ฝันไป....นั่นแม่งเป็นฝันร้ายแน่ๆ เลย!
“เฮือก!” ภูริสะดุ้งเด้งตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน ดวงตาคู่คมทั้งสองข้างเบิกโพลงราวกับเมื่อสักครู่นี้เขาได้ฝันเห็นผีผู้หญิงชุดขาวผมยาวลากพื้น แต่ไม่...สิ่งที่เขาฝันเห็นนั้นมันเลวร้ายกว่าผีหน้าซีดนั่นแน่นอน เพราะผู้ชายอย่างเขาดันฝันว่า...ตัวเองไปมีอะไรกับผู้ชายน่ะ!
โอ้ไม่นะ พระเจ้าไม่ได้เป็นคนตลกขนาดนั้นหรอกใช่ไหม ไม่แกล้งให้เบต้าตัวน้อยๆ อย่างเขาให้กลายเป็นโอเมก้าที่โดนปลุกปล้ำอยู่ในลิฟต์นั่นแน่ๆ เอ้า การเป็นเบต้าเนี่ยมันไม่ได้เป็นโรคนะ มันเป็นพันธุกรรม…เป็นมาแต่เกิด มันเปลี่ยนไม่ได้เหมือนคุณไม่สามารถเปลี่ยนกรุ๊ปเลือดของตัวเองได้นั่นแหละ
ใช่...ต้องฝันไปแน่ๆ ที่นอนก็นุ่มขนาดนี้ไม่น่าจะฝันร้ายได้เนาะ ถ้านอนพื้นปูนก็ว่าไปอย่าง...เดี๋ยวนะ? เดี๋ยว...เดี๋ยวและเดี๋ยวเลย! ที่นอนนิ่มเนี่ยนะ ภูริตาเหลือกตาลานอีกครั้งหลังมึนเบลอกับภาพฝันอันทะลึ่งตึงตังมามองรอบด้าน เตียงสีครีมแบบนี้...นุ่มแบบนี้ ไฟสลัวแบบนี้และกลิ่นหอมของอะไรสักอย่างแบบนี้เนี่ยมันไม่น่าจะเป็นห้องของเขาได้!
ภูริเป็นเพียงพนักงานบริษัท อยู่แผนกเซลล์ของบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ ไม่บรรยายละกันว่าใหญ่แค่ไหนเดี๋ยวจะหาว่าภูริอวยบริษัทตัวเองมากเกินไป ที่สำคัญแล้วบริษัทนี้ให้สวัสดิการลูกน้องดี ทั้งประกันสังคมผูกกับโรงพยาบาลในเครือ ทั้งสิทธิในการซื้อยาของบริษัทในราคาพนักงาน มันสุดยอดมากสำหรับพนักงานจบตรีมหาลัยกิ๊กก๊อกอย่างเขา
ถ้าจะบอกว่า...บริษัทอื่นเขาก็มีสวัสดิการดีแบบนี้กันทุกที่นั่นแหละ ภูริไม่คิดเถียง มันเป็นพื้นฐานของบริษัทอยู่แล้ว แต่ภูริมีปัญหาเรื่องกรรมพันธุ์ดื้อยา...คนในบ้านเป็นภูมิแพ้ ทั้งแม่และน้องสาว ส่วนตัวเขาเองไม่มีอาการแพ้อะไรนักนอกจากเงิน โถ...เขาเป็นพนักงานธรรมดาที่ต้องดูแลน้องสาวและแม่ ไหนจะค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเดินทาง ปากเดียวท้องเดียวที่ไหนกัน เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว...เป็นพี่ใหญ่ต้องดูแลทุกอย่าง แล้วถ้าไม่มีเงินจะดูแลอะไรใครได้ ไอ้อาการดื้อยานี้นี่แหละที่ทำให้ภูริต้องทำงานอยู่ที่นี่
น้องและแม่จะมีอาการคล้ายๆ กันคือภูมิแพ้ ยากดภูมิใช่ได้ไม่กี่ครั้งก็หมดประสิทธิภาพแล้ว ต้องเปลี่ยนยาบ่อย และยาที่ดี...ก็มีราคาแพง อย่าไปเชื่อที่เขาบอกว่าโรงพยาบาลรักษาคนไข้เท่าเทียมกัน อืม...ก็อาจจะเท่าเทียมกันนะ ถ้าคุณเงินถึงน่ะ สวัสดิการของภูริครอบคลุมถึงครอบครัวด้วย นี่เป็นข้อดีที่หาที่อื่นได้ยาก และนั่นก็ทำให้ที่นี่สมัคงานเข้าได้ยากมากด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ที่สำคัญคือ...เขาอยู่ที่ไหน?
จำได้ว่าล่าสุดหัวหน้าให้เขาลงไปเอาของในแล็บ ระหว่างที่ยืนเซ็งอยู่ในลิฟต์ประธานบริหารก็ดันเข้ามาอยู่ด้วย เขาคนนั้นเป็นอัลฟ่า...รู้สึกว่าอัลฟ่าจะมีหลายระดับ ภูริจำได้รางๆ เพราะมีสอนตอนเรียนมัธยม ส่วนใหญ่ที่เขาเจอจะเป็นอัลฟ่าระดับล่าง...เบต้าต๊อกต๋อยไม่ค่อยได้เดินเฉียดพวกชั้นสูงอะไรเทือกนั้นหรอก พอได้อยู่ในลิฟต์กับประธานคนนั้นแล้วภูริก็คิดว่า...ต่อให้เดินเฉียดไหล่ได้ก็ไม่อยากอะ
คนอะไร...อยู่ใกล้แล้วอึดอัดฉิบหงเลย
พอลงมาถึงข้างล่างก็เหมือนมีอะไรพ่นใส่หัวสักอย่าง หลังจากนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ มีศพตายหลายร้อยล้านตัวเลย มันจะเป็นตัวขาวๆ ออกมากับน้ำขุ่นๆ คิดแล้วขนลุก...ภูริลูบแขนตัวเองเบาๆ กวาดตามองไปรอบห้อง
เขาว่านั่นอาจเป็นฝันร้าย...ทว่าตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ ก็นี่มันไม่ใช้ห้องเขา!
ห้องเขามีเตียงเหล็กหลังหนึ่ง ปูด้วยฝูกอันละสามพันกว่าซื้อจากตลาดนัด ผ้าปูสีน้ำตาลเข้มซึ่งมันก็ไม่เข้มเท่าไหร่ นอนมานาน สีซีดไปหมดแล้ว นอกจากเตียงเก่าๆ ก็จะมีตู้เสื้อผ้าหลังละสองพันนิดๆ ซื้อมาจากร้านเดียวกับเตียง โต๊ะทำงานเล็กๆ อีกโต๊ะหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว แถมห้องเขายังเล็กกว่านี้มาก...นี่มันกว้างจนวิ่งเล่นได้เลย
ภูริละสายตาภาพห้องหรูหราตระการตามามองตัวเอง ชุดที่ใส่...เอิ่ม เขาไม่ควรเรียกมันว่าชุดเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีแต่เนื้อหนังเนี่ย รอยแดงเป็นจ้ำตามแขนและแผงอก โฮ...ตอกย้ำความฝันอันเลวร้ายของเขาใช่ไหมเนี่ย
แล้วจะเอายังไงต่อ ห้องใครก็ไม่รู้...อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อีก ข้าวของของเขาล่ะ หลังจากฟัดกันอย่างเมามันในลิฟต์ สติอันน้อยของภูริก็เลือนรางและหายไปกับความซาบซ่านนั้น ถ้าไม่ติดว่านั่นเป็นผู้ชาย ภูริจะบอกว่ามันเป็นฉากเนื้อแนบเนื้อที่ดุเด็ดเผ็ดมันมากสำหรับเบต้าธรรมดาๆ อย่างเขา
ยังไงก็ตาม เขาต้องหาทางออกไปจากที่นี่ก่อน เริ่มต้นด้วยการหาเสื้อผ้าราคาถูกของตัวเองว่ามันอยู่ส่วนไหนของห้องนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่ของที่ดูท่าจะราคาแพง เขาไม่กล้าขยับตัวทำอะไรเลย...ภูริยกมือเกาหัวตัวเองป่อยๆ จนปัญญา เจ้าของห้องไปไหนกันน้า ร่างโปร่งตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงนอนหลังกว้าง ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องนอนดิ้นมากหรือว่าต้องการพื้นที่เอาไว้ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ เตียงมันถึงได้ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้
โชคยังดีที่เหลือกางเกงในเอาไว้ติดตัวตั้งหนึ่งชิ้น! ภูริสำรวจมัน...เจ้านี่ไม่ใช่ของเขา ไม่งั้นมันจะไม่หลวมเหมือนจะหลุดแบบที่เป็นอยู่นี่ คาดการณ์ว่าเจ้าของชั้นในยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ตัวนี้ต้องเป็นคนรูปร่างใหญ่ อืม...ก็เข้าเค้าอยู่ เตียงมันก็เลยใหญ่ แน่นอน เจ้าของห้องตัวใหญ่มากนี่เอง
แล้วภาพท่านประธานก็วิ่งพล่านเข้ามาในหัว...
ภูริเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เขาไม่ได้มีมัดกล้ามเนื้ออะไรมากมายเพราะไม่ชอบออกกำลังกายและเข้าฟิตเน็ตเหมือนพื่อนพนักงานคนอื่นๆ โห...ไม่อยากจะสาธยายหรอกนะ แต่ค่าสมัคสมาชิคของฟิตเนสเนี่ยแม่งแพงมาก...แพงชนิดที่ว่าเขาสามารถเอาเงินนั้นไปกินได้เป็นเดือน ไหนจะต้องจ้างเทรนเนอร์อีก ไม่เอาอะ ไม่ไหวหรอก ก้างแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีใครตายอะนะ แต่ถึงภูริจะไม่ได้มีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น แต่เขาก็สูงใหญ่กว่ามาตรฐานชายไทยพอสมควร
ทว่า..ท่านประธานนั่นสามารถกอดร่างกายเขาจมมิดอกได้ นั่นคนหรือยักษ์? อย่าต้องให้นึกถึงเจ้านั่น...เจ้านั้นที่อยู่กลางหว่างขาอะ ขนาดมันไกลกว่าคำว่าชายไทยไปหลายร้อยขุมทีเดียวเชียว
ไม่ๆ เอาภาพนั่นออกไป ภูริสะบัดหัวเล็กน้อย ตั้งสติ...มึงต้องตั้งสติ แม้ว่าจะยากก็ต้องทำให้ได้ เขาค่อยๆ เดินย่ำเท้าไปบนพรมนุ่มนิ่ม มุ่งตรงยังหน้าประตูแล้วเปิดมันเบาๆ ทำอย่างกับว่าของทุกอย่างในห้องนี้มีชีวิต หากเขาปฏิบัติต่อมันรุนแรงมันอาจจะส่งเสียงร้องโอดโอยอะไรทำนองนั้น หรือไม่...เขาก็ทำเหมือนเขากำลังย่องเบาเข้าบ้านคนอื่นอยู่
“เป็นไปไม่ได้!” ทันทีที่ประตูแง้มออก เสียงตวาดก็ดังขึ้นมา...
ขนในกายภูริตั้งชันทันที...
เขาไม่ได้คุ้นชินอะไรกับท่านประธาน อย่างที่รู้ ภูริเป็นแค่พนักงานธรรมดาที่ผลการประเมินแม่งไม่เคยดีเลย ประธานบริษัทจะมาสนใจใยดีหรือมาเกาะแกะอะไรกับเขากันล่ะ จะว่าหน้าตาดี...ก็ใช่ ภูริหน้าตาดี แต่เขาเป็นผู้ชายนะเฮ้ย ท่านประธานก็ผู้ชาย เออ...ต่อให้ท่านประธานเป็นเกย์ก็ไม่มาสนใจไอ้กระจอกอย่างเขาหรอก ดังนั้นการได้ยินเสียงตวาดเมื่อสักครู่นี้ทำให้ภูริเกิดความกลัวขึ้นมา
มันไม่ใช่แค่การไม่ชินเพียงอย่างเดียว...แต่ท่านประธานเป็นอัลฟ่า เสียงตวาดของอัลฟ่าคงมีแค่อัลฟ่าด้วยกันเท่านั้นที่สามารถต่อกรได้ ภูริยืนนิ่งอยู่หลังบานประตูแง้มๆ กลัวหัวหดเลยอะ...แล้วทำไมต้องกลัววะ?
สัญชาตญาณนี่บางทีก็น่ารำคาญชะมัดเลย!
ภูริเคยสงสัยนะว่า นอกจากชายกับหญิงแล้วทำไมโลกเราต้องมีเพศที่สองอีก ไอ้เบต้า อัลฟ่า โอเมก้าอะไรเนี่ย มันมีเอาทำไม? เซิร์จหาในอินเตอร์เน็ตที่ใครๆ ก็เรียกกันว่าอากู๋แล้ว แต่มันไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ทำนองว่านักวิทก็พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องของพันธุกรรมนี้อยู่เช่นกัน
“เป็นเรื่องจริงครับ นายภูริเป็นเบต้า...” เสียงทรงพลังอีกเสียงตอบโต้ด้วยความนอบน้อม เจ้าของชื่อไม่เห็นคนพูดหรอกแต่รู้ว่าอีกคนก็คงเป็นอัลฟ่าเหมือนกัน ไม่งั้นใจเขาจะสั่นด้วยความกลัวทำไม คนอย่าภูรินะ...กลัวอย่างเดียว กลัวไม่มีกิน!
“มีการปลอมแปลงเอกสารหรือเปล่า มันอาจจะเป็นโอเมก้าที่ปลอมเอกสารเข้ามาทำงาน” อีกเสียงถามกลับ...ประเด็นคือเขาเป็นคนในบทสนทนา และเขาอยากตะโกนออกไปดังๆ ว่า...
‘กูเป็นเบต้าโว้ยยยยยยย!’
ก็ลองตะโกนสิ...ลองเลย กล้าก็เอาเลย ขึ้นเสียงใส่พวกอัลฟ่า แถมตำแหน่งท่านประธานบริษที่ตัวเองสังกัดอยู่ด้วย จะรอดไหมให้ทาย...ไม่ต้องให้หมอดูทำนาย ฟันธงบ้าบออะไรภูริก็เดาชะตากรรมของตัวเองได้ เรียกว่า...เห็นฉากการตายอย่างสยดสยองในบัดดล
“ผมตรวจสอบย้อนหลังหมดแล้วครับ อีกอย่าง...เอกสารการสมัคงานพวกนี้ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนรับเข้ามาแล้วครับ ข้อมูลในนี้เป็นของจริง ไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใด”
“ทำไมมันถึงมีกลิ่นฟีโรโมนคลุ้งแบบนั้น” พูดมาตรงนี้คนในประเด็นก็ทำจมูกฟุดฟิดดมจักแร้ตัวเองเป็นการใหญ่ กลิ่นฟีโรโมนเหรอ...เบต้าไม่มีฟีโรโมนดิ
“ผมก็ไม่ทราบ”
“ไม่ทราบ...ตอบง่ายๆ แบบนี่เนี่ยนะ ฉันต้องการให้นายหาคำตอบมาให้ฉัน แล้วสิ่งที่ได้คือไม่ทราบ...” คนตรงหน้านั้นต้องแกร่งขนาดไหนถึงได้ทนความกดดันระดับนี้ได้นะ อยู่ห่างขนาดนี้ ภูริยังหนาวเลย...
