“อ้าว...เกล้า”
กายเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อยายพลวงทัก เธอเสมองพื้นไม่กล้าสบตา
“ไปรออยู่ที่โต๊ะไป บอกคุณท่านด้วยว่าอาหารเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะเอาไปเสิร์ฟ”
เธอพยักหน้าแรงแบบคอแทบหัก วิ่งตื๋อไปที่โต๊ะอาหาร คุณย่าอิสรีนั่งดื่มกาแฟอยู่ ท่านยิ้มให้เธอที่ไปนั่งเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ
อิธานเป็นคนสุดท้ายที่ลงมา เขาบ่นว่าเครื่องปรับอากาศห้องเขาอาจจะเสียเพราะมันไม่เย็นเลย
วันนั้นตลอดทั้งวันเกล้ากมลไม่รับรู้อะไร ได้แต่นับรอเวลาให้เลิกเรียนโดยเร็ว เพื่อหวังจะไปซื้อเค้ก โชคเข้าข้างเธอเพราะวันนี้วรดาหยุดเรียนเนื่องจากเป็นตาแดง
เกล้ากมลบอกเด็กผู้ชายที่นั่งข้างกันว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเธอรีบไปยังสหกรณ์ ตู้เค้กปิดไฟแล้ว โลกมืดดับพร้อมแสงไฟ ใจสาวน้อยหล่นวูบ
“เอาอะไรจ๊ะหนู” คนขายคนเดิมชะโงกหน้าทักเธอจากบนตู้
“เค้ก”
ไม่มีเหลือแม้สักชิ้น บนชั้นวางขนมว่างเปล่า
“เหลือชิ้นสุดท้ายพอดีเลย หน้ามันเละไปหน่อย ขายให้แค่ยี่สิบบาทจ้ะ”
คนขายหันหลังไปหยิบถาดสี่เหลี่ยมที่มีขนมเค้กตกแต่งเป็นรูปแมลงเต่าทอง แต่เจลลี่สีแดงถูกครีมขาวเปื้อนจนเละ
“เอาไหม”
สาวน้อยพยักหน้ารัว ๆ จนน่ากลัวคอจะโยก พนักงานตักเค้กใส่กล่องกระดาษที่มีพลาสติกใสด้านบน มันดูสวยเลอค่างามอยู่ในกล่องขาวพิสุทธิ์ เด็กหญิงยื่นธนบัตรใบละยี่สิบบาทให้ แล้วรับกล่องเค้กมาถือ
“เธอมาทำอะไรที่นี่” เสียงห้าวพร้อมใบหน้าบึ้ง ๆ ทำให้เกล้ากมลตัวแข็ง
“เขาจะกลับบ้านกันแล้ว มัวแต่มาซื้ออะไร”
อิธานปรายตาไปยังของในมือเล็ก เด็กหญิงรู้สึกหวงแหนจนชักมือมาใกล้ ท่าทางเธอจึงกลายเป็นโอบกอดกล่องนั้นไว้
“รีบ ๆ เลย” หนุ่มมัธยมปลายย้ำ
“ค่ะ” เกล้ากมลก้มหน้าหงุด ไม่กล้าสบตาเขา รีบจ้ำอ้าวไปทางรถสองแถวที่จอดอยู่ เอากล่องเค้กใส่กระเป๋านักเรียนแล้วตั้งไว้บนเข่า
ตลอดทางกลับไร่ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาสีน้ำตาลคู่คมที่จับจ้อง หรืออิธานจะรู้แล้วว่าเธอแอบขโมยเงินเมื่อเช้านี้มาซื้อเค้ก เขากำลังจะไปฟ้องคุณย่าอิสรีหรือเปล่า
