เด็กหญิงเกล้ากมลอ้าปากกว้างเมื่อรถหกล้อขนพืชผลการเกษตรแล่นเข้าสู่อาณาเขตไร่สมบูรณ์ดี ทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมือนใครเอาสีเขียวเข้มมาเทบนพื้นตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าใสไร้เมฆ แต่งแต้มด้วยลายขาวดำของวัวที่แทะเล็มหญ้าอยู่เป็นจุด ๆ
ลมฤดูร้อนพัดมาโลมผิว แต่หนูน้อยไม่รู้สึก ด้วยกำลังตื่นเต้นกับทุกอย่างในครรลองสายตา กระทั่งรถมาจอด ณ โรงครัวใหญ่ ที่มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่
“ยายพลวง ๆ”
คนขับรถเรียกหญิงชราวัยเดียวกับยายเกดที่ยืนคุยกับแม่ครัวโพกหัวผูกผ้ากันเปื้อน
“อะไรเจ้าพร” เจ้าของชื่อร้องถาม
“ยายเกดจะมาหาคุณท่าน”
ยายพลวงยกมือไหว้ผู้อายุมากกว่าทันทีที่เห็น
“ไปยังไงมายังไงล่ะพี่”
“ว่าจะมาเยี่ยมคุณท่านนานแล้ว ไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ว่างเลยมาหา” ยายเธอเล่า พลางแนะนำ “นี่หลานฉัน เกล้า ไหว้ยายพลวงเสียสิ”
เกล้ากมลกระพุ่มมือไหว้ ผู้ใหญ่มองเธอด้วยสายตาเอ็นดู
“ไหว้พระเถอะลูก ใกล้เที่ยงแล้ว มา...กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
“ฉันกินเรียบร้อยมาตั้งแต่ในตลาดแล้ว”
“แต่หนูหิวนะยาย”
เกล้ากมลไม่เข้าใจว่ายายเกดจะโกหกไปทำไม เพราะในตลาดได้กินเพียงขนมครกเท่านั้น มันมิใช่ข้าวเลยมิใช่หรือ ผู้เป็นยายขึงตาใส่หลาน ยายพลวงหัวเราะ พอรู้ว่าคนรุ่นพี่เป็นคนยังไง คงเกรงอกเกรงใจน่ะแหละ
“เออ หลานยายนี่กล้าดีนะ ไม่เหนียมอาย ไปหนู เที่ยงนี้มีขนมจีนกับไข่ต้ม เฮ้ย! ใครก็ได้เอาขนมจีนซาวน้ำปลากับไข่ให้เด็กนี่หน่อย”
นางสั่งแม่ครัวแล้วชี้ให้เด็กหญิงไปนั่งที่โต๊ะไม้ที่มีม้านั่งยาว เกล้ากมลจัดการอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ทันสังเกตว่าสองผู้เฒ่าเดินไปทางไหน จนขนมจีนหมดชามแล้วจึงได้เหลียวหาญาติ
“ยายพลวงพายายเกดไปพบคุณท่าน หนูรออยู่นี่ก่อนนะ”
แม่ครัวเอาน้ำใส่แก้วมาให้ ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน คนงานบางส่วนกลับมากินข้าวที่โรงอาหาร เสียงพูดคุยดังจอแจแต่ไม่ดังเท่าที่ตลาด ซึ่งยายเกดขายของอยู่
แต่กระนั้นการรอญาติอยู่นาน ๆ ก็ทำให้หนูน้อยเบื่อ เห็นลูกคนงานเดินมากับพ่อแม่บ้าง บางคนก็เดินมาตัวคนเดียว แต่อย่างน้อยพวกเขาต้องมีพ่อแม่ญาติพี่น้องทำงานอยู่ในนี้ มิเช่นนั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้มากินข้าว
พูดถึงการทำงานที่นี่มีคนงานทั้งชายและหญิง ถ้าจะพูดให้ถูกตลอดอายุเจ็ดปีที่เกิดมา เกล้ากมลก็เห็นคนทั้งสองเพศทำงานกันทั้งนั้น
