แชร์

บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-14 03:14:37

นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา

“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน

“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมตรวจสอบแล้ว องค์ชายสิบบรรณาการแคว้นซีพร้อมขันทีอันเต๋อจื่ออยู่ในเมืองควานเหลียนห่างออกไปสองร้อยลี้พ่ะย่ะค่ะ"

เขาพูดจบก็ส่งของชิ้นหนึ่งให้ด้วยสองมือ มันคือถุงหอมผ้าแพรเย็บด้ายเงินปักลายดอกอิงฮวาบานสะพรั่ง ฝีมือเย็บประณีตทั้งด้านในและด้านนอก สีสันสดใสเหมือนจริง ฝีมือประณีตชั้นเซียน เป็นงานในราชสำนักของแคว้นซี ไม่ต้องสืบก็รู้เลยว่ามันเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง กลิ่นหอมเลือนหายไปหมดแล้ว

บุรุษในชุดเกราะทองรับถุงหอมนั้นมาจ้องมอง ก่อนกําไว้ในมือแบบฉับพลัน สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งนั้นทำให้หลายคนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า หลายเดือนแล้วที่ต้องรอคอยบรรณาการจากแคว้นซีมาส่งมอบ แต่ก็ยังมาไม่ถึงเสียทีเมื่อทวงถามก็ได้ความว่าองค์ชายสิบแคว้นซีหายตัวไป องค์รัชทายาทจึงรับช่วงต่อว่าจะออกตามหาบรรณาการแสนล้ำค่านี้ด้วยตนเอง

“ถ่ายทอดคําสั่งองค์รัชทายาท ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังเมืองควานเหลียง ค้นหาองค์ชายบรรณาการ” เสียงของบุรุษในชุดเกราะหุ้มเบาทว่ามีพลัง แต่ละคําราวกับฟ้าจะถล่มลงมาได้

ปัง! ปัง! ฟิ้ว!

ฟ้าใกล้มืดค่ำลงแต่แสงสียังคงประดับสว่างจ้า หน้าประตูคฤหาสน์ของเจ้าเมืองควานเหลียง ละอองฝุ่นควันและเศษกระดาษสีแดงของประทัดเกลื่อนเต็มถนนใหญ่ ใต้เท้าเฉินผู้นี้แต่งภรรยามาแปดคนแล้ว เมื่อหน้าประตูคฤหาสน์ลั่นฆ้องดังสนั่น ชาวบ้านมารวมตัวมุงดูกันครึกครื้น ทุกคนต่างอยากเห็นว่าบุรุษรูปโฉมงดงามหน้าตาเป็นอย่างไรกัน จึงทำให้เฉินสวี่เหล่ยยอมจัดงานใหญ่โตไปรับมาเป็นภรรยาเช่นนี้

นอกจากภรรยาหลวงแล้ว อนุเหล่านั้นล้วนถูกพาเข้าทางประตูแบบดิ้นรนมากกว่าสมยอม งานครั้งนี้ไม่ได้ป่าวประกาศมากนัก ผู้คนมากมายล้อมวงมุงดูแขกเหรื่อที่มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ ใต้เท้าเฉินในฐานะเจ้าบ่าวยืนที่ประตูใหญ่ ประสานมือน้อมคํานับยิ้มแย้มต้อนรับแขกรอบด้าน แขกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนร่ำรวยมีเกียรติ พ่อบ้านตระกูลเฉินรับรายการของขวัญจนมือแทบอ่อนแรงกันเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นพ่อบ้านยังต้องตะโกนขานแต่ละรายการที่รับมาด้วย

“ท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋ เมืองเซิงเฟิ่ง มอบชุดแพรไหมสีขาวลวดลายดอกเหมยสะพรั่งสี่ชุด ต้นไม้ปลอมหนึ่งกระถางสองต้น มีคู่มีสุขร้อยปี!"

เด็กรับใช้สองคนยกชุดแพรไหมสีขาวซึ่งโรยดอกอิงฮวากับดอกกุ้ยเหมยไว้ด้านบน วางในกล่องไม้เคลือบครั่งแดงเข้าไป ข้างหลังมีคนยกกระถางต้นไม้คู่อันหนึ่งด้วยสองมือ สามารถเห็นต้นไม้สนต้นสีทองวาววับคู่หนึ่งได้เต็มตา ขนาดใหญ่จนเกือบบังหน้าคนถือ ชาวบ้านที่มุงดูเห็นแล้วไม่มีเลยที่จะไม่ตื่นเต้นประหลาดใจ

 ของชิ้นนี้ต้องจ่ายเงินสักเท่าไรกัน เฉินสวี่เหล่ยย่อมยิ้มหน้าบานต้อนรับฮูหยินไป๋จากอำเภอเซิงเฟิ่งด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พากันถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบครู่หนึ่ง ใต้เท้าเฉินก็พาท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋เดินเข้าไปส่งถึงด้านในงาน สั่งคนรับใช้ให้การต้อนรับอย่างดี แล้วย้อนกลับไปต้อนรับแขกที่หน้าประตูต่อ

จวนใหญ่สกุลเฉินใหญ่โตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งใต้เท้าเฉินรับราชการจวนก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นสามเท่า เสียงโหวกเหวกหน้าประตูใหญ่ส่งไปไม่ถึงด้านหลังแม้แต่น้อย บริเวณนั้นมีจวนเล็กหลังงามหนึ่งหลัง ตกแต่งคล้ายตำหนักในราชวังหลวง เห็นชัดว่าเพื่ออวดฐานะร่ำรวย ใต้เท้าเฉินได้สร้าง ห้องต้อนรับ ศาลา สะพานน้อย ธารน้ำ โดยอ้างอิงรูปแบบจากเคหสถานของเมืองหลวงทุกอย่าง

นอกจากนี้ด้านในได้วางกำลังป้องกันแน่นหนาา ในสวนเงาไม้ร่มรื่น กิ่งก้านดอกผลิบาน ภายในมีหน่วยคุ้มกันซ่อนตัวอยู่ คนนอกนึกอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ คนในยิ่งแล้วใหญ่อย่าคิดจะออกไปได้

ปัง!

บานประตูไม้แกะสลักละเอียดละออถูกถีบจนสั่นสะเทือน หน่วยคุ้มกันเหล่านั้นชินชาไปเสียแล้วจึงไม่มีสักคนขยับเขยื้อน มีเพียงชะโงกหน้าดูแล้วก็กลับมามีท่าทีเหมือนเดิม

“คุณชายที่แสนดีของข้า วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน ควรเตรียมตัวให้สวยงามผุดผ่องเสียหน่อยนะ ท่านจึงจะพบปะแขกเหรื่อในงาน...”

เสียงของหญิงสูงวัยกล่าวขึ้น “ท่านแต่งงานก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”

หลังจากถูกจับตัวมาอยู่ที่นี่ได้สามชั่วยาม ใต้เท้าเฉินก็ได้อธิบายบอกคนในจวนนี้เกี่ยวกับคุณชายที่ถูกจับตัวมา ทุกคนล้วนต่างคิดว่าคุณชายท่านนี้อวดเบ่งกินแล้วไม่จ่ายที่หอเจิ้นเชียง เจอการสั่งสอนของหรงฝู่เลาเข้าไปได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงกลายเป็นสติขาด ๆ เกิน ๆ กล้าเรียกตัวเองด้วยคําสรรพนาม แทนตัวเองตลอดว่าเป็นองค์ชายสิบแคว้นซี

 เป็นถึงบรรณาการส่งมอบให้องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ กล้าที่จะแย่งชิงขององค์รัชทายาทไม่กลัวตายหรือ? แม้ตรวจสอบพบว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนไร้อัณฑะ ซึ่งหากไม่เรียกว่าคนไร้อัณฑะก็เหลือแค่ขันทีในวัง ทว่าเจ้านายเป็นบ้าคนรับใช้ไม่บ้าตามไปด้วยหรือ ยากที่จะเชื่อ หลอกคนอย่างใต้เท้าเฉินไม่ได้หรอก

“ท่านดูสิ ชุดมงคลตัวนี้เป็นของจากหยานชุนเชียวนะ ขึ้นเงาสีแดงสดเหมาะกับผิวพรรณของท่านมาก เพื่อคุณชายแล้ว ท่านเจ้าเมืองเสียเงินไปมาก คุณชายเสิ่น วันข้างหน้าปรนนิบัตินายท่านดี ๆ นะเจ้าคะ”

เพราะเจ้าตัวเอาแต่ออกตัวว่าเป็นองค์ชายสิบบรรณาการขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ ทุกคนจึงไม่อยากถามมาก และได้ถามเด็กรับใช้ว่าแซ่อะไร เด็กรับใช้บอกชื่อปลอมให้เรียกว่า “คุณชายเสิ่น” ไปเลย

“เหอะ! ถ้าหากดีขนาดนั้น ทำไมเจ้าไม่แต่งเองล่ะห้ะ! พูดอีกอย่างมีบุรุษที่ไหนแต่งงานเป็นเจ้าสาว?!"