นี่เป็นห้วงเวลาอึดอัดทรมานเหลือเกินของเด็กอายุเจ็ดขวบ การนั่งรถที่ยาวนาน เส้นทางเป็นดังนิรันดร์
“มองอะไร”
สนานไล่สายตาตามคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านาย พบว่าจับจ้องอยู่ที่เด็กประถมผมม้า สองหนุ่มเนื่องจากเป็นเด็กโต จึงสมัครใจนั่งท้ายรถ
“กูมองของแปลก ปรกติเด็กนี่ไม่เคยกลัวกู จ้องมาจ้องกลับ วันนี้มันหงอย นั่งก้มหน้าอยู่นั่นเห็นไหม”
พี่ชายวรดาพินิจดูถี่ถ้วน เห็นปากเล็ก ๆ เม้มเป็นเส้นตรงเสียด้วยซ้ำ
“สนใจเกล้าเหรอ จะเลี้ยงต้อยงั้นสิ”
ในไร่มีข่าวร้อยแปด ทั้งข่าวลือ ข่าวเต้า ข่าวจริง ตั้งแต่เกล้ากมลเข้ามาอยู่ในไร่ แล้วสถานะได้อยู่บ้านใหญ่ ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับเจ้านาย คนจึงซุบซิบกันว่าคุณย่าอิสรีจะเลี้ยงเธอเพื่อให้โตขึ้นเป็นเจ้าสาวของอิธาน
ข้อนี้ทั้งสองคนก็ยังไม่รู้ เพราะไม่มีใครกล้าล้อ แม้จะทักยังไม่กล้า แต่สนานได้ยินหมด ด้วยต้นตอข่าวนั้นมาจากแม่เขาเอง
“บ้าอะมึง ปรกติยัยเด็กนี่มันขี้อ้อน เลียแข้งเลียขาย่ากูประจำ ทำอะไรไม่เคยผิด เห็นหงอยอย่างนี้กูเลยสะใจ” อิธานส่งยิ้มร้าย
“มึงน่ะ เลิกคิดแค้นได้แล้ว เกล้ามันไม่รู้อะไร แผลที่มือมึงก็หายแล้วนี่”
หนุ่มตาสีน้ำตาลทำเสียงฮึในลำคอ แผลกายหายง่าย แผลใจหายยาก ตั้งแต่เกล้ากมลมาอยู่กับคุณย่าอิสรีก็กลายเป็น “คนโปรด” หากท่านอยู่ที่ไหน เกล้ากมลก็จะไปด้วย ทำเอาหลานตัวจริงอย่างเขาตกกระป๋อง
คุณย่าเล่าเรื่องน้องอย่างโน้นน้องอย่างนี้ อิธานอยากเตือนท่านจริงเชียว เขาเป็นลูกคนเดียวและเป็นหลานคนเดียวของท่าน
เกล้ากมลทำตัวเรียบร้อยแค่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ลับหลังนั้นกวนประสาท อย่างสัปดาห์ก่อนคุณย่าให้สอนการบ้าน เกล้ากมลนั่งจ้องเขาที่อ่านหนังสือการ์ตูนอยู่นาน
“คุณย่าให้ทำการบ้านไม่ใช่เหรอ ก็ทำไปสิ” อิธานเอ็ดเสียงเข้ม ตายังสนใจอยู่กับตัวการ์ตูน
“คุณย่าบอกให้คุณอิธสอนเกล้าไม่ใช่เหรอ”
ความจริงคุณย่าจะให้เกล้ากมลเรียกเขาว่า “พี่อิธ” แต่เขาไม่ชอบ
“ก็ทำไปก่อนสิ ถ้าไม่รู้เรื่องค่อยถาม”
“ถ้าคุณอิธไม่ดูจะรู้ได้ยังไงว่าเกล้าทำผิด” เขาถึงกับต้องปิดการ์ตูน สบตาโตนั้น