เอ๊ะ...หรือว่าแอร์เย็น?
ใช่เวลาเล่นมุกห้าบาทสิบบาทกับตัวเองไหมเนี่ย ภูริอยากจะตบหัวตัวเองอีกสักที เสียแต่...เดี๋ยวปวดหัว ไม่เอาๆ เราไม่ทำร้ายตัวเอง การทำร้ายตัวเองเป็นสิ่งที่ผิดบาป เพราะงั้นห้ามทำเด็ดขาด
“ผมจะรีบหาคำตอบมาให้ครับ อาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อย...”
“แล้วอย่าลืมตรวจสอบไอ้เรื่องท่อรั่วในแล็บด้วย มันไม่น่าเกิดขึ้นได้...พอๆ กับที่นายบอกผมว่าเจ้านั่นเป็นเบต้าแหละ”
“ครับท่านประธาน” ประธาน...ประธาน..นี่ห้องประธานเปล่าวะ
เอาแล้ว...ภูริมึงเล่นของสูงแล้วไง ฉากในลิฟต์ก็บอกอยู่ว่าเขาเล่นของสูงมากๆ เลยล่ะ เขาจะซวยไหมเนี่ย ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปกินตับกับท่านในลิฟต์นะเว้ย มันเป็นเรื่อง...อะไรอะ อุบัติเหตุมะ อุบัติเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นโอเมก้าเนี่ยนะ โอย...มึนหัว ไม่รู้ว่าจะสรุปให้ตัวเองฟังยังไง ตัวเองถึงจะเข้าใจสถานการในตอนนี้ เขาเป็นเบต้า...ถามกี่ครั้งก็จะบอกว่าตัวเองเป็นเบต้า แต่ถ้าเป็นเบต้ามันก็จะไม่เกิดเรื่องนี้ปะ...
เบต้าจะไม่ปล่อยฟีโรโมน เป็นแค่คนธรรมดาที่แม้แต่จะรับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้ายังทำได้น้อยมาก ถ้ากลิ่นไม่แรงจัดก็จะเฉยๆ ไม่มีอาการตอบสนองรุนแรงเหมือนเหล่าอัลฟ่าที่ถูกสร้างมาคู่กับโอเมก้า แล้วจู่ๆ...เขาก็มีกลิ่นที่ดึงดูดประธานเข้ามาเนี่ย มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
“แม่ง...กูจะมีคู่โชคชะตาด้วยเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้น่ะเหรอวะ” เสียงสบถดังแว่วมาจากข้างนอก รู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาที่นี่ด้วย
ด้วยความกลัว ภูริถอยเท้าออกจากประตู ทั้งที่ยังสับสน...มึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก และไม่ต้องสั่งว่าถามท่านประธานดิ มีอะไรสงสัยให้ถามไปเลย บ้าหรือไง...แค่มองหน้าเขายังไม่กล้า จะให้อ้าปากถามเนี่ยนะ ตลกแล้ว!
ภูริหันมองซ้ายมองขวา ลองดูว่าเสื้อผ้าอยู่ที่นี่ไหม อย่างน้อยเอามาใส่ลดความอนาถของตัวเองสักหน่อยก็ยังดี ตอนนี้มีกางเกงในตัวเองมันเหมือนพวกโรคจิตมากๆ เลย อย่าว่าคนอื่นจะรับได้ ตัวเขาเองเขายังรับไม่ได้เลยให้ตายเถอะซาร่า
แกร๊ก!
ชะงัก...
เสียงประตูห้องทำให้ภูริที่พยายามเดินหาชุดของตัวเองหยุดนิ่งเป็นหินอยู่ปลายเตียง เขาตัวสั่นเล็กน้อย...แอร์ในห้องหนาว ซะเมื่อไหร่ล่ะมันกลัวอะดิ ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องพยายามหันหน้าไปทางประตู การหันหลังให้คู่สนทนาหรือเจ้าของห้องมันดูไร้มารยาทน่ะจริงไหม เกิดท่านประธานไม่พอใจตะเพิดไล่ออกทำไง...ซวยเลยนะเนี่ย ไม่ได้ๆ ยังไงก็จะมาโดนไล่ออกไม่ได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย
“ทุเรศ...” เสียงทุ้มทรงอำจาจเปรยแค่เบาๆ ทว่ากดดันได้อย่างมากมาย...ภูริรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลง หดจนกลายเป็นหนูไปแล้ว และเบื้องหน้าก็เป็นสิงโตเจ้าป่า
ก็ทุเรศจริงนะ เขาว่าตอนนี้ตัวเองดูแย่มากๆ อยู่ในกางเกงในหลวมๆ ตัวหนึ่ง ฮื่อ...ดีนะไม่มีใครแอบถ่ายเขาเอาไว้ ไม่งั้นเขาคงรับไม่ได้ตลอดกาลเลยล่ะ ภูริกุมมือต่ำอยู่ตรงเป้ากางเกง สองมือแค่นั้นมันปกปิดอะไรไม่ได้ หนำซ้ำเหงื่อเย็นๆ ยังซึมออกมาตามรูขุมขนจนชุ่มโชกมือเขาไปหมด
รู้สึกว่าร่างของท่านประธานจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ เงาใหญ่กำลังทาบทับลงมาและเขาก็หัวหดยิ่งกว่าเดิม อยากกลายเป็นเต่าอะ อยากมีกระดองให้เก็บหัวตัวเอง โชคร้ายที่เป็นคน...หดคอมากสุดได้เท่านี้แหละ คางจะชิดอกอยู่และ น่าอนาถเข้าไปอีกชีวิต
นึกถึงนิยายของน้อง...น้องเล่าให้ฟังถึงฉากพวกนี้ ว่าอะไรนะ เมะกับเคะมีอะไรกัน แล้วเคะตื่นมาก็จะโวยวายใส่เมะที่ทำกับตนเองแบบนั้น นายมันกล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้กับฉัน ชี้หน้าด่าเลย โวยวายเลย แล้วเดี๋ยวเมะก็จะง้องอนเอง...นั่นมันนิยายของน้องอะนะ ไม่ใช่เรื่องของเขา
ว่าแต่เคะกับเมะนี่แม่งเป็นใครนะ?
ภูรินึกถึงมันเองและครุ่นคิดเองอยู่คนเดียว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างสูงเจ้าของห้องมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ความกดดันอันมากมายนี้เล่นเอาขาเกือบอ่อน ถ้าทรุดลงไปกอดขาอ่อนวอนอะไรๆ จะดีขึ้นไหมนะ...ไม่มีทาง
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วออกไปจากห้องผมได้แล้ว...เหม็นขี้หน้า” เหม็นแล้วจะเดินเข้ามาใกล้ทำม้ายยยยยย ภูริแวบความคิดแบบนี้เข้ามาในหัว สมองเขาน่ะคิดคำเถียงไปหลายตลบแหละ แต่ที่ทำได้คือ...
“คะครับ” เออ...นั่นแหละ ทำได้เท่านี้จริงๆ
และถึงจะขานตอบไปแล้ว แต่ภูริไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหน เสื้อผ้าอยู่ไหน อะไรๆ อยู่ไหน แล้วจะอาบน้ำยังไง เขาก็เลยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้จะกวนตีนใครน้า คนไม่รู้คือคนไม่ผิดใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมท่านประธานต้องยิ่งแผ่รังสีกดดันมาใส่เขาอะ...
ถ้ารังสีกดดันของท่านประธานฆ่าคนได้...ภูริตายจนเกิดใหม่ไม่ทันละ
“ก็ไปสิ ยังจะยืนหัวโด่อยู่ได้” โอย...อยากไปครับท่าน ผมอยากไปใจจะขาดแล้วครับท่าน
“อะ..เอ่อ...เสื้อผ้า”
“ก็เงยหน้าขึ้นสิวะ!” โดนเข้าไปจึ้กใหญ่...น้ำตาเกือบไหล อารมณ์เหมือนโดนแม่ดุเลย!