“เอ๋...ไม่เห็นแปลก ท่านลืมแล้วหรือว่าเหยาชุนของเราเป็นแคว้นอิสระ ยอมรับเรื่องบุรุษแต่งงานกันได้ สตรีกับสตรีก็ด้วยเช่นกัน ท่านลืมไปแล้วหรือ?”

ประโยคนี้ของแม่นมหงทำให้อู๋เสี่ยวหวาเงียบปากหน้าเจื่อนลง ไม่ผิด เขาลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรกันนะว่าขนบธรรมเนียมแคว้นเหยานั้นไม่เหมือนแคว้นซีของเขา ถึงแคว้นซีจะไม่ได้ยอมรับเรื่องบุรุษรักกับบุรุษ อิสระในการครองคู่ก็พอลดหย่อนผ่อนผันกันได้ ฉะนั้นแล้วตรงไหนไม่เหมาะสมที่บุรุษจะแต่งในชุดเจ้าสาว แต่ความรู้สึกของ “จับมือกันไปจนแก่เฒ่าฟ้าตราบฟ้าดินสลาย” นั้นแตกต่างกับการแต่งงานที่กําลังจะเกิดขึ้น

นี่มันเป็นการฝืนบังคับให้แต่งงาน แต่เพราะอู๋เสี่ยวหวาเสนอตัวเองเข้ามาเป็นผู้พิทักษ์เอง หนูตกในอวน กับดักชัด ๆ เลยต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทน การเหยียบย่ำในศักดิ์ศรีขององค์ชายสิบที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้น ที่หนีไม่ต้องการเป็นของบรรณาการสวามิภักดิ์ พยายามเลื่อนเวลาออกไปแต่ไม่คิดว่าจะมาอับโชคเจอที่ซวยกว่าอีก! อู๋เสี่ยวหวาอดทนไม่ไหว แย่งชุดมงคลในมือแม่นมหงมาโยนลงพื้นแล้วออกแรงฉีกชุด

“ตายแล้ว! คุณชายเสิ่น ทำลายของมงคลเช่นนี้ได้ที่ไหนกันเจ้าคะ! ท่านนึกรังเกียจเดียดฉันท์ใต้เท้าเฉินมากเพียงนี้เลยหรือ..ใต้เท้าเฉินก็รูปงาม คู่ควรเหมาะกับคุณชายเสิ่นนะเจ้าคะ”

แม่นมหงพยายามห้ามสุดกำลังพร้อมพูดโน้มน้าวไปด้วยในเวลาเดียวกัน

“บัดซบ! ใช่ที่ไหนกัน! ข้าเห็นธาตุแท้เขาต่างหาก เดรัจฉานเฒ่าในร่างมนุษย์!”

อู๋เสี่ยวหวาระเบิดอารมณ์ โมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“แล้วก็ใต้หล้านี้มีเพียงเสด็จแม่กับเสด็จยายของข้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีกที่เหมาะจะเรียกได้ว่ารูปงาม!”

“คุณชาย หน้าตาของท่านก็เป็นสีสันเลิศล้ำของโลกมนุษย์แล้ว มามา นั่งลง ข้าจะหวีผมให้เจ้า”

“อย่าแตะต้องข้า ไสหัวไป!” อู๋เสี่ยวหวาขัดขืนกล่าวเสียงแข็ง

แม่นมหงถอนหายใจยาว คุณชายท่านนี้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เห็นใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้วจึงร้องสั่งยามสองสามคนเข้ามา อย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจธรรมเนียม

“ชายหญิงห้ามแตะต้องกัน”

“ปล่อยข้า! หยุดนะพวกสุนัขจรจัด!”

ยามที่ดูมีทักษะต่อสู้สูงสี่คนเข้ามารุมจับแขนรวบขา เอาชุดมงคลแดงผลัดเปลี่ยนให้เขา ยังหวีผมแล้วสวมเครื่องประดับหยกบนศีรษะ

“คุณชายเสิ่นช่างงดงามบาดใจเสียจริงเจ้าค่ะ”

เพื่อไม่ให้เขาซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วออกไปก่อเรื่องวุ่นต่อหน้าแขกเหรื่อ แม่นมหงจึงให้ยามมัดคุณชายไว้แน่น ๆ ผูกติดกับเก้าอี้ไม้สักแล้วยังยัดผ้าคลุมหน้าสีแดงในปากด้วย

“อื้อ! อ่อยอ้าอะ ! (ปล่อยข้านะ! ข้าคือองค์ชายสิบนะ!)”

แววตาเสี่ยวหวาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจอกแทบจะระเบิด จะให้แต่งงานทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ

“เอาละ พวกเจ้าทุกคนคงเหนื่อยกันแล้ว ไปดื่มเหล้ามงคลกันเถอะ คุณชายเสิ่น เดี๋ยวสักครู่จะมีคนมาแบกท่านออกไปนะ”

แม่นมหงให้สาวใช้และยามถอยออกจากห้องทั้งหมด ส่วนนางจัดการธุระของตนเองเสร็จแล้วจึงออกไปรับรางวัล อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อซึมเต็มหน้าผากแทบจะเอาเท้ามาเกย อยู่ ๆ ก็เจอคําสาป ‘แต่งงาน’ เสี่ยวหวาอัดอั้นคับข้องใจ โกรธจนอยากฆ่าคนเป็นครั้งแรกในชีวิต และหากวิเคราะห์ถึงท้ายสุด ที่ตนเองตกอับถึงขั้นนี้ล้วนเป็นความผิดของตนเอง

ถ้าไม่ดื้อรั้นหนีออกมาถ่วงเวลาเป็นของบรรณาการ ถ้ายอมไปง่าย ๆ ป่านนี้ชีวิตของเขาคงจะดีกว่านี้ จากแคว้นบ้านเกิดจากวังหลวงมาประสบทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ได้เช่นไรก็ไม่รู้ หลังจากกลับแคว้นได้และถูกส่งมอบให้วังหลวงแคว้นเหยาคงจะได้

“เสด็จพ่อ...”