“คุณอิธต้องสอนเกล้าสิ รับคำสั่งคุณย่ามาแล้ว ต้องทำตาม คนผิดคำพูดยายสอนว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี”
อิธานส่งสายตาที่บอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แต่คนตัวเล็กไม่สะทกสะท้าน
“คนเราต้องหัดช่วยตัวเองก่อน ถึงจะมาขอความช่วยเหลือคนอื่น” เขาสอนปรัชญาชีวิต เท่าที่เด็กอายุสิบเจ็ดขวบจะพอหาได้
“คุณย่าไม่ได้ให้คุณอิธมาช่วยเกล้า แต่ให้มาสอนต่างหาก”
เอากับเจ้าหล่อนสิ ยัยเด็กเวร ทำเขาหมดอารมณ์สบาย ๆ ต้องกระชากหนังสือมาสอน ตั้งใจจะทำโทษสักเล็กน้อยหากทำผิด กลับกลายเป็นว่าเกล้ากมลทำได้ถูกหมดทุกข้อ พอจะให้ทำบทต่อไปเธอก็บอก
“อันนี้คุณครูยังไม่ได้สอน เกล้าขอไปอ่านเอง คุณอิธบอกไม่ใช่เหรอคะว่าคนเราต้องช่วยเหลือตัวเอง ก่อนจะมาขอให้คนอื่นช่วย”
...เป็นครั้งแรกที่อิธานรู้สึกอยากเตะเด็กผู้หญิงสักทีสองที
เด็กหญิงอ้อยอิ่งอยู่บนรถสองแถวนาน พยายามเดินให้ช้าที่สุด อิธานเลิกสนใจเธอแล้ว เพราะยายพลวงที่รออยู่หน้าประตูบ้านบอกว่า วันนี้คุณย่าอิสรีลงครัวเอง ท่านตำน้ำพริกปลาทูของโปรดหลาน เด็กหนุ่มจึงรีบไปอาบน้ำเพื่อเตรียมมากินข้าวเย็นเกล้ากมลยังไม่กล้าเข้าบ้าน ซึ่งตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นยักษ์ตัวใหญ่ รอตะปบเด็กที่ทำความผิดอย่างเธอ กระเป๋านักเรียนที่ถืออยู่รู้สึกหนักอึ้ง ด้วยไม่รู้จากน้ำหนักเค้กหรือบาปในจิตใจอิธานต้องรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเธอแอบเอาเงินในครัวมาซื้อเค้ก แถมเขาไม่ชอบเธอ คงไม่พลาดที่จะเล่าให้คุณย่าฟัง แล้วเธอจะโดนทำโทษเกล้ากมลตัวสั่นเมื่อคิดว่าคุณย่าอิสรีต้องเรียกยายเกดมา ปรกติยายรักเธอ แต่เวลาแกลงโทษจะตีด้วยไม้ขัดหม้อข้าว มันทั้งเจ็บทั้งทิ้งรอยใหญ่บนขา เธอเคยเจอมาแล้วตอนแอบไปเที่ยวงานวัดกับครอบครัวเพื่อนบ้านเธอไม่อยากโดนตี แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ในเมื่อหลักฐานก็ทนโท่อยู่ในกระเป๋านักเรียน...หลักฐาน ทันใดนั้นสมองเด็กอายุเจ็ดขวบก็สว่างวาบ ถ้าไม่มีหลักฐานก็จะไม่มีใครรู้ว่าเธอทำผิดตากลมเหลียวซ้ายแลขวา เวลานี้ตะวันโพล้เพล้ คนงานไปกินข้าวกันที่โรงอาหาร มีเหลือคอยรับใช้ในบ้านใหญ่ไม่กี่คน
อิธานกำลังขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยไม่ได้ชอบวิชานี้นัก แต่พรุ่งนี้มีเรียน หนุ่มสิบเจ็ดจำต้องอ่านผ่าน ๆ เผื่ออาจารย์จะถามในโปรแกรมแช็ตบนคอมพิวเตอร์ เพื่อนทักมาชวนไปดูเด็กชมรมนาฏศิลป์ซ้อมรำ นัยว่ามีเด็กคนหนึ่งที่เพื่อนแอบเล็งอยู่ หากมีคนหล่อ ๆ อย่างเขาไปด้วย สาว ๆ ในชมรมจะได้ไม่ไล่ตะเพิดออกมาอิธานตั้งใจจะชวนสนานไปด้วย อาจเพราะมีน้องสาวสนานจึงเข้ากับผู้หญิงได้ดี เป็นมิตรกับทุกคน จนบางครั้งเขาก็คิดว่าเพื่อนกึ่งคนงานสนิทบ้าหรือเปล่า ทำไมชอบยิ้มและทำดีกับทุกคนนึกถึงสนานแล้วคิดขึ้นได้ ยายพลวงให้เพื่อนเอาองุ่นจากในสวนมาแช่ไว้ในตู้เย็นถุงใหญ่ มื้อเย็นคุณย่าอิสรีกินไปนิดเดียว เกล้ากมลก็กินลูกสองลูก อ่านหนังสือใช้พื้นที่สมองเยอะเขาจึงหิว เลยออกจากห้องตัวเองลงครัวหวังไปเปิดตู้เย็นขณะกำลังจะแง้มประตู ตาก็เห็นร่างหนึ่งผ่านห้องตนไป ทีแรกคิดว่าผี แต่พอปรับสายตาให้ค่อยชินกับความมืดจึงได้เห็นว่าเป็นเกล้ากมล เธอทำลับ ๆ ล่อ ๆ หน้าประตูบ้านร่างสูงของหนุ่มสิบเจ็ดค่อยย่องตามไป จนเห็นเธอนั่งลงข้างพุ่มไม้ ยื่นมือไปควานหาอะไรสักอย่าง ก่อนผงะล้มก้นจ้ำเบ้า“โอ๊ย!”มือเกล้ากมลไปโดนอะไรสั
“ไม่ใช่งูเขียว งูสีอะไรก็ไม่รู้ มันมืด คุณอิธเห็นเหรอ”มือที่ลูบอยู่ชะงัก เกล้ากมลช้อนตาบวมแดงมองเขา“จะงูอะไรก็ช่าง เดี๋ยวหมอรักษาได้เองแหละ”นี่คือข้อแตกต่างระหว่างวรดากับเกล้ากมล น้องสาวเพื่อนนุ่มนิ่ม เชื่อพี่ชายทุกอย่าง แต่เกล้ากมลเต็มไปด้วยคำถาม แสดงความเป็นคนไม่ยอมคน“อย่าหลับล่ะ แล้วก็เลิกร้องไห้ด้วย”รถแล่นออกจากอาณาเขตไร่แล้ว ตาไสวขับบนทางหลวงสายเปลี่ยวอย่างรวดเร็ว โรงพยาบาลห่างออกไปประมาณสิบกิโลเมตร คุยกันแป๊บเดียวก็ถึงเมื่อรถจอดหน้าห้องฉุกเฉิน อิธานอุ้มร่างน้อยออกจากรถ ระหว่างนั่งรถเข็นพยาบาลก็ซักถามอาการ เขาเป็นคนตอบแทนทั้งหมด เพราะเกล้ากมลทั้งตื่นกลัวทั้งร้องไห้ เธอจับมือเขาไว้แน่นตลอดเวลา“คุณอิธอย่าทิ้งเกล้านะคะ”ณ สถานที่แห่งนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่เธอพึ่งได้ เขาคนเดียวที่เธอจะเชื่อใจ“ฉันไม่ทิ้งเธอหรอก...เกล้า”เพราะด้วยสงสารหรืออะไรก็ไม่รู้ ทำให้หนุ่มน้อยรับปากด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แพทย์ให้ฉีดเซรุ่ม แล้วนอนดูอาการสักคืน เขาบอกให้ตาไสวโทรไปบอกคุณย่าอิสรี“เดี๋ยวผมไปซื้อเสื้อในเซเว่นให้นะครับ”ตอนนั้นเองอิธานถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเปลือยท่อนบนอยู่ กว่าจะจัดการพาเกล้ากมลเข
ไร่สมบูรณ์ดีอยู่ในความสงบสุข กระทั่งสองปีต่อมาอิธานและสนานสอบติดมหาวิทยาลัยคณะเกษตรศาสตร์ เกล้ากมลกับวรดาอายุเก้าขวบ สองสาวน้อยรู้สึกใจหายกับคนกำลังจะจากไปเรียนไกล“แล้วพี่จะโทรหาเป็ดบ่อย ๆ นะ”สนานให้คำมั่นกับน้องสาวยามพากันไปริมลำธารชายป่าเพื่อตกปลา“ไม่เชื่อหรอก แม่บอกเดี๋ยวพี่หนานก็มีแฟน” น้องสะบัดหน้างอน คนเป็นพี่ยิ้มกว้าง“พี่ยังเอาตัวเองไม่รอด ไม่มีปัญญาเลี้ยงใครหรอก คิดดูสิขนาดค่าเรียนยังต้องอาศัยคุณท่านช่วยเหลือเลย”โชคดีที่เขาชอบทางการเกษตรอยู่แล้ว จึงได้ไปเรียนกับอิธาน“ถ้าพี่มีใครจะเอามาให้แม่กับเป็ดสแกนกรรมก่อนเลยจ้ะ” ว่าแล้วก็หัวเราะ วรดามองเขาตาขุ่นที่เห็นความห่วงใยของเธอเป็นเรื่องสนุก“แล้วคุณอิธล่ะ จะโทรมาหาคุณย่ากับเกล้าไหม”มือที่กำลังสาวเบ็ดอยู่ชะงักไปนิด“ถ้ามีธุระสำคัญก็จะโทร” อิธานเล่นลิ้น รู้ว่าเกล้ากมลกำลังจะเซ้าซี้เหมือนเคย“แสดงว่าจะไม่โทรล่ะสิ” เธอรู้ความที่จะค้อนแบบแง่งอนเป็นแล้ว“บอกแล้วถ้ามีธุระสำคัญก็จะโทร ยังไงเลขาหน้าห้องคุณย่าอย่างเธอต้องได้คุยกับฉันแน่” หนุ่มย่างสิบเก้าทำเสียงฮึในลำคอ เพราะรู้ว่าตอนนี้สาวน้อยคนนี้ทำตัวเป็นหูเป็นตาแทนผู้เป็นย่า เธอ
“งั้นซันก็ขี่ม้าเก่งดิวะ” หนึ่งในบรรดาเพื่อนเตะหมูเข้าปากหมา ยิ่งทำให้กรวีได้อวด“นิดหน่อยว่ะ พอได้รางวัลมาบ้าง”อกยิ่งยืด จมูกยิ่งเชิด แสดงความเหนือชั้นให้ได้เห็นกันชัด ๆ“อิธก็ขี่ม้าได้ใช่ปะ” คนเดิมตั้งคำถามกับหลานเจ้าของไร่“ใช่ ฉันขี่ต้อนวัวบ้างเป็นบางครั้ง”“งั้นซันลองขี่ม้าของอิธสิ เราอยากดูนักขี่ม้าได้รางวัลฝึกม้าธรรมดา อยากเห็นว่าจะเป็นยังไง”สาวที่นั่งข้างชนันธรรีบเสนอ ปรากฏแววตระหนกในดวงตากรวีเพียงแวบ แล้วเขาก็เรียกความมั่นใจกลับมาได้“ฉันไม่มีปัญหา ทางนายล่ะอิธ”“ม้าไร่ฉันเป็นม้าบ้าน ๆ ไม่มีหรอกนะพวกอานหรือบังเหียนดี ๆ”อิธานไม่ได้ขี่พวกมันมาเป็นปี ไม่รู้จะผิดกลิ่นหรือเปล่า แต่เท่าที่ไปหาม้าเมื่อวาน พวกมันก็เล่นกับเขาดี“งั้นไม่ต้องฝึกหรอกม้าน่ะ ขี่แข่งกันไปเลย”สาวนั่งข้างนางใจดวงใจกรวีรีบเสนอ...