ค่ำวันนั้นฤทธิแวะไปเยี่ยมภรรยาที่โรงพยาบาล แม่ยายของเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาจึงมีเวลาอยู่กันตามลำพัง
ท่าทางของลินินบ่งบอกว่าร้อนใจ เจ้าหล่อนคงเจอแรงกดดันจากผู้เป็นแม่ไม่น้อย เพราะคุณแพรพรรณนั้นขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบและเจ้ากี้เจ้าการ
“ลินินไม่น่าเลย...ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลยค่ะฤทธิ” หล่อนบ่นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้เป็นสามีได้แต่ปลุกปลอบด้วยการตบไหล่บอบบางของภรรยาเบาๆ
“ช่างมันเถอะ มาคิดหาทางแก้กันดีกว่า นี่แม่คุณโทรบอกแม่ผมเรียบร้อย ตอนนี้แม่เลยรู้เรื่องไปด้วย แต่กับแม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแม่เคยเห็นและก็พอจะรู้จักนันท์”
“ลินินขอโทษนะคะฤทธิ พลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะ?”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...บ่นๆ ทำนองน้อยใจนั่นแหละ ว่าไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แม่กลับไม่รู้เรื่องเลย” ฤทธิเล่า...แต่เว้นเรื่องที่มารดารู้ว่าเขากับพนิตนันท์นอนด้วยกันไว้เสีย
“แล้วนันท์รู้เรื่องหรือยังคะ?”
“ยัง ผมยังไม่ได้บอกอะไรเด็กนั่น”
“ยังไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เดี๋ยวเรื่องคุณแม่ลินินจะหาทางจัดการเอง ไว้นันท์ท้องแล้วค่อยให้คุณแม่เจอดีกว่า ถึงตอนนั้นแล้วแม่ก็คงไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายแล้ว” หล่อนบอกก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเหมือนนึกออกจึงเอ่ยต่อ “อ้อ...แต่คุณแม่ไม่รู้ว่าคุณกับนันท์ เอ่อ...”
ลินินเอ่ยเพียงแค่นั้นฤทธิก็ชิงตัดบทเสียก่อน
“ดีแล้ว อย่าให้รู้น่าจะดีกว่า”
“ค่ะ ลินินก็คิดอย่างนั้น แล้วนี่...นันท์เป็นไงมั่งคะ คุณรีบบอกลินินนะคะถ้านันท์ท้อง”
พูดออกไปแล้วลินินก็อดลอบสังเกตท่าทีของผู้เป็นสามีมิได้ ทว่าท่าทีของฤทธิเป็นปกติจนจับพิรุธอะไรไม่ได้
“กังวลเรื่องสุขภาพตัวเองก่อนเถอะนะคุณ ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเข้าไว้ ส่วนเรื่องนันท์ผมบอกคุณแน่ๆ ไม่ต้องห่วง แต่มันต้องใช้ระยะเวลาอีกพักเลยไม่ใช่เหรอกว่าจะรู้ว่าท้องไม่ท้อง”
“ค่ะ น่าจะเป็นอย่างนั้น...สักเดือนสองเดือนก็น่าจะรู้แล้วมั้งคะว่าท้องหรือเปล่า แล้ว...คุณไปหานันท์บ้างหรือเปล่าคะ?” ถามไปแล้วลินินก็กัดปากตัวเอง
“ก็แวะไปดูบ้าง” ฤทธิแบ่งรับแบ่งสู้...ถึงลินินจะเอ่ยกับปากตนเองให้เขานอนกับเด็กคนนั้น แต่ฤทธิไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าหล่อนจะรับเรื่องนี้ได้จริง “แต่ผมให้เขาเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วล่ะ ว่าพอเด็กคลอดอายุครบแปดเดือน เขาต้องยกเด็กให้คุณ ส่วนเขาก็หมดพันธะกับเด็ก ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้รับอิสระ ไปเริ่มชีวิตใหม่”
ลินินเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกไม่ถึงว่าฤทธิจะถึงกับทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะหล่อนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย จึงออกจะแปลกใจเมื่อได้ยิน
“ลินินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ แล้วนันท์เขายอมเซ็นสัญญาเหรอคะ”
“ยอมสิ มาถึงขั้นนี้แล้วนะคุณ กอดสัญญาไว้กับอกอย่างน้อยก็เป็นเครื่องรับประกันอย่างหนึ่ง ทั้งสำหรับเขาและเรานั่นแหละ”
“ขอบคุณนะคะฤทธิ ลินินคิดตื้นๆ แค่อยากมีลูกเท่านั้นเองค่ะ”
“ถ้าเขาท้อง อย่าลืมสิคุณ ลูกอยู่กับเขา ถ้าเขาจะไม่ให้เรา...เราจะทำอะไรได้”
“แต่ก็ลูกคุณนะคะ เขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไง?”