ความคับแค้นไม่พอใจในแต่เริ่มแรก เวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นความคิดถึงอันบริสุทธิ์ ยิ่งอยากกลับบ้านเกิดและขอโทษพระบิดาที่ตนนั้นไม่ยอมเชื่อฟังไม่รักดี แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขามีเพียงแต่ต้องสังหารคนชั่วด้วยมือตัวเอง! ตอนนี้คิดถึงบิดาไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาอยู่ห่างกันไกลนัก

จริง ๆ เสี่ยวหวาคิดว่าสามารถช่วยตัวเองได้ ถึงแม้ไม่เคยฆ่าคนเลยก็ตาม กำลังทหารในบัญชาการแม่ทัพเปียวนี้ทรงอานุภาพประดุจอสนีบาตล้อมจวนหลวงใหญ่ไว้ชนิดแม้แต่น้ำหยดเดียวก็เข้าไปไม่ได้ ทุกคนในจวนหลวงใหญ่ว่าการเงียบสงบ เมาหัวราน้ำกันถ้วนหน้า

ชุนหลี่และยงเจิ้งของหอเจิ้นเชียงถูกท่านแม่ทัพใหญ่ ‘จงถานไถหมิง’ ภายใต้บัญชาการขององค์รัชทายาท ‘หวังซีเอ่อ’ ดึงคอเสื้อโยนขึ้นบนขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ เขาทั้งคู่ตกใจจนหน้าไม่มีสีมานานแล้วเหงื่อไหลพลั่กแทบจะคลานกับพื้นไปเคาะประตูบานใหญ่สีแดงเข้มของที่ว่าการอำเภอ ซ้ำยังร้องตะโกนโหวกเหวกเหมือนจะถูกเชือด

“ใต้เท้าเฉิน! ท่านเจ้าเมือง! ระ...รีบเปิดประตูให้ข้าน้อยด้วยขอรับ!"

ยงเจิ้งและชุนหลี่ตัวสั่นงันงก สองเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการหลับอุตุ อะไรก็ไม่ได้ยิน ส่วนเจ้านายของทาสสองคนนี้เจ้าของหอเจิ้นเชียงนั้นกําลังเพลิดเพลินกับนางระบำในงานเลี้ยงแต่งงานด้วยกันกับเฉินสวี่เหล่ย แทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอกกำแพงสูง ทั้งสองหนุ่มจนปัญญาได้แต่คุกเข่าราบกับพื้น มองท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาขอความเห็นใจ

“ดะ...ด้านในไม่มีคนตอบขอรับ..”

ปึ้ง! ตึง! ตึง!!

สองคนหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกมือกุมหูโดยจิตใต้สำนึก เมื่อหันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นองค์รัชทายาทรูปร่างสูงใหญ่เด่นสง่าคนนั้นกำลังถือตะบอง ทันใดนั้นฝุ่นบนพื้นยังสั่นสะเทือนตามเสียงกลอง เมื่อกลองดัง ข้าราชการต้องเปิดศาลเปิดจวนออกมา แต่เสียงกลองในเวลานี้ที่หนักแน่นทรงพลังทะลุทะลวงกำแพงสูงไปได้ไม่ยาก เล่นเอาหูของชุนหลี่และยงเจิ้งเกือบพิการ เสียงกลองอึกทึกกึกก้องปะทุฟ้าคําราม ปลุกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่เมาแอ๋ตื่นได้ สองคนในนั้นวิ่งมาเปิดประตูพร้อมกับตวาดด่าไม่สนลูกใคร

“บิดามารดามันผู้ใดตายห่าตายโหง! ไม่แหกตาดูเรอะว่านี่มันเพลาไหนยังจะมาตีกลอง?!"

ประตูใหญ่จวนที่ว่าการเพิ่งแง้มได้เสี้ยวหนึ่งก็มีคนล้มคะมำเข้าไป เป็นชุนหลี่และยงเจิ่งที่สติแตก

“พวกเจ้าทำบ้าอะไร!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัวมองชุนหลี่สลับกับยงเจิ้งอย่างงุนงง ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ถูกเปิดเขย่าสั่นเสียงดังครึก บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา มือข้างหนึ่งของเขาถือป้ายสั่งการตราพยัคฆ์ทองคํา

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการยังสะลึมสะลือ เบิกตามองตราสั่งทัพสีทองอร่ามนั้นให้ดีอีกที แล้วตาก็ลุกวาวหน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงอย่างแรงทั้งสองเนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างกับทาสทั้งสอง เบื้องหน้าบุรุษผู้มีลักษณะน่าเกรงขามคนนี้คือ

“ผะ...ผู้น้อย คารวะท่านแม่ทัพใหญ่จง!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการสองคนหมอบอยู่เบื้องล่างร่างสูงใหญ่ตระหง่านราวรูปปั้นศิลานั้น เนื้อตัวสั่นไม่หยุด แล้วยิ่งตกใจหนักจนแทบตายคาที่เมื่อเจอองค์รัชทายาท

“อะ..องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!!”

“เจ้าเมืองเฉินอยู่ไหน”

น้ำเสียงทุ้มต่ำกลิ้งผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาประหนึ่งฟ้าคำรน ส่งผลให้พวกเขาฟันกระทบกันไม่หยุด ได้แค่เพียงก้มต่ำเอานิ้วที่สั่นพับ ๆ ชี้ไปที่ประตูแดงที่อยู่ด้านข้างโถงใหญ่ของจวนหลวงใหญ่ว่าการอำเภอ

“เชิญด้านในเลยขอรับท่านแม่ทัพใหญ่ ชะ...เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

แม่ทัพใหญ่หนุ่มมองประตูใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าสร้างเพิ่มเติมบานนั้น ประตูบานนี้นําตรงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนสกุลเฉิน

“เสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวคือผ่านประตูบานนี้ไปก็ไม่ใช่สถานที่ราชการศาลาว่าการอำเภอควานเหลียงอีก เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย แม่ทัพใหญ่หนุ่มเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กดหน้าผากแตะพื้นไม่กล้าเงยหน้าไป ยกเท้าขึ้นถีบประตูบานใหญ่!

เพื่อเปิดทางให้องค์รัชทายาท เกินความคาดหมาย ประตูลงกลอนหนาหนักแต่กลับปริแตก ประตูทั้งสองบานยังลอยลิ่วไปด้านหลัง กระแทกผนังที่แกะสลักลวดลายอักษร ‘อยู่เย็นเป็นสุขปกครองด้วยความเป็นธรรม’ เสียงดังยิ่งใหญ่ สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านในต่างมองตาถลน

มันผู้ใดอาจหาญกล้าพังประตูใหญ่ตระกูลเฉิน หลังจากนั้นผู้คนก็ร้องตกอกตกใจ บางคนก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สวนในอุทยานโดนเหยียบย่ำเละเป็นโจ๊ก ยามคุ้มกันของจวนสกุลเฉินย่อมต้องออกไปตรวจดูสาเหตุ แต่ถูกนายทหารถืออาวุธครบมือเตะกลับเข้าจวน ทั้งสองฝ่ายไม่พูดพร่ำ เห็นหน้าก็ตะลุมบอนกันเละเทะ เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวแบบผิดปกติจากสวนด้านหลังนี้รบกวนใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ยที่กําลังตั้งใจไหว้ฟ้าดินกับ “อนุแปด”

เป็นการไหว้ฟ้าดินที่ประหลาด เจ้าสาวถูกพวกยามคุ้มกันแบกมาทำพิธีโดยมัดเชือกแดงตัวติดกับเก้าอี้ไม้ เคลื่อนไหวเองไม่ได้ ศีรษะและใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีแดงผืนใหญ่ พิธียังไม่จบด้วยซ้ำก็มียามคุ้มกันเลือดท่วมตัวถูกจับโยนเข้ามา แขกเหรื่อตื่นตกใจพากันหลบหลีกร้องเสียงหลงตกใจ

“เกิดเหตุอันใดขึ้น! รีบรายงานข้ามา!”

