นอกประตูวังหลวง แต่แล้วทั้งสองก็เข้ามาได้เพราะองค์ชายสามอู๋ติ้งเกาและอันเต๋อร์จื่อที่รอร่วมแผนการณ์กู้บัลลังก์ให้ฮ่องเต้หวังซีเอ่ออยู่แล้วเมื่ออู๋เสี่ยวหวามาถึงก็ได้แจ้งหัวหน้าขันทีให้