ภูริค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทีละน้อย อ๋อ...เสื้อผ้าอยู่ในถุง และถุงอยู่ในมือท่านประธานนี่เอง เขาไม่ได้กล้าเงยมองหน้าอีกฝ่ายหรอก แค่เห็นถุงเสื้อผ้าเท่านั้น เขาเอื้อมไปหยิบ ยกมือไหว้ แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาห้องน้ำ
“กลับหลังหัน...อยู่ตรงนู้น” ชัดว่าน้ำเสียงนั้นมีความรำคาญ ก็ไม่อยากทำให้ใครรำคาญอะเอาตรงๆ แต่คนไม่รู้ไง...บอกแล้วไม่รู้คือไม่ผิด นี่อย่าให้ย้ำบ่อยนะ เพราะการย้ำบ่อยๆ มันน่ารำคาญ
เดินพ้นมาจากร่างใหญ่ของท่านประธานแล้วถึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อกี้มันอึดอัด...ไม่รู้ว่าถ้าท่านประธานผู้นั้นไม่ได้เป็นอัลฟ่าเขาจะกลัวขนาดนี้ไหม ก็ต้องกลัวดิ กลัวโดนไล่ออกไง...ทุกวันนี้ก็โดนหัวหน้าแผนกแกล้งอยู่ประจำ เกิดทำให้ท่านประธานไม่พอใจไปด้วยอีกคน ชีวิตของเขาก็คงหมดสิ้น...
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย...น้ำเย็นๆ นี่มันจรรโลงใจดีจริงๆ นะ ภูริแต่งตัวด้วยชุดของตัวเอง คาดว่าถูกซักมาอย่างดีแล้ว ไม่งั้นก็คงมีซากศพอยู่เป็นคราบๆ ขาวๆ ตามเสื้อตามกางเกง เขาเดินออกมาด้วยความสดชื่น...กลิ่นสบู่ท่านประธานโคตรหอม โคตรดี ดมแล้วโคตรมีความสุข
ท่านประธานอะไรนั่นนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ภูริเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดใส่อยู่บ้านสบายๆ กางเกงขายาวผ้าเนื้อนิ่มและเสื้อแขนสั้น อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าเสื้อผ้าพวกนั้นต้องแพงกว่าเงินเดือนเขาแน่ๆ เขาตั้งใจจะเดินไปยกมือไหว้ลาแล้วค่อยออกจากห้องนี้ ทว่ายังไม่ทันได้ยกมือไหว้...ของบางอย่างก็ถูกโยนมาตรงหน้า
มันเป็นถุงยา...ถุงใหญ่เลยแหละ
“กินมันเข้าไปซะ รู้ว่าเป็นโอเมก้าแทนที่จะกินยาระงับ หึ...หรือว่าคุณจงใจจะยั่วผมอยู่แล้ว” ความกดดันน่ะมี แต่ความย้อนแย้งในใจมันก็มี ภูริเงยหน้ามองท่านประธาน...เผลอสบตาสีฟ้าอ่อนนั้น
ก่อนหน้านี้มีคนรายงานไปแล้วนี่ว่า เขาน่ะเป็นเบต้า...เขาไม่ใช่โอเมก้าแล้วจะให้เขามากินยาระงับฟีโรโมนทำไม? บ้าเปล่าเนี่ย ท่านทำงานมากจนสมองท่านเพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร ลูกน้องเพิ่งรายงานไปเมื่อถึงไม่สามสิบนาทีที่แล้วนี่เอง
“ผมเป็นเบต้า...ครับ” ภูริย้ำอีกครั้ง จำได้รางๆ ว่าในลิฟต์นั่นเขาก็บอกไปแบบนี้เหมือนกัน
“นายจะเชื่อว่าตัวเองเป็นอะไรก็ช่าง กินมันซะ...แล้วกลับไป อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร อย่าให้ใครรู้...ผมไม่อยากโดนเอาไปพูดหรอกว่าเกลือกกลั้วกับพวกโอเมก้าน่ะ เข้าใจใช่ไหม...คุณภูริ” ถ้ากลายเป็นโอเมก้าแล้วยังไง...อยากรู้จริงๆ มันทำไมนักหนา อัลฟ่ากับโอเมก้าแม่งถูกสร้างมาคู่กัน แต่ตัวเองมีพลังควบคุมคนหน่อยก็ว่าชนชั้นอื่นเขาไปหมด
เพราะอัลฟ่าเหยียดคนอื่นแบบนี้ล่ะมั้ง...ช่วงนี้ถึงเห็นข่าวว่าอัลฟ่าเลือดเข้มข้นมีการเกิดลดน้อยลงจนน่าตกใจ
ก็ไม่แปลก...
“เข้าใจครับท่านประธาน”
“เข้าใจแล้วก็ทำตามด้วย ที่นั่งคุณไม่ได้มั่นคงนักหรอก” ก็รู้หรอกหน่า...หัวหน้าแกล้งตลอดจะไปมั่นคงได้ไงว้า อัลฟ่าแม่งอัลฟ่าจริงๆ...
“ครับ” ภูริก้มลงไปหยิบยาตรงเท้า ยืดตัวแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท ชั่วแวบหนึ่งเขาสบตากับอีกฝ่าย...เห็นแต่ความเพียบพร้อมและผยองจนเกินตัว
ช่างเถอะ...ก็เป็นวันร้ายๆ อีกวัน เขาเจอเรื่องพวกนี้ประจำ เจ้าตัวเดินออกมาจากห้อง เสร็จแล้ว...ก็กลับบ้าน ใช่ เราก็แค่ต้องกลับบ้านไปนอนพักผ่อน ท่านผู้สูงส่งค้ำฟ้าอะไรนั่นไม่มายุ่งกับเขาหรอก ไม่อยากมาเกลือกกลั้วนี่เนอะ
ว่าแต่...ทางออกมันอยู่ไหนวะ???
.
.
.