คงมีแต่บ้านเธอที่ยายทำงานคนเดียว ส่วนตาต๊อกเอาแต่กินเหล้ากับนอน ตื่นมาก็โวยวายหรือไม่ก็ใช้เธอไปซื้อเหล้ามาให้ดื่มกับเพื่อน ซึ่งแต่ละคนมีแต่น่ากลัว ๆ หรือไม่ก็มองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ แบบทำให้เด็กอายุเจ็ดขวบขนลุกขนชัน ยังดีที่ยายสั่งห้ามเด็ดขาดว่าหลังหกโมงเย็นให้อยู่แต่ในบ้านไม่ต้องออกมาเดินเพ่นพ่าน เพื่อไม่ต้องมาเผชิญกับวงเหล้าของตา
หากจะถามถึงแม่ เกล้ากมลก็ไม่เคยเห็นตัวจริง มีเพียงรูปถ่ายในอัลบั้มเก่าเท่านั้น แม่เอาเธอมาให้ยายเลี้ยงตั้งแต่ตัวแดง ๆ โดยส่งเงินมาบ้างนาน ๆ ที
เพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าเกล้ากมลเป็นเด็กถูกทิ้ง ก่อนที่คนโดนล้อจะโดนเธอชกแก้มปูด จนยายต้องซื้อขนมไปขอโทษ แต่พอเธอเล่าต้นเหตุให้ฟังยายถึงกับไปตามด่าพ่อแม่เด็กคนนั้นถึงบ้าน
“เลี้ยงลูกประสาอะไร ถึงเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อ ชอบเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่น แบบนี้มันใช่ได้ที่ไหน” เมื่อยายด่าคนบ้านนั้น ท่านก็หันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะลูก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่ให้หลานจำไว้ ยังไงหนูก็เป็นลูกของยายที่รักและหวังดีเสมอ”
เวลายายเกดได้ด่าใครล่ะก็ อย่าหวังว่าจะหยุดได้ง่าย ๆ การด่าของยายเป็นแบบที่ผู้ใหญ่ซุบซิบกันว่า “แม่ค้าปากตลาด” ถึงใคร ๆ จะขนานนามยายแบบนี้ แต่เธอก็รักและเทิดทูนท่านเป็นที่สุด
ด้วยนั่งนาน ๆ ชักเบื่อ สาวน้อยวัยเจ็ดขวบจึงนึกสนุกลองเดินสำรวจอาณาเขตใหม่ ทุกอย่างดูสวย ทางเดินปูนซีเมนต์สะอาดตา โรงครัวมีพุ่มดอกเข็มที่ตัดแต่งเป็นรั้วอย่างดีล้อมรอบ ถัดไปอีกหน่อยเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่
เกล้ากมลคาดว่าเป็นบ้านของ “คุณท่าน” เจ้าของที่นี่ เพราะตามในละครโทรทัศน์คนรวยต้องอยู่บ้านหลังใหญ่
การเดินจากโรงครัวมายังบ้านเป้าหมายทำให้เธอหอบเล็กน้อย เป็นคนรวยนี่ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องเดิน ขึ้นรถไป มีคนขับให้อย่างโก้ ตามที่เคยเห็นในละคร
ความจริงเกล้ากมลชอบอ่านหนังสือมากกว่า หนังสือสำหรับเด็กเจ็ดขวบเท่าที่อ่านได้ในห้องสมุด เธอไล่อ่านจนหมด จนคุณครูชมว่าเธอเป็นเด็กเรียนรู้เกินวัย
แต่เธอยังอยากได้หนังสือที่มีภาพสีของเจ้าหญิงแสนสวย ทว่ามันแพงเล่มละเป็นร้อย ยายเกดบอกว่าซื้อไม่ไหว เพราะฉะนั้นโทรทัศน์จึงเป็นความสุขราคาถูกที่เธอหาได้ รองจากวิทยุที่ตาต๊อกเอาไว้เปิดฟังผลหวยออก
เกล้ากมลมาถึงบ้านใหญ่เมื่อตะวันเริ่มคล้อย นอกจากบ้านจะสวยแล้ว ยังปลูกดอกไม้หลากสี คุณนายตื่นสาย ดอกผีเสื้อไหวล้อแรงลม
บ้านนี้ปลูกดอกไม้ทั้งสวนหย่อมหน้าบ้าน ทั้งกระถางแขวนตามชาน บนหน้าต่างชั้นสองก็ปลูกดอกไม้สีชมพู คนในบ้านคงมีความสุข ตื่นเช้ามาเจออะไรสวย ๆ หอม ๆ