“ผมพูดเผื่อเอาไว้ มันอาจจะไม่เป็นแบบที่ผมพูดก็ได้ คุณอย่าเพิ่งกังวลไปก่อน คุณน่ะ” ฤทธิเอื้อมไปกุมมือบอบบางที่แทบจะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกแล้วลูบเบาๆ “พักรักษาตัวให้แข็งแรง คุณต้องหาย...จะได้กลับมาดูแลลูก เด็กเขาต้องการแม่นะคุณ”
“ค่ะ ลินินรู้”
“รู้แล้วต้องทำด้วย ห้ามดื้อ คุณอยากได้อะไรผมก็ทำให้ทุกอย่างแล้ว ผมขอแค่คุณดูแลรักษาตัวเองให้หาย...คุณทำให้ผมได้ไหม?”
พูดจบฤทธิก็ชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากผู้เป็นภรรยาเบาๆ ก่อนจะสวมกอดร่างผ่ายผอมไว้แนบแน่น มือใหญ่ลูบหลังแล้วก็ต้องสะท้อนใจเมื่อสัมผัสผ่านปลายมือพบเจอแต่กระดูกที่แทบจะทิ่มออกมานอกเนื้อ เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด หัวใจซึมซับความรู้สึกที่ไหลบ่ามาราวสายน้ำ
ความรักที่มีให้ผู้เป็นภรรยา...ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยลงอย่างที่เขานึกกลัว สิ่งที่เกิดระหว่างเขากับเด็กคนนั้น มันก็แค่ความสัมพันธ์ทางกายเท่านั้น
ลินินคือผู้หญิงที่เขารัก...คนเดียว!
ลินินหลับตา หัวใจเต็มตื้นเมื่อสัมผัสความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาจากอ้อมแขนแข็งแรงที่ยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง หยาดน้ำใสเอ่อคลอก่อนจะหยาดลงมาเงียบๆ แขนบอบบางยกขึ้นโอบผู้เป็นสามี
“ผมรักคุณนะ”
“ลินินก็รักคุณค่ะ”
“วันนี้ผมจะนอนเฝ้าคุณที่นี้” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างปุบปับตามความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คุณจะนอนไม่สบายสิคะ โซฟาก็ตัวเล็กแค่นั้นเอง” คนพูดมองเลยไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่ชิดผนังใกล้ประตูห้อง
“จะเป็นไรไป...ไม่สบายตัวนิดหน่อย ไกลห่างจากที่คุณเป็นตั้งเยอะ และวันนี้ผมอยากอยู่กับคุณ”
ลินินยิ้มกว้างทั้งปากและตา...หัวใจปรี่ล้นด้วยความสุข
“ตามใจคุณค่ะ แต่ห้ามมาบ่นให้ลินินได้ยินทีหลังนะคะ” หล่อนเอ่ยยิ้มๆ “ในตู้นั่นมีผ้าห่มผืนใหม่ที่พยาบาลเอามาเปลี่ยนให้และก็หมอนค่ะ ว่าแต่...เสื้อผ้าคุณละคะ?”