กว่าจะออกมาจากห้องไอ้ท่านประธานบ้านั่นได้เล่นเอาภูริเครียดไปเลยจริงๆ ช็อตแรกเปิดประตูมาก็เจอระเบียง ไอ้ส่วนนี้เขาเห็นมันตั้งแต่แอบแง้มประตูฟังแล้วล่ะ ตอนนั้นคิดว่านี่เป็นบ้านสองชั้นทั่วๆ ไป ตกแต่งหรูหน่อยเพราะมีเงินไง ที่ไหนได้...มันไม่ใช่บ้านมันเป็นคอนโด...ใช่ มันเป็นคอนโดที่มีสองชั้น? เกิดมาเพิ่งเจอ ทำไมต้องคอนโดสองชั้น ทำไมไม่ซื้อบ้านสองชั้นแทน ภูริปวดหัวตึบๆ แทบจะเอายาเม็ดหลายสิบแผงนั้นประคบหัวตัวเองเผื่อมันจะดีขึ้นกว่าจะหาลิฟต์เจอ กว่าจะเดินออกมาจนถึงหน้าปากซอยโดยที่ไม่รู้ว่าเขามีรถเอาไว้รับส่ง กว่าจะโบกแท็กซี่ได้...โบกกี่คันแม่งบอกส่งรถ เติมแก๊สตลอด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาพี่แท็กซี่ใจดีสักคันมารับผู้โดยสารไปส่งบ้าน แล้วถ้ารู้ว่าตรงที่ยืนอยู่นี่คือที่ไหนเขาก็ไม่โบกแท็กซี่หรอก ประเด็นคือภูริไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหนแล้วจะนั่งรถสายอะไรถึงบ้านได้ในความเอ๋อมีความเอ๋อ เลยมาจากที่รอรถแท็กซี่เมื่อครู่นี้แค่ไม่เกินหนึ่งกิโลก็เจอกับสถานนีรถไฟฟ้า ภูริอยากจะร้องไห้ หยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ออกมาดูยิ่งชอกช้ำระกำใจเข้าไปใหญ่ นี่ต้นเดือน...เขาเหลือเงินติดตัวไ
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่โคตรยากจะทำใจยอมรับและมีผลต่อสภาพจิตใจประมาณหนึ่ง แต่ชีวิตต้องดำเนินโดยมีเงินเป็นปัจจัยหลัก เพราะงั้นภูริก็ต้องไปทำงาน...หลังกินมื้อเช้ากับแม่และน้อง ภูริเดินเท้าออกมาขึ้นรถไฟฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ส่วนน้องสาวเขานั่งวินมอเตอร์ไซก์ไปเรียน มันใกล้กว่าเลยไม่ต้องกลัวรถติด เขาดิ...อยากนั่งรถเมล์เหมือนกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทว่ารถในเมืองกรุงแม่งติดยิ่งกว่าอะไรดี รถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ไม่เลวร้ายนักถ้าไม่นับว่าคนช่วงเวลานี้โคตรจะเยอะเลยให้ตาย เข้าไปเบียดเสียดจนเกือบได้เมียมาหลายรอบและแน่นอนว่าก่อนเขาจะออกมาจากบ้าน เขาได้มีการกรอกยาเข้าปากไปเป็นที่เรียบร้อย มันจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของเขาหลังจากนี้ ภูริไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนเป็นโอเมก้าของตัวเองจะส่งผลอย่างไรบ้างในอนาถคต เขาคิดไปหลายทางมาก แต่มันเป็นแค่การคิดไปก่อน ต้องเจอจริงๆ ถึงรู้ว่าจะจัดการอย่างไรลงรถไฟฟ้าแล้วเดินต่ออีกห้านาทีจะถึงบริษัท ก่อนจะเดินเข้าที่ทำงานขนาดใหญ่ ภูริแวะซื้อน้ำจากร้านริมทาง ใกล้ๆ กันจะเ
เขาเกลียดโอเมก้า!ครั้งแรกที่อีธานรู้จักกับโอเมก้าคือตอนอายุสิบสาม ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้พาเขาไปเที่ยวที่ที่หนึ่ง ที่นั่นเขาบอกว่ามันเป็นสวรรค์ของเหล่าอัลฟ่าชั้นสูงเลยก็ว่าได้ อีธานเป็นเด็กวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็น อยากลองไปหมดทุกสิ่งอย่างเขาถูกเลี้ยงมาท่ามกลางวงล้อมของอัลฟ่า แม่บ้านทุกคน คนใช้ทุกคนเป็นอัลฟ่าหมด โรงเรียนที่เขาเรียนก็เป็นโรงเรียนเฉพาะที่รับแต่พวกตระกูลดังๆ อัลฟ่าเลือดเข้มข้นเท่านั้นจึงจะสามารถเรียนที่นี่ได้ เป็นสังคมชั้นสูง...ที่สูงจนคนธรรมดาไม่อาจเข้าใจดังนั้นอีธานไม่เคยเจอโอเมก้าตัวเป็นๆ มาก่อน ไอ้แค่ออกข่าว ออกทีวี หนังละครอะไรพวกนี้มันค่อนข้างห่างตัวเขาพอสมควร เมื่อลูกพี่ลูกน้องพาไปเขาเลยคาดหวังที่จะเห็นอะไรที่สวยงาม เวลาเขาเห็นโอเมก้าในทีวี พวกนี้จะมีเสน่ห์มาก ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ตามทว่าสิ่งที่อีธานได้เจอ...มันผิดกับที่เขาคาดหวัง“นี่แหละตัวตนของโอเมก้า” พี่คนนั้นผายมือให้อีธานได้เห็น ตอนนั้นอยู่ชั้นสอง...มองไปข้างล่างเจอแต่โอเมก้ากำลังปรนเปรอผู้ชาย ในคนเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชาย กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงจนน่าเวียนหัว“เราไป
“ขออนุญาตครับ” ประตูถูกเปิดด้วยน้ำมือของผู้มาใหม่ อลันเป็นมือขวาของอีธาน ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวเมื่อครั้งก่อนที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในลิฟต์ อีธานพยายามตั้งสติอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อจะกดลิฟต์ให้เคลื่อนขึ้นไปยังชั้นบนสุด ชั้นนั้นเป็นชั้นทำงานของเขา เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกออลันก้เป็นคนเข้ามาช่วยเหลือทั้งคู่ที่สภาพดูแทบไม่ได้ ทั้งฟีโรโมนของโอเมก้าคนนี้ก็รุนแรงจนแม้แต่อลันที่กินยาต้านแล้วยังเกิดการตื่นตัวอลันเป็นคนจัดการพาทั้งท่านประธานและพนักงานฝ่ายขายคนนี้มาส่งที่คอนโดอีธาน สัญชาตญาณของอีธานได้บอกเจ้าของมันแล้วว่านี่คือคู่แห่งโชคชะตา แต่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคู่แห่งโชคชะตาคนนี้ อีธานสั่งให้อลันนำข้อมูลส่วนตัวที่มีในเอกสารสมัคงานของภูริมามอบให้แก่ตน ระหว่างนั้นภูริก็หลับไม่ได้สติอยู่ในห้องหับมิดชิดเพราะเวลาที่อีธานเห็นภูริ...ได้กลิ่นของภูริ...เขาจะมีความต้องการเกิดขึ้นอีกทั้งที่ใช้ยาต้านชนิดรุนแรงพอรู้ว่าภูริเป็นเบต้า เขาไม่อยากจะเชื่อในข้อมูลเพราะยังไงซะเบต้าก็ไม่มีทางเกิดการฮีตและปล่อยฟีโรโมนฟุ้งขนาดนี้ได้ มันดูตลกเกินไป...คู่แห่งโชคชะตาเ