เธออยากจะขึ้นไปหายาย แต่ไม่รู้ยายไปอยู่ส่วนไหนของตัวบ้าน จะตะโกนหาก็กลัวถูกดุ จึงได้แต่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ ปลายสายตาเห็นอะไรเป็นสีแดง ๆ สะท้อนแดด ใต้ร่มไม้ใหญ่มีชิงช้าเชือก แล้วก็มีจักรยานสีแดง
เกล้ากมลรีบสาวเท้าไปดู จักรยานเป็นของที่เธออยากได้อีกอย่าง แต่ยายเกดให้ไม่ได้ สีแดงสลับเงินของมันทอประกายยามต้องแสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งก้านใบไหม้ลงมา ยั่วยวนชวนให้สัมผัส จนมือน้อย ๆ อดไม่ได้ที่จะลูบไล้“ทำอะไรน่ะ”เสียงห้าวตะโกนฉุนเฉียวมาจากหน้าบ้านใหญ่ เด็กหญิงตัวน้อยสะดุ้งหันมองขวับ เจ้าของเสียงก้าวยาว ๆ มายืนตรงหน้า เขารูปร่างสูงจนต้องมองคอแหงนตั้งบ่า ผิวคร้ามแดด ตาสีน้ำตาลอ่อนและที่สำคัญหน้าฝรั่ง จมูกโด่ง“เด็กที่ไหนเนี่ย อย่ามาจับจักรยานของฉัน”เขาปัดมือเธอออกไม่ต่างกับปัดแมลง แล้วย่อตัวสูงใหญ่ลงสำรวจพาหนะตน ราวกับการแตะต้องของเธอก่อให้เกิดความสึกหรอใหญ่หลวง“เห็นสวยเลยขอจับหน่อย”เกล้ากมลแก้ตัว สายตามองผมรองทรงที่ตัดอย่างประณีต เหมือนพี่นักเรียนชายมอปลายที่เคยเห็นในตลาด“ไม่ให้จับ มือสกปรกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เจ้าของรถผินหน้ามาทางเธอด้วยความบึ้งตึง“หน้าตาดีเหมือนตุ๊กตา แต่นิสัยไม่ดีขี้เหนียว”เธอเบ้ปากด้วยยึดหลักใครดีมาก็ดีตอบ แต่หากร้ายมาเกล้ากมลก็จะร้ายไป“เธอ!” เขากัดฟันกรอด ในดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์ “ปากเสีย ลูกใคร บอกมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปจัดการพ่อแม่เธอ”หนุ่มผมรองทรงลุกขึ้นยืนเต็ม
“พลวงไปจัดห้องข้างบนให้หนูเกล้าที เอาห้องว่างปีกขวาที่ติดกับห้องฉันนะ” คุณย่าอิสรีสั่งให้ยายพลวงจัดห้องชั้นสองให้เกล้ากมล “จะได้เรียกใช้สะดวก ๆ กลางคืนก็มานอนเฝ้าหน้าเตียงฉัน”เด็กหญิงจึงอยู่ในฐานะเด็กรับใช้ของเจ้าของไร่ นอกจากนั้นเธอยังมีโอกาสได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับอิธานอีกด้วย“ไหน ๆ รับปากยายเกดมาแล้วว่าจะเลี้ยงหลานให้ ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด”คุณย่าอิสรีเอ่ยอย่างเอ็นดู ชอบแววตาฉลาด ไม่กลัวคน นึกชอบใจที่ยายเกดเลี้ยงหลานมาได้ดี ด้วยท่านมีมดลูกที่ไม่แข็งแรง ตั้งครรภ์กี่ครั้งก็แท้งหมด จนมาถึงคราวพ่ออิธาน สามีต้องตระเวนไปบนหลวงพ่อดัง ๆ ลูกชายจึงรอดมาได้ แต่ก็เคราะห์กรรมยังไม่หมด จู่ ๆ เขาก็เกิดอุบัติเครื่องบินตกที่อังกฤษคุณปู่สมบูรณ์จึงไปพาหลานกลับมาเลี้ยง ไม่ทันไรคุณปู่ก็เสียไปอีกคน คุณย่าที่ไม่เคยทำงานไร่เลยต้องมารับช่วงต่อ ดีที่ยังมีคนงานเก่าแก่คอยช่วยเหลือ ทั้งบริหารงานในไร่และเลี้ยงดูอิธานไปด้วยหลานชายรักย่าก็จริง แต่ออกจะเป็นคนแข็ง ๆ ชอบอยู่ในไร่ มากกว่าจะอยู่ในบ้าน ทำให้ท่านเหงาบ้างเป็นบางที ได้เกล้ากมลมาก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อนเกล้ากมลตกใจกับห้องนอนใหม่ มีเตียงหลังใหญ่ ผ้าปูที
“ค่ะคุณย่า” หนูน้อยรับคำพร้อมน้ำตารื้นยายจ๋าคุณย่าอิสรีเป็นคนใจดีจริง ๆ เธอชักเข้าใจแล้วว่าทำไมยายเกดจึงอยากให้มาอยู่ที่นี่ละครเล่นไปได้ครึ่งเรื่องเกล้ากมลก็ปวดฉี่ คุณย่าอิสรีชี้ให้ไปเข้าห้องน้ำถัดจากครัวไปหน่อย หลังเสร็จธุระเธอกำลังจะออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินคนเปิดประตูหลังบ้าน เกล้ากมลใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ใครกันจะมาบ้านเวลานี้และเข้าทางประตูหลังเธอแอบแง้มดูจากประตูห้องน้ำ เห็นหลังกว้างในความมืดตะคุ่ม ๆ ตายล่ะ มันกำลังไปทางห้องนั่งเล่น เธอเหลียวหาอาวุธต่อสู้กับคนร้าย ซึ่งไม่มีเลยจนตาเหลือบไปเห็นตะกร้าผลไม้ปลอมบนโต๊ะเตรียมอาหารในครัว มือเล็กจึงคว้าอาวุธจำเป็นวิ่งตามหลังไปติด ๆ แล้วขว้างผลไม้พลาสติก ทั้งมะม่วง แอปเปิล ส้ม มะละกอ โดยเฉพาะกล้วยที่โดนหัวคนร้ายดังปั๊ก“อย่าทำอะไรคุณย่านะไอ้โจรชั่ว!” เกล้ากมลตะโกนสุดเสียงพร้อมวิ่งไปจับขามันไว้“เฮ้ย! อะไรกันนี่ ยัยเด็กบ้า ปล่อยฉันนะ”มันพยายามสลัดคนเกาะให้หลุด แต่เธอยังมือเหนียวหนึบเป็นตุ๊กแก“คุณย่าหนีไปค่ะ” เธอรีบบอกผู้อาวุโสที่ตะลึงในเหตุการณ์อยู่“ปล่อยสิวะ” เจ้าโจรร้ายดันมือที่ศีรษะเล็ก หวังให้เธอไปไกล ๆ แต่เกล้ากมลร้ายกว่านั้น เธอกัดมือ
อิธานอายุสิบเจ็ดปีกำลังเรียนมัธยมปลายโรงเรียนในจังหวัดที่เดียวกับสนานและหนุ่มสาวลูกชาวไร่อายุเท่ากัน ส่วนเกล้ากมลและวรดาอยู่ชั้นประถมในโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดที่ห่างกันไปสองกิโลเมตรด้วยมีจำนวนเด็กในวัยเรียนมาก คุณย่าอิสรีจึงเหมารถสองแถวคันโตให้มารับส่งนักเรียนทุกวัน เด็กประถมเลิกเร็วแต่เด็กมัธยมมักมีการเข้าชมรม พวกเธอจึงได้นั่งแกร่วรอคนอายุมากกว่าบนรถสองแถวอยู่บ่อย ๆสมาชิกในรุ่นอายุเจ็ดขวบของไร่เฉพาะเพศหญิงมีเพียงเกล้ากมลกับวรดา ส่วนคนอยู่มาก่อนดีใจมากที่มีเพื่อนเล่นเพิ่มมาอีกคน“พี่หนานพาแต่ฉันไปตกปลาหรือขึ้นป่าไปวางกับดักกระต่าย”วรดาระบายความอัดอั้นตันใจแก้มป่อง สนานใจดีกับน้องสาว แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชาย ไม่อาจเข้าถึงจิตใจสาวน้อยได้ ครั้นจะชวนเล่นทำกับข้าวหรือเล่นพ่อแม่ลูกเขาก็ไม่ยอม บอกว่าเด็กไป“ตกปลาเหรอ ฟังดูน่าสนุก”เกล้ากมลคิดถึงปลาดุกย่างเสียบไม้ ผิวชโลมเครื่องเทศกรอบหอม ๆ ควันฉุย ซึ่งนานทียายเกดจะซื้อให้กิน“ฉันไม่ชอบเวลาปลามันดิ้นกระแด่ว ๆ น่าสงสาร” คนเล่าคิ้วตก “เกล้านิสัยท่าทางจะไปได้ดีคุณอิธกับพี่หนานนะ”“กับพี่หนานน่ะเฉย ๆ แต่กับคุณอิธเขาไม่ชอบฉัน”อิธานมักม