“ใกล้ๆ นี่มีห้างฯ เดี๋ยวผมแวะไปซื้อก็ได้”
“นี่มันสองทุ่มครึ่งแล้ว...คุณต้องรีบแล้วล่ะค่ะเดี๋ยวห้างฯ จะปิดเสียก่อน”
ฤทธิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นจริงตามที่ภรรยาบอก เขาลุกขึ้น กระนั้นก็ยังไม่ลืมจูบหน้าผากคนที่นอนบนเตียงก่อนจะเอ่ย
“ผมไปก่อน เดี๋ยวมานะคุณ”
แล้วก็หมุนตัวเดินก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป ปล่อยให้คนที่นอนบนเตียงมองตามด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มระบัดระบาย ความรู้สึกแน่นหนักที่เกาะกุมหัวใจเหมือนจะผ่อนคลายลงไปมากทีเดียว
หล่อนคิดมากไปเองแท้ๆ ที่ระแวงในตัวผู้เป็นสามีทั้งที่เป็นคนยัดเยียดผู้หญิงอื่นให้เขาด้วยตนเอง ทั้งที่ที่ผ่านมาฤทธิก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางสักครั้ง แม้ว่าหล่อนจะบกพร่องในหน้าที่ภรรยา และละเลยการดูแลเอาใจใส่ในตัวเขา เพราะต้องรับมือกับปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและทางใจ
ต่อจากนี้ลินินสัญญากับตัวเองว่า จะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด หล่อนจะต้องหาย...จะต้องแข็งแรง เขาพูดถูก
ลูกต้องการแม่...หล่อนจะต้องเป็นแม่ที่ดีให้ได้
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากล่ำลาคนป่วยและบอกกล่าวเรื่องที่เขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเสาร์อาทิตย์ ฤทธิก็ออกไปทำงาน ทว่าออฟฟิศไม่ใช่ที่แรกที่เขาไปเขาโทรศัพท์บอกพนิตนันท์ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะแวะมาหาหล่อนตอนเช้า และมีเรื่องจะคุยด้วย ที่จริงก็เป็นการบอกเจ้าหล่อนกลายๆ นั่นแหละว่าเขาจะไม่เข้าไปค้างที่นั่นหล่อนจะได้ไม่รอชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กสาวจะรอหรอก...หล่อนอาจจะดีใจก็ได้ที่เขาไม่ไปหาหลังจากเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลินินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากทุกข์โศกโรคภัยโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นี่คงเป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ที่ทำให้หล่อนมีหวังเรื่องลูกขึ้นมาอีกครั้งนั่นทำให้ฤทธิตัดสินใจเด็ดขาด...เขาจะไม่ยื้อเวลาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวออกไปอีกแล้ว เขาต้องทำให้หล่อนท้องโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เขาก้าวมาหยุดหน้าประตูพอดี มือที่เอื้อมแตะแป้นเพื่อจะกดรหัสเข้าประตูชะงักค้างก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วซุกลงกระเป๋ากางเกง แล้วมองประตูตรงหน้านิ่งนานด้วยสายตาครุ่นคิดไตร่ตรอง
พอวางสาย เงยหน้าจากโทรศัพท์ สายตาพนิตนันท์ก็ปะทะกับสายตาคมดุที่จดจ้องมองนิ่ง“ยังติดต่อกับหมอนั่นอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก็จริง แต่ทำไมคนฟังจึงใจเต้นโครมครามก็ไม่รู้“เอ่อ...ก็ ยังเรียนด้วยกันบางวิชา เลยต้องติดต่อกันอยู่ค่ะ แต่ก็เฉพาะเรื่องเรียน” ตอบไปแล้วก็นึกไปถึงวันที่อาชว์ตามไปห้องสมุดด้วย วันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเรียนเหมือนกันใช่ไหม...“ยังจำที่บอกได้ใช่ไหม?”คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ...อะไรล่ะ เขาบอกตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา ใครจะไปจำได้ว่าหมายถึงเรื่องไหน...สีหน้าครุ่นคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกนั่นทำให้ฤทธิหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทำงานแล้วแท้ๆ แต่หล่อนก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจชายหนุ่มย่างสามขุมกลับมาหาสาวน้อยที่ก้าวถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากอีกฝ่าย“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง...”“เอ่อ...เรื่องที่คุณคุยวันนี้ ว่าจะให้หนูท้อง...ใช่ไหมคะ?”เขาส่ายหน้า แต่คำตอบของหล่อนกำลังทำให้เขาเกิดความ ‘ต้องการ’ ขึ้นมาเนี่ยสิ“ไม่ใช่! แต่ในเมื่อเธอพ
บทนำความอบอุ่นที่อิงแอบแนบชิดทำให้ร่างสูงใหญ่เบียดกายเข้าหาโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่ได้สติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ความรุ่มร้อนในกายทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย ความเครียดเคร่งคล้ายจะรวมตัวตรงจุดกึ่งกลางกาย...จนปวดหนึบไปหมดยิ่งเมื่อลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเรียบตึงทว่านุ่มเนียนจนอยากสำรวจให้ทั่ว มันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว มือใหญ่หยาบเริ่มต้นสำรวจ...ความอบอุ่น เต็มไม้เต็มมือ และเรียบลื่นทำให้เขามั่นใจว่าที่สัมผัสอยู่นั้น คือ เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง“ลิ...นิน...ที่รัก” เขาพึมพำชื่อที่ติดตรึงในใจออกมาเสียงครางดังขึ้นเบาๆ ละม้ายขานรับเขาพยายามปรือตามองฝ่าความมืด ท่ามกลางความสลัวราง แสงจันทร์ที่ทอผ่านหน้าต่างสาดจับร่างขาวโพลนเห็นเส้นสายส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่ามอง...ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ก้อนเนื้อกลมสองก้อนที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอฝ่ามือใหญ่กอบกุมไว้ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นความนุ่มหยุ่นเต็มมือก่อนสลับไปที่อีกข้างความง่วงงุนยังหลงเหลือ ทว่าร่างกายเขากลับตื่นเต็มที่ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประหวัดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เชยชมเรือนร่างนี้...นานเท่าไรแล้ว?“ลิ
ดวงตาคมกวาดมองชุดนักศึกษาที่เปียกปอนไปครึ่งตัวก่อนถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสะกดอารมณ์เต็มที่ “ไปเรียนใช่ไหม...ที่ไหน?” พนิตนันท์เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิมเมื่อจับคลื่นบางอย่างได้จากคำถามเมื่อครู่ คนบนรถเอ่ยสวนทันควันโดยไม่ต้องคิดว่า “ขึ้นมา...เดี๋ยวไปส่ง” “เอ่อ...” “จะรอให้เปียกทั้งตัวหรือไง” เจอน้ำเสียงดุของอีกฝ่ายเข้า พนิตนันท์ก็ตาลีตาเหลือกเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง แต่แล้วก็กังวลเมื่อตระหนักว่าเบาะรถนั้นเป็นเบาะหนังแท้สีครีมสะอาดสะอ้าน “เอ่อ...ตัวหนูเปียก กลัวเบาะจะ...เปียก...” “เปียกก็เปียก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราน่ะตัวเปียกขนาดนี้ จะไปเรียนยังไง ให้วกรถกลับไปไหม เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง” “ไม่ค่ะ!” น้ำเสียงที่ปฏิเสธนั้นแข็งจนคนฟังจับสังเกตได้ คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย กวาดตามองดวงหน้าของเด็กสาวเร็วๆ คราบน้ำตาที่ค้างอยู่บนดวงหน้าจึงมิได้รอดสาย
ฤทธิกดรหัสหกตัวตรงแป้นบริเวณลูกบิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไป “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาชี้ไปทางห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ “เข้าไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาชุดมาให้ ส่วนชุดที่เปียก...เดี๋ยวเอาเข้าเครื่องซักแล้วก็ปั่นแห้ง สักสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ” ฤทธิพาเดินไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้เด็กสาว ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักหาเสื้อผ้าที่จะให้เด็กสาวใส่ชั่วคราว ได้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวลายทางฟ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะประตูบอกคนข้างใน แล้วยืนรอครู่หนึ่งทว่าข้างในกลับเงียบ...ไม่ขานและไม่มาเปิดประตู อารามเป็นห่วงฤทธิจึงบิดลูกบิด พบว่าไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักยืนตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อมองเข้าไปเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ทว่าหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ ร่างอ้อนแอ้นนั้นกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเปียกโชกออกจากตัว เสื้อนักศึกษาถอดวางข้างอ่างล้างหน้าแล้ว เจ้าตัวกำลังรูดซิปกระโปรงแล้วปล่อยให้เลื่อนหลุดจากร่างลงไปกองอยู่บนพื