ภูริอยากจะเกาหัวจนหนังหัวหลุดออกมาเพราะคำพูดคำจาของท่านประธาน แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ เดี๋ยวโดนหาว่าไม่มีมารยาทและทำตัวน่าเกลียดอีก แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่านประธานต้องมาดุเขาแบบนั้นด้วยน่ะ เขาทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ? ครั้นจะถามก็ไม่กล้าเช่นเดิม ท่าทางน่ากลัวแบบนั้นใครจะกล้าพูดอะไรเล่า นอกจาก...ครับขานรับไปแล้วก็ยังต้องนั่งตัวลีบ หางลู่หูตกไปอีกพักหนึ่งเพราะอีธานยังจ้องเขาไม่ไปได้ ทำอย่างกับจ้องมากๆ แล้วเขาจะหายไปจากตรงนี้ อันที่จริง ให้เขาไปทำงานซะมันก็จบเรื่องแล้วแท้ๆ ช่างเถอะ พออีธานเดินกลับไปนั่งโต๊ะ คงสบายใจที่ได้ใส่อารมณ์กับตนแล้วมั้ง ภูริก็หยิบเอาเอกสารมานั่งอ่านโอ้...ภูริเป็นคนขยัน!เปล่า กูไม่มีไรทำภูริคิดแล้วก้เถียงกับตัวเองขำๆ ระหว่างนั่งอ่านกฎการปฏิบัติตัวของโอเมก้าในที่ทำงานแห่งนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจจะอ่านมันหรอก เขาเป็นเบต้า ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์อันมากมายของเหล่าโอเมก้า ตอนนี้มันกลายร่างแล้วไง ต้องมาใส่ใจนิดหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ยากเกินจะทำความเข้าใจ อ่านไปได้ราวครึ่งชั่วโมงเขาก็ไม่มีอะไรทำอีก นั่งพิงโซฟาตัวนุ่มนิ่มเอาไว้ แอร์เย็น...ท
หลังจากกินมื้อเช้ากับแม่และน้องสาวเรียบร้อยแล้ว ภูริก็เดินไปแอบกินยาต้านเงียบๆ พยายามปกปิดเรื่องที่เขาได้กลายเป็นโอเมก้าเต็มตัวแทนที่จะเบต้าธรรมดาๆ อย่างที่เคยเป็น ก็ลองนึกดูดิ ถ้าแม่กับน้องรู้ แม่กับน้องจะตกใจขนาดไหนอะ ลูกกับพี่ชายเป็นเบต้ามาตลอดนะเฮ้ย จู่ๆ มากลายพันธุ์ บ้าเถอะ ไม่มีใครรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หรอก ขนาดตัวภูริเองที่มักเป็ฯคนคิดในแง่บวกมาตลอดยังอดนอยไม่ได้เลยเมื่อวานนี้แต่ที่ยิ่งกว่านอยอะ...แม่งคิดถึงบางคนม่ายยยย เราจะไม่ยอมรับว่าเราคิดถึงไอ้ประธานโหดนั่น มันน่าเศร้าเกินไป ผู้ชายคนนั้นบ้าๆ บวมๆ เดี๋ยวกอดเขา ฟัดเขาอย่างกับเขาเป็นคนรัก แต่แล้วก็ด่าเขาสาดเสียเทเสียอย่างกับเขาเป็นคุณโส เอาตรงๆ บางทีก็งงใจ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับสิ่งที่ท่านประธานนั่นปฏิติบัติกับเขาเหมือนกัน“พี่ภูคะ มีใครมา...” ภูฟ้า น้องสาวแสนน่ารักน่าชังในสายตาภูริเดินเข้ามาสะกิดบอก อย่าเพิ่งว่าเขาเป็นโลลิค่อนนะเว้ย การที่อวยน้องตัวเองไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นพวกจิตไม่ปกติดีแบบนั้น“หืม?” ภูริรีบเก็บแผงยาเข้ากระเป๋าของตัวเอง แล้วดื่มตามเยอะๆ“พี่ออกไปดูไหม รถหรูเชีย
ปัง!กรี๊ด!!! ภูริถึงกับสาวแตกในใจเพราะจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาตบโต๊ะเขาเสียงดังสนั่น เขาอยากเงยหน้าแล้วถามเหลือเกินว่า เจ็บไหม? เอ๊ะ...หรือเขาควรสนใจว่าโต๊ะทำงานของเขายังปลอดภัยอยู่กันล่ะ คำถามกวนประสาทในหัวหายไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าคนที่ตบโต๊ะนั้นเป็นใคร ร่างโปร่งรีบลุกขึ้นยืนกุมมือต่ำ ก็คนคนนี้เป็นหัวหน้าเขานี่หว่า“เมื่อวานคุณหายไปไหนมา” ตาบอดเหรอตอนท่านประธานลากเขาไปที่ลิฟต์น่ะ ภูริล่ะอยากจะตอบแบบนี้กลับไปจริงๆ ให้ตายเถอะ“ท่านประธานใช้งานครับ” พอบอกออกไปอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ใช้สายตาสำรวจร่างกายของเขาท่านที เห็นนะเว้ย สายตานั้นละลาบละล้วงมาก ถึงหัวหน้าจะหล่อ แต่ขอโทษ...อีธานหล่อกว่าและสายตาเร่าร้อนกว่าเยอะเดี๋ยวนะ เราเปรียบเทียบเพื่อ? หัวหน้าไม่ได้จะแดกเขาเสียหน่อย คิดอะไรบ้าบอจริงเชียว สมองนี่ก็น้า...ทำไมยังคงทำงานวนเวียนอยู่กับอีธานก็ไม่รู้ เพิ่งจะห่างกันได้ไม่นานนี่เองด้วยซ้ำ“นายเป็นนายบำเรอให้คุณอีธานล่ะสิ ที่บอกว่าเป็นเบต้านี่โกหกใช่ไหม เมื่อวานนี้กลิ่นฟีโรโมนฟุ้งมาก มึงต้องเป็นโอเมก้าแน่ๆ” เกลียดสัญชาตญาณอั
พอเห็นว่าเขาไม่รู้ไม่ชี้อะไร พวกนั้นก็หัวเราะกันเบาๆ กระซิบกระซาบทำเหมือนว่าเสียงจากเครื่องคาราโอเกะมันจะดังกลบทั้งหมด ภูริไม่สนหรอก เขายังคงยิ้ม ดูพวกนี้ที่หลงระเริงในแผนการของตัวเองแล้วก็ตลกดี“ผมชงเหล้าให้นะครับ” ภูริอาศัยที่ว่าแก้วเหล้าของพวกหัวหน้าพร่องไปเกินครึ่งมาเป็นจังหวะในแผนการร้ายของตัวเองโชคดีเหลือเกินที่พวกนี้มองภูริเป็นเบ๊ ก็เลยเอาถังน้ำแข็ง เหล้าและโซดาวางไว้ข้างกายเขา ส่วนพกนั้นนั่งห่างออกไปจะได้สั่งให้ภูริงเหล้าให้ได้ เมื่อภูริอาสาบริการก็ไม่มีใครปฏิเสธ ส่งแก้วเหล้าทั้งห้าใบมาให้พวกนั้นกำลังรอเวลาภูริดื่มแก้วของตัวเองจนหมด เรียกว่าถ้าเร่งเวลาผ่านช่วงเหล้าไหลลงคอไปถึงยาออกฤทธิ์ได้คงทำกันไปแล้ว เมื่อภูริหันหลังชงเหล้า พวกเขาหันไปกระซิบด่าความโง่งมของภูริอีกด่าเข้าไปเถอะ เพราะอีกไม่นานก็คงด่าอะไรไม่ออก ภูริคิดอย่างชั่วร้ายในใจ เขาคิดว่าในแก้วเหล้าเขาคงไม่ใช่ยาพิษ แต่มันก็ต้องไม่ยาที่ดีที่เอาไว้บำรุงร่างกายเขาแน่ๆ เขาค่อยๆ เทเหล้าจากแก้วของตัวเองลงแก้วอีกห้าใบเบาๆ ก่อนชงเหล้าเนียนๆ“ขอบใจ นายชงเหล้าอร่อยนะภูริ” อัลฟ่าคนสนิทพิชัยเอ่
บริษัทยายักษ์ใหญ่ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เรื่องการบริหารจัดการกับเหล่าผู้คนที่แตกต่างด้านเพศสภาพ อีธานถูกยกย่องให้เป็นผู้บริหารหน้าใหม่ไฟแรงที่มีทัศนะคติดี มองการไกลและให้ความเท่าเทียมกับอัลฟ่า เบต้า หรือแม้กระทั่งชนชั้นที่ต่ำสุดอย่างโอเมก้า ชื่อของบริษัทถุกยกย่องให้เป็นบริษัทต้นแบบในการบริหารผู้คนที่แตกต่าง และจัดการกับการเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคมในหน้าสัมภาษณ์ อีธานกล่าวว่า...ทุกชนชั้นล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ละคนมีความสามารถที่อาจจะด้อยกว่ากันบ้างในบางเรื่อง แต่มีเรื่องด้อยก็ต้องมีเรื่องเด่น เพราะงั้นจะแค่มุมด้อยของเขามาตัดสินมันทั้งชนชั้นไม่ได้ คุณต้องมองมันให้เป็นรายบุคคลและเข้าใจถึงธรรชาติของชนชั้นนั้นๆด้วยความเป็นอัลฟ่าระดับสูง รูปร่าง หน้าตาและฐานะ อีธานกลายเป็นที่จับตามองของสาวน้อยสาวใหญ่ ความสุขุมและเบดกายของเขากลบคำที่ว่าผู้บริหารบริษัทยามันต้องเนิร์ด สวมแว่นและดูแก่หงำเหงือกไปอย่างสิ้นเชิงหญิงสาวหรือแม้แต่ชายหนุ่มที่อ่านข่าวนล้วนจับตามองถึงเรื่องคู่ครอง อีธานกล่าวว่าตัวเขานั้นยังไม่มีใคร ยังไม่เจอคู่แท้ และยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ ตอนนี้