“อ้าว...เกล้า”กายเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อยายพลวงทัก เธอเสมองพื้นไม่กล้าสบตา“ไปรออยู่ที่โต๊ะไป บอกคุณท่านด้วยว่าอาหารเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะเอาไปเสิร์ฟ”เธอพยักหน้าแรงแบบคอแทบหัก วิ่งตื๋อไปที่โต๊ะอาหาร คุณย่าอิสรีนั่งดื่มกาแฟอยู่ ท่านยิ้มให้เธอที่ไปนั่งเก้าอี้ตัวใกล้ ๆอิธานเป็นคนสุดท้ายที่ลงมา เขาบ่นว่าเครื่องปรับอากาศห้องเขาอาจจะเสียเพราะมันไม่เย็นเลยวันนั้นตลอดทั้งวันเกล้ากมลไม่รับรู้อะไร ได้แต่นับรอเวลาให้เลิกเรียนโดยเร็ว เพื่อหวังจะไปซื้อเค้ก โชคเข้าข้างเธอเพราะวันนี้วรดาหยุดเรียนเนื่องจากเป็นตาแดงเกล้ากมลบอกเด็กผู้ชายที่นั่งข้างกันว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเธอรีบไปยังสหกรณ์ ตู้เค้กปิดไฟแล้ว โลกมืดดับพร้อมแสงไฟ ใจสาวน้อยหล่นวูบ“เอาอะไรจ๊ะหนู” คนขายคนเดิมชะโงกหน้าทักเธอจากบนตู้“เค้ก”ไม่มีเหลือแม้สักชิ้น บนชั้นวางขนมว่างเปล่า“เหลือชิ้นสุดท้ายพอดีเลย หน้ามันเละไปหน่อย ขายให้แค่ยี่สิบบาทจ้ะ”คนขายหันหลังไปหยิบถาดสี่เหลี่ยมที่มีขนมเค้กตกแต่งเป็นรูปแมลงเต่าทอง แต่เจลลี่สีแดงถูกครีมขาวเปื้อนจนเละ“เอาไหม”สาวน้อยพยักหน้ารัว ๆ จนน่ากลัวคอจะโยก พนักงานตักเค้กใส่กล่องกระดาษที่มีพลาสติกใสด้านบน
เด็กหญิงอ้อยอิ่งอยู่บนรถสองแถวนาน พยายามเดินให้ช้าที่สุด อิธานเลิกสนใจเธอแล้ว เพราะยายพลวงที่รออยู่หน้าประตูบ้านบอกว่า วันนี้คุณย่าอิสรีลงครัวเอง ท่านตำน้ำพริกปลาทูของโปรดหลาน เด็กหนุ่มจึงรีบไปอาบน้ำเพื่อเตรียมมากินข้าวเย็นเกล้ากมลยังไม่กล้าเข้าบ้าน ซึ่งตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นยักษ์ตัวใหญ่ รอตะปบเด็กที่ทำความผิดอย่างเธอ กระเป๋านักเรียนที่ถืออยู่รู้สึกหนักอึ้ง ด้วยไม่รู้จากน้ำหนักเค้กหรือบาปในจิตใจอิธานต้องรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเธอแอบเอาเงินในครัวมาซื้อเค้ก แถมเขาไม่ชอบเธอ คงไม่พลาดที่จะเล่าให้คุณย่าฟัง แล้วเธอจะโดนทำโทษเกล้ากมลตัวสั่นเมื่อคิดว่าคุณย่าอิสรีต้องเรียกยายเกดมา ปรกติยายรักเธอ แต่เวลาแกลงโทษจะตีด้วยไม้ขัดหม้อข้าว มันทั้งเจ็บทั้งทิ้งรอยใหญ่บนขา เธอเคยเจอมาแล้วตอนแอบไปเที่ยวงานวัดกับครอบครัวเพื่อนบ้านเธอไม่อยากโดนตี แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ในเมื่อหลักฐานก็ทนโท่อยู่ในกระเป๋านักเรียน...หลักฐาน ทันใดนั้นสมองเด็กอายุเจ็ดขวบก็สว่างวาบ ถ้าไม่มีหลักฐานก็จะไม่มีใครรู้ว่าเธอทำผิดตากลมเหลียวซ้ายแลขวา เวลานี้ตะวันโพล้เพล้ คนงานไปกินข้าวกันที่โรงอาหาร มีเหลือคอยรับใช้ในบ้านใหญ่ไม่กี่คน
อิธานกำลังขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยไม่ได้ชอบวิชานี้นัก แต่พรุ่งนี้มีเรียน หนุ่มสิบเจ็ดจำต้องอ่านผ่าน ๆ เผื่ออาจารย์จะถามในโปรแกรมแช็ตบนคอมพิวเตอร์ เพื่อนทักมาชวนไปดูเด็กชมรมนาฏศิลป์ซ้อมรำ นัยว่ามีเด็กคนหนึ่งที่เพื่อนแอบเล็งอยู่ หากมีคนหล่อ ๆ อย่างเขาไปด้วย สาว ๆ ในชมรมจะได้ไม่ไล่ตะเพิดออกมาอิธานตั้งใจจะชวนสนานไปด้วย อาจเพราะมีน้องสาวสนานจึงเข้ากับผู้หญิงได้ดี เป็นมิตรกับทุกคน จนบางครั้งเขาก็คิดว่าเพื่อนกึ่งคนงานสนิทบ้าหรือเปล่า ทำไมชอบยิ้มและทำดีกับทุกคนนึกถึงสนานแล้วคิดขึ้นได้ ยายพลวงให้เพื่อนเอาองุ่นจากในสวนมาแช่ไว้ในตู้เย็นถุงใหญ่ มื้อเย็นคุณย่าอิสรีกินไปนิดเดียว เกล้ากมลก็กินลูกสองลูก อ่านหนังสือใช้พื้นที่สมองเยอะเขาจึงหิว เลยออกจากห้องตัวเองลงครัวหวังไปเปิดตู้เย็นขณะกำลังจะแง้มประตู ตาก็เห็นร่างหนึ่งผ่านห้องตนไป ทีแรกคิดว่าผี แต่พอปรับสายตาให้ค่อยชินกับความมืดจึงได้เห็นว่าเป็นเกล้ากมล เธอทำลับ ๆ ล่อ ๆ หน้าประตูบ้านร่างสูงของหนุ่มสิบเจ็ดค่อยย่องตามไป จนเห็นเธอนั่งลงข้างพุ่มไม้ ยื่นมือไปควานหาอะไรสักอย่าง ก่อนผงะล้มก้นจ้ำเบ้า“โอ๊ย!”มือเกล้ากมลไปโดนอะไรสั
“ไม่ใช่งูเขียว งูสีอะไรก็ไม่รู้ มันมืด คุณอิธเห็นเหรอ”มือที่ลูบอยู่ชะงัก เกล้ากมลช้อนตาบวมแดงมองเขา“จะงูอะไรก็ช่าง เดี๋ยวหมอรักษาได้เองแหละ”นี่คือข้อแตกต่างระหว่างวรดากับเกล้ากมล น้องสาวเพื่อนนุ่มนิ่ม เชื่อพี่ชายทุกอย่าง แต่เกล้ากมลเต็มไปด้วยคำถาม แสดงความเป็นคนไม่ยอมคน“อย่าหลับล่ะ แล้วก็เลิกร้องไห้ด้วย”รถแล่นออกจากอาณาเขตไร่แล้ว ตาไสวขับบนทางหลวงสายเปลี่ยวอย่างรวดเร็ว โรงพยาบาลห่างออกไปประมาณสิบกิโลเมตร คุยกันแป๊บเดียวก็ถึงเมื่อรถจอดหน้าห้องฉุกเฉิน อิธานอุ้มร่างน้อยออกจากรถ ระหว่างนั่งรถเข็นพยาบาลก็ซักถามอาการ เขาเป็นคนตอบแทนทั้งหมด เพราะเกล้ากมลทั้งตื่นกลัวทั้งร้องไห้ เธอจับมือเขาไว้แน่นตลอดเวลา“คุณอิธอย่าทิ้งเกล้านะคะ”ณ สถานที่แห่งนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่เธอพึ่งได้ เขาคนเดียวที่เธอจะเชื่อใจ“ฉันไม่ทิ้งเธอหรอก...เกล้า”เพราะด้วยสงสารหรืออะไรก็ไม่รู้ ทำให้หนุ่มน้อยรับปากด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แพทย์ให้ฉีดเซรุ่ม แล้วนอนดูอาการสักคืน เขาบอกให้ตาไสวโทรไปบอกคุณย่าอิสรี“เดี๋ยวผมไปซื้อเสื้อในเซเว่นให้นะครับ”ตอนนั้นเองอิธานถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเปลือยท่อนบนอยู่ กว่าจะจัดการพาเกล้ากมลเข