พนิตนันท์วางถ้วยโกโก้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ท่าทางตื่นๆ ของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าหล่อนเองก็ประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่จะซัก ฤทธิเดินนำไปที่ห้องซักรีดซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ด้านหลังครัว ในห้องมีเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและเครื่องอบผ้าอยู่พร้อมสรรพ ทั้งยังมีระเบียงขนาดไม่ใหญ่มากไว้สำหรับตากผ้าเขาหยุดหน้าเครื่องซักผ้า รอจนหญิงสาวเดินมายืนใกล้ๆ จึงสอนวิธีใช้งานทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า“จำได้ไหม?” เขาถามหลังจากสอนเสร็จ“ค่ะ คิดว่า...จำได้ค่ะ” น้ำเสียงคนตอบมีแววลังเล“แสดงว่าจำไม่ได้” เขาแปลความหมายคำพูดอีกฝ่าย ตามความเข้าใจของตนเอง สาวน้อยยิ้มแหยพลางพยักหน้าน้อยๆ“ก็...งงนิดหน่อยค่ะ”“ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามแล้วกัน”ตอนแรกฤทธิคิดว่าจะทิ้งสาวน้อยไว้ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนเขาก็จะขอตัวไปทำงาน เพราะประตูระบบอัตโนมัตินั้นจะล็อกทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจ ทั้งคอนโดมิเนียมก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเจ้าหล่อนแต่เห็นทีเขาคงต้องอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยก็รอจนซักผ้าเสร็จและเอาเข้าเครื่องอบนั่นแหละฤทธิยื่นมือไป
“เห็นคุณบอกว่าอยากได้ผู้ช่วยใช่ไหม?” ฤทธิเอ่ยถามผู้เป็นภรรยาระหว่างรับประทานอาหารเย็นกันเพียงลำพัง แม่ของเขาไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนที่วัดแห่งหนึ่งแถวนครราชสีมา จึงไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นเช่นเคยนับแต่พ่อไม่อยู่ แม่ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมมากขึ้น“ค่ะ” ฝ่ายนั้นตอบก่อนเงยหน้าจากจานข้าวที่เจ้าตัวทำท่าเขี่ยข้าวในจานเล่นมากกว่าจะกิน“คุณจำเด็กคนนั้นได้ไหม? ที่แม่เขาเคยมาทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ลาออกไป บ้านอยู่ในชุมชนซอยเดียวกับเรานี่แหละ” ผู้เป็นภรรยาทำท่านึกอยู่ครู่ก่อนจะร้องออกมาเมื่อระลึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร“อ๋อ...คุณหมายถึงพรรณีใช่ไหม ลูกสาวเขาชื่อ...” เจ้าตัวเอานิ้วเคาะข้างปากอย่างใช้ความคิด “นันท์ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ ลินินจำได้แต่ชื่อเล่น ทำไมเหรอคะ? คุณเจอแกเหรอคะ?”“ใช่ เมื่อเช้าตอนฝนตก ก็เลยรับขึ้นรถไปส่ง” ฤทธิตอบเพียงนั้น มิได้เอื้อนเอ่ยว่าไปส่งที่ใดหรืออย่างไร “มีโอกาสได้คุย เห็นว่ากำลังหางานพิเศษทำ ผมเลยนึกถึงคุณขึ้นมา ถ้าคุณสนใจผมจะได้ให้มาลองคุยกับคุณดู ท่าทางแกเป็นเด็กใช้ได้ คุณน่าจะชอบ”“ถ้าคุณชอบ ลินินก็ชอบค่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มกว้าง