ชักอยากจะเห็นศึกชิงนางกลางไร่“เออ ก็ดีเนอะ แข่งกันให้จบ ๆ มา! ใครจะเดิมพันข้างใคร”วงอาหารปิกนิกกลายเป็นวงพนันขันต่อ อิธานกับสนานสบตากันอย่างรู้ใจ หากจะให้ศึกครั้งนี้สงบลงมีแต่จะต้องแข่งขันกันเท่านั้น“ให้เวลาเตรียมตัวสักวันทันไหมซัน แล้วค่อยแข่ง” เพื่อนอีกคนที่รับเป็นโต้โผใหญ่รีบ
อิธานเป็นผู้คว้าผ้าแดงมาอยู่ในมือ มีทั้งเสียงสบถทั้งเสียงยินดีดังทั่วไปหมด อิธานหายใจหนัก ๆ อยู่บนหลังม้า ชนันธรและเกล้ากมลมองเขาตาเป็นประกายด้วยใจที่เต้นระรัว ขณะผู้พ่ายแพ้ลงจากม้าอย่างหัวเสีย“แ-งเอ๊ย!”“อย่าโมโหไปเลยน่า แค่แข่งกันขำ ๆ”โต้โผใหญ่มาแก้สถานการณ์เมื่อเห็นว่าคนแพ้ชักจะไม่ตลกด้วย“ถ้าฉันอยากทำฟาร์มม้าจริง ๆ จัง ๆ จะให้นายช่วย”อิธานลงจากม้าเช่นกัน เขายื่นมือให้อีกฝ่ายจับ กรวีเม้มปากปิดความไม่พอใจไม่มิด แต่ก็ยอมจับมือแต่โดยดี เรียกเสียงปรบมือได้จากคนดู“ทุกคน ฉันทำตะโก้เป็นของหวานมากินกัน” ชนันธรตะโกน“ไหนว่าจะทำให้คนชนะกินไง”อีกหลายคนขมวดคิ้วกังขา“กินด้วยกันแหละดี ฉันทำไว้ตั้งเยอะ ไม่ต้องไปสนหรอกว่าใครจะแพ้หรือชนะ”ชนันธรโปรยยิ้มสวย ก่อนเพื่อนจะมาเดินจับแขนให้ไปด้วยกัน“คุณอิธขี่ม้าเก่ง สอนเกล้าด้วยสิคะ”เกล้ากมลมุดเชือกฟางที่ล้อมอยู่เข้ามาหาเขา ใบหน้ายิ้มแป้น“ให้ตาไสวสอนดีกว่า ฉันก็เรียนมาจากแกนั่นแหละ”“แต่เกล้ากลัวคุณย่าไม่ให้เรียน วันก่อนเกล้าชงโอวัลตินแล้วร้องเพลงไป ยังโดนดุ กลัวเกล้าจะมีผัวแก่”คนฟังถึงกับหลุดขำพรืด“ใครจะมาเอาเธอทำเมียฮึ ยัยเด็กแก่แดด นมมีหรือย
ก่อนที่เพื่อนอิธานจะแยกย้ายกันกลับบ้านหนึ่งวัน ชายหนุ่มได้พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวน้ำตกในวนอุทยานใกล้ไร่ เกล้ากมลกับวรดาเลยได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามไปด้วยเหมือนเคยเนื่องจากน้ำตกแห่งนี้มีตาน้ำที่ไหลรินตลอดทั้งปี จึงมีน้ำเพียงพอในฤดูแล้งให้เล่นกัน ระดับน้ำสูงประมาณเอวผู้ใหญ่ แต่ก็มิดคอสำหรับเด็กเก้าขวบ“อย่าไปเล่นไหนไกลล่ะ อยู่ที่น้ำตื้น ๆ ไว้”อิธานสั่งสองสาวน้อยที่นั่งวักน้ำเล่นกันข้างโขดหิน แล้วเขาก็ไปโดดน้ำแข่งกับเพื่อน กรวีไม่ยอมลงน้ำ แต่ไปนั่งคุยกับกลุ่มชนันธรแทน“เล่นจับปลากันไหม”วรดาชี้ไปทางปลาตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ว่ายอยู่ท่ามกลางสายน้ำใส ๆ“เอาสิ”เธอและวรดาวิ่งไล่ต้อนฝูงปลาอย่างสนุกสนาน มันว่ายมาชนขาบ้าง หลบเลี้ยวไปทางก้อนหินบ้าง กระทั่งว่ายหนีไปอีกทาง เกล้ากมลจึงรีบลุยน้ำตามไป“เกล้าอย่าไปทางนั้น”ไม่ทันเสียแล้วเพราะเท้าเล็กพลาดเหยียบหิน ลื่นจมลงสู่ส่วนบริเวณน้ำลึก สาวน้อยรู้สึกตัวหนักไปหมด พยายามใช้เท้าตีน้ำ มือก็ตะกายขอความช่วยเหลือ หูได้ยินเสียงเพื่อนเรียกชื่อเธอดังลั่น ด้วยรู้สึกกำลังจะขาดอากาศหายใจ ทำให้เธอฮุบน้ำเข้าคออึกใหญ่สายน้ำยื้อยุดฉุดเกล้ากมลลงสู่เบื้องล่าง ตัวหนัก
“หนูลูกน้ำคนนั้น อิธชอบเขาเหรอ” หลานชายอึกอัก ยกมือเกาท้ายทอย“เขาน่ารักนะ”อิธานไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ออกจะหน้าตาดีด้วยซ้ำ การจะมีแฟนสักคนสองคนไม่ใช่เรื่องแปลก“ผมกับเขากำลังดู ๆ กันอยู่”“อย่าใจร้อนนักล่ะ ให้ค่อยเป็นค่อยไป เรายังเรียนอยู่ด้วยกันทั้งคู่” ท่านสอนด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ“ครับ”คำตอบของเขาทำใจอีกคนที่เผลอมาได้ยินสั่น จนแทบทำแก้วโอวัลตินหล่นจากถาดเช้านั้นเกล้ากมลไม่กล้ามองหน้าอิธมากนัก สายหน่อยเธอไปหาวรดาที่เรือนคนงาน เพื่อนกำลังอ่านการ์ตูนซึ่งเป็นสมบัติตกทอดจากพี่ชายอยู่“ทำไมหน้าเศร้า ๆ” มือที่ถือหนังสือลดลงจากหน้า สบตาใสแจ๋วกับเธอ“คุณอิธกับพี่ลูกน้ำชอบกัน จะคบเป็นแฟน” เกล้ากมลดูละครบ่อย ไม่ยากที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “ฉันอกหัก”คนฟังทำหน้าเหลอหลา เกิดมาไม่เคยเจอคนอกหักตัวเป็น ๆ เสียด้วย เคยเห็นแต่ในมิวสิควิดีโอ ที่ร้องไห้บ้าง เดินร้องเพลงเศร้าบ้าง“เกล้าโตเป็นผู้ใหญ่เร็วจัง รู้จักอกหักด้วย”เธอชม เพราะในวิดีโอที่เคยดูคนแสดงนั้นต่างสวยหล่อ แต่งตัวดี น่าหลงใหล“เป็ดคิดว่าฉันแก่แดดไปไหม”เกล้ากมลคิดว่าตัวเองแค่เก้าขวบ ไม่น่าจะมีความรู้สึกแบบนี้“ฉันไม่รู้สิ ไม่เคยได้ยินใคร