เรื่องราวระหว่างคนสองคนที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ได้ตั้งใจเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย...แรกเริ่มเดิมทีอีธานก็ไม่ได้ต้องการมีคู่แห่งโชคชะตาอยู่แล้ว การตัดสินใจมันเริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสั่งให้ทีมวิจัยค้นคว้าตัวยาเพื่อแก้คู่แท้ วันที่รู้ว่าตัวเองจะมีคู่ครอง...เขาไม่โอเคกับมันจริงๆ ที่ผ่านมาภูริแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองไม่ได้แย่ถึงขนาดเป็นคู่ครองของใครไม่ได้ แต่อีธานก็ไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองอยู่ดีอุดมการณ์เขามั่นคงพอๆ กับการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อีธานไม่ได้รักภูริ เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนร่วมเตียง มีเซ็กซ์กัน ไปทำงานด้วยกัน กินข้าวเช้า กลางวันเย็นด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน การดูแลเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรามันเป็นเพียงไมตรีจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งเมื่อหนังผีเรื่องนั้นจบลง อีธานและภูริก้เดินออกมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป ภูริน่ะตื่นเต้นกับหนัง ดูก็รู้ว่าเขาแฮปปี้กับช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมามากแค่ไหน เขาไม่ค่อยได้มาดูหนังนี่นะ พอเจอหนังดีโดนใจก็เลยปลื้มปริ่ม แต่คนที่คิดว่าจะพามาตกใจเล่นกลับเอาแต่นั่งกอดเขานิ่ง ไม่สะดุ้งกับหนังเลยแม้แต่นิดเดียว...อีธานมองหน้าภูร
“วันนี้เงินเดือนออกหนิ” อีธานเอ่ยขึ้นขณะต่างคนต่างลงจากรถหลังการปรับเปลี่ยนกฎและโยกย้ายตำแหน่งพนักงานได้ไม่กี่วัน ภูริก็กลับมาทำงานทั้งที่ยังไม่หายดี เขามีรอยช้ำอยู่ตามตัวแต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร การนอนอยู่ห้องอีธานเฉยๆ คอยทำความสะอาด จัดนู้นจัดนี่แล้วก็ดูทีวีไปวันๆ มันก็ดี แต่เขาก็กลัวว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้เลยรีบกลับมาทำงานอีธานไม่พอใจใหญ่เลย ไม่พอใจที่เขาดื้อไม่ฟัง อีธานบอกให้เขารักษาตัวเองให้หายดีก่อน เขาไม่หายดีตรงไหน? ขึ้นโยกได้นี่ก็ถือว่าร่างกายแข็งแรงสุดๆ แล้ว เพราะงั้นคำบ่นอีธานจึงตกไปเมื่อภูริมีเป้าหมายที่ชัดเจนพอกลับมาทำงาน ด้วยไม่มีใครมาขัดขวางเหมือนเมื่อก่อน ภูริจึงออกงานนอกเยอะขึ้น เขาสามารถทำยอดได้เกินเป้าในทุกๆ การขาย ด้วยรอยยิ้ม ด้วยไมตรี เมื่อก่อนภูริขายของเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้ได้โชว์ศักยภาพของตัวเองเต็มที่ขึ้นไปอีก ไม่แปลกเลยที่ผลการทำงานในเดือนนี้ของเขาจะดีเกิดคาดไปไกลอีธานยังแปลกใจเลยคิดดูเถอะ ไอ้กระจอกคนนี้ไม่กระจอกนะเว้ย เพื่อปากท้องทั้งสาม ของตัวเอง แม่และน้อง ทำให้ภูริเป็นคนขยัน อืม...เขาขยันเป็นเรื่องปกตินะ เมื่อก่อนก็ขยัน ตอนน
ภูริอุ่นอาหาร เทมันใส่จานแล้วก็เอามาเสิร์ฟ ตามด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ เป็นการปิดท้ายก่อนเดินมานั่งข้างๆ แล้วเริ่มทานมื้อเที่ยง ภูริไม่ได้ถาม ไม่ได้ชวนคุยอะไร ต่างคนต่างกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหมดบอกความจริงให้หนึ่งอย่าง...ภูริไม่ได้มารยาทดีแต่โคตรหิว!คือเมื่อเช้ามันตื่นไมไหวก็เลยนอนลากยาวมานี่แหละเที่ยงวัน น้ำท่าก็ไม่อาบ แค่ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย กินยาก่อนอาหาร ยาระงับฟีโรโมนแล้วถึงมาอุ่นข้าว ท้องเขาแม่งถือป้ายร้องประท้วงกันเย้วๆ ตอนที่กลิ่นอาหารแม่งลอยออกมาจากตู้อบ อารมณ์แบบ...กินเลยไม่รอร้อนได้ไหมวะ แต่จะให้กินอาหารเย็นๆ มันก็ไม่อร่อย ดังนั้นเพื่อรสชาติที่ดีเขาต้องรออีกนิสสสสแล้วพอกำลังจะอิ่มหนำสำราญใจกับอาหารเที่ยงควบมื้อเช้าอีธานก็ดันโพล่มา ด้วยการเป็นคนดีโลกจดจำ ภูริก็เลยต้องบริการอุ่นและเสิร์ฟอาหารให้เจ้าของห้อง เคยได้ยินไหม อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่นน่ะ แค่อีธานไม่มีลูก ภูริเลยไม่ได้โชว์สกิวปั้นดินที่แสนจะห่วยแตกสมัยเรียนอาจารย์วิชาศิลปะนี่กุมขมับเลยนะ เพราะให้ทำอะไรก็เละเทะไม่มีชิ้นดี
เช้าวันนี้อีธานตื่นเร็วกว่าปกติ เขามีการประชุมใหญ่รออยู่ในช่วงเช้าเพราะหัวหน้าของหลายแผนกถูกจับ โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกที่มีความสำคัญมากอย่างเซลล์ ซีอีโอบางคนก็หลุดออกจากตำแหน่งไปเตรียมตัวขึ้นศาลข้อหาฉ้อโกงเรียบร้อย เรียกว่าวันนี้งานอีธานค่อนข้างจะเยอะเลยทีเดียว เพราะงั้นจึงสายไม่ได้ร่างสูงค่อยๆ ลุกจากที่นอนเพื่อไม่ให้ภูริตื่น ที่จริงแล้วภูรินอนพื้นนั่นแหละ แต่อีธานอุ้มขึ้นมานอนด้วยกันตอนอีกฝ่ายหลับสนิทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูริบาดเจ็บอยู่ เขาอยากให้ภูรินอนอย่างสบายบ้างก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆไม่ได้ชอบการนอนกอดภูริเลยแม้แต่นิดเดียว!ก็นะ...นั่นเป็นข้ออ้างที่เขาพยายามยัดมันใส่หัวตัวเอง เพื่อปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริง ภูริทำให้อีธานได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมันก็ใช่ แต่ความตั้งใจเดิมของอีธานไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังไม่อยากมีคู่เป็นโอเมก้าอยู่ดีนี่มันอยู่คนละส่วนกับการดูถูกชนชั้นอื่น เป็นแค่ความต้องการส่วนตัวที่ฝังรากลึกมานานเป็นสิบปี ระยะเวลาเหล่านั้นมันพังครืนลงไม่ได้ง่ายนัก ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ให้โอเมก้าแต่กำเนิดก็ตามที“เหวย...วันนี้ตื่นก
ปลายกระบอกมือสีเงินแวววาวจรดลงที่ขมับของอัลฟ่าผู้คร่อมทับร่างภูริ อีธานโพล่มาถึงตรงนี้ได้โดยที่คนอื่นไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้พวกนี้รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ก็ตอนที่เอาปืนจ่อหัวพวกเรียบร้อยพลังควบคุมคนตามธรรมที่อีธานมีนั้นเขาสามารถควบคุมมันได้ จะใช้มากใช้น้อยหรือไม่ใช้เลยเขาก็ทำได้ อย่างตอนเดินเข้ามาก็ไม่ใช้...ค่อยๆ ย่องประชิดเพื่อไม่ให้ใครไหวตัวทัน และตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะใช้ความสามารพิเศษทางสายเลือดของตัวเองกดดันพวกปลายแถวเหล่านี้ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคอเอาไว้ อัลฟ่าชั้นล่างทั้งสี่ต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้ว่าจะยังไม่เห็นปืนกระบอกงามในมือของอีธานด้วยซ้ำ ความหวาดกลัวที่เอ่อท้นขึ้นมานี่คงไม่ต่างอะไรกับการยืนเผชิญหน้าจ่าฝูงผู้แข่งแกร่งเท่าไหร่นัก“ลุกออกมา” อีธานเอาปลายกระบอกปืนดันหัวคนที่คร่อมภูริอยู่ มันค่อยๆ ขยับแล้วออกมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งพอเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นอีธาน ภูริก้รีบลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เข้งขาไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทั้งยังขวัญหนีดีฟ่อจากการที่โดนจู่โจม นัยน์สีดำคู่นั้นเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ...ภูริดึงผ้าที่อุดปากตัวเองออกแล้ว
จนแล้วจนรอดอีธานก็ไม่ได้ให้นาฬิกากับภูริ ในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนไม่คิดอะไรเขาก็จะทำบ้าง พาไปเลี้ยงข้าว กลับบ้านอาบน้ำอาบท่าแล้วก็แยกย้ายกันนอน ซึ่งก่อนนอนก็มักมีกิจกรรมที่เสื้อผ้าไม่เกี่ยวเกิดขึ้นมันเป็นแบบนั้นเสมอ...แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนที่ใครที่มันจากแผนที่อีธานขอให้วิชุตาช่วยเหลือ ในที่สุดก็มาถึงได้เสียที หลัจากปล่อยให้เหตุการณ์อันย่ำแย่ในออฟฟิตของเขาดำเนินต่อมาอีกหลายวัน เมื่อวานนี้เงินภูริออก อีธานได้ขอก๊อปปี้สลิปเงินเดือนมาจากอลันภูริมีโอทีแค่ห้าชั่วโมงทั้งที่ทำโอแม่งเกือบทุกวัน ค่าคอมพ์มีแต่น้อยกว่าที่คาด ก็คงไม่มีอะไรให้เถียงสำหรับค่าคอมพ์ ภูริเพิ่งออกงานนอกตอนเลยกลางเดือนมาแล้วและแค่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น โดยรวมภูริก็ได้เงินไม่มากอยู่ดีหลังเลิกงานอีธานมีนัดกับวิชุตาเพื่อดูของที่เธอได้รับจากการสั่งซื้อด่วนเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาให้ภูริไปรอที่ห้างสรรสินค้าใกล้ๆ เสร็จธุระแล้วถึงจะไปรับ ภูริเป็ฯคนง่าย...อะไรก็ได้จึงยอมไปไม่ใช่อะไร...มีหนี้ต้องเคลียร์ใบออเดอร์และของอยู่ตรงหน้าเขา ข้างซ้ายมีวิชุตาและข้างขวาเป็นอลัน พวกเขากำลังตรวจสอบนัมเบ
ออกมาจากบริษัทตอนเก้าโมงกว่า เจอลูกค้าตอนสิบโมงครึ่งจนตอนนี้เที่ยงสิบห้างานเพิ่งเสร็จ ภูริปิดการขายได้อย่างสวยงามและยอดขายรอบนร้ก็เป็นที่น่าภูมิใจสุดๆ นึกถึงคำพูดอีธานตอนแรกๆ ที่เจอกันขึ้นมาเลยแฮะ ที่หาว่าเขาเป็นคนไร้มารยาท ทำตัวแบบนี้เป็นเซลล์ไดยังไง หึหึ อยากให้มาเห็นผลงานเขาหน่อยจะได้ถอนคำพูดพวกนั้นทิ้งไป เขามีความเป็นนักขายนะเว้ย แต่แค่...เลือกปฏิบัติต่อคนอะนะในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้านัดมานั้นมาของกินเยอะแยะมากมาย เหมือนมีการจัดบูธขายอาหารไทยมากมาย เรียงกันเป็นตับ เห็นแล้วท้องร้องหนักมาก ร้องว่าจะกินจะกินจะกิน ติดอย่าง...ติดเงินภูริได้ค่าน้ำมันมาห้าร้อย เขาเติมทั้งห้าร้อยเลยเพราะว่าใบเสร็จนี่ต้องส่งกลับให้บริษัท เคยได้ยินมาว่ามันโกงค่าน้ำมันได้ อย่างเติมสามร้อยแล้วให้เขาออกใบเสร็จเป็นห้าร้อยแลกกับทิปเล็กๆ น้อยๆ แต่ภูริไม่เคยทำ แค่ได้ยินเขาเล่าๆ กัน ส่วนใบเซอร์นี่ก็โกงได้...แค่อันตรายหน่อยหากโดนจับได้ล่ะนะเรื่องโกงกินอะไรพวกนี้ตัดออกไปจากหัวภูริได้เลย สมองเขาคิดแค่จะหมุนเงินยังไงให้มันชนเดือนโดยไม่ต้องไปหยิบยืมใครเขา การเป็นหนี้มันเป็นลาภอันประเสริฐนะ ถ้า
คำว่าน้อยใจของภูริมีผลต่ออีธานมากกว่าที่ภูรินึกเอาไว้...พอกลับมาที่ห้องแล้วอีธานก็สั่งให้ภูริไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่สบายๆ สักตัว เป็นชุดนอนปกติของตัวเองก็ได้แล้วมานอนที่เตียง หมอเพิ่งให้กินยาก็ต้องนอนพักผ่อน ซึ่งการที่อีธานให้นอนเตียงเนี่ยทำเอาภูริยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายไปเป็นนาที“ผีเข้าปะ?” คิดออกแค่นั้นอีธานทำเหมือนคำพูดของภูริมันไร้สาระเกินกว่าจะตอบ เดินหนีไปอาบน้ำอาบท่าปล่อยให้ภูริเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปนอน ออกมาก็เจอภูรินอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้มดูมีความสุข น่าแปลก...เห็นภูริมีความสุขแล้วอีธกานก็พลอยมีความสุขไปด้วยอีธานขึ้นนอนข้างๆ ภูริ ต่างคนต่างนอนหลับไปทั้งที่มันเพิ่งจะเป็ฯเวลาเที่ยงวัน นอไปนอนมาภูริก็คว้าเอวอีธานมากอด ซุกแขนล่ำๆ นั้นแล้วหลับน้ำลายยืด คนรู้สึกตัวไวแอบลืมตามก่อนจะหลับไปโดยไม่ว่าหรือไล่ให้เอาหน้าออกไปจากแขนตนบ่ายอีธานทำอาหารให้ภูริกิน แต่ภูริอยากจะเอาอาหารเมื่อวานนี้ไปอุ่น ไม่มีคำอธิบายหรอก แล้วก็รู้ว่าอีธานไม่ยอมทำก็เลยเอาเข้าไมโครเวฟเอง เผอิญว่าเตาอบของอีธานนั้นเป็นเตาอบเครื่องใหญ่ ไม่ใช่ไ