นัดกันไว้ว่าเย็นนี้ฝ่ายนั้นจะเข้ามาพบและให้คำตอบ ทว่าคำถามของสามีเมื่อครู่...จุดประกายความคิดให้หล่อน“อุ้มบุญ?” ฤทธิทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแปรกแปร่ง“ค่ะ มีวิธีนี้วิธีเดียว...เราถึงจะมีลูกได้ค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ต้องใช้ไข่และมดลูกของผู้หญิงคนอื่นแทนค่ะ เราถึงจะมีลูกได้”“ใช้ไข่กับมดลูกคนอื่น? อย่างนั้นไม่เรียกว่าลูกของเรา ของคุณกับผมหรอกนะลินิน”“ค่ะ ใช่! ไม่ใช่ลูกของเรา แต่ยังไงก็เป็นลูกของคุณไงคะ ลูกคุณ...ก็เหมือนลูกลินินแหละ ลินินจะเป็นแม่ของแกเอง”“หมายความว่า...คุณจะให้ผมไปมีลูกกับคนอื่น แล้วคุณจะเป็นแม่ให้แก แล้วแม่แกจริงๆ ล่ะ?”“เราจ้างเขามาอุ้มบุญให้ เขาก็ได้เงินไปสิคะฤทธิ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ใครมั่งไม่อยากได้”“แต่...คนเป็นแม่จะยอมทิ้งลูกเพื่อเงินเหรอคุณ”โถ...ฤทธิขา ขนาดยอมขายลูกเพื่อเงินยังมีเลย นับประสาอะไรกับทิ้งลูกละคะ...ลินินเก็บประโยคนั้นไว้ในใจ มิได้เอ่ยออกมา“ก็แม่ที่อายุน้อยๆ ยังไม่พร้อมมีลูก แต่มีเหตุต้องใช้เงินไงละคะ หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ อย่าง...เด็กนักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นหนี้ อะไร
พอวางสาย เงยหน้าจากโทรศัพท์ สายตาพนิตนันท์ก็ปะทะกับสายตาคมดุที่จดจ้องมองนิ่ง“ยังติดต่อกับหมอนั่นอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก็จริง แต่ทำไมคนฟังจึงใจเต้นโครมครามก็ไม่รู้“เอ่อ...ก็ ยังเรียนด้วยกันบางวิชา เลยต้องติดต่อกันอยู่ค่ะ แต่ก็เฉพาะเรื่องเรียน” ตอบไปแล้วก็นึกไปถึงวันที่อาชว์ตามไปห้องสมุดด้วย วันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเรียนเหมือนกันใช่ไหม...“ยังจำที่บอกได้ใช่ไหม?”คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ...อะไรล่ะ เขาบอกตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา ใครจะไปจำได้ว่าหมายถึงเรื่องไหน...สีหน้าครุ่นคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกนั่นทำให้ฤทธิหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทำงานแล้วแท้ๆ แต่หล่อนก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจชายหนุ่มย่างสามขุมกลับมาหาสาวน้อยที่ก้าวถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากอีกฝ่าย“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง...”“เอ่อ...เรื่องที่คุณคุยวันนี้ ว่าจะให้หนูท้อง...ใช่ไหมคะ?”เขาส่ายหน้า แต่คำตอบของหล่อนกำลังทำให้เขาเกิดความ ‘ต้องการ’ ขึ้นมาเนี่ยสิ“ไม่ใช่! แต่ในเมื่อเธอพ
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากล่ำลาคนป่วยและบอกกล่าวเรื่องที่เขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเสาร์อาทิตย์ ฤทธิก็ออกไปทำงาน ทว่าออฟฟิศไม่ใช่ที่แรกที่เขาไปเขาโทรศัพท์บอกพนิตนันท์ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะแวะมาหาหล่อนตอนเช้า และมีเรื่องจะคุยด้วย ที่จริงก็เป็นการบอกเจ้าหล่อนกลายๆ นั่นแหละว่าเขาจะไม่เข้าไปค้างที่นั่นหล่อนจะได้ไม่รอชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กสาวจะรอหรอก...หล่อนอาจจะดีใจก็ได้ที่เขาไม่ไปหาหลังจากเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลินินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากทุกข์โศกโรคภัยโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นี่คงเป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ที่ทำให้หล่อนมีหวังเรื่องลูกขึ้นมาอีกครั้งนั่นทำให้ฤทธิตัดสินใจเด็ดขาด...เขาจะไม่ยื้อเวลาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวออกไปอีกแล้ว เขาต้องทำให้หล่อนท้องโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เขาก้าวมาหยุดหน้าประตูพอดี มือที่เอื้อมแตะแป้นเพื่อจะกดรหัสเข้าประตูชะงักค้างก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วซุกลงกระเป๋ากางเกง แล้วมองประตูตรงหน้านิ่งนานด้วยสายตาครุ่นคิดไตร่ตรอง