เฉินสวี่เหล่ยกลับใจเย็นกว่าที่คิด ถึงจะโพล่งเสียงดัง ตะโกนเรียกยามมาคุ้มกัน ยามที่เดิมคุ้มกันเก้าอี้ไม้ซ้ายขวานั้นก็ชักดาบออกมาล้อมด้านหน้าใต้เท้าเฉินไว้ด้วย เวลาเดียวกัน เสี่ยวหวากําลังเพียรพยายามใช้ลิ้นดันผ้าที่อุดปากออกอยู่ ผ้าคลุมศีรษะสีแดงทั้งหนักทั้งใหญ่ ทำให้เห็นไม่ชัดว่าข้างนอกเกิดอะไรกันแน่

 รู้แค่มีคนบุกเข้ามา ไม่รู้คนนั้นเป็นใคร เสียงตึงตังปึงปังราวฟ้าผ่านั่นเบาลง คนพวกนี้น่าจะยังไม่เลิกตีกันหรอกนะ อู๋เสี่ยวหวาคิดฉวยโอกาสนี้หนีไปหาอันเต๋อจื่อที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกของศาลาว่าการแล้วรีบเผ่นกลับแคว้นซี

 และยอมจำนนรอส่งมอบเป็นของบรรณาการดีกว่า แล้วเรื่องบัดซบพวกนี้ไว้เขาค่อยมาฟ้องฮ่องเต้แคว้นเหยาทีหลัง ให้ลงโทษข้าราชการสุนัขบ้าตัณหาคนนี้ให้หนัก ดูแลบ้านเมืองประสาอะไร ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองควานเหลียงเป็นเช่นนี้

คิดได้เช่นนั้นเขาใช้ปลายเท้ายันพื้น ออกแรงทั้งตัว ขยับเก้าอี้ไปด้านข้าง ให้ราบรื่นที่สุด กระบี่ไร้ตา หากฟันโดนตัวเขาคงไม่ดี เขาเขยื้อนไปได้ทีละน้อย ทว่าเปลืองแรงมาก เก้าอี้ขยับได้แค่ไม่กี่คืบ ผ้าคลุมหน้าบนศีรษะกลับร่วงลงมากว่าครึ่ง เผยตาข้างหนึ่งออกมา ดวงตากลับหรี่ลง ตกตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้า

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นทหารกลุ่มใหญ่! หรือนี่จะเป็นเหล่าทหารขององค์รัชทายาทกัน? ทหารเหล่านั้นมือกําดาบคมกริบ บนตัวสวมชุดเกราะ ยืนล้อมสวน ทางเดินคดเคี้ยวและบันไดกันเต็มไปหมด ได้กลิ่นคาวเลือดโชยในอากาศด้วย ดูให้ดีอีกครั้ง ที่พื้นในลานมีศพจำนวนมาก บ้างหงาย บ้างคว่ำ บรรดาแขกเหรื่อที่ตกใจกลัวจนฉี่ราดตดหายกันนานแล้วขดตัวอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้ซึ่งล้มระเนระนาด

คอยระวังดาบของทหาร เบื้องหน้าบริเวณที่ถ้วยชามแตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ชายรูปลักษณ์องอาจสง่างามน่าเกรงขามผู้หนึ่ง กำกระบี่ยาวประกายวาวไว้มั่นด้วยมือขวา จ่อปลายกระบี่คมกริบที่คอเฉินสวี่เหล่ยตัวแข็งทื่อ ตกใจจนแม้พูดยังไม่กล้า กลัวกระทั่งกลืนน้ำลายก็อาจถูกปลายกระบี่เฉือนคอได้ ทำได้แต่เหลือกตาจ้องชายผู้นั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยการวิงวอนร้องขอชีวิต คล้ายรู้ตัวว่ากําลังชะตาขาด

อู๋เสี่ยวหวาเองก็มองชายผู้นั้น รู้สึกราวกับกำลังฝัน สูดหายใจเข้าปอดอย่างช่วยไม่ได้ เขาจดจำได้ว่าผู้นี้คือใครเพราะเคยเห็นภาพวาดเขามาแล้ว

“องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!”

เสียแต่ในปากเขามีผ้าอุดอยู่ เสียงร้องด้วยความตื่นตะลึงสุดขีดนี้ได้แค่ตะโกนในใจ กระบี่คมกริบในมือหวังซีเอ่อค่อย ๆ กดลง เลือดสด ๆ ย้อมคอเสื้อไหมของเฉินสวี่เหล่ยเป็นสีแดงเข้ม เวลานี้เขาไม่สนหน้าตาอีกต่อไป คนเบื้องหน้าเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร ถ้ายังไม่รีบคุกเข่าร้องขอชีวิตมีหวังตายหมดทั้งชั่วโคตร เขาจึงวิงวอนด้วยน้ำเสียงชวนน่าสงสารซ้ำ ๆ

“องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ! โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

โดยบนหน้ายังมีความงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไปหลบลู่หมิ่นเบื้องสูงตอนไหนกัน

“ไว้ชีวิต? เจ้าไม่ต้องโขกหัวให้ข้าเพื่อสำนึก ขุนนางข้าราชสำนักทำผิดกฎหมายบ้านเมืองย่อมต้องให้ฮ่องเต้ลงอาญา”

หวังซีเอ่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ บิดแขนของใต้เท้าเฉินแล้วมัดตัวเขาไว้โดยไม่ชักช้า เวลานี้องค์รัชทายาทค่อย ๆ เงยหน้ามอง ‘เจ้าสาว’ ในชุดมงคลสีแดงที่ยังคงถูกมัดแน่นหนา ในปากถูกอุดด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมอยู่

เมื่อถูกนัยน์ตาสีดำล้ำลึกของอีกฝ่ายจ้องเช่นนั้น ในใจอู๋เสี่ยวหวาร้อนรนขึ้นมาทันที รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เหมือนถูกดงหนามแทงหลังอยู่ฉึก ๆ แล้วแววตาสงสัยก็คลายลง คนรู้จักกันนี่เอง ดวงหน้าที่เห็นในม้วนภาพวาดที่ส่งมาจากแคว้นซี ตามเจอตัวแล้วเขาสบถในใจ

“ถวายความเคารพองค์ชายสิบแคว้นซี ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับองค์ชายให้ดี กระหม่อมละเลยหน้าที่แล้ว”

หวังซีเอ่อหาได้ใส่ใจสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น ทักทายตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พูดคุยและกล่าวขอโทษด้วย ทั้งที่ยังไม่ได้แก้มัด..

“เทพโอรสสวรรค์! เขาเป็นองค์ชายสิบแคว้นซีจริงหรือเนี่ย!”

ใต้เท้าเฉินโพล่งเสียงดังแล้วก็เป็นลมไปฉับพลัน เสียงสูดหายใจเฮือกตั้งรอบด้าน แม่นมหงกุมหน้าอ้าปากเหวอลืมไปแล้ว นางกลั้นใจไว้จนหน้าเขียวคล้ำ อึ้งอยู่เป็นนานจึงคุกเข่าลงกับพื้น เถ้าแก่หรงฝู่เลาหอเจิ้นเซียงตกใจกลัวจนสติหลุด เหมือนว่าขาดอากาศหายใจ อย่างไรก็โขกศีรษะไม่หยุด

“องค์ชายสิบ! ขอทรงอภัยให้ด้วย! กระหม่อมมีตาหามีแววไม่! องค์ชายสิบ โปรดให้อภัยด้วย!”

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อส่งสายตาให้ทหารคุมตัวทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ข้าราชการน้อยใหญ่ รวมทั้งพ่อค้าคหบดีที่มาร่วมงานเลี้ยง ต่างมีส่วนพัวพันหนีไม่พ้น แต่ละคนตกใจหมอบสั่นกับพื้น หน้าซีดเป็นกระดาษ

“องค์ชายสิบ ขอประทานอภัยที่ต้องไร้มารยาท”

หวังซีเอ่อกล่าวจบ ดาบเหล็กอย่างดีด้ามหนึ่งก็ออกมาจากช่วงเอว เดินตรงไปทางเจ้าสาวที่ขยับตัวไม่ได้

‘องค์รัชทายาท นี่ท่านคิดจะฆ่าข้าปิดปากงั้นหรือ!’

อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อผุด เย็นสันหลังวาบ รู้ตัวว่าไม่ควรหนีการเป็นของบรรณาการ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเจอไม้แข็งเช่นนี้ แค่หนีถ่วงเวลาเองนะ..

ขณะที่อู๋เสี่ยวหวาคิดเหลวไหลด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงแสงวิบวับเบื้องหน้า เชือกบนข้อมือข้อเท้าก็ขาด จากนั้นดาบก็ถูกเก็บคืนที่เดิมเรียบร้อย พอได้อิสรภาพคืน อู๋เสี่ยวหวาก็รีบดึงผ้าที่อุดปากออก หลังจากลุกจากเก้าอี้ไท่ซือ เขาก็สะบัดแขน ทุบหัวเข่า บิดเอว ยืดเส้น ยึดสายเหมือนปลดภาระหนัก หวังซีเอ่อกุมมือคารวะอีกครั้ง กล่าวรับผิดเสียงทุ้มต่ำ

“องค์ชายสิบ ท่านลำบากมากแล้ว มาเยือนแคว้นเหยาแต่ได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ”

“โปรดรับคำขอโทษจากพวกข้าด้วย!”

ทหารทั้งหมดคุกเข่าลง ก้มศีรษะพูดคำเดิมซ้ำ ๆ ต่อจากองค์รัชทายาทโดยพร้อมเพรียง

“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรที่สาหัสมากนี่ องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อและท่านแม่ทัพใหญ่มาช่วยได้พอดีเลย ข้าขอบใจพวกท่านมากกว่า”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวกลั้วหัวเราะ ไม่รู้เหตุใดตนเองจึงไม่อาจมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่เย็นเป็นน้ำแข็งขององค์รัชทายาทด้านข้างได้ตรง ๆ

“ข้าไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ดังนั้นไม่เป็นไร พวกท่านทุกคนลุกขึ้นกันเถิด แคว้นซีเองก็ติดหนี้บุญคุณแคว้นเหยาเช่นกัน”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวขอบคุณ น้อมคาราวะองค์รัชทายาทด้านข้าง ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ทหารทุกนายกลับยังคงคุกเข่าไม่ขยับ เห็นชัดว่ารอแม่ทัพใหญ่ออกคําสั่ง

“ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก ต้องให้องค์ชายสิบร้องขอพวกเจ้างั้นหรือ!?” จงถานไถหมิงหันมาตวาดเหล่าพลทหารทั้งหมด

“รับทราบ น้อมรับพระประสงค์องค์ชายสิบพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายสิบ” หวังซีเอ่อกล่าวเสียงเบา

“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

“พระองค์ทรงเหนื่อยล้าแล้วกระมัง กระหม่อมจะพาองค์ชายสิบไปพักผ่อนที่กองทัพที่ตั้งอยู่นอกเมืองควานเหลียง รีบขึ้นม้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

อู๋เสี่ยวหวาเอื้อมมือไปจับมือของหวังซีเอ่อขึ้นซ้อนหลังม้าอยู่ด้านหลัง

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อพาอู๋เสี่วหวาย้ายไปพักที่กระโจมองกองทัพ ส่วนเด็กรับใช้ที่มากับอู๋เสี่ยวหวาก็ได้รับการปล่อยตัวและได้พามาภายหลัง

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร สบายดีไม่ต้อง..”

เดิมอู๋เสี่ยวหวาอยากพูดคําว่าไม่ต้องกังวล ข้าสบายดีขอตัวก่อน ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในกระโจมที่พัก แต่องค์รัชทายาทก็ก้าวเท้าตามเขามาติด ๆ และโอบเอวดึงเข้าไปในอก คําพูดจึงได้ขาดช่วงไป พอเขาประคองใบหน้าข้างหนึ่งให้หันมาแล้วก้มลงจูบดูดดื่ม อู๋เสี่ยวหวาจึงตัวแข็งทื่อราวถูกสาปเป็นหินไปทั้งตัว! ลิ้นเหิมเกริมจอมอวดดีดันแยกฟันให้เปิดโดยปฏิเสธไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อลิ้นร้อนเริ่มรุกรานกวาดเข้ามาลิ้มรส อู๋เสี่ยวหวาอดโมโหในใจไม่ได้ เขาโกรธมากเลย ใช่อยู่ที่เขาเป็นของบรรณาการแคว้น แต่ข่มเหงกันแบบนี้เลยหรือ?

“องค์รัชทายาท! ท่านจะทำอะไร! อ๊ะ! อึ้ก!”

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพิจารณาว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธ นัยน์ตาของอู๋เสี่ยวหวาเบิกกว้าง หางตาเหลือบมองด้านข้างด้วยความไม่สบายใจ คนพวกนั้นยังอยู่กันนะ! นี่มันน่าอับอายกว่าถูกตำหนิต่อหน้านางกำนัลข้ารับใช้เสียอีก!

ทว่านอกจากท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้นตามกฎระเบียบ ไร้ผู้หาญกล้ามองพระพักตร์องค์รัชทายาท อย่างไรก็ตามอู๋เสี่ยวหวายังจับแขนองค์รัชทายาทหวังซีเอ่ออย่างลนลาน อยากผลักเขาออก

ความเจ็บแปลบตามมาด้วยความรู้สึกเป็นสุขถาโถมราวคลื่นทะเล เหมือนเป็นการลงโทษที่ต่อต้าน หวังซีเอ่อขบกัดริมฝีปากและดูดดุนลิ้นให้เสียวขึ้นสมองพร้อม ๆ กับปลุกเร้าเคล้นคลึงตามเนื้อตัวคนตัวเล็ก อู๋เสี่ยวหวายังคงดิ้นขัดขืนแม้ถูกกักอยู่ในวงแขน แต่จนแล้วจนรอด แค่สูดอากาศเข้าไปใหม่สักเฮือกก็ทำไม่ได้ ความมืดมิดโผล่ขึ้นเบื้องหน้า แค่ยืนยังยืนไม่อยู่ ครั้นอีกฝ่ายถอนริมฝีปากผละห่างในที่สุด กลับค้อมเอวลงอุ้มเขาขึ้นทางขวางแบบฉับพลัน อู๋เสี่ยวหวาแก้มแดงซ่านแม้อยากต่อว่าทุบตี

“สามหาวอาจหาญนัก! วางข้าลงนะองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!” อู๋เสี่ยวหวาได้แค่เผยอปากอ้า หายใจหอบต่อว่า

“ไปอารักขาด้านนอก”

องค์รัชทายาทสั่งการหนึ่งประโยคแบบง่าย ๆ บรรดาทหารที่คุกเข่านิ่งไม่ไหวติงมาตลอดขยับตัวลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง ควบคุมตัวเหล่าแขกเหรื่อในงานเลี้ยงออกมา ถอยไปอารักขาด้านนอก ส่วนองค์รัชทายาทก็อุ้มองค์ชายสิบของบรรณาการสาวเท้าก้าวใหญ่ เข้าไปด้านในกระโจมที่ตั้งไว้ด้านนอกเมืองควานเหลียง

บทที่เกี่ยวข้อง

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 5 ใต้ผืนฟ้าคือแผ่นดินของกษัตริย์ และข้าคือโอรสกษัตริย์แคว้นเหยา

    ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดาองค์รัชทายาทห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-14
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 6 สนมชายตำแหน่งเฟิ่งอี๋

    หลังค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อก็ส่งข่าวให้ฮ่องเต้แคว้นซีทรงทราบว่าพบตัวองค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาแล้ว และทางนั้นก็ได้ส่งสารตอบรับกลับมาว่าโปรดดูแลองค์ชายสิบของบรรณาการให้ดีแทนน้ำใจชาวแคว้นซีด้วยพิธีต้อนรับจัดขึ้นอย่างง่าย องค์ชายสิบได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเฟิ่งอี๋ ขั้นเก้า ชั้นเอก สนมลำดับต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก รับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อู๋เสี่ยวหวาได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหยานชุนในฐานะ เฟิ่งอี๋ แล้วไหนจะต้องคอยรับฟังผู้คนนินทาว่าเป็นชาวซีเป่ยไร้เกียรติ แคว้นซีเล็กต่ำต้อย แต่อู๋เสี่ยวหวาก็มิได้เก็บมาใส่ใจนักวังหลวงแคว้นเหยาหยานชุน ณ ตำหนักซิงอี๋เหล่ยหลังจากเขียนอักษรเต็มพรืดเสร็จไปอีกหนึ่งแผ่น อู๋เสี่ยวหวาวางพู่กันลง หมุนคอซึ่งปวดเมื่อยแข็งล้า บิดเอว ถามอันเต๋อจื่ออีกครั้ง“องค์รัชทายาทกลับมาหรือยัง”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พี่โจวจือหยวนตําหนักหน้าบอกว่า ถ้าองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเสด็จกลับมา จะทูลให้มาที่ห้องหนังสือทันที”อันเต๋อจื่อส่งชาแดงใส่ผลเป๊ะก๊วยผสมน้ำตาลกรวดชงใหม่ ๆ หนึ่งถ้วยให้องค์ชายสิบ“องค์ชายสิบทรงกระหายหรือไม่ ทรงพักสักหน่อยเถิด ค่อยเขียนต่อดีก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 7.1 ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียว

    หลังฝนตกหนักห้าวันติดต่อกัน ท้องฟ้าโปร่งใสเป็นพิเศษ นกกระจิบบินเข้าอุทยานตำหนักชิงอี๋เหล่ย ส่งเสียงร้องวุ่นวายไม่หยุด บ่าวรับใช้สาดน้ำที่หน้าระเบียง กวาดถูขั้นบันได วันยุ่ง ๆ เริ่มจากเวลานี้อู๋เสี่ยวหวาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคึกคักนี้ หลังจากหาวหวอดใหญ่หนึ่งที ก็ลูบขอบเตียงด้านนอกด้วยความเคยชิน ผิวผ้าด้านข้างเย็นเฉียบว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่“ซีเอ่อ?”เขาเลิกผ้าห่มปักดิ้นลุกขึ้นนั่งหัวฟู อันเต๋อจือรีบเดินมา รวบม่านคลุมเตียงไหมปักชิ้นงามขึ้น นางกำนัลวัยขบเผาะสี่นางเดินเข้ามารับใช้เฟิ่งอี๋ ล้างหน้า หวีผม“เฟิ่งอี๋ เมื่อคืนทรงบรรทมสนิทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อันเต๋อจื่อยิ้มตาหยี ขันทีอายุอานามเดียวกันกับอู๋เสี่ยวหวาที่ติดตามมารับใช้จากแคว้นซี ในคราแรกเขาไม่ได้ถูกส่งมาเฝ้ารับใช้องค์ชายสิบ จึงต้องกลับแคว้นซี แต่เขาคุกเข่าขอร้องอยู่หลายครั้ง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ คอยรับใช้องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา ฮองเฮาแคว้นเหยาจางหรงผิงเห็นแก่เขาที่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเจ้านายจึงอนุญาตให้อยู่รับใช้ข้างกายอู๋เสี่ยวหวาต่อ ทั้งสองตัวติดกันใช้ชีวิตเป็นบ่าวกับนายมาถึงสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 7.2 ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียว

    “ใช่ เห็นว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทสนิทสนมกับเฟิ่งอี๋มากเกินไป ไม่เหมาะไม่ควร เหลียงตี้ที่เพียบพร้อมกว่า แสนสง่างามกว่า อยู่มานานกว่ากลับได้รับการปฏิบัติที่ห่างเหิน จึงได้มีรับสั่งห้ามไปหาเฟิ่งอี๋แต่เพียงผู้เดียว ให้แวะเวียนไปเยือนพระสนมนางอื่นบ้าง เฮ้อ แต่ว่าก็ว่านะ ตำหนักชิงอี๋เหล่ยเนี่ยหากขาดองค์รัชทายาทมาเยือน ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียวเลยจริง ๆ"“บังอาจนัก พวกกำเริบเสิบสานนินทานาย!”ประโยคตําหนิของอู๋เสี่ยวหวาทําให้นางกํานัลทั้งสองตกใจมาก พวกนางรีบคุกเข่าลง ก้มศีรษะคํานับขออภัย “ฟะ..เฟิ่งอี๋! โปรดให้อภัยด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้..”“ฐานะเป็นนางกํานัลกลับปากพล่อย ดอกไม้ไม่หอม ต้นไม้ไม่เขียวอะไร หาที่ตายใช่หรือไม่!”“พวกบ่าวมิกล้าอีกแล้ว! ขอเฟิ่งอี๋โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!” นางกํานัลทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวทั้งตัวสั่นงันงก“ไม่ได้! ปล่อยพวกเจ้าไว้ไม่ได้! ข้าจะกราบทูลฮองเฮาให้อบรมพวกเจ้า!” อู๋เสี่ยวหวาตําหนิหนัก สั่งขันทีไล่สองคนนี้ออกไป“เฟิ่งอี๋โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ วางพระทัยให้นิ่ง ๆ ”อันเต๋อจื่อพูดปลอบอู๋เสี่ยวหวา ต่อมาอู๋เสี่ยวหวาที่คล้ายกับเพิ่งได้สติคืนมามองอั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-16
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 8 ฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบ

    เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-17
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.1 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-17
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.2 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    ตอนที่กําลังคิดเรื่องเหล่านี้ เสียงน้ำซู่ซ่าพลันดังเข้าหู หวังเผยจูเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าอิงจื่อรีบออกไปแบบรู้กาลเทศะ เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวหน้าตางดงาม โฉมสคราญแฉล้มนั่งในถังอาบน้ำไม้ทรงสี่เหลี่ยม กําลังตีน้ำเล่น ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนนางกําลังเล่นสนุกร่ายระบำในน้ำ หยดน้ำร่วงจากแขนขาวเนียนไร้ตําหนิ งามดั่งบุปผาเซียนที่ก่อกำเนิดในโลกมนุษย์ ขนตายาวหนาที่มีหยดน้ำเกาะเป็นประกายสดใสชวนมอง ครั้นยื่นมือออกมาจะเห็นเล็บสีแดงตัดแต่งโค้งมน ดูไม่เหมือนของคนกลับเหมือนหุ่นที่ช่างฝีมือชั้นยอดแกะสลักเสลาอย่างประณีตเสียมากกว่านางกระดิกนิ้วเรียกแขกผู้มาเยือน พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ หวังเผยจูเดินไปทางถังอาบน้ำ น้ำใสแจ๋วโปรยกลีบดอกกุ้ยเหม่ยสีแดงจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงเห็นร่างเปลือยของหญิงสาวที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดแจ้งในปราดเดียว สองเต้าอวบอั๋นใหญ่โตล้นทะลัก ฟางเย่เซียนหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาฉ่ำวาวมองชายชุดขาวลวดลายนกกระเรียนทองที่ยืนข้างถังอาบน้ำด้วยความรู้สึกพึงพอใจ รูปร่างสูงสง่า ผึ่งผายองอาจแฝงแรงกดดันเช่นนี้ ถ้าสามารถใช้เวลาราตรีวสันต์ร่วมกับนางได้ เกรงว่าต้องใช้โชคดีที่สั่งสมมาร้อยพันชาติ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-17
  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 10.1 เกลียดชังดั่งมีเพลิงสุมใจ

    เช้าวันนี้ช่วงยามซื่อ (9:00-10:59) ตำหนักวสันต์ครามทุกเจ็ดวันจะรวมประชุมฝึกขัดเกลา คัดอักษร พูดคุยการปกครองวังหลัง พระสนม และข้าหลวงทุกพระนางต้องมารวมตัวกัน และทำความเคารพฮองเฮาจางหรงผิงภายในตำหนักไม่อึกทึกครึกครื้นนัก เงียบสงบอย่างยิ่ง ประชุมรอบนี้ไทฮองไทเฮาเองก็เข้าร่วมด้วย อู๋เสี่ยวหวากําลังคัดอักษร เพราะวันนี้เขาเหม่อลอยไม่ได้ฟังใจความในที่ประชุม จึงโดนฮองเฮาลงโทษคัดลอกอีก อันเต๋อจื่อจัดเก็บกระดาษเฟิ่งอี๋เขียนเสีย ม้วนแล้วผูกเรียบร้อย เดิมจะทิ้งไป แต่กลับถูกเหลียงตี้แย่งไปแล้วทำหน้าขบขัน เอาให้พระสนมนางอื่นดูแล้วพากันหัวเราะเยาะเย้ย“หนวกหู! หุบปากได้หรือไม่!”อู๋เสี่ยวหวายกมือกุมใบหูมองพวกพระสนมนางอื่นที่กำลังส่งเสียงระหว่างโต๊ะเก้าอี้นินทาน่ารำคาญ แต่แทนที่จะพูดว่าไม่ชอบเสียงดัง กลับเหมือนใช้สายตามองพวกนางด้วยความอิจฉามากกว่า ที่ตนนั้นต้องถูกลงโทษก็เพราะช่วงพักหลังมานี้รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องสำเร็จราชการแทนฮองเต้ที่ทรงประชวรหนัก และหยุดพักรักษาตัว ยังมีข่าวโคมลอยแว่วมาอีกว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะมีการแต่งตั้งฮองเต้องค์ใหม่ในอีกไม่ช้า หวังซีเอ่อจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเต้แคว้นเหยาอย่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-17

บทล่าสุด

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 12.1 ไม่มอบความจงรักภักดีแก่ใครอื่น

    “ค่ำคืนเดียวดาย ราตรีมืดมิด หิ่งห้อยน้อยโบยบิน ความคำนึงหามากล้น ดั่งแสงเทียนส่องสว่างเพียงลำพัง เผาไหม้ตนเองจนสิ้น...”เขาท่องบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความงามแห่งสารทฤดู’ ไม่ออก แต่ชั่วขณะที่เกิดอารมณ์อ้างว้างซึมเศร้า กลับมีกวีโบราณจำนวนไม่น้อยที่ยกขึ้นมาเอ่ยได้ อู๋เสี่ยวหวาไม่ปฏิเสธ เป็นเพราะเขาคิดถึงหวังซีเอ่อ ตนเองจึงนอนไม่หลับ ที่สำคัญ ยิ่งนอนไม่หลับก็ยิ่งคิดถึงเขา“ซีเอ่อ...ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนนะ..”ยืนที่หน้าต่างนานพอควรจึงรู้สึกถึงไอเย็น อู๋เสี่ยวหวาลูบจมูก เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ควรเลียนแบบคนสมัยก่อน ท่องกวีแต่งกลอนหน้าดอกไม้ใต้จันทราอะไรนั่น มันไม่สามารถกลบความกลัดกลุ้มในใจได้เลย กลับเย็นจนเกินทนเสียด้วยซ้ำ อู๋เสี่ยวหวาตกลงใจละทิ้งความคิดที่จะทำตามคำแนะนำของฮองไทเฮาจางหรงผิงรูปลักษณ์สวยหรูไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ พรุ่งนี้ถ้าฮองไทเฮาทดสอบอีก ก็แกล้งทำเป็นคิดไม่ออกแล้วกัน ใบไม้ร่วงอะไรนั่นให้มันปลิวไปตามลม ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ปวดหัวมากกว่าอู๋เสี่ยวหวาหมุนตัวก็เห็นอันเต๋อจื่อยืนหดคอกอดผ้าคลุมหนังจิ้งจ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 11.2 ความงามแห่งสารทฤดู

    อีกทั้งไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำกับผู้ชายมีอะไรเสียหาย นางชื่นชอบในการค้าขายเรือนร่างแลกกับเงินทอง รวมทั้งความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นแสวงหา เชิดชูนางเหนือผู้อื่น ประคองไว้ในฝ่ามือ กระทั่งพูดบ่อย ๆ ว่าขนาดพ่อแม่ของตัวเองยังไม่ดีต่อกันขนาดนี้ แม้ ‘ดี’ เหล่านั้นล้วนมีเป้าหมายก็ตามที“หากเจ้าอยากไปจากที่นี่ ข้าไถ่ตัวเจ้าได้นะ”หวังเผยจูเคยพูดเอาไว้ แต่ฟางเย่เซียนไม่ยินยอม ทั้งยังพูดว่า “ข้าชอบทุกสิ่งของที่นี่ การใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนทรัพย์สมบัติเงินทองก็มิได้เลวร้ายอะไร นอกเสียจากว่าท่านอยากได้ข้า ข้าจึงจะไปกับท่าน หากท่านจะไถ่ตัวข้า แล้วให้ข้าออกไปอยู่ลำพังภายนอกนั่น ข้าไม่ไปหรอกนะนายท่าน” ที่แห่งนี้นางชินชาและรู้สึกปลอดภัยมากแล้ว หวังเผยจูจึงไม่รบเร้านางอีกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนแขกกับนางคณิกา คล้ายพี่ชายคนโตกับน้องสาวมากกว่า เพียงแต่ในใจน้องสาวผู้นี้มีความรู้สึกเคารพรักมาก มักคิดหาวิธีที่จะได้อยู่กับพี่ชายนาน ๆ เสมอ“ท่านอยู่ต่ออีกสักครู่เถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของนายท่านกับขุนนางเหล่านั้นอีก” ฟางเย

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 11.1 ความงามแห่งสารทฤดู

    ผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์เป็นจริงตามที่หวังซานเยว่ องค์ชายสามผู้นี้บอก หวังซีเอ่อจากองครัชทายาทเลื่อนขั้นขึ้นสู่บัลลังก์มังกร เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยาองค์ที่สิบ หวังหลินอิ่นสละราชบัลลังก์เพราะต้องพักรักษาตัว พระพลานามัยไม่แข็งแรงแล้วเป็นโรคชราไปตามกาลเวลา และจางฮองเฮาเองก็ดำรงค์ตำแหน่งใหม่ เป็น ฮองไทเฮา ฮองเฮาคนต่อไปที่หวังซีเอ่อมีใจให้ทั้งดวงคือเฟิ่งอี๋อู๋เสี่ยวหวา“อู๋เฟิ่งอี๋โปรดรับราชโองการจากฮ่องเต้ อู๋เฟิ่งอี๋คุณธรรมดีมีเมตตาจิต โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือราชวงศ์ ดูแลงานราชการได้ดีไม่บกพร่อง จึงได้เลื่อนขั้นรับตำแหน่งฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินองค์ต่อไป มอบของกำนัลฉลองตำแหน่ง กำไลทองคำ ปิ่นปักผมหงส์ทอง หยกแก้วเหมันต์ โปรดน้อมรับราชโองการ”หัวหน้าขันทีโจวจือหยวนกงกงประกาศเป็นทางการ และยินดีกับอู๋เสี่ยวหวาด้วยที่ได้เลื่อนขั้นจากนายสนมขั้นห้า ชั้นเอก ขึ้นเป็นฮองเฮา อู๋เสี่ยวหวาไม่คาดคิด อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกเหล่าพระสนมในอดีตองค์รัชทายาทต่างก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เช่นเดียวกัน เฉิงลี่เฉี่ยว จาก เหลียงตี้ ได้เป็นกุ้ยเฟย เหลียนเสี่ยนหรู จากตำแหน่ง เ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 10.2 เกลียดชังดั่งมีเพลิงสุมใจ

    “เอาล่ะ พวกเจ้าก็คัดลอกต่อได้แล้ว อย่ามัวแต่โอ้เอ้ชักช้า” ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงดัง พระสนมทุกพระนางขานตอบรับรวมถึงอู๋เสี่ยวหวาด้วย“ท่านกับเสด็จพี่ทะเลาะกันใช่หรือไม่” หวังซานเยว่มองอยู่นาน นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เข้าประชิดข้างตัวอู๋เสี่ยวหวากล่าวกระซิบกระซาบ“แปลกประหลาดเสียจริงท่านทั้งสองเนี่ย”“เปล่านี่ พวกเราดีกันจะตาย องค์ชายน้อยทรงกังวลมากไปแล้ว” อู๋เสี่ยวหวาไม่เงยหน้า หยิบพู่กันขนแพะด้ามไผ่เชียงเฟยขึ้นคัดลอกอักษรต่อ“ไม่ถูกสิ เสด็จพี่ใหญ่ ตะวันขึ้นทางตะวันตกชัดๆ เหลือเชื่อเลยว่าท่านจะไล่พี่ใหญ่ซีเอ่อไปได้”หวังซานเยว่เคยถูกหวังซีเอ่อพี่ชายใหญ่ช่วยไว้ครั้งหนึ่ง วันนั้นเขาปีนต้นไม้ขึ้นไปศึกษารังนกด้วยผุดความคิดพิสดาร คิดไม่ถึงว่าจะเจอลมแรงวูบหนึ่งจนเกือบพลัดตกลงมา หวังซีเอ่อซึ่งผ่านมาพอดีจึงลอยตัวขึ้นไปหิ้วเขาที่จะร่วงมิร่วงแหล่ลงมา เรื่องนี้ไม่รบกวนถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่และเสด็จย่า เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนทำโทษ เช่นนั้นหวังซานเยว่จึงเกรงใจเสด็จพี่ใหญ่มากที่ปกป้องเขา หรือพูดว่านับถืออย่างยิ่งก

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 12.2 ไม่มอบความจงรักภักดีแก่ใครอื่น

    เป็นเช่นนี้เอง...” หัวสมองอู๋เสี่ยวหวายังคงเชื่องช้า ปากกล่าวอย่างนกขุนทองเรียนพูด “ที่แท้ฝ่าบาทไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมสตรีเพื่อตรวจสอบคดีความเช่นนั้นหรือ อื้ม...”“ใช่ เจ้าคิดว่าข้าแอบไปหาความสุขหรือ ข้าขออภัยเจ้าด้วย ข้าควรอาบน้ํา เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยมาพบเจ้า” แม้พูดเช่นนี้ แต่บนหน้าของหวังซีเอ่อกลับแย้มยิ้มตลอดเวลา บัดซบจริง ๆ“กระหม่อมเองต่างหากที่ผิด โปรดทรงให้อภัย”อู๋เสี่ยวหวาก้มหน้ากล่าว เห็น ๆ อยู่ว่าใส่ใจกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยอันนั้นมากมาตลอด แต่พออีกฝ่ายอธิบาย ความรู้สึกไม่สบายใจรวมถึงความหนักอึ้งที่มีในใจนั้นก็พลันสลายสิ้น“ขอฝ่าบาทประทานอภัยด้วย กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร... ฝ่าบาทไม่ต้องขอโทษกระหม่อม กระหม่อมไม่คาดคิดว่าตนเองจะใส่ใจกลิ่นหอมนั่นเสียขนาดนั้น เป็นสิ่งที่ยากจะหาคํามาอธิบายจริง ๆ”“ฮองเฮา..เวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถิด” หวังซีเอ่อพูด“ยังก่อน กระหม่อมอยากอยู่คนเดียวสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” ชั่วขณะนั้นอู๋เสี่ยวหวาไม่มีความกล้าที่จะเงยหน้า พูดแบบเคอะเขินมาก “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ น้อมส่งเสด็จ”“เช่นนั้นขอได้โปรดมอ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 10.1 เกลียดชังดั่งมีเพลิงสุมใจ

    เช้าวันนี้ช่วงยามซื่อ (9:00-10:59) ตำหนักวสันต์ครามทุกเจ็ดวันจะรวมประชุมฝึกขัดเกลา คัดอักษร พูดคุยการปกครองวังหลัง พระสนม และข้าหลวงทุกพระนางต้องมารวมตัวกัน และทำความเคารพฮองเฮาจางหรงผิงภายในตำหนักไม่อึกทึกครึกครื้นนัก เงียบสงบอย่างยิ่ง ประชุมรอบนี้ไทฮองไทเฮาเองก็เข้าร่วมด้วย อู๋เสี่ยวหวากําลังคัดอักษร เพราะวันนี้เขาเหม่อลอยไม่ได้ฟังใจความในที่ประชุม จึงโดนฮองเฮาลงโทษคัดลอกอีก อันเต๋อจื่อจัดเก็บกระดาษเฟิ่งอี๋เขียนเสีย ม้วนแล้วผูกเรียบร้อย เดิมจะทิ้งไป แต่กลับถูกเหลียงตี้แย่งไปแล้วทำหน้าขบขัน เอาให้พระสนมนางอื่นดูแล้วพากันหัวเราะเยาะเย้ย“หนวกหู! หุบปากได้หรือไม่!”อู๋เสี่ยวหวายกมือกุมใบหูมองพวกพระสนมนางอื่นที่กำลังส่งเสียงระหว่างโต๊ะเก้าอี้นินทาน่ารำคาญ แต่แทนที่จะพูดว่าไม่ชอบเสียงดัง กลับเหมือนใช้สายตามองพวกนางด้วยความอิจฉามากกว่า ที่ตนนั้นต้องถูกลงโทษก็เพราะช่วงพักหลังมานี้รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องสำเร็จราชการแทนฮองเต้ที่ทรงประชวรหนัก และหยุดพักรักษาตัว ยังมีข่าวโคมลอยแว่วมาอีกว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะมีการแต่งตั้งฮองเต้องค์ใหม่ในอีกไม่ช้า หวังซีเอ่อจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเต้แคว้นเหยาอย่

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.2 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    ตอนที่กําลังคิดเรื่องเหล่านี้ เสียงน้ำซู่ซ่าพลันดังเข้าหู หวังเผยจูเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าอิงจื่อรีบออกไปแบบรู้กาลเทศะ เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวหน้าตางดงาม โฉมสคราญแฉล้มนั่งในถังอาบน้ำไม้ทรงสี่เหลี่ยม กําลังตีน้ำเล่น ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนนางกําลังเล่นสนุกร่ายระบำในน้ำ หยดน้ำร่วงจากแขนขาวเนียนไร้ตําหนิ งามดั่งบุปผาเซียนที่ก่อกำเนิดในโลกมนุษย์ ขนตายาวหนาที่มีหยดน้ำเกาะเป็นประกายสดใสชวนมอง ครั้นยื่นมือออกมาจะเห็นเล็บสีแดงตัดแต่งโค้งมน ดูไม่เหมือนของคนกลับเหมือนหุ่นที่ช่างฝีมือชั้นยอดแกะสลักเสลาอย่างประณีตเสียมากกว่านางกระดิกนิ้วเรียกแขกผู้มาเยือน พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ หวังเผยจูเดินไปทางถังอาบน้ำ น้ำใสแจ๋วโปรยกลีบดอกกุ้ยเหม่ยสีแดงจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงเห็นร่างเปลือยของหญิงสาวที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดแจ้งในปราดเดียว สองเต้าอวบอั๋นใหญ่โตล้นทะลัก ฟางเย่เซียนหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาฉ่ำวาวมองชายชุดขาวลวดลายนกกระเรียนทองที่ยืนข้างถังอาบน้ำด้วยความรู้สึกพึงพอใจ รูปร่างสูงสง่า ผึ่งผายองอาจแฝงแรงกดดันเช่นนี้ ถ้าสามารถใช้เวลาราตรีวสันต์ร่วมกับนางได้ เกรงว่าต้องใช้โชคดีที่สั่งสมมาร้อยพันชาติ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 9.1 สุราบุปผา พูดคุยยอดพธู

    หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 8 ฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบ

    เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status