เหตุวุ่นวายหนักจนดึงดูดผู้คนตามท้องถนนหลักพากันวิ่งเข้ามาดูในตรอก บางคนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดเรื่องอะไรน่ะ สู้กันดุเดือดขนาดนี้”
“ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองต้องการอนุเพิ่มอีกล่ะ เจ้าสาวเป็นลูกสาวบ้านหยาง”
“งั้นที่ต่อสู้อยู่นี่ใครล่ะ”
“เฮ้อ บางทีคงเป็นคนในดวงใจของยัยหนูสกุลหยางกระมัง ถึงได้กล้าตายมาขวางอยู่อย่างนี้”
แม่ค้าขายซาลาเปาพูดด้วยสีหน้าหดหู่
“เวรกรรมเสียจริง ใครก็รู้ท่านเจ้าเมืองควานเหลียงมักมากที่สุด เมียนี่ก็แต่งสิบคนเข้าไปแล้ว คราวนี้ ใครจะหยุดเขาได้”
ตึง! ตึง!
ฆ้องเบิกทางเสียงดัง ตามด้วยเสียงกลองปานเขย่าฟ้าให้ร่วง พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่กรูมา ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางแบบลนลานคุกเข่าสองข้างถนน ไม่กล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์อีก ผู้ที่มาคือ ‘ใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ย’ ข้าราชการใหญ่ของอำเภอควานเหลียง หรือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง ปีนี้อายุสี่สิบสาม
รูปลักษณ์ภูมิฐาน รูปร่างอวบอั๋นมีพุง แต่สูงใหญ่ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง นั่งบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ วางท่าองอาจห้าวหาญคล้ายไก่ตัวผู้สวมหมวกแดง ทหารที่เขานํามามีจํานวนสี่ห้าเท่าของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่ เข้าควบคุมสถานการณ์วุ่นวายไว้ในทันที หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บหยุดต่อสู้คุกเข่าลงหน้าม้าพันธุ์ดีที่ผูกผ้าแพรแดง
“ใต้เท้า! โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย! ต้องโทษเจ้าลูกสุนัขจรจัดที่ก่อกวน เกี้ยวเจ้าสาวถึง..."
“เอาละ พวกเจ้าถอยไปก่อน”
ภายใต้สายตาจับจ้องมอง เขาในฐานะเจ้าเมืองควานเหลียงต้องพูดจาเหมาะสม จึงกล่าวเชิงตักเตือน
“ข้าให้พวกเจ้ามารับเจ้าสาว ดูพวกเจ้าสิ ทําทุกคนตื่นตกใจกันไปหมด ไม่เรียบร้อยเลย ไม่ว่าเจ้าได้เช่นไร!"
“ขอรับ! ข้าน้อยนั้นแสนบกพร่องต่อหน้าที่..”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่หน้าบวมช้ำ สภาพไม่ต่างจากสภาพคนจรจัดถูกซ้อมตี ถอยไปอยู่ข้าง ๆ เจ้าหน้าที่คนอื่นที่นอนโอดโอยบนพื้นถูกทหารทางการประคองลุกขึ้นมา ฉากนี้ดู ๆ ไปก็เหมือนสนามชายแดน ใต้เท้าเฉินมองไม่เห็นชายหนุ่มที่ถูกล้อมในมุมนั้น กล่าวสั่งทหารทางการที่อยู่ข้างหลัง
“หามเกี้ยวไปให้ข้าเร็วหน่อย”
“ไปไม่ได้! ใครหน้าไหนก็ห้ามไป!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยังคงคิดขวางเกี้ยวเจ้าสาว
“เจ้า! ในเมื่อเป็นถึงเจ้าเมืองก็ควรทำหน้าที่เพื่อชาวบ้าน มิใช่ใช้กําลังอํานาจรังแกคน บีบบังคับฉุดสตรีชาวบ้าน!"
พอเขาพูดคํานี้ออกมา ทุกคนต่างตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าเมืองเป็นประเภทมักมาก โลภในทรัพย์สมบัติ วางมาดบารมี กลับไม่มีคนกล้าพูดต่อหน้า เพราะพูดไปก็เท่ากับเอาคอยื่นไปบนคมมีด ไม่รักชีวิตโดยแท้!
พอเสียงของชายหนุ่มสิ้นสุดลง ที่นั้นก็เงียบเหมือนตาย ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เวลาเดียวกันนี้เอง หรงฝู่เลามาถึงพร้อมด้วยความวิตกกังวล เห็นเจ้าเมืองโกรธจนหน้าดำคล้ำ หน้าผากมีเส้นเลือดดำปูด ก็แอบพูดในใจว่าซวยแล้ว นึกเป็นห่วงกลัวเจ้าเมืองเอาเรื่องขึ้นมา กระทั่งสั่งรื้อหอเจิ้นเชียงชิบหายกันไปข้างหนึ่ง
เขาเหลียวมองซ้ายทีขวาที เห็นชาวนาคนหนึ่งหาบน้ำบ่อหนึ่งถังยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างกระตือรือร้น จึงแย่งถังน้ำมา ดิ่งไปด้านหลังของชายหนุ่มแล้วสาดนํ้าอย่างแรง น้ำเย็นเฉียบถังใหญ่สาดมาจากด้านหลัง ย่อมทําให้ชายหนุ่มยืนไม่มั่นคง
เขาเซไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ทหารทางการที่อยู่ใกล้ ๆ เห็น ก็พุ่งเข้าไปอย่างฉับไวแย่งไม้กระบองในมือเขาไปแล้วถีบขาเขาลงไปกองกับพื้นให้คุกเข่า!
“บัดซบ! บังอาจนัก!"
ชายหนุ่มลุกจากพื้นอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าเปียกโชกไปทั้งตัว หมวกผ้าย่นยู่ก็หล่นไปแล้ว ครั้นยกแขนเสื้อเช็ดน้ำที่ไหลกลิ้งลงมาตามหน้าก็พลอยเช็ดคราบเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อนั้นไปด้วย ไม่รู้เพราะใบหน้าแตกต่างกับเมื่อครู่เกินไป ทุกคนในที่นั้นถึงได้ต่างตกตะลึงนิ่งงัน ใบหน้าแดงมีเลือดฝาด ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
ช่างเป็นคนที่งามจนเกินคาดคิดจริง ๆ เส้นผมดําขลับนั่นยาวเหยียดถึงช่วงเอวราวกับสายน้ำไหล เสื้อผ้าที่ถูกน้ำราดเปียกชุ่มเผยโครงร่างรอบเอวค่อนข้างบางของเขาให้ปรากฏชัดแต่ใช่ว่าจะอ้อนแอ้น เพราะไม่ว่าลําคอยาวระหงหรือแขนขาของเขาล้วนมีกล้ามเนื้อ บ่งบอกว่าเคยฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงมิใช่เป็นแค่ปัญญาชน
ใบหน้าของเขาได้รูปสวยเหมาะเจาะ ไม่ว่าเป็นผิวพรรณขาวเกลี้ยงดั่งหยก หรือนัยน์ตาใสกระจ่างแบบลําธารกลางภูเขา ริมฝีปากบางแดงสดระเรื่อล้วนมีเสน่ห์ทําให้คนใจเคลิ้มลอย ผู้คนล้วนกล่าวว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ที่งามพร้อมไร้ที่ติ บางคนมีปากน่ามอง
แต่ดวงตาเล็กเรียวไป บางคนเค้าโครงดีหมดเสียแค่จมูกยื่นเกินไป สรุปแล้วคนงามดุจเซียนลงมาโลกมนุษย์นั้นมีอยู่ในภาพวาดหรือในจินตนาการของนักกวีเท่านั้น ทว่าหน้าตาของคนผู้นี้ช่างงดงามชนิดงามล่มเมือง งามประหนึ่งเทพจุติก็มิปาน!
เฉินสวี่เหล่ยไม่นิยมชื่นชอบในบุรุษ ตัวเขาเคยเห็นสาวงามกับตาตัวเองมานับไม่ถ้วน รวมทั้งเจ้าสาวที่ใช้กําลังเอามานี้ก็งามเป็นที่เลื่องลือในแถบนี้ แต่พอได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้ กลับใจสั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยมาก่อน จ้องตาค้างเสียจนเกือบน้ำลายยืดเลยทีเดียว ยิ่งมองก็ยิ่งอภิรมย์ ดวงตาของคนผู้นี้เหตุใดจึงได้สดใสขนาดนี้ ใสกระจ่างราวลำธารลึกล้ำตรึงใจ จมูกโด่งได้รูป ข้อเสียในความดีพร้อมเพียงหนึ่งเดียว น่าจะเป็นบุรุษ
ทว่าความงามล้ำไม่เป็นรองใครเบื้องหน้านี้ทำให้คนไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง ยิ่งกว่านั้น เมืองเหยาแห่งนี้อนุญาตให้บุรุษแต่งงานกันได้ แต่เนื่องด้วยวรยุทธ์เมื่อครู่ทําให้ใต้เท้าเฉินใช้ความคิดวางแผนไว้ในใจ ส่วนหรงฝู่เลา ชุนหลี่ ยงเจิ้ง นั้นตกตะลึงงันมากกว่าใครดังคํากล่าว เคารพชุดก่อน เคารพตัวคนทีหลัง ตอนชายหนุ่มเข้ามา สวมเสื้อผ้าธรรมดาเกินไป อีกทั้งสวมหมวกผ้าย้อมครามใบใหญ่ขัดตามาก จึงแย่งความสนใจของพวกเขาไป ทำให้ไม่ได้มองหน้าของชายหนุ่มให้ละเอียด
มีแต่เด็กรับใช้คนนั้นกระโดดเต้นแร้งเต้นกาขวางอยู่ข้างหน้าตลอด ในสายตาของพวกเขาย่อมเหลือภาพความทรงจําของเด็กรับใช้เป็นส่วนใหญ่ ที่แท้ชายหนุ่มเป็นชายรูปงามแบบไม่ธรรมดาเช่นนี้นี่เอง ถ้ารู้ล่วงหน้า จะให้เขาไปทำงานด้านหน้า ไม่แน่อาจเรียกแขกให้เข้าพักจนเต็มได้ เงินทองไหลมาเทมาเป็นว่าเล่น หรงฝู่เลาที่ยังคงเบิกตาโตเสียใจจนกำหมัดแน่น
“เหตุใดจึงเงียบกันไปหมด”
ชายหนุ่มยืนที่เดิม เห็นเจ้าเมืองและเถ้าแก่ร้านต่างทำหน้าอย่างกับเห็นผี จึงเชิดหน้ากล่าว
“เหอะ! รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของข้าแล้วงั้นหรือ?”
อย่างไรก็ดีควรเจียมตัว เขานั้นเป็นโอรสสวรรค์ลำดับสิบแห่งซีเป่ยผู้น่าเกรงขามเชียวนะ ไม่ว่าหยิบจับหรือก้าวเดินต้องสง่างาม ทุกคนในวังล้วนปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพนอบน้อมมีแต่รับคำ ไร้คนหาญกล้าเงยหน้ามองสักแวบเดียว ที่จ้องตากับเขาได้โดยหัวใจสงบอารมณ์นิ่งน่าจะมีแค่เสด็จพ่อและบรรดาพี่ ๆ เท่านั้น และรวมถึงองค์รัชทายาทคนชั่วไร้ความรู้สึกคนนั้นเท่านั้น คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็อารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น
“วันนี้ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าทำผิดกฎหมาย เป็นข้าราชการ รับเงินเดือนหลวง มิใช่ให้พวกเจ้าเอากฎหมายมาทําผิดกฎหมาย!”
“มานี่!"
จู่ ๆ ใต้เท้าเฉินก็กล่าว ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้
“ใต้เท้าเฉิน..” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ก้าวมาข้างหน้ารอรับคำสั่ง
“ปล่อยคุณหนูหยางไป” เฉินสวี่เหล่ยพูด
“ใต้เท้า!?”
“เร็วเข้า!”
เฉินสวี่เหล่ยตีหน้าเคร่งบอกชัดเจน หัวหน้าเจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวแม่นางน้อยบ้านหยางที่ร้องไห้จนหน้าสะสวยซีดเซียวกลับสู่อ้อมกอดของพ่อแม่อีกครั้ง ทั้งสามร้องไห้กอดกันกลม จากนั้นคุกเข่าขอบคุณชายหนุ่มด้วยการเรียก “ผู้มีพระคุณ” ไม่หยุดพูดจนชายหนุ่มหน้าแดง ทนไม่ไหวประคองพวกเขาสามคนขึ้นมา ให้พวกเขากลับบ้านไป
เฉินสวี่เหล่ยลงจากหลังม้ามองชายหนุ่มแบบยิ้มตาหยีตลอด รอจนธุระของเขาเสร็จสิ้นแล้วจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาจากที่ใด” เขาซักถาม
“หยานชุน” ชายหนุ่มเห็นเขารู้ผิดแล้วแก้ไขจึงตอบ ห้ามบอกเรื่องจริง ดีที่อันเต๋อคอยบอกเขาว่าเมืองหลวงแคว้นเหยาคือหยานชุน
“มาจากเมืองหลวง ไม่เลว งั้นเจ้าอายุเท่าใด มีครอบครัวหรือไม่”
ใต้เท้าเฉินในใจคิดว่าเมื่อเดินทางมาจากเมืองหลวง น่าจะเป็นคุณชายตระกูลมั่งคั่งที่ฐานะครอบครัวตกต่ำ ดังนั้นจึงสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเช่นนี้ แต่ทั้งตัวคนกลับเจือด้วย “กลิ่นอายสูงส่ง” แบบอธิบายไม่ได้ แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
“ยี่สิบ ยังไม่ได้แต่งงาน”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจความนัยในคําถามของเจ้าเมืองจึงตอบไปตามความจริง
“อายุประมาณกิ่งดอกใบเขียวยังไม่มีเมีย ดีมาก!” ใต้เท้าเฉินเดินวนรอบชายหนุ่มหนึ่งรอบ แล้วกวักมือเรียกลูกน้อง “มานี่ เชิญคุณชายท่านนี้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว” “รับคําสั่ง!” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพุ่งมาเป็นคนแรก “อะไรนะ บังอาจ! พวกเจ้าคิดจับกุมข้ากระนั้นหรือ?” ชายหนุ่มคิดว่าเจ้าเมืองเปลี่ยนใจกลับตัว ที่ไหนได้คิดนําตนไประบายความโมโห
“ที่ไหนกัน ข้าแค่เชิญเจ้าไปพูดคุยที่จวนหลวงใหญ่ช่วยทําคดี”
ใต้เท้าเฉินพูดโพล่งออกมา ก่อนแสดงความสามารถยึดข้อกล่าวหาให้คนด้วยการมองหรงฝู่เลาแล้วส่งสัญญาณด้วยสายตา
“เรียนใต้เท้า เขากับคนรับใช้ของเขาเข้ามาที่ร้านของข้าน้อย กินแล้วไม่จ่าย ถูกข้าน้อยจับตัวไว้ หวังให้ใต้เท้าช่วยจัดการแทนข้าน้อยด้วย”
“ได้! ดีมาก ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง ดังนั้นรบกวนคุณชายท่านนี้ขึ้นเกี้ยวที”
เจ้าเมืองพูดเป็นระเบียบแบบแผน ทําให้คนไร้ทางปฏิเสธ
“ไม่ได้ นายท่านของข้าไปกับเจ้าไม่ได้!"
เด็กรับใช้กลับคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ฝืนทนเจ็บจากถูกซ้อมเมื่อครู่โดดออกมาพูด
“ใครอีกล่ะนี่” ใต้เท้าเฉินกุมจมูกเอ่ยถาม “เหตุใดจึงเหม็นยิ่งนัก”
“เป็นคนรับใช้ของผู้นั้นขอรับ” หรงฝู่เลาถือโอกาสกล่าว “เขาผู้นี้เป็นพวกดีแต่พูด”
“งั้นพาตัวทั้งหมดกลับที่ว่าการ รับการตรวจสอบ!” ใต้เท้าเฉินออกคําสั่ง
“เดินก็เดิน ข้าไม่กลัว แต่ข้าไม่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“หืม ระยะทางมันไกล เท้าเจ้าบาดเจ็บจะเป็นอย่างไร” ใต้เท้าเฉินกล่าวเสแสร้งด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ชายหนุ่มจึงถอดรองเท้าและถุงเท้า เวลานี้ยืนด้วยสองเท้าเปล่า
“ใช่ ๆ นายท่านของข้าไม่ขึ้นไปหรอก” เด็กรับใช้กล่าวเสริมตาม โวยดังยิ่งกว่านายหนุ่ม "ไม่เหมาะสมยิ่งนัก บุรุษขึ้นเกี้ยวมงคล!"
“ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะพูด! มานี่! จับตัวเขา!”
ใต้เท้าเฉินสั่งคนมัดเด็กรับใช้อย่างไม่เกรงใจ ทําการข่มขู่ไปในขณะเดียวกัน จํานวนคนมากกว่าในตอนแรก ยากที่ชายหนุ่มจะรับมือได้หมด สุดท้ายไม่ว่าเขาต่อสู้อย่างไรก็ถูกมัดมือเท้าบังคับเข้าเกี้ยวเจ้าสาวจนได้
“บัดซบ! ปล่อยข้า! อื้อ...!!” เพราะเขาโวยวายไม่หยุด ปากจึงถูกยัดด้วย ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
“มา ขึ้นเกี้ยวเถอะ!”
เฉินสวี่เหล่ยรอยยิ้มเปื้อนหน้า เบิกบานใจด้วยจะได้กลับไปกอดคนงาม จึงไม่สนใจว่าชายหนุ่มโวยวายอะไร และแล้วชายหนุ่มก็ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่าง นั่งในเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่ประดับตกแต่งด้วยลูกปัดสีและลูกบอลแพรปักมงคล มุ่งไปทางทิศเหนือของถนนใหญ่ท่ามกลางเสียงฆ้องกลองประโคม
นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม
ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดาองค์รัชทายาทห
หลังค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อก็ส่งข่าวให้ฮ่องเต้แคว้นซีทรงทราบว่าพบตัวองค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาแล้ว และทางนั้นก็ได้ส่งสารตอบรับกลับมาว่าโปรดดูแลองค์ชายสิบของบรรณาการให้ดีแทนน้ำใจชาวแคว้นซีด้วยพิธีต้อนรับจัดขึ้นอย่างง่าย องค์ชายสิบได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเฟิ่งอี๋ ขั้นเก้า ชั้นเอก สนมลำดับต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก รับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อู๋เสี่ยวหวาได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหยานชุนในฐานะ เฟิ่งอี๋ แล้วไหนจะต้องคอยรับฟังผู้คนนินทาว่าเป็นชาวซีเป่ยไร้เกียรติ แคว้นซีเล็กต่ำต้อย แต่อู๋เสี่ยวหวาก็มิได้เก็บมาใส่ใจนักวังหลวงแคว้นเหยาหยานชุน ณ ตำหนักซิงอี๋เหล่ยหลังจากเขียนอักษรเต็มพรืดเสร็จไปอีกหนึ่งแผ่น อู๋เสี่ยวหวาวางพู่กันลง หมุนคอซึ่งปวดเมื่อยแข็งล้า บิดเอว ถามอันเต๋อจื่ออีกครั้ง“องค์รัชทายาทกลับมาหรือยัง”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พี่โจวจือหยวนตําหนักหน้าบอกว่า ถ้าองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเสด็จกลับมา จะทูลให้มาที่ห้องหนังสือทันที”อันเต๋อจื่อส่งชาแดงใส่ผลเป๊ะก๊วยผสมน้ำตาลกรวดชงใหม่ ๆ หนึ่งถ้วยให้องค์ชายสิบ“องค์ชายสิบทรงกระหายหรือไม่ ทรงพักสักหน่อยเถิด ค่อยเขียนต่อดีก
หลังฝนตกหนักห้าวันติดต่อกัน ท้องฟ้าโปร่งใสเป็นพิเศษ นกกระจิบบินเข้าอุทยานตำหนักชิงอี๋เหล่ย ส่งเสียงร้องวุ่นวายไม่หยุด บ่าวรับใช้สาดน้ำที่หน้าระเบียง กวาดถูขั้นบันได วันยุ่ง ๆ เริ่มจากเวลานี้อู๋เสี่ยวหวาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคึกคักนี้ หลังจากหาวหวอดใหญ่หนึ่งที ก็ลูบขอบเตียงด้านนอกด้วยความเคยชิน ผิวผ้าด้านข้างเย็นเฉียบว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่“ซีเอ่อ?”เขาเลิกผ้าห่มปักดิ้นลุกขึ้นนั่งหัวฟู อันเต๋อจือรีบเดินมา รวบม่านคลุมเตียงไหมปักชิ้นงามขึ้น นางกำนัลวัยขบเผาะสี่นางเดินเข้ามารับใช้เฟิ่งอี๋ ล้างหน้า หวีผม“เฟิ่งอี๋ เมื่อคืนทรงบรรทมสนิทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อันเต๋อจื่อยิ้มตาหยี ขันทีอายุอานามเดียวกันกับอู๋เสี่ยวหวาที่ติดตามมารับใช้จากแคว้นซี ในคราแรกเขาไม่ได้ถูกส่งมาเฝ้ารับใช้องค์ชายสิบ จึงต้องกลับแคว้นซี แต่เขาคุกเข่าขอร้องอยู่หลายครั้ง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ คอยรับใช้องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา ฮองเฮาแคว้นเหยาจางหรงผิงเห็นแก่เขาที่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเจ้านายจึงอนุญาตให้อยู่รับใช้ข้างกายอู๋เสี่ยวหวาต่อ ทั้งสองตัวติดกันใช้ชีวิตเป็นบ่าวกับนายมาถึงสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาย
“ใช่ เห็นว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทสนิทสนมกับเฟิ่งอี๋มากเกินไป ไม่เหมาะไม่ควร เหลียงตี้ที่เพียบพร้อมกว่า แสนสง่างามกว่า อยู่มานานกว่ากลับได้รับการปฏิบัติที่ห่างเหิน จึงได้มีรับสั่งห้ามไปหาเฟิ่งอี๋แต่เพียงผู้เดียว ให้แวะเวียนไปเยือนพระสนมนางอื่นบ้าง เฮ้อ แต่ว่าก็ว่านะ ตำหนักชิงอี๋เหล่ยเนี่ยหากขาดองค์รัชทายาทมาเยือน ดอกไม้ไม่หอมต้นไม้ไม่เขียวเลยจริง ๆ"“บังอาจนัก พวกกำเริบเสิบสานนินทานาย!”ประโยคตําหนิของอู๋เสี่ยวหวาทําให้นางกํานัลทั้งสองตกใจมาก พวกนางรีบคุกเข่าลง ก้มศีรษะคํานับขออภัย “ฟะ..เฟิ่งอี๋! โปรดให้อภัยด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้..”“ฐานะเป็นนางกํานัลกลับปากพล่อย ดอกไม้ไม่หอม ต้นไม้ไม่เขียวอะไร หาที่ตายใช่หรือไม่!”“พวกบ่าวมิกล้าอีกแล้ว! ขอเฟิ่งอี๋โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ!” นางกํานัลทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวทั้งตัวสั่นงันงก“ไม่ได้! ปล่อยพวกเจ้าไว้ไม่ได้! ข้าจะกราบทูลฮองเฮาให้อบรมพวกเจ้า!” อู๋เสี่ยวหวาตําหนิหนัก สั่งขันทีไล่สองคนนี้ออกไป“เฟิ่งอี๋โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ วางพระทัยให้นิ่ง ๆ ”อันเต๋อจื่อพูดปลอบอู๋เสี่ยวหวา ต่อมาอู๋เสี่ยวหวาที่คล้ายกับเพิ่งได้สติคืนมามองอั
เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต
หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น
ตอนที่กําลังคิดเรื่องเหล่านี้ เสียงน้ำซู่ซ่าพลันดังเข้าหู หวังเผยจูเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าอิงจื่อรีบออกไปแบบรู้กาลเทศะ เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวหน้าตางดงาม โฉมสคราญแฉล้มนั่งในถังอาบน้ำไม้ทรงสี่เหลี่ยม กําลังตีน้ำเล่น ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนนางกําลังเล่นสนุกร่ายระบำในน้ำ หยดน้ำร่วงจากแขนขาวเนียนไร้ตําหนิ งามดั่งบุปผาเซียนที่ก่อกำเนิดในโลกมนุษย์ ขนตายาวหนาที่มีหยดน้ำเกาะเป็นประกายสดใสชวนมอง ครั้นยื่นมือออกมาจะเห็นเล็บสีแดงตัดแต่งโค้งมน ดูไม่เหมือนของคนกลับเหมือนหุ่นที่ช่างฝีมือชั้นยอดแกะสลักเสลาอย่างประณีตเสียมากกว่านางกระดิกนิ้วเรียกแขกผู้มาเยือน พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ หวังเผยจูเดินไปทางถังอาบน้ำ น้ำใสแจ๋วโปรยกลีบดอกกุ้ยเหม่ยสีแดงจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงเห็นร่างเปลือยของหญิงสาวที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดแจ้งในปราดเดียว สองเต้าอวบอั๋นใหญ่โตล้นทะลัก ฟางเย่เซียนหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาฉ่ำวาวมองชายชุดขาวลวดลายนกกระเรียนทองที่ยืนข้างถังอาบน้ำด้วยความรู้สึกพึงพอใจ รูปร่างสูงสง่า ผึ่งผายองอาจแฝงแรงกดดันเช่นนี้ ถ้าสามารถใช้เวลาราตรีวสันต์ร่วมกับนางได้ เกรงว่าต้องใช้โชคดีที่สั่งสมมาร้อยพันชาติ
“ค่ำคืนเดียวดาย ราตรีมืดมิด หิ่งห้อยน้อยโบยบิน ความคำนึงหามากล้น ดั่งแสงเทียนส่องสว่างเพียงลำพัง เผาไหม้ตนเองจนสิ้น...”เขาท่องบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความงามแห่งสารทฤดู’ ไม่ออก แต่ชั่วขณะที่เกิดอารมณ์อ้างว้างซึมเศร้า กลับมีกวีโบราณจำนวนไม่น้อยที่ยกขึ้นมาเอ่ยได้ อู๋เสี่ยวหวาไม่ปฏิเสธ เป็นเพราะเขาคิดถึงหวังซีเอ่อ ตนเองจึงนอนไม่หลับ ที่สำคัญ ยิ่งนอนไม่หลับก็ยิ่งคิดถึงเขา“ซีเอ่อ...ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนนะ..”ยืนที่หน้าต่างนานพอควรจึงรู้สึกถึงไอเย็น อู๋เสี่ยวหวาลูบจมูก เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ควรเลียนแบบคนสมัยก่อน ท่องกวีแต่งกลอนหน้าดอกไม้ใต้จันทราอะไรนั่น มันไม่สามารถกลบความกลัดกลุ้มในใจได้เลย กลับเย็นจนเกินทนเสียด้วยซ้ำ อู๋เสี่ยวหวาตกลงใจละทิ้งความคิดที่จะทำตามคำแนะนำของฮองไทเฮาจางหรงผิงรูปลักษณ์สวยหรูไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ พรุ่งนี้ถ้าฮองไทเฮาทดสอบอีก ก็แกล้งทำเป็นคิดไม่ออกแล้วกัน ใบไม้ร่วงอะไรนั่นให้มันปลิวไปตามลม ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ปวดหัวมากกว่าอู๋เสี่ยวหวาหมุนตัวก็เห็นอันเต๋อจื่อยืนหดคอกอดผ้าคลุมหนังจิ้งจ
อีกทั้งไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำกับผู้ชายมีอะไรเสียหาย นางชื่นชอบในการค้าขายเรือนร่างแลกกับเงินทอง รวมทั้งความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นแสวงหา เชิดชูนางเหนือผู้อื่น ประคองไว้ในฝ่ามือ กระทั่งพูดบ่อย ๆ ว่าขนาดพ่อแม่ของตัวเองยังไม่ดีต่อกันขนาดนี้ แม้ ‘ดี’ เหล่านั้นล้วนมีเป้าหมายก็ตามที“หากเจ้าอยากไปจากที่นี่ ข้าไถ่ตัวเจ้าได้นะ”หวังเผยจูเคยพูดเอาไว้ แต่ฟางเย่เซียนไม่ยินยอม ทั้งยังพูดว่า “ข้าชอบทุกสิ่งของที่นี่ การใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนทรัพย์สมบัติเงินทองก็มิได้เลวร้ายอะไร นอกเสียจากว่าท่านอยากได้ข้า ข้าจึงจะไปกับท่าน หากท่านจะไถ่ตัวข้า แล้วให้ข้าออกไปอยู่ลำพังภายนอกนั่น ข้าไม่ไปหรอกนะนายท่าน” ที่แห่งนี้นางชินชาและรู้สึกปลอดภัยมากแล้ว หวังเผยจูจึงไม่รบเร้านางอีกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนแขกกับนางคณิกา คล้ายพี่ชายคนโตกับน้องสาวมากกว่า เพียงแต่ในใจน้องสาวผู้นี้มีความรู้สึกเคารพรักมาก มักคิดหาวิธีที่จะได้อยู่กับพี่ชายนาน ๆ เสมอ“ท่านอยู่ต่ออีกสักครู่เถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของนายท่านกับขุนนางเหล่านั้นอีก” ฟางเย
ผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์เป็นจริงตามที่หวังซานเยว่ องค์ชายสามผู้นี้บอก หวังซีเอ่อจากองครัชทายาทเลื่อนขั้นขึ้นสู่บัลลังก์มังกร เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยาองค์ที่สิบ หวังหลินอิ่นสละราชบัลลังก์เพราะต้องพักรักษาตัว พระพลานามัยไม่แข็งแรงแล้วเป็นโรคชราไปตามกาลเวลา และจางฮองเฮาเองก็ดำรงค์ตำแหน่งใหม่ เป็น ฮองไทเฮา ฮองเฮาคนต่อไปที่หวังซีเอ่อมีใจให้ทั้งดวงคือเฟิ่งอี๋อู๋เสี่ยวหวา“อู๋เฟิ่งอี๋โปรดรับราชโองการจากฮ่องเต้ อู๋เฟิ่งอี๋คุณธรรมดีมีเมตตาจิต โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือราชวงศ์ ดูแลงานราชการได้ดีไม่บกพร่อง จึงได้เลื่อนขั้นรับตำแหน่งฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินองค์ต่อไป มอบของกำนัลฉลองตำแหน่ง กำไลทองคำ ปิ่นปักผมหงส์ทอง หยกแก้วเหมันต์ โปรดน้อมรับราชโองการ”หัวหน้าขันทีโจวจือหยวนกงกงประกาศเป็นทางการ และยินดีกับอู๋เสี่ยวหวาด้วยที่ได้เลื่อนขั้นจากนายสนมขั้นห้า ชั้นเอก ขึ้นเป็นฮองเฮา อู๋เสี่ยวหวาไม่คาดคิด อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกเหล่าพระสนมในอดีตองค์รัชทายาทต่างก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เช่นเดียวกัน เฉิงลี่เฉี่ยว จาก เหลียงตี้ ได้เป็นกุ้ยเฟย เหลียนเสี่ยนหรู จากตำแหน่ง เ
“เอาล่ะ พวกเจ้าก็คัดลอกต่อได้แล้ว อย่ามัวแต่โอ้เอ้ชักช้า” ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงดัง พระสนมทุกพระนางขานตอบรับรวมถึงอู๋เสี่ยวหวาด้วย“ท่านกับเสด็จพี่ทะเลาะกันใช่หรือไม่” หวังซานเยว่มองอยู่นาน นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เข้าประชิดข้างตัวอู๋เสี่ยวหวากล่าวกระซิบกระซาบ“แปลกประหลาดเสียจริงท่านทั้งสองเนี่ย”“เปล่านี่ พวกเราดีกันจะตาย องค์ชายน้อยทรงกังวลมากไปแล้ว” อู๋เสี่ยวหวาไม่เงยหน้า หยิบพู่กันขนแพะด้ามไผ่เชียงเฟยขึ้นคัดลอกอักษรต่อ“ไม่ถูกสิ เสด็จพี่ใหญ่ ตะวันขึ้นทางตะวันตกชัดๆ เหลือเชื่อเลยว่าท่านจะไล่พี่ใหญ่ซีเอ่อไปได้”หวังซานเยว่เคยถูกหวังซีเอ่อพี่ชายใหญ่ช่วยไว้ครั้งหนึ่ง วันนั้นเขาปีนต้นไม้ขึ้นไปศึกษารังนกด้วยผุดความคิดพิสดาร คิดไม่ถึงว่าจะเจอลมแรงวูบหนึ่งจนเกือบพลัดตกลงมา หวังซีเอ่อซึ่งผ่านมาพอดีจึงลอยตัวขึ้นไปหิ้วเขาที่จะร่วงมิร่วงแหล่ลงมา เรื่องนี้ไม่รบกวนถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่และเสด็จย่า เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนทำโทษ เช่นนั้นหวังซานเยว่จึงเกรงใจเสด็จพี่ใหญ่มากที่ปกป้องเขา หรือพูดว่านับถืออย่างยิ่งก
เป็นเช่นนี้เอง...” หัวสมองอู๋เสี่ยวหวายังคงเชื่องช้า ปากกล่าวอย่างนกขุนทองเรียนพูด “ที่แท้ฝ่าบาทไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมสตรีเพื่อตรวจสอบคดีความเช่นนั้นหรือ อื้ม...”“ใช่ เจ้าคิดว่าข้าแอบไปหาความสุขหรือ ข้าขออภัยเจ้าด้วย ข้าควรอาบน้ํา เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยมาพบเจ้า” แม้พูดเช่นนี้ แต่บนหน้าของหวังซีเอ่อกลับแย้มยิ้มตลอดเวลา บัดซบจริง ๆ“กระหม่อมเองต่างหากที่ผิด โปรดทรงให้อภัย”อู๋เสี่ยวหวาก้มหน้ากล่าว เห็น ๆ อยู่ว่าใส่ใจกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยอันนั้นมากมาตลอด แต่พออีกฝ่ายอธิบาย ความรู้สึกไม่สบายใจรวมถึงความหนักอึ้งที่มีในใจนั้นก็พลันสลายสิ้น“ขอฝ่าบาทประทานอภัยด้วย กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร... ฝ่าบาทไม่ต้องขอโทษกระหม่อม กระหม่อมไม่คาดคิดว่าตนเองจะใส่ใจกลิ่นหอมนั่นเสียขนาดนั้น เป็นสิ่งที่ยากจะหาคํามาอธิบายจริง ๆ”“ฮองเฮา..เวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถิด” หวังซีเอ่อพูด“ยังก่อน กระหม่อมอยากอยู่คนเดียวสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” ชั่วขณะนั้นอู๋เสี่ยวหวาไม่มีความกล้าที่จะเงยหน้า พูดแบบเคอะเขินมาก “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ น้อมส่งเสด็จ”“เช่นนั้นขอได้โปรดมอ
เช้าวันนี้ช่วงยามซื่อ (9:00-10:59) ตำหนักวสันต์ครามทุกเจ็ดวันจะรวมประชุมฝึกขัดเกลา คัดอักษร พูดคุยการปกครองวังหลัง พระสนม และข้าหลวงทุกพระนางต้องมารวมตัวกัน และทำความเคารพฮองเฮาจางหรงผิงภายในตำหนักไม่อึกทึกครึกครื้นนัก เงียบสงบอย่างยิ่ง ประชุมรอบนี้ไทฮองไทเฮาเองก็เข้าร่วมด้วย อู๋เสี่ยวหวากําลังคัดอักษร เพราะวันนี้เขาเหม่อลอยไม่ได้ฟังใจความในที่ประชุม จึงโดนฮองเฮาลงโทษคัดลอกอีก อันเต๋อจื่อจัดเก็บกระดาษเฟิ่งอี๋เขียนเสีย ม้วนแล้วผูกเรียบร้อย เดิมจะทิ้งไป แต่กลับถูกเหลียงตี้แย่งไปแล้วทำหน้าขบขัน เอาให้พระสนมนางอื่นดูแล้วพากันหัวเราะเยาะเย้ย“หนวกหู! หุบปากได้หรือไม่!”อู๋เสี่ยวหวายกมือกุมใบหูมองพวกพระสนมนางอื่นที่กำลังส่งเสียงระหว่างโต๊ะเก้าอี้นินทาน่ารำคาญ แต่แทนที่จะพูดว่าไม่ชอบเสียงดัง กลับเหมือนใช้สายตามองพวกนางด้วยความอิจฉามากกว่า ที่ตนนั้นต้องถูกลงโทษก็เพราะช่วงพักหลังมานี้รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องสำเร็จราชการแทนฮองเต้ที่ทรงประชวรหนัก และหยุดพักรักษาตัว ยังมีข่าวโคมลอยแว่วมาอีกว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะมีการแต่งตั้งฮองเต้องค์ใหม่ในอีกไม่ช้า หวังซีเอ่อจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเต้แคว้นเหยาอย่
ตอนที่กําลังคิดเรื่องเหล่านี้ เสียงน้ำซู่ซ่าพลันดังเข้าหู หวังเผยจูเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าอิงจื่อรีบออกไปแบบรู้กาลเทศะ เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวหน้าตางดงาม โฉมสคราญแฉล้มนั่งในถังอาบน้ำไม้ทรงสี่เหลี่ยม กําลังตีน้ำเล่น ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนนางกําลังเล่นสนุกร่ายระบำในน้ำ หยดน้ำร่วงจากแขนขาวเนียนไร้ตําหนิ งามดั่งบุปผาเซียนที่ก่อกำเนิดในโลกมนุษย์ ขนตายาวหนาที่มีหยดน้ำเกาะเป็นประกายสดใสชวนมอง ครั้นยื่นมือออกมาจะเห็นเล็บสีแดงตัดแต่งโค้งมน ดูไม่เหมือนของคนกลับเหมือนหุ่นที่ช่างฝีมือชั้นยอดแกะสลักเสลาอย่างประณีตเสียมากกว่านางกระดิกนิ้วเรียกแขกผู้มาเยือน พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ หวังเผยจูเดินไปทางถังอาบน้ำ น้ำใสแจ๋วโปรยกลีบดอกกุ้ยเหม่ยสีแดงจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงเห็นร่างเปลือยของหญิงสาวที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดแจ้งในปราดเดียว สองเต้าอวบอั๋นใหญ่โตล้นทะลัก ฟางเย่เซียนหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาฉ่ำวาวมองชายชุดขาวลวดลายนกกระเรียนทองที่ยืนข้างถังอาบน้ำด้วยความรู้สึกพึงพอใจ รูปร่างสูงสง่า ผึ่งผายองอาจแฝงแรงกดดันเช่นนี้ ถ้าสามารถใช้เวลาราตรีวสันต์ร่วมกับนางได้ เกรงว่าต้องใช้โชคดีที่สั่งสมมาร้อยพันชาติ
หน้าต่างฉลุลายบานนั้นมีน้ำเสียงใสแจ๋ว ท่วงทำนองเสนาะหูลอยอ้อยอิ่งมาเป็นช่วง ๆ ใครได้ฟังเป็นต้องเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยราวกับเหินขึ้นท้องฟ้าไปอยู่ในวังจันทราเรือสำราญลำหนึ่งชื่อ ‘อิงซื่อ’ มีชื่อเสียงที่สุด มันใหญ่เป็นสามเท่าของนาวาบุปผาลำอื่น อีกทั้งยังสูงถึงสามชั้น ม่านโปร่งบางห้อยเรี่ยพื้นเล่นแสงโคมงามพร่างพราว มีคนลากเรือเปลือยท่อนบนสามสิบกว่าคนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ลาก ‘อิงซื่อ’ ด้วยท่วงท่าเหนือชั้น ทุกครั้งที่ถึงท่าเรือจะมีแขกสวมอาภรณ์หรูหราท่าทางร่ำรวย เอาแต่ใจ ขึ้นเรือสำราญไปซื้อความสุข วางเดิมพันครั้งละพันตำลึง ใช้เงินเป็นเบี้ยหมาก แน่นอนว่าเหล่านายท่านล้วนกลับไปด้วยความพึงพอใจ ที่แห่งนี้ไม่เพียงคัดเลือกหญิงสาวมาให้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดี หลายแบบให้เลือกด้วย ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนทุกด้าน เหล่าหนุ่มสาวรู้จักว่าควรเอาอกเอาใจแขกอย่างไรให้ถุงเงินของคนรวยฟีบแบน จนแม้สักอีแปะเดียวก็ไม่เหลือหนุ่มสาวพวกนี้มีชีวิตสุขสำราญมาก ในจำนวนนั้นมี ‘ฟางเย่เซียน’ อายุสิบเจ็ดปี ซึ่งงามเลิศที่สุด ยังสามารถเลือกแขกได้เอง พวกเศรษฐีใหม่คหบดีบ้านนอกอ้วนพุงโลนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น
เลยยามไฮ่มาแล้ว ภายในห้องบรรทมของตําหนักชางชุน ขันทีถือโคมไล่ดับตะเกียงตามโต๊ะ โคมบนผนัง เหลือโคมใหญ่เพียงสองสามอันนที่ยังคงให้แสงเหลืองนวลแม้เทียนจะสั้นลงแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นคืนฤดูร้อน อากาศจึงยังคงอบอ้าวเกินทน ประตูหน้าต่างของห้องบรรทมล้วนเปิดไว้หมด อันเต่อจื่อย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอู๋เสี่ยวหวาในมือถือพัดขนเป็ด คอยพัดให้องค์ชายสิบของเขาที่นอนตะแคงอยู่ช่วงกลางดึก ผู้คนพักผ่อนบรรยากาศเงียบสงบ ไม่นานนักเขาก็ง่วง ศีรษะเอนเอียง ไหล่พิงเสาเตียง ผล็อยหลับไป จึงเปิดโอกาสให้หวังซีเอ่อในชุดดำทั้งกายกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยปราศจากเสียง เขาเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นมาแบบคุ้นที่คุ้นทาง ไปหยุดยืนข้างเตียงนอนซึ่งแขวนม่านโปร่งสีฟ้านั้น หลังจากมองอันเต๋อจื่อซึ่งไร้ปฏิกิริยาแม้แต่นิดจนแน่ใจแล้วจึงเอาผ้าปิดปากออกบนตัวอู๋เสี่ยวหวาคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเก๊กฮวยทั้งผืน ใบหน้าหันออกไปด้านนอก แขนกอดหมอน ขดตัวเหมือนกับลูกแมว ด้วยความที่เตียงนั้นมีขนาดใหญ่ ทําให้ตัวเขาดูเล็กน่ารักเป็นพิเศษ อู๋เสี่ยวหวาชอบนอนริมเตียงตั้งแต่อยู่แคว้นซีแล้ว สมัยก่อนอันเต๋อจื่อจึงต้องคอยเฝ้าข้างเต