ค่ำวันนั้นฤทธิแวะไปเยี่ยมภรรยาที่โรงพยาบาล แม่ยายของเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาจึงมีเวลาอยู่กันตามลำพังท่าทางของลินินบ่งบอกว่าร้อนใจ เจ้าหล่อนคงเจอแรงกดดันจากผู้เป็นแม่ไม่น้อย เพราะคุณแพรพรรณนั้นขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบและเจ้ากี้เจ้าการ“ลินินไม่น่าเลย...ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลยค่ะฤทธิ” หล่อนบ่นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้เป็นสามีได้แต่ปลุกปลอบด้วยการตบไหล่บอบบางของภรรยาเบาๆ“ช่างมันเถอะ มาคิดหาทางแก้กันดีกว่า นี่แม่คุณโทรบอกแม่ผมเรียบร้อย ตอนนี้แม่เลยรู้เรื่องไปด้วย แต่กับแม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแม่เคยเห็นและก็พอจะรู้จักนันท์”“ลินินขอโทษนะคะฤทธิ พลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะ?”“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...บ่นๆ ทำนองน้อยใจนั่นแหละ ว่าไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แม่กลับไม่รู้เรื่องเลย” ฤทธิเล่า...แต่เว้นเรื่องที่มารดารู้ว่าเขากับพนิตนันท์นอนด้วยกันไว้เสีย“แล้วนันท์รู้เรื่องหรือยังคะ?”“ยัง ผมยังไม่ได้บอกอะไรเด็กนั่น”“ยังไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เดี๋ยวเรื่องคุณแม่ลินินจะหาทางจัด
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดเข้าหากันทันทีหลังฟังปลายสายบอกเล่าความประสงค์ของผู้เป็นแม่ยายให้ฟัง แม้ลินินจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเท่าไร แต่เขาก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ภรรยาซุกซ่อนความกังวลใจบางอย่างเอาไว้ฤทธิพอจะรู้จักผู้เป็นแม่ยายอยู่บ้างว่ารายนั้นรักและห่วงลูกสาวอย่างมาก เพราะเป็นลูกคนเดียวความห่วงใยนี่แหละที่ทำให้บางครั้งก็เจ้ากี้เจ้าการโดยไม่รู้ตัว ส่วนภรรยาของเขาก็คงอยากปฏิเสธ แต่ก็น้ำท่วมปาก ไม่รู้จะปฏิเสธแม่อย่างไร...ก็ประสาลูกสาวหัวอ่อนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับแม่นั่นแหละแต่ประเด็นอยู่ที่...ฤทธิคิดว่าพนิตนันท์ก็ไม่พร้อมที่จะพบเจอผู้ใหญ่ทางฝ่ายลินิน กับมารดาของเขานั้นเจ้าหล่อนคุ้นเคยเพราะเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ และแม่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอุ้มบุญอะไรนี่ด้วยแต่คุณแพรพรรณซึ่งรู้เรื่องจากปากลูกสาวแล้ว ย่อมต้องมองพนิตนันท์ด้วยสายตาอีกแบบที่ฤทธิมั่นใจว่า เด็กสาวคงเกิดความรู้สึกประหม่าทีเดียวเหมือนตอนที่เขาจีบลินินใหม่ๆ และต้องไปพบเจอพ่อแม่ของหล่อนครั้งแรกนั่นแหละครั้งนั้นคุณแพรพรรณก็มองเขาด้วยสายตาพิเคราะห์และจับผิดจนเขาแทบไม่เป็นตัวขอ
ร่างผ่ายผอมบนเตียงคนไข้นั้น นับวันก็ยิ่งผอมลงจนหนังแทบจะหุ้มกระดูก โรคร้ายที่รุมเร้าพรากความสดใสและสวยงามไปจากหญิงสาวไปจนแทบจะไม่เหลือคุณแพรพรรณผู้เป็นมารดาซึ่งแวะมาเฝ้าลูกสาวเป็นประจำทุกวันถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ“ยายหนู...กินอะไรสักหน่อยไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปชงอาหารเสริมมาให้ไหม ถ้ากินข้าวไม่ลง” นางเสนอ...เมื่อสำรับอาหารที่พยาบาลนำมาเสิร์ฟ ยังมิได้รับการแตะต้อง“ค่ะ แม่”ได้ยินดังนั้นคุณแพรพรรณจึงกุลีกุจอไปชงอาหารเสริมมาให้คนที่นอนบนเตียง ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทำให้นางสะท้อนใจไม่น้อยเมื่อต้องมาเห็นลูกเจ็บป่วยแบบนี้ นับแต่รู้ว่าลูกสาวป่วย นางแทบไม่เคยนอนหลับอย่างเป็นสุขด้วยหวงห่วงสารพัด“พอออกจากโรงพยาบาล แม่ว่าหนูกลับไปอยู่บ้านเราก็ดีเหมือนกันนะ อยู่ใกล้ๆ แม่ก็หายห่วง จะได้ดูแลกันได้ถนัดถนี่”ริมฝีปากแห้งผากของคนป่วยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เปรย“ไหนตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วย หาว่าหนูทิ้งฤทธิไว้คนเดียว”“ก็ตอนแรกแม่ก็ห่วงนายฤทธิเขา ผัวเมียกันน่ะลูก อยู่ห่างกันมากก็ไม่ดี แต่พอเห็นหนูเป็นแบบนี้แล้ว ถ้านายฤทธิเขายังมีแ
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา